641022_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ กายกับสัญญาสำคัญตั้งแต่ต้นจนจบศาสนาพุทธ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1jnkIbxADGGgzIhKwUlo4bJgRSd4KiZUzHl9QmAXCBt4/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1zb3A9qY7lJXOzmypVIhgXadoC26SE6V6/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/8OquLzq6zP/ และ https://youtu.be/By9uyHV1Gbs
คำสรรเสริญนั้นต่ำทราม แต่คำตำหนิพาเจริญ
_สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก มีคนที่ให้คำตอบว่าวันสำคัญที่สุดในศาสนาพุทธคือวันปวารณา คือเมื่อวานนี้ เป็นวันสุดท้ายของการเข้าพรรษา พระพุทธเจ้าให้สงฆ์มีปกติทบทวนพระวินัยลงปาฏิโมกข์ทุก 15 วัน แต่ในวันก่อนออกพรรษาให้งดปาฏิโมกข์ ให้เป็นวันปวารณาแทน ให้ทำเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ชาวอโศกเราปวารณากันไม่ใช่แค่พูดภาษาบาลี แต่เราประชุมกันให้บอกกล่าวกันได้ในข้อบกพร่องที่ควรแก้ไข ติงเตือนกันให้ขุมทรัพย์ให้คำแนะนำกัน เราไม่ได้ปวารณากันเฉพาะอารามเดียว แต่มีปวารณาเป็นงานประจำปี เป็นงานสำคัญของชาวอโศก
มีพ่อครูเคยให้คำจำกัดความของปวารณาว่า เป็นสุดยอดวิชาของพุทธ เพราะมีแต่การรู้ข้อบกพร่อง ข้อไม่ดีของตนเท่านั้น จึงเป็นโอกาสแก้ไขให้ตนเองเป็นคนดีและดีขึ้นทุกขณะ คนเราจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นได้ก็ต้องรู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องข้อไม่ดีอะไร ซึ่งจริงๆก็เราไม่ได้รู้กันได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างเรื่องกลิ่นตัว ของตัวเองจะรู้ได้ยาก แต่จะรู้กลิ่นคนอื่นได้ง่าย แต่ข้อไม่ดีของตนเองนี้รู้ได้ยากกว่ากลิ่นตัวอีก
ธรรมดาคนป่วยก็ย่อมมีเชื้อโรค การได้เห็นเชื้อโรคจึงเป็นความหวังที่จะหายป่วย คนที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็เช่นกัน ย่อมมีกิเลสเป็นธรรมดา การได้เห็นกิเลสจึงเป็นความหวังที่จะหมดกิเลส คนฉลาดจึงไม่คิดเสียใจ แต่คิดมุ่งเพื่อจะได้ประโยชน์ และพยายามคิดจะกำจัดกิเลสอย่างเบิกบาน ท่านถิระเคยยกตัวอย่างเหมือนเรานุ่งกางเกงตูดขาดไปตลาด มีคนมาบอกว่าเรานุ่งกางเกงตูดขาด ก็เสียใจใหญ่เลย.. เราควรที่จะแก้ไข ไม่ใช่ไปเสียใจ แต่พยายามรีบแก้ไข ไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้
ปวารณาคือให้คนอื่นบอกกล่าวได้ ให้ตำหนิได้ รบกวนได้ แม้จะให้ดุด่าก็ทำได้ โดยผู้ปวารณาจะขอน้อมรับคำตำหนิ อันเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ และขอน้อมคารวะต่อผู้ชี้ขุมทรัพย์ด้วยจริงใจ ขอบคุณและขอบคุณ
เท่าที่ดู นักปฏิบัติธรรมที่ไม่มีใครกล้าบอก อาตมาว่าเป็นคนที่โชคร้ายจริงๆ เพราะการจะเห็นข้อบกพร่องตัวเองไม่ใช่เห็นได้ง่ายๆ การที่มีคนจริงใจและพร้อมจะบอกให้ จึงเป็นเรื่องไม่ใช่ง่ายๆเลย เหมือนพ่อครูพยายามบอกพวกสายหลับตา บอกพระผู้ใหญ่ที่ควรได้แก้ไข จริงๆถ้าไม่ใช่พ่อครูใครจะกล้าบอก ใครจะมีอธิปัญญาและกล้าอย่างยิ่งที่จะไปบอก ต้องมีปัญญาและความกล้าหาญอย่างยิ่ง แต่หากเขาไม่ได้รับฟัง ไม่เห็นเป็นขุมทรัพย์ ไม่ได้ปรับปรุงก็น่าเสียดาย เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักที่พ่อครูให้ความสำคัญ
มีพระบาลี ก่อนปาติโมกข์จะบอกว่า ศาสนาพุทธของเรามีความเจริญรุ่งเรืองได้ก็เพราะว่ามีการว่ากล่าวติงเตือนซึ่งกันและกันให้ออกจากความผิดและออกจากอาบัติได้นี่คือความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพุทธ
พ่อครูว่า… ขอต่อท่านเดินดินอีกบ้าง สำคัญมากตรงนี้
การตำหนิกัน กับการสรรเสริญกัน เราก็ได้อธิบาย ยืนยันคำตรัสของพระพุทธเจ้า เราก็หยิบมายืนยันอ้างอิงชัดเจน
คำสรรเสริญนั้นมันพาตกต่ำจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคำสรรเสริญนั้นต่ำทราม ไม่มีค่าพอที่จะทำให้เกิดการละหน่ายจางคลายอะไรได้
ส่วนคำตำหนินั้น มันยิ่งใหญ่ มีประโยชน์ยิ่งที่สุด จะทำให้เราเจริญได้ จนบรรลุธรรม
บรรลุธรรมแล้วโดนตำหนิอีกก็ยิ่งเจริญยิ่งขึ้นๆอีก มันจะมีที่สุดแห่งที่สุดไปเรื่อยๆ ไม่จบง่ายๆหรอกสำหรับเรื่องของการติ การมองมิติต่างๆ มองนัยยะต่างๆที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเยอะมาก
พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ยกย่องชมเชยการตำหนิ ตำหนิแล้วตำหนิอีก ไม่มีหยุด ไม่มียั้งมือ ผู้มีมรรคผลจะทนอยู่ได้ อันนี้จริงที่สุดยอดจริงๆ
และคนที่จะตำหนิผู้อื่นนี้ ต้องมีภูมิปัญญา หากไม่มีภูมิปัญญาไปตำหนิผู้อื่น เดี๋ยวก็โดนศอกกลับ หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเท่านั้นเอง แต่ผู้มีภูมิปัญญา นอกจากตำหนิสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วต้องมีภูมิปัญญา นอกจากมีภูมิปัญญาแล้ว ต้องมีความปรารถนาดี ที่จะช่วยกัน ไม่ใช่มีอคติ อยากตำหนิเพราะข่ม อวดดี อวดเบ่งไม่ใช่ แต่ตำหนิเพราะต้องการให้ได้รู้สิ่งผิดสิ่งบกพร่องนั้นจริงๆ แล้วก็จริงใจ เพราะมันผิดจริงๆ
ถ้าหากเข้าใจผิดก็วิจัยกันต่อ จนกระทั่งสุดท้าย เราไปตำหนิ ท่านถูกอยู่ ผู้ที่มีอคติต้องการความเจริญก็จะได้ประโยชน์อีก ซึ่งมันเป็นได้นะ ไปตำหนิผู้อื่นที่เราคิดว่าผิดแต่ท่านถูกมันก็เป็นได้ การตำหนิจึงมีแต่ดีถ่ายเดียว ไม่มีเลวเลย สุดยอด
เพราะฉะนั้น อย่าไปกลัวการตำหนิ เพราะฉะนั้นชาวอโศกแท้ๆแล้ว ไม่กลัวการตำหนิ แต่อย่าหน้าด้าน ถูกตำหนิแล้วก็หน้าด้าน ถึงจะไม่ขยายความเรื่องหน้าด้าน อย่าไปทำเป็นหน้าด้านหน้าหน้าทน ตำหนิแล้วก็เฉยไม่รู้ไม่ชี้ ไม่งอกไม่เงยอะไรเลย
เพราะฉะนั้นคำตำหนิจึงยิ่งใหญ่มากในศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่พิสูจน์ความหมดเนื้อหมดตัวหมดจนหมดมานะอัตตาสิ้นไปเลย ใครจะตำหนิอย่างแรง จะมาลบหลู่ขนาดไหนก็ไม่มีกระดิก ไม่มีวันหวั่นไหวอะไรเลย ฟังเขา คนที่ตำหนิอย่างโง่ๆก็มี ตำหนิเล่นๆ ตำหนิอย่างสาดเสียเทเสียมีทั้งนั้น คนที่ตำหนิด้วยเจตนาดีตำหนิด้วยภูมิปัญญา ตำหนิด้วยความหวังดีก็มีทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้สิ่งที่เรียกว่าตำหนิ เรียกว่า สรรเสริญ ที่เป็นคู่กันนี้ คนจะเห็นคุณค่าของสรรเสริญหรือตำหนิอย่างดีเลย โอ้ คำสรรเสริญนี้มันไม่มีค่าอะไร แต่คำตำหนิมีค่ายิ่งยอดจริงๆเลย เห็นไหม แต่ก็ไม่ใช่ว่า เราอยากให้คนตำหนินะ จะได้รู้สึกว่าตัวเองมีค่า มันก็มากไป เป็นเรื่องเกินสุดโต่งอีกและ
ศึกษาไป พวกเราศึกษาแล้วก็ได้รับฟังธรรมะเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ เจริญขึ้นเรื่อยๆจนกว่าจะตายจากกัน ผู้ที่มีดีก็เผื่อแผ่ผู้ที่ยังไม่ดียังไม่เจริญเป็นธรรมชาติธรรมดา
SMS วันที่ 20-21 ต.ค. 2564
_Sumran Tesch 2604 (สำราญ เทช 2604) : อยากจะไปวัดท่านบ้าง ทำจังไดนอจะได้ไปเที่ยวบ้าง คาน้อย เป็นคนยโสธร อำเภอกุดชุม อยากเดินทางไปกราบเท้าหลวงพ่อสักครั้ง นะคะ
พ่อครูว่า…ก็มาหากหมดเรื่องโควิด ต้องระมัดระวังจริงๆ อย่าประมาททีเดียว
เจ้าแม่กวนอิมพระอวโลกิเตศวร เป็นปณิธานความดีสุดยอด
_นุ้ย วิโรจน์ มาบุตร : พ่อท่านครับ เคยได้ฟังพ่อท่านตอบคำถามเรื่องโพธิสัตว์ มีคนถามพ่อท่านว่า “ท่านเป็นโพธิสัตว์องค์ไหนชื่ออะไร” พ่อท่านตอบว่าพ่อท่านยังไม่ถึงขั้นโพธิสัตว์มีชื่อเหมือนอวโลกิเตศวรหรือพวกเจ้าแม่กวนอิม คำถามก็คือ เจ้าแม่กวนอิมมีอยู่จริงไหมครับ
พ่อครูว่า…คนนี้มาแปลก ล้อเลียน วิโรจน์ นุ้ยบุตร ที่เป็นชื่อเดิมของไม้ร่มธรรมชาติอโศกเขา นุ้ย เป็นภาษาทางใต้ แปลว่าน้อยๆ น่าเอ็นดู
สิ่งที่ไม่มีหรือมีแต่เป็นชื่อเป็นนาม เป็นสภาวะธรรมอันใดอันหนึ่ง ที่เราเคยได้ยินเจ้าแม่กวนอิมก็ดีพระอวโลกิเตศวรก็ดี เจ้าแม่กาลีอะไรก็ดีพวกนี้ เลวร้ายมากทางเลวร้าย ทางดีก็ดีมาก พระอวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิมนี่ดีมาก ดีเรียกว่าไม่มีที่ติและดีสุดโต่งด้วย จนกระทั่งว่ามันจะมีจริงเป็นจริงได้หรือ ซึ่งมันก็เป็นปณิธานของจิตคน เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุด สุดยอดๆเลย
เช่นเดียวกันถ้าผู้ที่เข้าใจดีๆ เข้าใจว่าพระเจ้าหรือก๊อตเป็นปณิธาน ดีสุดยอดของเทวนิยมเขา ก็เหมือนพระอวโลกิเตศวร ก็เหมือนความดีทางฮินดูเขา เป็นปณิธานสุดยอดเขา มันมีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกันบ้างแต่แค่ว่า
อย่างพระเจ้าเป็นปณิธานดีสุดยอดทางเทวนิยม ทางโลกียะ ส่วนของพุทธเป็นโลกุตระ อันนี้ก็ต้องมาเรียนรู้กันจริงว่าโลกียะกับโลกุตระแตกต่างกันอย่างไร
พูดไปซึ่งมันสำคัญมาก อาตมาวิจัยวิจารณ์ไว้เยอะเหมือนกัน ยิ่งในหนังสือปัญญา 8 วิเคราะห์วิจัยเรื่องเทวะ เรื่องพระเจ้า เรื่องของพระพุทธเจ้า เรื่องความแตกต่างของศาสนาโลกียะกับศาสนาโลกุตระในความเป็น เทวะที่มี 2 ว่า มันมีความแตกต่างกันจริงๆ อธิบายแล้วต้องกำกับว่าเป็นเรื่องวิชาการ ไม่ใช่เรื่องยกตนข่มท่านหรือลบหลู่กัน ไม่ใช่ ซึ่งเป็นเรื่องความรู้วิชาการที่ต้องศึกษากันจริงๆใด มันเป็นความจริงและความจบ
โลกียะหรือพระเจ้าเทวนิยม มันยังไม่จบ เขายังเชื่อว่าเขาจบ แต่เป็นสภาพที่ยังมี เขาก็เลยอยู่อย่างมี มีนิรันดรด้วยเพราะเขายอมรับว่ามีนิรันดร ไม่มีสูญ ไม่มีสลายไม่มีหายไปจากกาละ
อาตมานำคำว่า กาละ มาใช้นี่ คนจะค่อยๆเข้าใจว่า กาละ มันหมายถึงอะไร
กาละ นี้มันหมายถึงทุกอย่างที่มันมีอยู่ขึ้นมา ตั้งแต่มันเป็นไม่มีอะไรเลย มีแต่ความเคลื่อนของสภาวะที่เริ่มต้นเรียกว่า “มี”ขึ้นมา เกิดมีขึ้นมาแล้วก็เคลื่อนที่ได้ หากมีขึ้นมาแต่เคลื่อนที่ไม่ได้ก็ไม่เห็นไม่รู้จับไม่ติด มันจะเล็กละเอียดจนไม่สามารถมีอะไรจับรู้ได้ ต้องเคลื่อนถึงจะรู้ได้
เหมือนกับทางวิทยาศาสตร์เถียงกันระหว่างของโฟตอนกับควันตั้ม และ 2 คำนี้จะสลับกันเหมือนกับคำว่า อานาปานสติ กับอาปานะ จะบอกว่าโฟตอนเป็นเรื่องของกระแส โปรตอนเป็นเรื่องของแรงเคลื่อน อันหนึ่งเป็น static อันหนึ่งเป็น Dynamic เป็นพลังงาน 2 อย่างบวกกับลบก็ได้หรือจะสลับกันยังไงก็ได้ ก็คือมีสภาวะ 2 สภาวะ แล้วเขาก็แย้งก็เถียงกันอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวนี้เขาก็ยังแย้งกันอยู่ระหว่างควันตั้มกับโฟตอน เพราะเขาไม่รู้จบ
ถ้ารู้จักก็จะรู้ว่าทุกอย่างต้องมี 2 ต้องมีบวกกับลบ เริ่มต้นมีพลังงาน สสาร อะไรขึ้นมาได้
พระพุทธเจ้ามาสรุปตรงที่มีความมีกับความไม่มี
แล้วที่บอกว่าความมีกับความไม่มีนั้น เราพูดอยู่กับคนที่ยังมี ส่วนคนที่ไม่มีแล้ว อย่าว่าแต่ถึงขั้นไม่มีเลย มันเป็นพีชะหรืออุตุ ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ก็ไม่ต้องไปพูดกับมัน จะไปวิจัยให้ดินน้ำไฟลมฟัง ดินน้ำไฟลมมันก็ไม่มีธาตุรู้อะไรจะมาวิจัยวิจารณ์ด้วย เป็นพืช พีชนิยาม มันก็ไม่สามารถมีธาตุรู้จะมาวิจัยวิจารณ์อะไรได้ มันรู้เฉพาะพีชะ ชีวะในระดับนี้ของมัน
ต้องเป็นธาตุรู้ระดับจิตนิยาม แล้วจิตนิยามก็ยังมีระดับเวไนยสัตว์กับอเวไนยสัตว์
เวไนยสัตว์เป็นธาตุรู้ของสัตว์โลก แต่มันพูดกันไม่รู้เรื่องก็มี เช่น คุณพูดกับกิ้งกือไส้เดือน คุณจะมีวันรู้ไหม …ไม่มีวัน แต่พูดกับสัตว์บางชนิดอาจจะรู้นิดหน่อย
สัตว์เดรัจฉานขั้นที่พัฒนาขึ้นมาแล้ว มันก็สอนได้ ดีไม่ดี สัตว์เดรัจฉานบางชนิดสอนได้ดีกว่าคน คนที่อเวไนยสัตว์สอนไม่ได้ มันเลวชั่วกว่าสัตว์เดรัจฉานอีก
อย่างคนที่แสดงตัวอยู่ในสังคมมนุษยชาติ แสดงตัวอยู่ในโลกนี้ เดรัจฉานมันยังไม่ทำลายทำร้ายอะไรอย่างอื่นเลย ตั้งแต่ดินน้ำไฟลมจนถึงมนุษยชาติหรือทำลายสังคม แต่มนุษย์ที่เลวร้าย ทำลายสังคมทำลายอะไรต่างๆ เลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน นี่ไม่ได้ด่าไม่ได้ไปว่าแต่วิจัยวิชาการให้ฟัง ซึ่งเขาไม่รู้ตัวหรอก
เพราะฉะนั้นในเรื่องความรู้พฤติกรรมของมนุษย์ มนุสโส เป็นผู้ที่มีจิตใจสูง หรือ เทวฺ ก็แปลว่า จิตใจสูงเหมือนกัน แต่สูงอย่างเทวะโลกียะก็มีประเด็นแค่ดีกับชั่ว มนุษย์ที่ดีโลกียะแล้วก็วนเวียนอยู่กับดีชั่ว
ส่วนโลกุตระนั้นดีชั่วก็รู้ชัดเจนตรงกันด้วยกันเหมือนกัน จะถือว่ายิ่งกว่าก็ได้ เสร็จแล้วยังรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ รู้เรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพาน โดยเฉพาะรู้นัยยะ ละเอียดไปจนถึงฐานของจิตที่เรียกว่าเวทนา ที่ใช้ศึกษาเวทนา 108 เพื่อให้รู้ถึงตัวคู่สำคัญคือกิเลสกับจิตแท้ๆ แล้วจัดการล้างกิเลสให้ออกให้หมดเหลือแต่จิตแท้ๆ แล้วก็จะรู้ว่าจิตแท้ๆเป็นอนัตตา
จิตแท้ๆนี่แหละสุดยอด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นธาตุรู้ ของมนุษย์ประเสริฐสูงสุด ที่สะอาดบริสุทธิ์ แล้วก็มีประสิทธิภาพสูงสุด มีแต่เจตนาดี มีแต่เป็นประโยชน์คุณค่าช่วยเหลือผู้อื่น กัมมัญญา แล้วจิตของท่านก็ ปภัสสรา สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
สุดท้ายจิตนี้ก็ไม่ใช่ตัวตน สุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ก็สลายจิตนี้ไปโดยตนเอง สลายจิตนิยามนี้ไปเป็นดินน้ำไฟลมหมดอัตภาพไม่เหลืออีกในกาละ
เพราะฉะนั้นจะมีอะไรอีกที่เรียกภาษาคำว่า กาละ นี่แหละ ที่อยู่ในมหาจักรวาลเอกภพหรือในอะไรก็แล้วแต่ ประดาที่เกิดขึ้นในเอกภพมหาจักรวาลนี้ ทั้งนั้น ทั้งอวกาศหมดเลย จะกี่ล้านล้านล้านล้านล้านปีแสงก็ตามถ้าสามารถรู้ได้ ยิ่งกว่า Galaxy ยิ่งกว่า เนบิวลา ยิ่งกว่า Bigbang bang คือที่ว่าง ที่จริงเป็นเทหะวัตถุแทงทึบนะ Bigbang เป็นการระเบิดที่ใหญ่ที่สุดจะกลายเป็นกาแล็กซี่เป็นกลุ่มดาวต่างๆ
เอาแค่นี้เขาก็ศึกษากันไปเป็นโลกจินตา ไม่มีที่สิ้นสุด มี 2 สิ่งหมุนเกิดปฏิกิริยากันไป ซึ่งมันไม่มีที่สิ้นสุดในธาตุแห่งความมี เป็นอาชีพใดที่จบแล้วจะไปคิดให้หัวแตกเป็น 7 เสี่ยง เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จบแล้วก็จบไม่ต้องไปดันทุรังต่อไปอีกแค่นี้พอแล้ว
ความเป็นมนุษย์มีที่จุดแรกคือความเป็นอรหันต์ของพระพุทธเจ้าอรหันต์ลำดับที่ 4 ดูตัวเอง อัตตา จิตที่มันจับตัวขึ้นมาเป็นตัวเองก็มีธาตุ 2 แล้วก็ตัวประธาน ISH พลังงาน She กับ He แล้วก็ I
ส่วนภาษาอังกฤษจะไปขยายต่อไปนั้นอาตมายังไม่อยากไปยุ่ง เอาแค่ภาษาไทยอธิบายแบบไทย คนจะตามศึกษาจากภาษาไทยที่อาตมาอธิบายอ้างอิงบาลีบ้างยืนยัน
เพราะฉะนั้นในอนาคตเรื่องศาสนาธรรมะโลกุตระภาษาไทยที่อาตมาอธิบายจะเป็นเครื่องนำการศึกษาในอนาคต และภาษาที่จะไปถึงโลกุตรธรรมคือภาษาไทย
สู่แดนธรรม… ที่เขาถาม พระอวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิมหมายถึงว่าสิ่งนี้มีอยู่
คือสิ่งนี้ยังไม่สิ้นสุดก็มีก็ต้องแสดงความมีอยู่ไปเรื่อยๆ แต่ว่าพ่อท่านได้สอนพวกเราว่า จะต้องทำความมีให้ถึงความจบไม่ได้
พ่อครูว่า… เป็นสุดยอดแห่งอจินไตยเป็นปณิธานที่สุดยอด ซึ่งมันดีที่สุดซึ่งมันเถียงไม่ได้ ยังไม่ได้เพราะเขาประมวลเอาความดีสุดโต่งนั้นเอาไว้มันเป็นสมมติ ก็เท่านั้นเอง ให้ศึกษาที่มันเป็นฐานจริงของตัวเราคือกิเลสกับอัตตาของเรา เรียนรู้กิเลสล้างกิเลสให้หมดไปจนกระทั่งเกิดปัญญามาดูอัตตา ทำให้กิเลสหมดไปก็เป็นอนัตตาไม่มีตัวตน
ไม่มีตัวตนอะไร ก็คือไม่มีตัวตนของกิเลส ไม่ใช่อะไรหรอกกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด หมดไปแล้วมันก็ไม่มีตัวตน แต่ภาษาเรียกว่าอัตตา เป็นฐานอาศัยเท่านั้นเอง ซึ่งต้องใช้พยัญชนะ ตต เป็น ต.เต่าสองตัว ตั้งไว้สองตัว ถ้าขยาย ตต ก็เป็นบวกกับลบ ก็เพิ่ม มีตะ ตา ติ ตี ตุ ตู ไปอีก ก็ยังไม่อยากขยายความมาก ผู้อยากรู้ก็ดิ่งไปกับพยัญชนะเท่านั้นเอง ก็จะเสียเวลาบรรลุธรรม ไปเสียเวลากับสิ่งที่อยากรู้เท่านั้นเอง
ขออภัยที่พาดพิงไปถึงท่านประยุทธ์ พระพุทธโฆษาจารย์ ท่านก็มีความรู้ไปไม่รู้จบหรอกไม่ได้กลับเข้ามาหาจุดเล็กของกิเลสเริ่มต้น อาตมาพูดจริงๆนะ ยังสงสัยเลยว่า ท่านจะพ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 หรือยัง ท่านประยุทธ์ปยุตโต พ้น สักกยะทิฏฐิ
ธรรมกายคำนี้ ท่านจะคมชัดลึกแม่นสมบูรณ์แบบหรือยัง หรือประมาณหนึ่ง ท่านชัดประมาณหนึ่งแล้วเอามาปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วจะรู้ อ๋อ กาย ไม่ใช่เรื่องเล็กไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ คำว่า กาย
ก กับ ย ตัวนี้มาจากพยัญชนะตัวต้น ของพยัญชนะทั้งหมดกับ ย พยัญชนะตัวต้นของเศษวรรค กย แทนที่จะเป็น กะยะ ก็มาเป็นกาย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเลยที่จะเกิดพฤติกรรมต่างๆอย่างสมบูรณ์แบบเลย ซึ่งอธิบายไปก็จะเป็น กลล คำว่า ลล เอาเศษวรรคมาใช้
ย ร ล ว เป็นพลังงานวังวน เอาพลังงาน ล ไปใช้กับ ก ยังไม่เป็นพหูพจน์ยังเป็นเอกพจน์เป็นหนึ่งอยู่เลยคือ กลล ยังไม่ขยายเป็นตัวรู้อีกตัวหนึ่ง กายะ เป็นตัวรู้เริ่มต้นหากเป็น อะ ยังไม่รู้ แต่ถ้า อา ก็เริ่มรู้ขึ้นมาแล้ว
การออกกำลังกายกับการเล่นกีฬาไม่เหมือนกัน
_จากประเทศไอ๊ซ์แลนด์ : เคยสัมผัสได้ว่า พ่อท่านและหมู่กลุ่มชาวอโศก ไม่สนับสนุนให้คนเล่นกีฬา… แต่ถ้าคนที่ยังต้องพึ่งกีฬาในการรักษาสุขภาพกายใจอยู่ ควรเล่นกีฬาอย่างไรไม่ให้เป็นอกุศลคะ? หรือควรลดละเลิกไปเลย เหมือนการเลิกกินเนื้อสัตว์”
พ่อครูว่า…ไม่เหมือนหรอกการกินเนื้อสัตว์นั้นเลิกได้เลย กีฬา มันเป็นการละเล่น แต่นี่ มันออกกำลังกายเป็น กายกรรม ต้องรู้ความหมายของการออกกำลังกาย ทำกายให้มีกำลังเพิ่มขึ้น พัฒนากำลังของกายเพิ่มขึ้น
คุณจะเรียกว่าเล่นหรือเอาจริง กีฬาก็เป็นการละเล่น เอาจริงๆไม่ต้องไปเล่นหรอก
ทีนี้การเล่นมันมีรส การเล่นมันสนุก คำว่าเล่นๆนี่ มันไม่จริง สนุกมันเป็นกิเลส ให้เอาจริงๆสิไม่เป็นกิเลส เอาจริงๆมันถึงจะไม่เกิดรส มีโลกธรรมยั่วยวนมันก็ไม่เกิดรส สำหรับคนที่ยังมีกิเลสในตัวมันต้องมีเครื่องล่อเป็นโลกธรรมล่อเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสล่อ
แต่ถ้าคนรู้ด้วยปัญญาจริงๆแล้ว รู้ว่า นี่คือความสำคัญในความสำคัญก็ต้องทำ แม้มันจะต้องพยายาม ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องช่วยมันมากมายเท่าไหร่ มันก็ต้องเห็นความสำคัญในความสำคัญที่เราจะต้องทำให้พอเหมาะสม ทำน้อยไปมันก็ไม่ดี ทำมากไปมันก็ไม่ดี
เพราะฉะนั้นคนเล่นกีฬานี้พวกนี้ Over มากไปทั้งนั้น แต่เขาไม่รู้ตัว เขาทนได้
เพราะฉะนั้นนักกีฬาจริงๆ ส่วนใหญ่นักกีฬาเอาจริงเอาจังเล่นกันอย่างหนักอายุไม่ยืนทั้งนั้น พวกนักกีฬาเอาจริงอย่างหนักไม่พัก เล่นกีฬาจนกระทั่งเป็นเบอร์ 1 สุดท้ายก็ไม่ยอมจบสักทีก็จะตายไว เพราะพวกนี้สุดโต่ง มันโอเวอร์ มันเกินไปจริงๆ
เพราะฉะนั้นความพอเหมาะพอดี ไม่ว่าคุณจะเล่นกีฬา ไม่ว่าคุณจะบันเทิงเริงรมย์ ให้น้อยไว้ พอเหมาะพอดีสำหรับสังขารร่างกายของแต่ละคน บางคนสังขารร่างกายสรีระมันหมุนเวียนดี ก็ไม่ต้องไปทำอะไรมันมาก หรือเราทำงานมีการออกกำลังกายที่สมส่วน ขยับเขยื้อนให้มันได้สัดส่วน ได้สูบฉีดหมุนเวียน สมดุลหรือว่าดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้อง
อย่างอาตมาทุกวันนี้มันสุดโต่งไปทางพัก ก็จะต้องทำออกกำลังกาย ให้มันพอสมควรทีเดียว จะน้อยไปไม่ค่อยไหว แต่ขนาดนั้นก็ยังฝืนเหมือนกันจะออกกำลังกาย มันรู้สึกว่าต้องใช้พลังงานจะขับเคลื่อน Stimulate ให้มันเคลื่อน
สรุปแล้วก็เข้าใจคำว่ากีฬาเป็นเรื่องเล่น ส่วนเรื่องออกกำลังกายเป็นเรื่องจริงต้องมี ถ้าไม่ออกกำลังกายอยู่ไม่ไหว
_แม่แดง เชียงราย : กราบพ่อท่านอย่างสูง ข้าเจ้า ฝุ่นบุญ หรือแม่แดง เชียงราย ขอรายงานว่า ข้าเจ้าเอาจริงกับการปฏิบัติธรรม เมื่อศึกษาธรรมะอโศกได้ ๖ ปี จึงมาตั้งกลุ่มดอยรายปลายฟ้า เดี๋ยวนี้กลุ่มอายุได้ ๓๔ ปีแล้ว มีการปฏิบัติธรรมและก้าวหน้าอยู่ค่ะ ในพรรษาปีนี้มีหลวงพ่อ ๒ รูป ค่ะ”
เมื่อใกล้ตายแล้วเพ้อ กับใกล้ตายแล้วสงบ อันไหนดีกว่ากัน
_น้ำนวลดิน : ได้ฟังคลิปวาระสุดท้ายของพี่อ๊อดคีรีบูน ก่อนเสียชีวิต ภรรยาของคุณอ๊อดคีรีบูนกล่าวว่า การเข้ารับการรักษาตัว ก่อนเสียชีวิต 3 วัน มีอาการสับสนทางสมอง คุณอ๊อดเพ้อร้องเพลงออกมา ฟังไม่รู้ว่าเป็นเพลงอะไร แต่ดูท่าทางก็รู้ว่าร้องเพลง แล้วทำท่าทางคล้ายโบกไม้โบกมือให้กับแฟนเพลง เหมือนเวลาอยู่บนเวทีคอนเสิร์ต ..
.. กรณีนี้อยากกราบนมัสการขอความเมตตาจาก พ่อครูฯ เป็นความรู้ เรื่องการวิเคราะห์วาระจิต ของผู้ป่วยอาการหนักขั้นนี้ก่อนเสียชีวิต เพื่อผู้ฟังจะได้ประโยชน์ในการตระหนักสำนึกในการกระทำกรรมต่างๆ ด้วยความมีสติ/สำรวมระวัง มิให้เป็นไปในทางที่ไม่ดี
พ่อครูว่า…ลักษณะอาการที่พูดมาแหล่งที่ให้ข้อมูลบอกว่าเพ้อ มันเป็นลักษณะการเพ้อเหมือนคนฝันและละเมอ เหมือนกันไม่มีผิดเลย ตอบแค่นี้ก็คงเข้าใจดีแล้ว
มันมีอนุสัยติดยึดอยู่ เกิดมาก็เป็นนักร้องอีกคนนี้เพราะมันติดมาก เป็นแต่เพียงว่าวิบากจะให้เป็นเดรัจฉานก่อนหรือเป็นนักร้องก่อน ถ้าเป็นเดรัจฉานก่อนก็คงไม่ได้ร้องเพลงจนกระทั่งอาจจะลืมไปก็ได้ เมื่อได้เกิดเป็นคนก็จะเป็นวิบากเวรกรรมวิบากไปได้ หรือจะยังยึดมั่นถือมั่นนี่แหละ ไปตกนรกเป็นเดรัจฉานอยู่เท่าไหร่มันก็ยึดมั่นถือมั่นจะเป็นนักร้องร้องเพลง ถ้ามากพอจริงๆคุณก็ได้เป็นนักร้องอยู่นั่นแหละ แล้วจะร้องไปอะไรกันนักกันหนา
อาตมาก็เคยหลงจะไปเป็นนักร้อง แต่วิบากมันไม่ให้ไป มารุ่นเดียวกับสุเทพเพื่อนกันจริงเลย อายุไล่เลี่ยกัน เขาแก่กว่าอาตมา 2 เดือนสุเทพ ถ้าจะพูดแล้วก็คือวิบากเขาจะไปทางโน้นมากกว่าอาตมา ของอาตมาจะต้องมาทางธรรมสรุปง่ายๆ อย่างไรก็ไม่ไปดีเด่นทางโน้นมากหรอกมันเป็นโลกีย์ ถึงอย่างไรอาตมาก็ born to be มาทางนี้แล้วก็ไม่มีไปทางโน้น อันนี้มันก็ของแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ได้ไปเป็นเรื่องสงสัย ไม่ได้เป็นเรื่องที่อาตมาจะต้องไปกังวลอะไร
เพราะมาทางนี้อาตมาก็ว่ามันก็ดีกว่า เป็นสาระโลกุตระที่มันประเสริฐกว่าที่จะไปเป็นนักร้องเด่นเท่านั้น นักร้องเด่นก็ไม่ใช่เสียหายถ้าเป็นนักร้องเด่นที่ดี ไม่ได้มีอะไรเลอะเทอะ ก็ดีแล้วล่ะ วิจัยไปก็พอเข้าใจกัน ไม่มีอะไร สุเทพเขาก็เป็นคนดีใฝ่ดีพัฒนาตนเอง ทำอะไรต่ออะไรในชีวิตของเขา ใช้ได้ สุดท้ายเขาก็ไปดี สุดท้ายก็ไปอย่างสงบ หลับไปเลยแล้วไม่ตื่นเลย ก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็ใช้ได้
เหมือนกัน ทมยันตีก็เหมือนกัน หลับไปเลยไม่ตื่น คนที่หลับไปเลยไม่ตื่นก็จะไม่เหมือนกับอ๊อดคีรีบูนที่ยังมีเพ้อ เพราะฉะนั้นคนสงบอย่างนี้ก็เป็นผู้ที่เจริญทางจิตยิ่งกว่า อ๊อดคีรีบูนยังติดมากกว่า ระวังเถอะนักร้องอีกหลายคนยังเอาจริงเอาจังอย่างนั้น ยึดมั่นถือมั่นอยู่ก็จะเป็นอย่างนั้นไป จนกว่าจะเข้าใจถึงสาระที่จะเป็นสาระโดยเฉพาะโลกุตระสาระ ถ้ารู้เรื่องโลกุตระสาระแล้วก็จะมาทางเรา
สุดท้ายสูงสุดในการมีอัตภาพของแต่ละคน สูงสุดมันก็เป็นโลกุตระ ถ้าคุณยังไปเป็นโลกียะอยู่ คุณก็หมุนขึ้นหมุนลง หมุนขึ้นหมุนลง สูงสุดคุณก็ได้เป็นศาสดา ไม่ถึงศาสดาคุณก็ได้เป็นยอดนักเก่งทางไหนก็แล้วแต่ เป็นไปสารพัด ปักมั่น ชอบใจ ก็เสียเวลาอยู่กับอันนั้นนาน ปักใจอยู่กับอะไรมากมันก็เสียเวลาอยู่กับมันนาน ติดใจอยู่กับอะไรมากก็เสียเวลากับมันนานก็เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปปักใจไปติดใจอยู่กับอะไรมันมาก ให้มาศึกษาถึงความจบให้ได้ ความจบหรือความสิ้นอาสวะ สุดท้ายอนัตตาหรือเป็นความไม่มีได้ เป็นผู้มีวิมุติ พอมีวิมุติแล้วก็เป็นผู้ที่มีอมตะ อมตะคือตั้งแต่เป็นอรหันต์ขั้นที่ 4 จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรือจะไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรือจะต่อภพภูมิไปอีกจนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วไม่มีใครเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัย ไม่มี พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เอาสมัยเดียว ไม่มี 2 สมัยสักองค์หรอก ซึ่งเป็นคนคิดเอาตรรกะเอา ว่าของดีก็ต้องอยู่อีกหลายๆสมัยสิ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ปัดโธ่ มันน่าเบื่อ
อย่างอาตมานี้พูดได้ อาตมานี้แค่โพธิสัตว์ระดับ 7 ที่อาตมาพูดไปคือความรู้ของอาตมา ถ้าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งอาตมาไม่เอาสมัยที่ 2 หรอก ทุกวันนี้มันก็น่าเบื่อหน่ายจนแย่แล้ว จริงๆนะอาตมาฝืนขันธ์มา อายุขัยถึง 72 เพิ่มมาอีก 1 นักษัตรเอง กว่าจะไปถึง 96 ไม่รู้ว่า Coefficient ของอาตมาจะก้าวข้ามไปเป็นนักษัตรที่ 2 3 4 หรือไม่ ถ้าไปได้ก็จะมี ถึง 4 นักษัตร ก็จะมี Coefficient ถ้า 4 เป็น 5 ก็จะมีกำลัง
หากอาตมาพากเพียรไปถึงอายุ 84 ปี แล้วไปเป็น 96 เพิ่มไปอีก 2 นักษัตร มันก็ยังไม่ชัดเจนหรอก จนกว่ามันจะไปเป็นร้อย เป็น 108 ถ้าหากถึง 108 จะชัดเจนว่าอาตมาจะดูใหม่ไหม ถ้าถึง 108 จะไปได้ เพราะฉะนั้นระหว่างนี้แหละ ลูกผีลูกคนกว่าจะไปถึง 96 แล้วก็ไปถึง 108
ซึ่งทุกวันนี้บอกความจริงเลยว่า อาตมาพยายามมากเลย ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น จริงๆเลย โอ้ พยายาม and the พยายาม สู้ๆ ก็มันไม่เสียหายอะไร มันจะไปเสียหายก็ตรงที่พวกอกุศล พวกที่ไม่ดี พวกมาร จะเจออาตมาเท่านั้นเอง พวกนั้นก็จะเสียประโยชน์ ก็จะถูกอาตมา ตะลุ่มตุ่มม้งไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นหน้าที่ที่อาตมาจะต้องทำ อาตมาไม่มีหน้าที่อื่นแต่มีหน้าที่นี้
_อ๋อย เอื้อมพร : ออกพรรษาแล้ว ทำความดี ฟังธรรม ล้างกิเลสต่อไปค่ะ
พ่อครูว่า… ดี มีปณิธานอย่างนั้นทำเข้าไป ก็พากเพียรทำอย่างนี้ไป
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… มีพระวินัยข้อหนึ่ง ภิกษุห้ามว่ายน้ำเล่น เราก็ไปจับอาบัติกันเมื่อเราว่ายน้ำ ท่านที่ว่ายน้ำก็บอกว่า ไม่ได้ว่ายน้ำเล่นแต่ว่ายน้ำจริงๆเลย ก็เลยไม่เป็นอาบัติ
พ่อครูว่า… ไม่ได้ทำเพื่อสนุกหรือแข่งขันกัน แต่ออกกำลังกาย
กายกับสัญญาสำคัญตั้งแต่ต้นจนจบศาสนาพุทธ
เรื่องกายเรื่องสัญญา พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นเรื่องชี้บ่งที่สำคัญมาก ถ้าเริ่มต้นคุณเข้าใจกาย คุณเข้าใจสัญญาไม่ได้ หรือคุณจบด้วยกายกับสัญญาไม่ได้ คุณก็จบไม่ได้ กายกับสัญญา
ผู้ที่ศึกษามาถึงวิญญาณฐิติ 7 จะรู้ว่าในวิญญาณฐิติ 7 นี้ ก็มีคำ 2 คำเท่านั้นคือคำว่ากายกับคำว่าสัญญามีอยู่ 7 คู่
หรือใน สัตตาวาส 9 ก็มี กาย กับ สัญญา ที่จริงมันมีแค่ 4 คู่ กายกับสัญญา พอไปถึง อากาสานัญจายตนะ อายตนะ ก็แปลว่าความเป็นต้องมีคู่อยู่แล้ว อายตนะ ไม่มีคู่ไม่ได้ มันเป็นตัวบอกถึงสภาวะมันต้องมีคู่อายตนะ
เพราะฉะนั้นคำว่า สัญญา กับ กาย จึงสำคัญทั้งตัวต้นจริงๆเลย เริ่มต้นตั้งแต่คุณสัญญาคือการกำหนดหมาย การกำหนดรู้ จิตเรา เจตสิกเรา มันไปเพ่งรู้กำหนดรู้ อะไรก็แล้วแต่ โอ้นี่อะไร ตัวอะไรเกาะไม้หัวห้อย มาดูกันหน่อยนั่นตัวอะไร เคยได้ยินไหม เพลงค้างคาวกินกล้วย ทำนองเพลงค้างคาวกินกล้วย
สัญญาคือธาตุรู้ที่สำคัญมาก ในการใช้งานและโดยเฉพาะการศึกษา ศึกษาปรมัตถ์ ศึกษาเพื่อที่จะไปนิพพาน ถ้าคุณกำหนดหมายอาการหรือพฤติกรรมของสัญญานี้ไม่ได้หรือผิด วิปลาสหรือมีสัญญาวิปลาสไปจากความเป็นจริง มิจฉาทิฏฐิในคำว่าสัญญา
อาตมาก็สงสารท่านประยุทธ์อยู่ ที่ท่านแจกแจง ในหนังสือพุทธธรรม อาตมาก็อ่านอยู่ ซึ่งท่านกำหนดหมายไม่ตรงกับอาตมา อาตมาก็ว่าท่านกำหนดผิด แต่ท่านก็คงตัดสินว่าอาตมากำหนดผิด ซึ่งไม่มีใครตัดสินได้ง่ายๆ
เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ความเป็นจริงตรงตามความเป็นจริง เป็นสัจจะหนึ่งเดียวว่า สัญญาต้องคือกรรมกิริยาของอาการของเจตสิก สัญญาเจตสิก มันคือพฤติกรรมอาการอย่างนี้ ถ้ากำหนดผิด โอ้โห ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้อะไร
เริ่มตั้งแต่ สักกายทิฏฐิ คุณก็กำหนดคำว่า กาย ก็ต้องใช้คำว่า สัญญา เป็นตัวกำหนด กาย
ถ้าคุณยังกำหนดผิดอยู่ ตั้งแต่ข้อแรก กายต่างกันสัญญาต่างกัน ใน วิญญาณฐิติข้อที่ 1
เพราะฉะนั้นทุกอย่างต่างกันหมดในเรื่องของจิตนิยาม แม้แต่จะเป็นวัตถุก็แน่นอน ก็ต้องต่าง วัตถุยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ากำหนดอาการของจิตผิดไป หมดหวังที่จะไปนิพพาน
ลองอ่านดูรายละเอียด ขยายความอันนี้ดูใน พระไตรปิฎกเล่มที่ 23
จิตตสูตร
[41] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณฐิติ (ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ) 7 ประการนี้ 7 ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
-
สัตว์บางพวกมีกายต่างกันมีสัญญาต่างกัน เหมือนมนุษย์ เทวดาบางพวก และวินิปาติกสัตว์บางพวกนี้เป็นวิญญาณฐิติข้อที่ 1
-
สัตว์บางพวกมีกายต่างกัน แต่มีสัญญาอย่างเดียวกันเหมือนเทวดาชั้นพรหมกายิกา ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน นี้เป็นวิญญาณฐิติข้อที่ 2
-
สัตว์บางพวกมีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกันเหมือนเทวดาชั้นอาภัสสระ นี้เป็นวิญญาณฐิติข้อที่ 3
-
สัตว์บางพวกมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกันเหมือนเทวดาชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นวิญญาณฐิติข้อที่ 4
-
สัตว์บางพวกเข้าถึง อากาสานัญจายตนะ โดยมนสิการว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญาเสียได้ ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญานี้เป็นวิญญาณฐิติข้อที่ 5
-
สัตว์บางพวกเข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยมนสิการว่า วิญญาณไม่มีที่สุด เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติข้อที่ 6
-
สัตว์บางพวกเข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ โดยมนสิการว่า ไม่มีอะไรๆ เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติข้อที่ 7