641008_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อะไรคือความเจริญที่แท้จริงของชีวิต
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1x1TcKFUQWh0gpVbV9TfqkuRAbqrzUVyty6sCARVyqMw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1CHiqe9XO1UfAIeih8AFMJIiLN1lgTJcO/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/458274685516294
สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 บอกไว้ว่า ต้องมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) ต้องเป็นผู้รู้ยิ่งด้วยตนเอง อธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 ได้ ซึ่งตรงกับพ่อครูที่ได้อบรมชาวอโศกให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติธรรมจนเกิดมรรคผลได้
พ่อครูว่า…
SMS วันที่ 6-7 ต.ค. 2564
นามเป็นรูปได้ รูปก็เป็นนามได้ คือเช่นไร
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ ลูกได้ฟังเรื่องอุปาทายรูป๒๔ และนามรูปมาหลายครั้งยังไม่เข้าใจค่ะ ลูกอยากถามว่า เมื่อสัญญาเข้าไปกำหนดรู้ เวทนา แล้ว สัญญาจะเป็นนาม ส่วนเวทนาจะเป็นรูป เวทนาที่เป็นรูปนี้เป็น อุปาทายรูป๒๔ หรือนามรูป หรือเกี่ยวข้องกันอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… เป็นอภิธรรมที่ต้องแจกแจงอีก เวทนาเป็นความรู้สึกเป็นนามแล้วจะไปเป็นรูปได้อย่างไร อาตมาก็แจกแจงมาจนถึงทุกวันนี้ ผู้ที่ศึกษามาอย่างมิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย ไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ ยิ่งนามกับรูป เดี๋ยวนามไปเป็นรูป เดี๋ยวรูปไปเป็นนาม ตั้งแต่หนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนักที่อาตมาเขียนมาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส นามกับรูปมันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนไปเป็นสิริมหามายา
นาม จะต้องเป็นจิตวิญญาณ รูปเป็นสิ่งที่ถูกรู้ อาตมาก็ไม่ได้บอกว่าเป็นวัตถุแต่ท่านไปเข้าใจว่ารูปเป็นวัตถุขึ้นง่ายๆ ซึ่งก็ไม่ผิดหรอก เป็นวัตถุก็ถูก และก็ถูกรู้ด้วยนามก็ถูก แต่ทีนี้รูปไม่ได้หยุดอยู่ที่แค่วัตถุเท่านั้น นามธรรมนั้นเมื่อมันอยู่ในสถานะของตัวที่ถูกรู้ ให้ผู้เป็นผู้รู้สัมผัสรู้กำหนดรู้อีกทีหนึ่ง ตัวที่ถูกรู้นั้นแม้จะเป็นนาม ก็กลายเป็นรูป เป็นรูปจิต อรูปจิตไป ให้นามตัวสัญญาที่กำหนดรู้ มันไม่เที่ยง
หากไปยึดถือตายตัวว่า นามกับรูปก็จะได้ตื้นๆแค่ชั้นเดียว ในชั้นกามภพชั้นเดียวภายนอกที่เป็นรูปมีวัตถุ พอเป็นนามแล้วไม่รู้เรื่องเสร็จแล้วก็ไปปฏิบัติหลับตาอีกไม่เกี่ยวกับข้างนอกมันก็เลยตัดสะพานที่จะรู้เลย มันไม่เกี่ยวกันเลยตัดข้ามอยู่ในภพ แล้วจะไปพูดอยู่กับสิ่งนอกภพ ก็เลยไม่ได้รู้เรื่องอะไรกันเลยนี่คือการไม่ได้รู้รอบซ้อนกันมาไม่ได้รู้ ก็ค่อยไป
นามกับรูป อย่าไปยึดมั่นถือมั่นไปยึดถือว่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่
ที่สงสัยว่า เวทนาเป็นอุปาทายรูปหรือนามรูป
นามรูป คือนามตัวหนึ่งรูปตัวหนึ่ง จึงมีคำว่านามรูปเป็นภาวะ 2 อันนี้ก็ไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะต้องเรียนภาวะ 2 ทั้งสิ้น เรียนภาวะเดียวไม่ได้เป็นอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเรียนเป็น 2 เสมอ
ถ้าจะใช้พยัญชนะตรงๆว่าเป็นรูปก็เป็น รูปรูป เอารูปสำทับคำว่ารูปเลยคือดินน้ำไฟลมมหาภูตรูปอันนี้ไม่ใช่นามเลย ทีนี้รูปกับนาม รูปคือรูปอันหนึ่ง นามคือนามอันหนึ่ง เข้ามาประชุมกัน มันเป็น 2 แล้ว แต่เรียกนามรูปหรือรูปนาม ส่วนมากจะเรียกนามรูป เข้ามาประชุมกันก็เป็น 2 เรียกว่าเทวะ
ในจิตวิญญาณหรือในจิตนิยามจะต้องเป็น 2 ให้เรียนรู้ คุณจะเรียนรู้จิตวิญญาณด้วยธาตุ 1 ไม่ได้ ในอาหารสูตร ข้อที่ 4 ท่านตรัสถึง วิญญาณาหาร ว่า วิญญาณนั้นแยกรูปแยกนามได้ ผู้ใดสามารถแยกรูปเป็นนามได้ก็เป็นอันรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ารู้แยกรูปนามไม่ได้ก็เรียนรู้อะไรไม่ได้ ถ้าแยกรูปแยกนามเป็น 2 ได้แล้ว คุณก็จะเรียนรู้วิญญาณได้ทั้งหมดจะได้รู้ถึงอัตตาเป็นวิญญาณ และเรียนรู้อัตตาไปจนกระทั่ง แจกละเอียด ลดละจางคลาย รู้เนื้อแท้เข้าไปจนสุดท้าย แยกธาตุแล้วไม่มีตัวตน
แม้จะเอารูป 24 อุปาทายรูป ก็เรียนรู้รูปที่ถูกรู้นี่แหละ แยกเป็นสภาวะแต่ละชื่อ ถ้าจะเรียกหมดก็เป็นรูป 28 ถ้าเป็นวัตถุจริงๆเป็นมหาภูตรูปจริงๆเป็นดินน้ำไฟลม แยกไว้ต่างหากเป็นรูปรูปแท้ๆ ทีนี้เมื่อมาประชุมกับนามเข้า ก็เริ่มต้นตั้งแต่อุปาทายรูป
ปสาทรูป กับ โคจรรูป เคลื่อนไปสัมผัสประชุมกันเข้าตามวิสัยของสภาพ 2 เป็นนามรูปกับรูปนามโคจรไปกระทบสัมพันธ์กัน เพราะฉะนั้นผู้ที่หลับตาทำสมาธิจะมาเรียนแต่หนึ่งๆ อย่างมิจฉาทิฏฐิเข้าใจผิดเป็นเดียรถีย์ มันจึงโมฆะตั้งแต่ต้นทาง ฟังครั้งที่ล้านๆ อาตมาจะพูดย้ำตรงนี้ ฝ่ายที่นั่งสมาธิหลับตาให้เรียนรู้ตรงนี้ มันเป็นโมฆะเป็นเดียรถีย์ ไม่มีทางจะเป็นนิพพานของพระพุทธเจ้าได้เลย
จะพูดอีกกี่ล้านครั้งมันก็เป็นอื่นไปไม่ได้ มันก็ต้องอย่างนี้ ต้องพูดอย่างนี้ แต่ได้ถูกหลอกให้ยึดมั่นถือมั่นเป็นลูกศิษย์ของเดียรถีย์ไปอย่างสนิทสนมเลย อาตมาจะแคะจะแงะจะขุดขึ้นมาก็ไม่ยอมขึ้นมา จะเอานิพพานหรือไม่เอานิพพาน ถ้าไม่เอานิพพานก็จมไปอีกตลอดกาลนาน ไม่ได้ตีทิ้งแต่คุณไม่เปิดจิตรับเลย ไม่มี ปรโตโฆษะสักนิดน้อยเลย
มาศึกษา มาเปิดจิตดีๆ อย่ายึดมั่นถือมั่น ถ้าคุณไม่ยึดมั่นถือมั่นก็จะมีพระอรหันต์ที่สอดคล้องกับพระไตรปิฎกอย่างที่อาตมาพาทำนี้ ตั้งแต่จรณะ 15 วิชชา 8 หรือศีล สมาธิปัญญา อะไรก็ตาม ไล่ไปกันจนกระทั่งต่างๆนาๆสารพัด พยายามฟังด้วยดีแล้วก็จะเข้าใจ
_ฟอด เทพสุรินทร์ : ขอน้อมกราบนมัสการ พ่อครูและท่านสมณะ ด้วยความเคารพบูชายิ่งครับ ชาวอโศกรุ่นเก่า ต่างก็อายุมากแล้วจึงได้มาพบกับพ่อครู ต่างก็เคยได้ทำผิดศีลมาหลายข้อ แต่เห็นภาพของกลุ่ม เด็กน้อยเดินจับมือทั้งสองข้างของพ่อครู ดูแล้วก็ประทับใจ ที่พวกเขาได้เกิดมาอยู่ในขอบเขตของบวรตั้งแต่แรกเกิด พวกเขาจึงเป็นเพชรเม็ดงามอยู่ท่ามกลางชนชาวไทย ๗๐ ล้านคน ชั่งเป็นผู้โชคดีแท้ๆครับ
_พันธุ์ พอเพียง : มีข่าวมาว่า วันที่ 19 ตุลาคมนี้ สหรัฐจะต้องใช้หนี้ให้กับเจ้าหนี้ทุกประเทศ ประเทศที่ถือดอลลาร์ไว้มากที่สุดคือญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะมากที่สุด เขาวิเคราะห์กันว่าถ้าสหรัฐอเมริกาใช้หนี้ไม่ได้ จะเกิดความวุ่นวายด้านการเงินขึ้นทั่วโลก ตกลงเขาเล่นอะไรกันครับ อะไรคือความเจริญที่แท้จริงของชีวิตครับ หรือเริ่มเข้าสู่คำเตือนของในหลวง ร.9 ที่ตรัสไว้ว่า จะมีแต่ถอยหลังอย่างน่ากลัว ชีวิตผมทุกวันนี้ขอเดินตามคำสอนของพ่อครู คือ ทำกสิกรรม ไว้กินไว้แจกจ่ายไว้แลกเปลี่ยนครับ
พ่อครูว่า… อาตมายังไม่รู้ทะลุทีเดียว แต่พยายามหยั่งรู้อยู่ว่า ในวัฏสงสารนี้ที่วนเวียนนี่ แบงค์ Note ธนบัตร เป็นตัวกำหนดตัวเงินร่วมกันว่าฉันเป็นเจ้าของเงิน เอาอันนี้ไปขึ้นเป็นธนบัตรไว้ แม้จะพิมพ์เป็นรูปร่างเป็นธนบัตรก็คือตั๋วเศษกระดาษของแต่ละประเทศ คุณถือใบอันนี้ไป มีค่าเท่ากับตัวเลขเงินที่ตีราคานั้น คุณมีสิทธิ์จะได้ข้าวของนั้นไป ข้าวของนั้นจะเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร จะเป็นเพชรนิลจินดา จะเป็นทองคำ สิ่งที่มันไม่แปรเปลี่ยน ทองคำมันหายากด้วยราคาสูง หรือเพชรนิลจินดาก็หายากเป็นโลหะวัตถุ หรือว่าแก้วคาร์บอนอะไรก็แล้วแต่ ที่มันหายาก ตีราคากันอยู่ในสังคมก็เอามาทดแทนแลกเปลี่ยนกลับคืนไปได้
หากเกิดจริง อาตมาว่าคงจะวุ่นวายจริงๆ แต่นึกไม่ออกว่าจะวุ่นวายอย่างไร มันคงจะปั่นป่วนหนัก แต่ข่าวคราวไปมายังไง มันก็น่าจะเป็นไปได้แต่มันจะเป็นไปอย่างนั้นหรือ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะ ถ้ามันเกิดเป็นจริง มันจะทวงกันอย่างไร อเมริกาก็มีอาวุธ มีพลังงานมากที่จะไปเบ่ง หากผู้ทวงไป อเมริกาบอกว่าไม่ให้จะเอาปืนยิงเอาแล้วเขาจะได้อย่างไร ก็นึกไม่ออกว่ามันจะเกิดอย่างไร เอ้า แต่ละคนก็คาดคะเนเอากันไป
ความเจริญของชีวิต อะไรคือความเจริญที่แท้จริงของชีวิต พูดตรงนี้กันวันนี้อาจจะทั้งชั่วโมง อะไรเป็นความเจริญของชีวิต แต่ฝากไว้ก่อนโอฬาร เดี๋ยวอ่าน sms ให้หมดก่อน
_ใจธรรม สิทธินาวิน : ฟังเทศน์จากพ่อครู ทำให้ปฏิบัติได้ ตามลำดับขั้น เมื่อก่อนฟังจากพระท่านอื่น ก็ไม่ชัดแบบของพ่อครู เริ่มที่ ทานเจ ทานมังสวิรัติก่อนเลย ชัดๆ แล้วก็รักษาศีลห้า ศีลแปด ไปต่อได้อีกค่ะ
พ่อครูว่า… ถูกต้องพระพุทธเจ้าตรัสถึงการปฏิบัติที่เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์
_กสิฐ สุภามาลา : ท่านด่วนมีสภาวะสูงเร็วสมชื่อ
พ่อครูว่า… ท่านฉายา สุชโว คำว่า ชโว หรือ ชวน คือ สภาวะแววไว เร็ว แต่คุณชวน ทำไมได้ฉายาชวนเชื่องช้าไปได้
_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ : ด้วยบริบทของการใช้ชีวิต เป็นผู้นำในบ้าน หลายๆอย่างต้องคิดเองทำเอง ผิดหรือถูกไม่มีใครกล้าตำหนิ ทำให้มีอัตตาโตขึ้นโดยไม่รู้ตัว เป็นเรื่องน่ากลัวอย่างยิ่ง นับว่าพอมีวาสนาอยู่บ้างที่ได้ฟังธรรมจากพ่อท่าน ได้รู้จักข้อบกพร่องของตัวเองมากขึ้น ลูกมีความซาบซึ้งใจยิ่ง หากมีความผิดพลาดใดที่พ่อท่านมองเห็นในตัวลูก ลูกขอน้อมรับคำตำหนิด้วยความยินดียิ่ง ??????
พ่อครูว่า… จริงนะ อาตมาเป็นนักตำหนิชั้น 1 เพราะว่าเป็นลูกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ายังสำทับอีกว่าคำสรรเสริญเป็นคำที่ต่ำ ไม่มีค่าพอที่จะให้ละหน่ายคลาย ชัดเจนว่าสรรเสริญไม่มีค่าพอจะทำให้ละหน่ายคลาย ต้องตำหนิแล้วตำหนิอีก ก็มีเจริญแต่ถ่ายเดี่ยว
คนที่หาว่าอาตมาเป็นคนช่างตำหนิที่จริงกำลังชมอาตมานะ คนนี้กำลังด่าเขาทั้งวัน เทศน์ที่ไรก็ด่าเขาตะพึด พูดภาษาไทยชัดๆก็คือด่า ตำหนิแล้วใส่น้ำหนักก็เป็นคำว่าด่า เช่นกันตำหนิอย่างแรงหยาบคาย อย่างนั้นก็ยอม แต่อาตมาว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนหยาบคายนะ อาตมาตำหนิแรง แต่มันถูกตัวความผิดของคน ก็ถูกจังเลย ก็เลยแรงแม้ว่าจะพูดเบาๆก็แรงเพราะความผิดของมันแรง ตัวที่ผิดมันมีมากเมื่อพูดกระทบก็ดูแรงมันก็เป็นเช่นนั้น เรื่องตำหนิจึงเป็นเรื่องสำคัญ
อะไรคือความเจริญที่แท้จริงของชีวิต
เรื่องที่คนไม่เข้าใจเข้าใจผิดว่าอย่างนั้นคือความเจริญ เจริญอย่างยับเยินแล้ว เจริญมีสร้อยเต็มเลย นั่นมันเจริญชิบหาย คือมันไม่รู้ตัวว่าเป็นความฉิบหาย เป็นความหายนะไม่ใช่ความเจริญ เพราะเขาไม่เข้าใจไม่รู้ เพราะฉะนั้นอะไรคือความเจริญที่แท้จริงของชีวิต
ความเจริญที่แท้จริงของชีวิตคือ ผู้คนรู้จักกิเลสของตัวเอง แล้วทำให้กิเลสตัวเองลดลงจนดับสิ้นได้ นี้เป็นเป้าแท้ เนื้อแท้ของความเจริญของมนุษย์ ซึ่งไม่ต้องพูดซ้ำอีกหรอก แต่มันจะต้องพูดอย่างนี้ แม้จะเป็นการพูดโดยโวหารภาษาอย่างไรก็คืออันนี้แหละ
ก็คือ ต้องเรียนรู้กิเลสในตัวเรา หยาบ กลาง ละเอียด ไล่ตั้งแต่หยาบก่อน อย่าไปลัดเอาละเอียดมาก่อนไม่ได้ ต้องเอาหยาบก่อน ลืมตามาดูวัตถุที่กระทบรูปอะไรที่มันมีความร้ายแรงความต่ำความไม่ดีชัดๆก่อน แล้วตัวเราก็อยู่กับโลกที่เขาสมมุติ เขายึดถือกัน ที่ไหนก็แล้วแต่ ในประเทศไทยก็คนไทยนับถือวัฒนธรรมอย่างนี้ ศาสนาอย่างนี้ ก็เรียนรู้ความจริงตามนี้ รู้แล้วลด
เรียนรู้จิตเจตสิกที่มีกิเลส เรียกว่าอาการของจิต มีลักษณะ กลิ (กิเลส มาจากรากศัพท์ กลิ เป็นโทษภัยทางจิต) อ่านมัน ซึ่งมีคำสาธยายบรรยายไว้เยอะแยะ ผู้สาธยายอื่นๆเอามาอธิบายอยู่ บางทีอาจจะผิดเพี้ยนกลับไปกลับมาบ้าง แต่ว่าพยัญชนะหากอยู่ในศาสนาพุทธ ก็จะมีภาษาบาลีเป็นภาษาหลัก อาตมาถนัดแปลบาลีไม่ถนัดสันสกฤต
แล้วก็รู้สภาวะจริงของความหมายของภาษาบัญญัติ ซึ่งคนที่ติดอยู่ในภาษาบัญญัติพยัญชนะเท่านั้น ไม่ได้อ่านเข้าถึงนามธรรมที่เป็นสภาวะธรรมที่แท้ ซึ่งมันไม่ง่ายนะ เช่นคำว่า กาย เป็นต้น ซึ่งเป็นคำแรกเลย เป็นสังโยชน์เบื้องต้นคำว่ากายของตน สักกายของตน สักกะคือตน กายก็เป็นนามรูป ภาวะ 2 มีภายนอกและภายใน ซึ่งต้องมีภายนอกอยู่เสมอ คำว่า กาย นั้นยืนยันว่าต้องมีภายนอกเสมอ จนเขาเข้าใจผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิว่า กายมีแต่เพียงภายนอกไม่มีภายใน นี่คือมันได้ก่อน มันได้เพี้ยนเข้าใจผิดไปจนกระทั่ง กาย ไปเข้าใจว่าเป็นที่วัตถุภายนอกไม่มีจิตเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย ก็เป็นมิจฉาทิฐิทันที ประเด็นแค่นี้
ถ้าเข้าใจตั้งแต่เริ่มต้นไม่ได้เพราะว่าคำว่ากายต้องมีภายนอกภายในเสมอ แล้วต้องเน้นที่จิต ต้องเป็น 2 เสมอ เป็นเทวฺ แล้วต้องมีภายนอกและต้องเน้นที่จิต เป็นตัวรูป ภายนอกไม่ใช่ตัวรู้มันถูกรู้ เพราะฉะนั้นเอาภายนอกก่อน แม้คุณจะหมดกิเลสภายนอกแล้ว เรียกว่า กายภพหรือกามภพ คุณได้หมดกิเลสนี้แล้ว คุณก็จะต้องใช้ภายนอกโยงเข้าไปถึงภายใน กระทบดินน้ำไฟลม กระทบกับภายนอกแล้ว จิตของคุณ กิเลสภายนอกของคุณไม่มีแล้ว หมดแล้ว จะกระทบแรงอย่างไร จะอยาบหนักหนาสาหัสอย่างไร กิเลสมันก็ไม่เกิดเลยภายนอก
แล้วคุณกระทบอยู่นี่แหละไม่ต้องหนีไปไหน ถ้าหากกิเลสภายในยังไม่หมด มันก็จะเกิดขึ้นมาให้เห็น ภายนอกคุณสบายแล้ว แม้คุณจะถูกเขาทำร้ายคุณก็ไม่เป็นโทษเป็นภัยแก่ใครเลย มีแต่คนอื่นจะเป็นโทษเป็นภัยแก่เรา เราก็จะต้องมีปฏิภาณอย่าให้เขาทำชั่วกับเรา แต่ว่ามันสุดวิสัยเราหลบเลี่ยงไม่เก่ง ไม่อยากให้ใครมาทำชั่วกับเราหรอก แต่เขาพยายามทำจนสุดวิสัยเขาทำชั่วเอาเราเป็นตัวประกันทำชั่วกับตัวเรา มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัยแล้ว
เพราะฉะนั้นเข้าประเด็นที่ว่าอะไรคือความเจริญความประเสริฐที่แท้จริงของชีวิต
ความเจริญคือกิเลสลดลง นั่นแหละคือเป้าหลักเลย เอาอันนั้นเป็นเครื่องวัด นั่นคือความเจริญ ทีนี้คนไม่รู้ถึงความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มักมาก แล้วมักมากๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วย มักมากทางวัตถุทางอำนาจทางสรรเสริญยกย่องเชิดชูก็แล้วแต่ คุณจะเอาหมด เพราะคุณไม่เข้าใจ ไม่ได้เรียนรู้สัจธรรมอย่างที่ว่านี้
ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนละเอียดหมด ลาภยศสรรเสริญอำนาจต่างๆที่ภาษาบาลีว่าคืออธิปไตยโลกที่สมมุติกัน โลกาธิปไตยแล้วทำอัตตาธิปไตย อำนาจของจิตวิญญาณที่มันหลงตัวหลงตนใหญ่โตมโหฬารจะต้องเบ่งข่มคนอื่น ใหญ่กว่าคนอื่นให้หมดก็เป็นอัตตาอธิปไตย
โลกาธิปไตย กับ อัตตาธิปไตยนี่แหละ หากว่าชัดเจนและมีปัญญารู้แล้ว คนที่ไม่รู้ก็ไปเพิ่มอำนาจโลกจนเป็นเจ้าโลกอย่างที่จะรับประเทศมหาอำนาจเป็นกันเป็นประเทศเจ้าโลก อย่างที่เบ่งๆกัน นั่นแหละคือ ความไม่เข้าใจ เป็นความเจริญที่น่ากลัว ในคำตรัสของในหลวง ร.9 บอกว่าถอยหลังอย่างน่ากลัว คือ ความไม่เจริญอย่างน่ากลัว
คือ สร้างอำนาจอัตตาใหญ่ในโลก แล้วเบ่งข่มเขาหมด จนกระทั่งเบียดเบียนคนอื่นได้แล้วกลบเกลื่อนซับซ้อนไปมาว่า ฉันเป็นผู้ช่วยคุณฉันเป็นผู้มีประโยชน์ต่อคุณนะ อะไรต่างๆพวกนี้ซับซ้อนความลวง แต่แท้จริงนั้นลึกซ้อนฉลาดเกมส์โกงล้วงตับกินไส้
อาตมาพูดไปแล่้วรู้สึกว่ายังไม่เก่ง ยังพูดไม่ถึงจุดละเอียดแต่คงพอเข้าใจกัน
อะไรคือความเจริญที่แท้จริงก็คือ คือเป็นคนที่ให้คนอื่นเขาเอาเปรียบได้ เราไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ยอมให้เขาเอาเปรียบได้เหมือนคนขี้แพ้ จริงๆก็ไม่ใช่เหมือนแต่เป็นคนขี้แพ้ได้จะเรียกด้วยพยัญชนะโลกเรียกด้วยภาษาโลกว่าเป็นคนยอมแพ้
ถ้าเสียเปรียบได้ก็เสียเปรียบให้เขาไป แต่ถ้าจะเสียเปรียบให้เขาไป เขาก็จะกลายเป็นเสื่อมต่ำลงไปอีก ยิ่งจะขี้โลภเห็นแก่ได้หยิ่งผยองหลงตัวเอง มันก็ไม่ได้อีกแหละเป็นภาวะสิริมหามายาซึ่งซับซ้อนอยู่อย่างนี้เสมอเลย เพราะฉะนั้นจึงจะต้องรู้จักความพอเหมาะพอดีที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ว่าเป็นความพอเพียงพอเหมาะพอดี นั่นแหละเป็นตัวที่สูงสุด เจริญที่สุด
สูงสุดก็คือจุดที่สมดุลที่สุด เจริญสูงสุดอยู่ที่สมดุลที่สุด โดยเราเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะวรรณะ 9
เลี้ยงง่าย (สุภระ)เป็นคนไม่เป็นภาระ จะเป็นคนแก่หรือเด็กคนโง่หรือคนพิการก็เลี้ยงง่ายไม่เป็นภาระ ยิ่งเป็นคนดีๆยิ่งไม่เป็นภาระเลยเลี้ยงง่าย
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) น้อยเสมอ แม้ที่สุดสูงสุดในความน้อยก็คือเป็น 0 แต่ไม่ใช่เป็นหนี้ การเป็นหนี้ไม่ใช่มีน้อยแต่มันซวยแล้ว ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ต้องไม่เป็นหนี้ แต่มีน้อยไว้สูญไว้ แล้วในสาธารณโภคี มันไม่ต้องมีของตัวเองเลยมีแต่ของส่วนกลางแล้วทุกคนขยันเกินที่ตัวเองกินใช้ ของส่วนกลางจึงไม่หมดง่ายๆ เพราะแต่ละคนมีสมรรถนะในแต่ละวันสร้างสรรค์สิ่งที่สร้างสรรค์มันมากกว่าตัวเราเองอาศัยใช้สอย ยิ่งมีมากคนเท่าไหร่ยิ่งมีสมรรถนะความขยันเพียงพออีกมันก็ยิ่งมากๆๆ กองกลางก็ยิ่งมีมาก
เมื่อกองกลางมีมาก เราก็ช่วยคนอื่นได้มาก นี่แหละคือสุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่คือเศรษฐศาสตร์คนจน หากว่าต่างคนต่างจะไปรวยนั่นไม่ใช่เศรษฐศาสตร์ที่เจริญ ไม่ใช่เศรษฐศาสตร์ที่ดี
เศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุดคืออยู่ในฐานะคนจน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆแต่มันจริงที่สุด เพราะฉะนั้นพวกเรานี่ศึกษาปฏิบัติให้ดีจนหมดเนื้อหมดตัวแล้วก็พึ่งสาธารณโภคีจริงๆ นี่แหละเป็นคนวรรณะ 9
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) พอ ใจพอ มันพอจนใจมันพอ มันไม่เอามากกว่านี้ มีมากกว่านี้ก็เอาเข้ากองกลางหรือไม่ก็สะพัดก็ออกไปเลยไม่ยึดถือไว้เป็นของตัวของตนไม่เอามาเป็นของตัวของตนให้เป็นภาระ ที่หนัก ภาระที่หนัก เพราะฉะนั้นก็ช่วยกันดูแลรักษาช่วยกันใช้ด้วยกันสะพัด ช่วยกันหมุนเวียนมันก็จะเกิดภาวะหมุนเวียนไม่รู้จบ สะพัดคือหมุนเวียน
มีการสร้างขึ้นเกิดขึ้นแล้วก็ให้ไป สร้างขึ้นแล้วก็ให้ไป ผู้เจริญคือผู้ที่สร้างขึ้นได้แล้วมีส่วนให้แก่ผู้อื่นไป อาตมาขอแวะถึงเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ที่เขาบอกว่าเป็นเศรษฐศาสตร์เจริญเรียกด้วยหลักวิชาว่า GDP พูดไปหลายทีแล้ว D คือ domestic คือภายในเราทั้งวัตถุสิ่งที่ได้ผลผลิตหรือเงินทองที่เราสร้างขึ้นเป็นของเราเอง เสร็จแล้วเราเอาไปจำหน่าย จำหน่ายแล้วคุณก็เอาเกินกว่าราคาทุน
เกินราคาทุนนี่แหละผิดแล้ว เป็นคนไม่มีคุณค่าแล้ว เป็นคนเอาเปรียบเขาทันที เกินทุนคือเอาเปรียบเขาทันที คำนี้ไม่ยากนะ ทุนเท่าไหร่ส่งไปให้เขา แต่คุณเอากลับมาเกินทุน เอาเปรียบเขามาเกินจริงเกินทุน คุณก็เลวแล้ว
เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์ของโลกมีแต่จะเอาเกินทุน อวิชชามันบังความเฉลียวฉลาด คิดไม่ออกว่ามันจนแล้วจะอยู่ได้อย่างไร มาขาดทุนแล้วจะอยู่ได้อย่างไร อธิบายไปจนหมดจนสิ้นแล้วก็ยังไม่เข้าใจกัน
แต่ละคนอยู่ร่วมกันมีสมรรถนะมีความขยัน สมรรถนะคือสามารถทำมีความสามารถสร้างสรรค์เป็นผู้ผลิต แล้วก็ขยันด้วย แล้วก็รู้นะว่าควรจะสร้างอะไรในสิ่งที่ดี ก็ไม่สร้างสิ่งที่ไม่ดีเลย สร้างแต่สิ่งที่ดีๆขึ้นมา
สร้างแล้วก็ไม่ได้ยึดถือว่าเป็นของตนเอง ตัวเองปฏิบัติเป็นผู้กินน้อยใช้น้อย ที่เหลือก็เอามาเข้ากองกลางจุนเจือผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นไปตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นคนแต่ละคนมีคุณสมบัติ คุณลักษณะ คุณวิเศษอย่างนี้ แต่ละคน ถ้าไม่เป็นคนป่วย คนพิการ คนแก่ คนอีเดียดในสมรรถนะ ก็จะมีความสามารถพอเพียงทำเกินที่ตนเองกินใช้ทั้งนั้นแหละ มากหรือน้อยก็แล้วแต่
ยิ่งขยันมีสมรรถนะดี ความรู้ดีของที่ผลิตก็ดีตีราคาทางโลกก็แพง เราก็ทำขึ้น เมื่อทำขึ้นแล้วมันก็เป็นก็มีก็เป็นขึ้นมา เสร็จแล้วก็สะพัดไป ยิ่งให้ยิ่งไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ยิ่งไม่หวงแหน มันก็เป็นคุณธรรมที่ซับซ้อนที่สุดที่เรียกว่ายิ่งให้ไป คนยิ่งจะตอบแทนยิ่งจะเคารพนับถือเชิดชูยกย่อง เขายิ่งจะไม่หวงแหนกับเรา เราก็ยังจะไม่หวงแหนเขา แล้วก็อยากให้กับคนที่ไม่หวงแหนนี่แหละ ให้คุณไปเป็นนาบุญ คุณก็สามารถออกงอกมา ให้ไป 5 เขาก็ไปงอกให้คนอื่น 500 เจริญให้คนอื่นอีกหมื่นแสน เขาก็ยิ่งอยากจะให้สิคนอย่างนี้ เพราะว่างอกเก่งเจริญงอกงามเก่ง
เพราะฉะนั้นคนที่เจริญที่แท้จริงคือ คนที่ใช้น้อยกินน้อย ไม่สะสม รวมไปถึง อปจยะเลย ข้อที่ 8 ในวรรณะ 9
ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วนี่คือเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้นคนที่มีความรู้อย่างนี้ทำอย่างนี้ เข้าไปหา GDP อีกที
Domestic คือเราเองของเราภายในของเราผลิตเองและเอาไปขายให้ผู้อื่น อย่าไปเอาเปรียบเกินทุน ถ้าหากเกินทุนมาคือเลวแล้ว ต้องไม่เกินทุนและต่ำกว่าทุนได้มากเท่าใดถึงขั้นแจกฟรี ให้ไปเลย ถ้าเป็น domestic จริงๆแล้วไม่เอาจากเขาเลย ให้ไปหมดเลย ของเราแท้ๆ ยังแลกเปลี่ยนอยู่ก็คือยังไม่สมบูรณ์ยังให้ไปจริงใช่ไหม
ยิ่งคุณตีราคาคิดวิธีอย่างทุนนิยมสามานย์ เอาวัตถุที่คุณสร้างได้ ราคามัน 5 ไปขายได้ 100 ราคามัน 5 ไปขายได้ 1,000 ได้เปรียบมามากๆนี่แหละคือ GDP เจริญ อย่างนี้ ง่าว สุดๆ ภาษาเหนือคือโง่สุดๆเลย คือเข้าใจผิดไปไกลเลย เพราะฉะนั้นมันจึงไม่จริง ไม่ใช่สัจจะ
P ก็คือ Product และ G ก็คือรายได้รวม Gross เพราะฉะนั้นเป็นรายได้รวมเป็น Domestic ของเราเอง เป็นรายได้ที่น้อยเท่าไหร่ยิ่งสะพัดได้มาก นั่นคือผู้ที่มีเศรษฐศาสตร์คือเศรษฐกิจดีเป็นที่พึ่งของคนอื่น นี่คือความเจริญที่แท้จริงของชีวิต นี่คือชีวิตคือความเจริญที่แท้จริง คุณ 1 คน คุณทำอย่างนี้อยู่เสมอ 2 คนมารวมกัน ก็มีสิ่งที่เป็นเศรษฐกิจที่จะสะพัดให้ผู้อื่นได้มากขึ้น 3 คน 5 คน 100 คน พันคน หมื่นคน แสนคน ล้านคนก็ว่าไป ล้วนแต่มีความเป็นจริงของจิตอย่างนี้ทั้งนั้นเลย นี่คือความเจริญที่แท้จริงของชีวิต
แต่ โลกมันไม่เป็นอย่างนี้ เศรษฐกิจ รัฐศาสตร์ของเขา ไม่ว่าจะกี่ดอกเตอร์ทางเศรษฐกิจ ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ ไม่ได้พากันประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ มันจึงไม่จริง
เพราะฉะนั้นความจริงอันนี้พวกเรามายืนยันกัน แน่นอนนะเราไม่สร้างหนี้ มีเท่าไหร่ก็พอตัวอยู่ได้ไม่ขัดสนจนเกินไป เป็นไปได้ตามที่เราทำ พิสูจน์กันไปเรื่อยๆ อัตราการก้าวหน้าของความเจริญของ GDP แบบโลกุตระ สรุปเป็นภาษาแบบบุญนิยมหรือแบบโลกุตระ
เจริญก้าวหน้าไปในอนาคตทั้งโลกเลย เขาจะรับรองว่าถ้ามีปฏิภาณปัญญาแท้ต้องรับรองว่าอันนี้คือ สุดยอดแห่งเศรษฐกิจ สุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์ สุดยอด จะอยู่เย็นเป็นสุขแล้วเหลือเฟือไม่แย่งชิงมีเหลือเฟือ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… พ่อครูล้างสมองขี้เลื่อยของเราไปแทนที่จะเป็นดาวมหาภัยความต้องการมากที่สุดให้เป็นดาวสันติภาพให้โลกนี้อุดมสมบูรณ์และสงบสุข
พ่อครูว่า… จะได้เข้าใจ คงจะได้รู้ความเจริญที่แท้จริงของชีวิต ไม่ใช่ก้าวหน้าอย่างน่ากลัว แต่เป็นการก้าวหน้าอย่างจริงจัง ก้าวหน้าอย่างแท้จริง โดยอาศัยคำว่าเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจมาอธิบายนิดหน่อย เป็นวัตถุที่เกิดการสะพัด การสร้างสรร การเสียสละ การไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว มีแต่ช่วยผู้อื่นไป
เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณที่มีความจริงอย่างนี้ มีความเห็นความเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็ปฏิบัติประพฤติได้จริงอย่างนี้ จิตมันจริงอย่างนี้เลย แล้วทำอย่างนี้จริงๆ เป็นคนจริง ที่มีความรู้ แล้วก็มีความจริงเป็นจริงได้อย่างนี้ไปอยู่ในโลก ไม่มีวันเสื่อม
คนจะทำร้าย คนจะเข้าใจผิด คนจะมาใช้ภาษาอะไรมาล้มล้างหักล้าง ว่าคิดอย่างนี้คิดผิด มันก็หักล้างไม่ได้
ความเจริญสูงสุดที่มนุษย์พึงมีคือ 7 ส
โลกทุกวันนี้จะหาทางเข้าใจสัจธรรมความจริงอย่างที่ว่ามีไปเรื่อยๆ
อาตมาเคยเขียนเอาไว้ในหนังสือสรรค่าสร้างคน ว่า ความเจริญสูงสุดที่มนุษย์พึงมี โดยเอาตัว ส. มาเป็นตัวหลัก 7 ส.
-
ส.สุข คือ สุขที่กิเลสลดลง เพราะดับเหตุแห่งทุกข์ได้
-
ส.สูง คือ ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เป็นความเจริญดีงามผู้อื่นเขายอมรับ เป็นความสุข ความสูงไม่ใช่ตัวเราเองมาสร้างเองกำหนดเอง แล้วไปทำหาวิธีหว่านล้อมให้คนอื่นเขายอมรับยกย่อง ไม่ใช่ แต่สูงเพราะทุกคนใช้ภูมิปัญญาเห็นดีเห็นงามยกย่องให้ ยอมให้ ว่าสูงกว่า เหนือกว่า เจริญกว่า
-
ส.สรรสร้าง หรือสร้างสรร ของอาตมาไม่มี ค์ ถ้า สรร แปลว่าเลือก หากสรรค์แปลว่าสร้าง ก็คือสร้างอย่างเลือกเฟ้น สรร แปลว่าเลือกเฟ้น สร้างอย่างใช้ปัญญา ใช้ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์เลือกเฟ้น เอาสิ่งที่ควรที่เหมาะสมกับกาละเทศะฐานะ สร้าง สร้างอย่างเลือกเฟ้น ด้วยปริภาณปัญญา มีธรรมวิจัยพร้อม ก็เป็นผู้สร้างสิ่งที่ดีไม่มีสิ่งเสีย
-
ส.เสียสละ แต่ไม่เสียหาย ไม่ใช่ ประเภทเสียหายต่ำทราม แต่ภาษามันซ้ำซ้อน แปลไปในทางไม่ดีก็ได้ แปลไปในทางดีก็คือเสียสละได้ ได้มากมีมากก็เสียสละก็ให้เกื้อกูลผู้อื่นเป็นผู้ที่ได้เสียสละ ไม่ใช่เป็นผู้ไปเอาของคนอื่น เป็นภาระไปเบียดเบียนคนอื่นไม่ใช่ แต่ให้ เข้าใจและเห็นจริงว่ามันเป็นคุณค่าของมนุษยชาติ ผู้ใดเสียสละได้ตัวเราเองได้เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้เสีย ผู้สละ ไม่ใช่เสียหายแต่เป็นผู้เสียสละเป็นผู้เสียหายแก่ผู้อื่น ผู้เสียนั่นแหละคือเราได้ ในหลวงท่านตรัส เป็นคุณค่าของชีวิต รู้ทั้งรู้ไม่ใช่เสียรู้ รู้ทั้งรู้ว่าเราเสียเปรียบ เปรียบแล้วเราเป็นผู้เสียไม่ใช่เป็นผู้ได้ เป็นผู้ให้เป็นความยินดีที่ควรให้ก็ให้ ให้ เสียสละ
-
ส.สมบัติ เป็นสิ่งที่ตัวเองเป็นตัวเองมีเป็นโลกียสมบัติหรืออาริยะสมบัติ เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างไม่พร่อง ไม่รู้จักหมด ก็คือคุณธรรมเป็นสมบัติที่แท้ เป็นกรรม เป็นสมรรถนะ เป็นความสามารถเป็นต้น เป็นปัญญาเป็นต้น นี่คือคุณสมบัติ แล้วก็ใช้ปัญญาด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจริงใจ สร้างแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์ แล้วก็สร้างแล้วเกินกว่าที่เรากินเราใช้
ก็เป็นผู้ที่มีขุมทรัพย์ เป็นผู้ให้ ได้ให้ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เป็นทายก เป็นผู้ให้ ได้เป็นผู้ให้อยู่ตลอดเวลา ก็เป็นผู้ที่เป็นบ่อซึมซับ เป็นบ่อทองบ่อเงิน หรือเป็นนาบุญ เป็นนาที่งอกบุญ แต่คำว่าบุญเข้าใจผิดแล้วก็ไปกันใหญ่ แต่เข้าใจถูกก็ไม่มีปัญหาอะไร นาบุญ คือ เป็นการเริ่มสละกิเลสที่จริงคำว่านาบุญไม่ควรใช้แต่เขาใช้แล้วก็ถือว่าเป็นประโยชน์ พูดที่งอกคุณค่าประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น เพราะไม่เข้าใจว่าบุญคือกุศล เป็นอกุศล มีแต่กุศลมอบให้แก่ผู้อื่นเสมอ ส่วนบุญนั้นเป็นอาวุธ เป็นธรรมาวุธ เป็นเครื่องประหาร มันมีแต่หน้าที่ประหาร อันนี้มันก็ผิดเพี้ยนไปจนอาตมาเอากลับคืนมาได้บ้างแล้ว
ต้องสำทับตรงนี้ คำว่าบุญ ถ้ามีมีแต่การฆ่าไม่มีทางดี มีแต่หน้าที่เดียวทำลายกิเลสหน้าที่เดียวทำลายก็หายไป มีหนึ่งเดียวทำไมเพราะว่ามี 2 มันก็จะวนกลับแล้วเมื่อไหร่มันจะเป็น0 มันจะปรินิพพานเป็นปริโยสานได้เมื่อไหร่ เพราะมันมีแต่บุญ ต้องไม่มีการวนกลับ อย่างเดียว ฆ่าอย่างเดียว ฆ่าแล้วฆ่าเลย ไม่มีโอ๋ ไม่มีประคบประหงมอะไรเลย ไม่มีสังสารวัฏไม่มีสงสารไม่มีการวนกลับ ไม่มีสงสารเลยนะบุญนี้ ฟังภาษาให้ดีเป็นภาษาธรรมะ บุญไม่มีสงสาร ไม่มีวนกลับ ฆ่าอย่างเดียวลุยแหลกตรงที่สุด One way Traffic ทางเดียว โค้งปั๊บจับปรับเข้าคุก ย้อนศรไม่ได้ มีทิศเดียว มันต้องคมแม่นลึกลัด บุญนี่สุดยอดเลย หากผิดเพี้ยนมันก็จะวนเพราะสงสารก็คือความวนเป็นสังสารวัฏเป็นวัฏต่างๆ แต่นี่ไม่มีสงสารเลย ฆ่าตะพึด ฆ่าอย่างเหี้ยมโหดเลย บุญเป็นอย่างนั้น ฟังแล้วน่ากลัว แล้วก็น่ากลัวจริงๆ
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ไม่มีบุญเลยอย่าเอาบุญมาใส่ฉัน ฉันเป็นคนไม่มีบุญ
คำว่า บุญ เลยเข้าใจกลับกันเพราะไปถูกครอบงำเป็นมิจฉาทิฏฐิ เอาบุญไปใช้สลับซับซ้อน จนกระทั่งอาตมามากู้กลับเอาความถูกต้องคืน โพธิรักษ์สู้ๆ เหนื่อยเท่าไหร่ก็ต้องสู้
สรุป ส.สมบัติ เป็นโลกุตระสมบัติ เป็นอาริยะสมบัติ สรุปไว้ตรงนี้ก่อน
-
ส.สูญ สูญสิ้นกิเลสตัณหาอุปาทาน ก็ย้อนกลับไปหาภาษากลิ กิเลสตัวโทษภัยตัวปัญหาของจิต ปัญหาก็คือตัวเคลื่อนอยู่อุปาทานก็คือตัวกบดานนิ่ง ยึดไว้ ตัวตัณหาก็ออกทำงานแสดงตัว ออกแรงออกอาละวาดเคลื่อนที่ไปเป็นตัณหา แล้วก็มากบดานนิ่งเป็นอุปาทาน Static กับ Dynamic
คำว่า Static กับ Dynamic 2 คำนี้ต้องขอบคุณเขาเป็นภาษาพลังงาน ทุกคนเข้าใจหมดเลย ภาษามาตั้งแต่วิทยาศาสตร์มาทุกระดับก็เข้าใจหมด
สูญ ก็คือไม่มีแล้วกิเลสตัณหาอุปาทานหมดเกลี้ยง
-
ส.สัมบูรณ์หรือสมบูรณ์ เต็ม บูรณะเต็มครบ ก็ไม่ต้องครบอะไรก็เอา 6 ส.ให้ครบ ครบอีกหลายรอบ ทับทวีเพิ่มขึ้น