640922_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วันนี้พ่อครูบอกทางรอดของมนุษยชาติ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1M-LItMLhM53IE3xVdAhAPn0lNuC-7WO2ENiQ_g0TIo0/edit?usp=sharing ng
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1udyAlManchfaunR-zAnrtlxxCQ5l3CDN/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1005165756995737
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้มีหนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 3 ออกมา ทยอยส่งแจกให้ผู้สนใจเอาไปอ่าน หนา 411 หน้า พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ขยันเขียน ไม่ทราบว่าผู้อ่านจะขยันอ่านหรือไม่
มีหลังปกเขียนโปรยไว้ว่า…ระบบบุญนิยมเป็นไปเพื่อความเจริญความประเสริฐ ถ้าคนเข้าใจได้ก็ต้องมาทางนี้ เขาจะรู้เองว่าที่สุดแล้วต้องมาทำอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนี้คุณก็ไปไม่รอด ต่อไปทรัพยากรโลกมันร่อยหรอลง คนจะยิ่งแย่งชิงกัน อำนาจจิตวิญญาณของคนที่ถูกกิเลสครอบงำมันจะรุนแรงโหดร้าย คนไม่อยากทุกข์อย่างนั้นหรอกใช่ไหม ฉะนั้นไม่มีทางออก เมื่อมีมวลมีตัวอย่างที่จะเป็นไปได้ ก็ต้องทยอยมาเรื่อยๆ เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาเท่านั้น …โดยสมณะโพธิรักษ์
พ่อครูว่า… เริ่มที่ SMS วันที่ 17-19 ก.ย. 2564
_สมยศ ฐานศิลา : กราบนมัสการครับ ตอนนี้ดูผ่านเฟสบุ๊คครับ กล่องดาวเทียมเป็นกล่องSD เลยไม่มีสัญญานครับ กล่องที่เป็นHD ยังไม่มีสัญญานครับชื่อช่องบุญนิยมทีวี แต่ไม่ใช่ช่องชาวอโศกครับกล่องของ IPM ครับ
พ่อครูว่า… ยังไม่เรียบร้อย คอยติดตามไปนะ
คนโสดคือคนเป็นบัณฑิตเป็นเช่นไร
_สติพล จนพัฒนา : พระพุทธเจ้าตรัสว่าการเป็นโสดเป็นบัณฑิต..คงหมายถึงการไม่มีกิเลสกามละกระมังครับ..เพราะเอาแค่เป็นโสดภายนอกเท่านั้น…คนโสดเยอะมากเลยครับ.
พ่อครูว่า…อันนี้จะหมายถึงอย่างที่คุณว่า หมายถึงไม่มีกิเลสกาม ก็คือผู้ที่ลดกิเลสกามได้เรื่อยๆจริงๆ จนถึงขั้นคนไม่มีกิเลสกามก็เป็นอนาคามี ก็ต้องเป็นบัณฑิตแน่นอน เป็นผู้บรรลุธรรมแน่นอน คำว่าบัณฑิตคือผู้ที่บรรลุธรรม ผู้เจริญในธรรม เจริญจากปุถุชนสามัญธรรมดาขึ้นไปเรื่อยๆ
คำว่าโสดคำนี้ จริงๆแล้วมันหมายถึงการไม่มีคู่ ที่เป็นผู้หญิงผู้ชายมาจับคู่แต่งงานกันเป็นคู่สมรส นั่นก็ชัดเจน ทุกคนก็รู้กันเป็นเรื่องปกติสามัญ ที่ใครๆก็รู้กัน ส่วนความโสดที่คุณหมายถึงการไม่มีกิเลสกาม โอ้โห มันลึกนะ มันลึกซึ้ง ก็ค่อยๆทำความเข้าใจ มันก็ดีทั้งนั้นแหละ โสดที่ไม่มีคู่ ในรูปธรรมธรรมดาก็ดี ไม่ต้องมีใครเป็นภาระ ไม่ต้องคอยก่อเรื่องให้มี คือคนเรามันมีเรื่องลึกลงจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของเราเองแท้ๆตัวคนเดียว เราก็ต้องระมัดระวังกระทบสัมผัสกับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่
ส่วนคนที่แต่งงานกันแล้ว มันลึก ไม่ใช่ว่าจะชาติไหนก็แล้วแต่ แต่งงานกันแล้วเท่ากับสัญญากับสังคมแล้วว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นครอบครัวเหมือนคนคนเดียวกัน มันก็เลยยิ่งหนัก ขนาดใจเราใจเดียวก็ยังหนัก เอาอีกใจหนึ่งมาคอยดูแล คอยระมัดระวังกัน มันก็ยิ่งหนักกันใหญ่ มันเป็นภาระ คนที่ฉลาดก็อยู่เป็นคนโสดนั่นแหละดีเป็นบัณฑิต ยิ่งลดกิเลสก็แน่นอนยิ่งเป็นบัณฑิต
_น้อมดิน ทยาธรรม : ได้ความรู้ มากเลยค่ะ ฟังคุณหมอ แนวคิดหมอวรงค์ ถูกต้องที่สุด
ผู้บรรลุธรรมของพุทธในยุคนี้มีอยู่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น
_คนจน คนนา : เพราะท่านพูดว่าอยู่ที่คนเลือกนี่แหละ เป็นปัญหามาก เพราะแต่ละคนภูมิปัญญาต่างกันมากลิบลับ โดยเฉพาะภูมิทางคุณธรรม
พ่อครูว่า… คนที่มีภูมิปัญญา ท่านก็รู้ปัญหา ไหนที่เกี่ยวกับท่าน ท่านช่วยเขาได้ก็ช่วย อันไหนไม่เกี่ยวหรือช่วยไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ช่วย ปัญหามันมีมากมาย ถ้าหากไม่บรรลุธรรมจริงๆ ทางโลกยิ่งเป็นโลกียไม่ได้บรรลุธรรมแบบโลกุตระเลย ยิ่งไม่มีทางจะหมดปัญหาได้เลย ปัญหาเขาจะมากๆ
แค่ประเด็นนี้ผู้ที่มีภูมิธรรมโลกุตตรธรรมแล้วปัญหาทางโลกนี้จะมีน้อย เมืองไทยเองเป็นเมืองพุทธ แล้วอาตมาขอยืนยันว่า ทุกวันนี้พุทธศาสนา มีเมืองไทยเท่านั้นที่มีโลกุตรธรรม ที่มีผลต่อมนุษย์จนปฏิบัติลดละกิเลสได้ ปฏิบัติแล้วบรรลุมรรคผลได้ นอกนั้นไม่มี ประเทศไหนก็แล้วแต่ที่มีศาสนาพุทธแม้แต่ประเทศอินเดียเอง เพราะไม่รู้จักโลกุตรธรรมแล้ว ปฏิบัติลดกิเลสไม่ได้ ได้อย่างเก่งก็กดข่มกิเลส
ฟังประเด็นชัดๆ ลดกิเลสคือทำลายกิเลสหมดลงไปได้ด้วยปัญญาด้วยฌาน เป็นฌานแบบลืมตาไม่ใช่ฌานสะกดจิต มันเผากิเลสจนหายไป แล้วจะไม่มีกิเลสอีก เป็นพระอรหันต์แล้วไม่มีกิเลส หมดแล้วหมดเลยไป ตายชาติหน้าเกิดมาเป็นโพธิสัตว์อีกสืบทอดต่อพุทธภูมิ กิเลสก็ไม่มี แต่จะมีลิงลมอมข้าวพองได้ แม้แต่ชาติที่เป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ดูเหมือนตอนแรกจะมีกิเลสอย่างโลกๆเขา ต้องแต่งงานต้องมีอะไรต่างๆนานา เหมือนยังมีโลภโกรธหลงแต่ที่จริงมันลึกซึ้งมาก มันเป็นเรื่องถูกครอบงำทางสังคมเท่านั้นเอง ไม่ช้าไม่นานก็สลัดได้ อันนี้อาตมารู้ดีเพราะอาตมาเป็นเองจึงบอกได้
ศึกษาไปดีๆ พูดไปก็เหมือนคนหลงใหลเชิดชูยกย่องพระพุทธเจ้าเกินไป จนกระทั่ง อาตมาก็ได้ยกย่องชมเชยมาไม่น้อยแล้วก็รู้สึกเกรงใจ ที่จริงมันไม่หมดไม่พอหรอกที่จะยกย่องค่อยว่ากันไป
7 ปีนี้พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ยึดอำนาจมาบริหาร
_สมพร : เขาเรียกร้องชัดเจน แต่พวกคุณสิ ไม่ชัดเจน เด็กต้องการเลือกตั้ง แต่พวกคุณต้องการให้ทหารยึดอำนาจ ฝ่ายหนึ่งประท้วงให้มีการเลือกตั้ง อีกฝ่ายประท้วง เพื่อให้ทหารเข้ามาโกงกิน เขาต้องการให้ประหยุทธิ์ลาออกแล้วมีการเลือกตั้ง
สงบแต่ยึดสนามบิน เอาผ้าเหลืองมาใส่ เลวสุดๆ เลย
(คอมเม้นท์จากรายการปัจจุบันเสวนา สัมภาษณ์คุณแซมดิน)
พ่อครูว่า… ด่าฟรีนะ เราไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับเขาอย่างนั้นเลย ก็ต่างคนต่างเห็นต่างคนต่างคิดนะ อาตมาก็ขอยืนยันว่า พลเอกประยุทธ์ไม่ได้มาเผด็จการ พลเอกประยุทธ์ไม่ได้มายึดอำนาจ ทุกวันนี้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการยึดอำนาจ แต่เป็นนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายของประเทศ ได้รับการเลือกตั้ง แม้ว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใด แต่เขาก็เลือกตั้งกันแล้ว คุณนั้นงมงายกันอยู่อะไรกันเล่า เขาผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว จะครบ 4 ปีสมัยนี้แล้ว
ใช่ 4 ปีแรกนายกฯประยุทธ์เหมือนยึดอำนาจ แต่เราขอยืนยันว่านั่นก็ไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจ แต่เป็นประชาชนยึดอำนาจ เสร็จแล้วพลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อ แต่คนที่ไม่ประสีประสาก็บอกว่านายกฯมายึดอำนาจ พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจ ก็ไม่ผิดหรอกก็ถูกของเขาเพราะว่ารูปธรรมมันเป็นอย่างนั้น แต่ที่จริงอำนาจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีแล้วประชาชนไล่ไปเปิดเปิงแล้ว แล้วนายกฯประยุทธ์ก็มารับหน้าที่ดำเนินการบริหารประเทศต่อไป เพราะเป็นหัวหน้า คสช.
แล้วพวกเราชาวประชาชนยึดอำนาจได้แล้วก็ไม่มีใครคิดจะตั้งตนเป็นผู้บริหารประเทศ อาตมาก็ยังเคยบอกว่าตั้งนานกว่าจะมารับช่วงต่อ พลเอกประยุทธ์มารับช่วงต่อ ตอนที่ 4 ปีแรกบริหารไป แล้วจากนั้นก็มีการเลือกตั้ง เขาก็เลือกพลเอกประยุทธ์ให้เป็นนายกฯอีก รู้ให้มันชัดเจนสิว่านี่คือประชาธิปไตยบริบูรณ์ที่สุดแล้วในประเทศไทย
เมื่อเป็นประชาธิปไตยแล้วจากนั้นผ่านมาก็ 7 ปีแล้ว มีบ้างที่มีประชาชนค้านแย้ง เป็นพวกโง่เง่าเป็นคนกระจุกเดียวนิดหน่อยเป็นธรรมชาติธรรมดาก็ต้องมี error มีจำนวนหนึ่งที่บ้าบอตกโลกตกยุค ไม่ชัดเจนในสัจจะสักอย่างเขาก็ทำกันอย่างที่ทำ คนที่รู้เขาก็รู้ แต่คนที่รู้ก็จะทำแบบกวนประเทศจะทำไม มันส์ดี พวกมาโซคิสซาดิส ก็จะได้เงินทองใช้บ้าง มีความซับซ้อนสารพัด
พวกคุณมาด่าเราฟรี เราไม่ได้เลว ไม่ได้โง่เง่าอย่างที่คุณว่าเลย ที่คุณว่ามานี่ด่าตัวเอง เพราะไม่รู้ความจริงชัดเจนพวกนี้ คุณชื่อสมพร ขออภัยที่ตอบคุณแรงไปหน่อย มันเป็นความจริง
SMS วันที่ 20-21 ก.ย. 2564
ความแตกต่างระหว่างพระอวโลกิเตศวรกับพระเจ้า
_ฝน : วันนี้พ่อครู กล่าวว่าจะมาต่อความแตกต่างระหว่าง พระอวโลกิเตศวร กับ พระเจ้าต่างกันเช่นไรค่ะ กราบนมัสการ อย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… พระอวโลกิเตศวร เป็นชื่อฉายาโพธิสัตว์ใหญ่ที่อยู่ยาวนาน ยาวนานจนกระทั่งท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยาวนานที่สุด จะไม่ปรินิพพานไปก่อน จนกว่าจะช่วยคนให้เป็นพระอรหันต์ให้หมดโลกท่านจึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องสุดวิสัย เป็นปณิธาน
สู่แดนธรรม… ผมคิดว่าในที่สุดพระอวโลกิเตศวรก็มีที่จบ แต่พระเจ้าไม่มีที่จบใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ พระเจ้าไม่มีที่จบหรอก วนในกะลาครอบในความรู้เก่า ซึ่งเขาไปไหนต่อไหนตามเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่เขาก็จมอยู่ในอันเก่าไม่มีองค์ประกอบใหม่ แม้แต่สัปปุริสธรรม 7 ก็ไม่มี เป็นคำสอนตายตัวอย่างไรอย่างนั้น ยุคไหนก็ยุคนั้นอย่างนั้น พันปี 2021 ปีมาแล้ว ก็สูตรเดียวกัน ไม่มีอนุโลมปฏิโลมไปตามกาละเทศะฐานะ ก็ว่าไป คนที่มีความรู้ความเห็นแค่ไหนเขาก็เป็นแค่นั้น
_พลังเพ็ญ คำด้วง : รับชมที่บวรสันติอโศกค่ะ พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ อะไรก็เป็นจริงทุกอย่าง เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จริงหนอ กราบนมัสการด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า… ธรรมดาหมอดูก็ทำนายแม่นมี แต่พระพุทธเจ้านี้พยากรณ์ได้ว่าใครจะเป็นอะไรต่อไป เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเป็นต้น แม่นยิ่งกว่าแม่น มันยิ่งกว่าจับวาง ศึกษาสัจจะให้ดีแล้วจะเห็น
ปัญญาเหนือกว่าเจโตโดยสัจจะ
_ยอด คมมั่น : แป้ง..ขอถามผ่านไปถึงพ่อท่านหน่อยว่า”พ่อท่านใหญ่มาจากไหนจึงได้พูดด้อยค่า”ท่านพระมหากัสสป”อยู่บ่อยครั้ง” ขอถามตามหลักวิชาการนะแป้งเพี้ยนรัก??
สู่แดนธรรม… ผมก็ไม่รู้ว่าคุณยอด คมมั่นคือใครนะครับ ผมก็ตอบตามหลักวิชาการ จริงๆแล้วพ่อท่านพูดไปอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่ามีเจตนาจะไปข่มหรือด้อยค่าท่านพระมหากัสสปะ มันเป็นธรรมชาติที่สิ่งใดอยู่เหนือกว่าสิ่งนั้นก็อยู่เหนือกว่าโดยแท้ เช่นน้ำมันก็ต้องรออยู่เหนือน้ำ จะให้พูดว่าน้ำเหนือกว่าน้ำมันมันก็ไม่ถูก ผมก็จะตอบโดยวิชาการว่า ธรรมชาติของพลังงานทั้งสายปัญญาสายเจโต
ในธรรมะอินทรีย์ 5 พละ 5 จะแบ่งฝ่ายเป็น ปัญญากับเจโต
อำนาจของเจโต ต้องมี 4 ข้อ ตั้งแต่ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ทั้ง 4 รวมกันจึงจะเท่ากับปัญญา 1 ข้อ 4 รุม 1 คุณว่าใครเก่งกว่ากัน มีข้อสังเกตอีกว่า วิริยะ ถ้าคุณอยู่สายวัดป่าก็มีพลังงานวิริยะเต็มที่เลย แต่ถ้าไร้ซึ่งสัมมาทิฏฐิไร้ซึ่งปัญญา พลังงานเหล่านั้นก็จะไร้การควบคุม
พ่อครูว่า… เหมือนคนเข้าป่าหลงทางเลย
สู่แดนธรรม… เหมือนคนบ้าพลัง หากไร้สัมมาทิฏฐิก็จะไม่มีทิศทางลดละไปสู่ความไม่มี
พ่อครูว่า… เอาง่ายๆ ผู้ที่มีฐานของปัญญา บำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ส่วนสายศรัทธานั้น 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ส่วนพวกวิริยาธิกะ ใช้เวลา 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป หลงทางอยู่ในป่ากว่าจะออกจากป่าก็ใช้เวลานาน นี่เป็นสัจจะตามวิชาการ
เพราะไม่พบสัตบุรุษคือพ่อครูทำให้เข้าใจบุญไม่สัมมาทิฏฐิ จึงไม่บรรลุธรรม
_ศุภรัตน์ จันทร์ดอน : ฟังพ่อครูบ่อยๆ จนปัจจุบันเข้าใจเรื่องบุญชัดเจนแล้วค่ะ
พ่อครูว่า…ศาสนาพุทธนั้นเสื่อมไปมาก ถ้าใครฟังแล้วเข้าใจดีว่าบุญต่างจากกุศลอย่างไร แม้แต่มีพระบาลีบอกว่า ปุญญปาปปริขีโณ เมื่อบาปก็หมดบุญก็หมด ก็สูญสิ้น ปุญญปาปปริกขีโณ พระอรหันต์พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่มีบาปแล้วก็ไม่ต้องปฏิบัติบุญอะไรอีกแล้ว แค่ความหมายคำว่าบุญที่อาตมาเอามาไขในยุคนี้ อาตมาคิดว่าอาตมาคงเป็นคนเดียวนะ ที่เอามาพูดว่า บุญ ต่างกับกุศลคนละเรื่อง ลิบลับเลย
บุญสะสมไม่ได้ บุญไม่มีหน้าที่สะสมเลยอะไรอย่างนี้
คนเข้าใจทำบุญที่เกิดจากฌานเผากิเลสจนหมดเป็นบุญได้ ไม่เข้าใจพยัญชนะภาษาคำว่าบุญได้จะเอาไปปฏิบัติสภาวะเป็นบุญได้อย่างไรจะบรรลุได้อย่างไร เพราะเอาไปปฏิบัติก็จะเพี้ยนความหมายอย่างอื่นแล้ว ไม่ใช่ความหมายตรงของมันแล้ว เป็นความหมายเพี้ยนไปแล้วจะได้ผลอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ของแปลกที่มันเสื่อมไปขนาดนี้จนไม่มีใครบรรลุธรรมแล้ว
คำว่าบุญ คำว่ากาย เขาก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาเอามาเปิดเผย คำว่า กาย เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 คำว่ากาย หากเข้าใจว่าไม่มีสิทธิ์เข้าไปร่วมเลยนั้นผิดไปเลยใช้ไม่ได้ จะไปบรรลุได้อย่างไร สังโยชน์ข้อแรก สักกายทิฏฐิ ก็มิจฉาทิฏฐิก็จะพ้นไม่ได้ แล้วปฏิบัติธรรมก็จะไม่ได้ผลอะไร
แล้วยิ่ง กว่าจะมารู้จักมรรคมีองค์ 8 กว่าจะมาปฏิบัติสังโยชน์ได้ ต้องพบแสงอรุณ 7 ก่อน
ต้องพบสัตบุรุษ เช่น ในยุคนี้ไม่รู้คำว่ากายคำว่าบุญเป็นต้น พอไม่รู้ก็ไม่รู้กันทั้งหมด อาตมาก็มาประกาศความจริงจึงต้องมาพบอาตมาต้องมาฟังอาตมาต้อง ปรโตโฆษะ อาตมาอย่างสัมมาทิฏฐิจึงจะรู้ว่า กายเป็นอย่างนี้บุญเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้ คุณก็จะไปปฏิบัติโยนิโสมนสิการได้ ปฏิบัติและพัฒนาจิตใจทำใจในใจของคุณให้มันสัมมา ให้มันบรรลุได้
แต่นี่คุณเห็นโพธิสัตว์มาพูด โพธิสัตว์มาบอกคุณก็ไม่ฟังไม่เอาแล้วไม่เชื่อเลย คุณก็อยู่ในกะลาครอบของคุณตลอดกาลไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้าได้เลย แล้วก็ไปหลงนับถืออรหันต์บูชาเชิดชูกันที่เป็นอรหันต์หลอก ซ้ำซ้อนกัน น่าสังเวชใจ มันสุดสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ได้แต่บ่นอย่างนี้แหละ ก็ว่าไปก็ไม่รู้จะทำอย่างไรบังคับกันไม่ได้
_นภารัตน์ อิ่มรัง : ลูกมีภาวะรู้กิเลส.แต่สู้ผัสสะไม่ไหว
พ่อครูว่า…คำว่าไม่ไหวนี้เหมือนจะท้อนะ ก็อย่าท้อ มันหนักหนาสาหัสก็อนุโลมมา
ศาสนาพุทธเน้นให้พ้นสุขพ้นทุกข์เป็นยอดของทุกอย่าง
_พ่อยาว น้องโมโม้ : ชีวิตคนเราเลือกได้ด้วยหรือถ้าเลือกได้ใครอยากทุกข์
พ่อครูว่า…โลกียะสอนเรื่องดีเรื่องชั่ว โลกีย์ทั้งโลกนี้สอนให้ประพฤติดีละชั่ว แต่ศาสนาพุทธไม่เน้นตรงนั้น แต่ไม่ใช่ว่าไม่สอนให้ประพฤติดี ก็สอนให้ประพฤติดีละชั่ว แต่เน้นยิ่งกว่านั้นจึงเรียกว่าโลกุตระ เน้นให้พ้นสุขพ้นทุกข์ อันนี้แหละเป็นเรื่องยาก ศาสนาพุทธสอนให้เป็นเรื่องวาง ละสุขละทุกข์ แค่นี้แหละใช่เลย เป็นยอดของทุกอย่าง แล้วสอนเรื่องดีชั่วเหมือนอย่างอื่นไหม ก็สอนเหมือนกันแล้วเคร่งครัดกว่าด้วย เคร่งอย่างถูกต้องด้วยเพราะว่า เคร่งอย่างไม่เป็นฤาษี เคร่งอย่างเป็นคนในสังคม รู้จักดีชั่วของสังคม รู้จักโลกาธิปไตย รู้จักอัตตาธิปไตย รู้จักธรรมาธิปไตย ให้อยู่กับสังคมด้วยการช่วยโลก มีอายะ 3
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : ยืมเงินแล้วไม่จ่ายผิดศีลข้อใหนครับท่าน
พ่อครูว่า…ก็ศีลข้อ 2 นี่แหละ คุณก็บอกว่าผิดศีลข้อ 2 นะ
_ส.ฮังดิน ภูมิคโต : ขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า กรรมปัจจุบันเป็นตัวแปรของวิบากได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ตัวกรรมอดีตมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ตัวกรรมปัจจุบันเปลี่ยนแปลงได้ อดีตนั้นผ่านไปแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึงให้ปฏิบัติ จะไปทำอะไรได้
_ตีโจทย์พระพุทธพจน์ ที่กล่าวว่า .. อาหารเป็นหนึ่งในโลก ..ด้วยเหตุใด??
.. ด้วยเหตุที่ ..
.. ดนตรี เป็นศิลปะ อันประกอบด้วย”เสียง” แต่ไร้ซึ่ง รูป-กลิ่น-รส และสัมผัส
.. จิตรกรรม/ประติมากรรม เป็นศิลปะ อันประกอบด้วย “รูป” แต่ไร้ซึ่ง เสียง-กลิ่น-รส และสัมผัส
.. ส่วน อาหาร นั้นเป็นศิลปะอันอุดม เนื่องด้วย ประกอบด้วย รูป-รส-กลิ่น-เสียง และสัมผัส ..
.. ด้วยเหตุนี้ “อาหาร” จึง “เป็นศิลปะอันอุดม” .. และ “อาหาร” จึง “เป็นหนึ่งในโลก” ดังนี้ฯ แล.
กราบ ? นมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพยิ่ง ..
.. น้ำนวลดิน ตีโจทย์พระพุทธพจน์เช่นนี้ตามความเข้าใจ ถูกต้องตามความหมายหรือไม่เจ้าคะ?? .. พ่อครูฯ จะมีเมตตาตอบและอธิบายขยายความ เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้างค่ะ?
พ่อครูว่า… ได้
_ฟ้าใส แซ่หว่อง….กราบระลึกถึงคุณของหลวงปู่สมณะโพธิรักษ์ ค่ะ
ลูกขออนุญาตมีความเห็น(ส่วนตัว) ค่ะ
ศีลน่าจะมี 3 อย่าง ไหมคะ?
๑. ศีลเกิดจากการสมาทาน รับเอามาปฏิบัติ พอสมาทานบ่อยๆ เหมือนย้ำศีลเป็นประจำ ถ้าไม่สมาทาน ก็จะไม่มีความตั้งใจที่จะงดเว้น พอยุงกัดก็เผลอตบเลย เพราะมันเป็นความเคยชินก็ตบเลย โดนกัดก็บี้เลย
๒.ศีลเกิดจากตั้งใจงดเว้นในเหตุการณ์เฉพาะหน้า (ไม่ได้สมาทานมา) มีเหตุการณ์ที่ยั่วขึ้นมาให้ผิด แต่ก็คิดถึงเหตุถึงผล คิดข้อดี ข้อเสีย แล้ว เลยงดเว้นตรงนั้น เขาก็เรียกว่าเป็นศีลที่เกิดจากการ วิรัติ งดเว้นในเหตุการณ์นั้นๆเช่น ใครก็แล้วแต่ ที่เค้าไม่ได้สมาทานศีลเลย แต่พอมีเหตุการณ์เฉพาะหน้า เขาก็คิดทบทวน ทำดีไม่ทำดี ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นฟ้องร้อง เดี๋ยวถูกจับ ฯลฯคิดกลัวเหตุ กลัวผล ก็เลยไม่ทำ เช่น สส. ,นายกรัฐมนตรี,ผู้นำ,ประธานาธิบดี บางคน (ไม่ได้เป็นพุทธศาสนิกชน)ก็คิดถึงเหตุถึงผล พอมีเหตุการณ์ให้ผิด แต่ไม่คอรัปชั่น ไม่ฉ้อขโมยเงินงบประมาณแผ่นดิน ฯลฯ ถ้าหากทำผิด กลัวถูกฟ้องร้อง เป็นต้น
๓ . ศีลของพระอรหันต์ คือ ไม่ต้องมาตั้งเจตนาใด ใด พระอรหันต์จะเป็นผู้มีศีลเป็นปกติ (๔๓ ข้อ) ไม่ผิดเลย ตั้งแต่วันที่บรรลุธรรม ส่วนพระธรรมวินัย อาจจะบกพร่องเล็กๆน้อยๆ ผิดพลาดได้ แต่ก็ชื่อว่า เป็น “ สามี จิติปะฏิปัน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ” คือเป็นผู้ปฏิบัติสมควร ทำอะไร มันก็สมควรหมด อย่าไปเพ่งโทษท่าน พราหมณ์ ผู้ลอยบาป. สมณะ ผู้สงบบาป
แผ่นดินพุทธมีแห่งเดียวในโลกอยู่ที่ชาวอโศก
และลูกขอโอกาสถามหลวงปู่ ค่ะ ว่า อาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกว่าติดกันทั่วโลก คำว่า “ อาหาเร ปฏิกูลสัญญี ” (อาหารเป็น ปฏิกูล )เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าหรือไม่คะ?
พ่อครูว่า… เป็น อยู่ในสัญญา 7 สัญญา 10
คำว่าอาหารเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก เราพูดกันเรื่องศีล เรื่องปฏิบัติทางปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตา เป็นการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า คนที่งมงายก็บอกว่าพูดอะไรไป แล้วที่พูดนี้นอกของพระเจ้าสอนอยู่ไหม ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนกันทั้งนั้น
แต่เรื่องที่ไปนั่งหลับตาแล้วไม่พูดเรื่องเหล่านี้เป็นพวกงมงาย เป็นพวกเดียรถีย์นอกรีตแล้วไม่รู้ตัว แล้วมาหาว่าพวกเราพูดอะไรกัน ทำไมไม่ไปภาวนา ภาวนาก็คือการนั่งหลับตาสะกดจิตทำสมาธิ เขาบอกว่าไม่ต้องศึกษาสิ่งเหล่านี้หรอก นี่คือความงมงายที่สุด พระป่าพระที่ปฏิบัติธรรมตอนนี้เป็นพวกงมงายที่สุดในศาสนาพุทธ แล้วหลงตัวเองว่านั่งสมาธินั่นแหละทำให้บรรลุธรรม
นั่งสมาธิและบรรลุธรรมหลับตาไม่มีในศาสนาพุทธ
แม้พระพุทธเจ้าตรัสว่า การปฏิบัติสมาธิจะบรรลุธรรมได้ แต่ ก็ไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติสมาธิคือไปหลับตา ไม่ใช่นะ มีคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า การบรรลุธรรมบรรลุธรรมได้ด้วยการฟังธรรม ทบทวนธรรม บรรลุได้ด้วยการแสดงธรรม บรรลุได้ด้วยการฟังธรรม บรรลุได้ด้วยการปฏิบัติสมาธิ
แล้วจะไปตีขลุมว่า การปฏิบัติสมาธิคือการนั่งหลับตานั่นก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หลับตา หลับตาไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า พวกหลับตาสมาธิคือพวกออกนอกรีดพระพุทธเจ้าไปไกลลิบเลย ผู้เข้าป่าแล้วไปนั่งหลับตาสมาธิใน คุหัฏฐกสูตร คือผู้ไกลจากวิเวก จมลงในความหลง อย่างกู้กลับไม่ได้เลย หลงงมงายติดยึดกัน
ยุคนี้มันซวย ที่พระพาปฏิบัติผิดเพี้ยนไปหมดเลย สายพระป่าก็ไปหลงลาภยศสรรเสริญอย่างที่เห็น มันไม่ใช่การเรียนรู้ปฏิบัติ เรียนรู้แล้วไปหลงในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขคือพระสายเปรียญสายวัดบ้าน ส่วนพระป่าไปหลับตาปฏิบัติก็ออกนอกประเทศทั้งคู่เลย
แล้วเข้าใจว่าศาสนาพุทธนี่แหละ มีอยู่ 2 สายคือพระป่ากับพระบ้าน พอพระไม่ใช่พระป่านะแน่นอนแล้วไม่ใช่พระบ้านอย่างของคุณ อย่างชาวอโศกไม่ใช่พระบ้านไม่ใช่พระป่า เขาก็หาว่าไม่ใช่พุทธ อาตมามาสอนธรรมะพระพุทธเจ้าเอาธรรมะพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องมาสอน เขาบอกว่าไม่ใช่พุทธ ซึ่งน่าสงสารจริงๆเลย
อาตมาตั้งข้อสังเกตมาหลายมุมหลายมิติหลายแง่
มิติที่พูดซ้ำบ่อยๆ อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายขยายความมาสอนมาพูด อาตมานำมาจากพระไตรปิฎก แม้แต่ก่อนนี้ อาตมายังไม่มีพระไตรปิฎก มันก็เป็นธรรมะที่ตรงกับพระไตรปิฎก ตอนหลังอาตมาก็เอาพระไตรปิฎกยืนยันอ้างอิงตลอดเวลาเลยเขาก็เลยเงียบๆไป
นอกจากจะเอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงยืนยันแล้ว เราก็ปฏิบัติได้มรรคได้ผลมีชีวิตบรรลุธรรม อาตมาสรุปว่าชาวอโศกปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าบรรลุธรรมเรียบร้อย จนกระทั่งกลายเป็นสังคมที่มีสาราณียธรรม 6 เรียบร้อย มาอยู่กันเป็นชุมชนสังคมพุทธ ที่ขึ้นป้ายว่า “แผ่นดินพุทธ” ซึ่งไม่ได้ขึ้นป้ายเล่นนะ ยืนยันจริงว่ามีพุทธแท้อยู่ที่นี่ในชาวอโศก ที่อื่นไม่มี ขออภัยที่พูดความจริงตรงเกินไป ที่อื่นไม่ใช่พุทธหรอกถ้าไม่ใช่ชาวอโศก ขออภัยจริงๆเลย รู้สึกว่าเกรงใจที่พูดคำนี้มันแรง ไปดูถูกดูแคลนคนอื่นเขาจริง แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆโดยสัจจะ
เพราะฉะนั้น พวกเราจึงมีอยู่กันอย่างเป็นสังคมที่ชัดเจน อยู่กันด้วยเมตตากายกรรมเมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วก็ได้ ลาภโดยธรรม ลาภธัมมิกา เอามารวมกันเป็นสาธารณโภคี ทำได้อย่างนี้ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลย
หรือ คุณธรรมวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ความเจริญให้ง่ายนั้น เราก็ไม่ได้ลบหลู่พวกที่ไปเรียนจากเมืองนอกมาเป็นเทวนิยมแล้วจะเอามาเหนือพุทธศาสนา มันไม่ใช่ แต่อย่างที่พุทธศาสนาที่เขายึดถือกันและที่อยู่ในเถรสมาคมนั้นก็ไม่ใช่ ซึ่งจริงด้วย เละเทะ สู้แบบเทวนิยมเคร่งๆไม่ได้ เขายังดีกว่าอีก
เพราะฉะนั้นชาวอโศกนี้ อย่าง วรรณะ 9 นี้ ยากจะเข้าใจ (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) มีน้อยอย่าไปมีมาก สันตุฏฐิ แค่นี้ก็พอน้อยก็พอใจมันพอ แต่เขาแปลว่าพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็ชิบหายเลย บิลเกตส์เขาก็พึงพอใจสิในทรัพย์สินของเขา หรือเศรษฐีคนไหนเขาก็พอใจ แล้วเขาก็ไม่หยุด หยุดของเขาไม่พอนะ เขาพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แต่เขาไม่เคยพอที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ใจไม่พอ ใจไม่หยุด เอาแค่นี้พอ สละออก มากกว่านี้ไม่เอา
พวกเรามาอยู่ที่จนที่สุด น้อยที่สุด สูงที่สุด อย่างสมณะนักบวชนี้ศูนย์เลย ไม่ต้องมีสมบัติอะไรอีกแล้ว มีเท่าไหร่เอาออกหมด ไม่ต้องสะสม และมีชีวิตอยู่ได้ไหม ได้ สบม-ธมด-ปกต-หห-จจ มช-ยลล ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ มาอยู่กันอย่างสบายมากเลย พิสูจน์ยืนยัน เดี๋ยวนี้ยิ่งทันสมัยใหม่เสมอ
ไม่สะสมยอดขยันมาทำงานฟรี มีชีวิตฝากชีวิตไว้กับหมู่ มีใจพอ ไม่แย่งชิง ไม่อยากมากมาย แต่ขยันหมั่นเพียรสร้างสรร มันสุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์ สุดยอดแห่งเศรษฐกิจเลย ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์โลก ด็อกเตอร์ก็ยังไม่มีภูมิรู้อันนี้หรอก ว่าเป็นคนจนและเป็นคนสร้างสรร ไม่สะสมเกื้อกูลผู้อื่นนี้ ทำกันเป็นทฤษฎี ทำกันเป็นวัฒนธรรม ทำกันเป็นกลุ่มมนุษยชาติเลยอย่างพวกเราทำ ท่ามกลางแม้แต่ชาวพุทธทั่วไปยังไม่เข้าใจเหมือนพวกเรา แต่เราก็ทำได้อย่างนี้ยากแสนยากแต่ก็ทำสำเร็จ เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก พูดใหญ่เหลือเกินนะโพธิรักษ์ แต่เป็นอย่างนั้นจริง ต่อไปในอนาคตนั่นแหละ นักศึกษาทั้งหลายจึงจะมาเห็นว่า โอ้โห! อันนี้ของพระพุทธเจ้า โพธิรักษ์เอาของพระพุทธเจ้ามาสอนเอาไว้ พ.ศ. 2500 กว่านี้ ตอนมีชีวิตอยู่เขาไม่ฟังโพธิรักษ์ ตอนนี้มีแต่คำสอนที่บันทึกเอาไว้ โพธิรักษ์ตายเสียแล้วจะมาถามก็ไม่ได้แล้ว ถ้ายังไม่ตายก็ยังพอจะทำได้ มาซักตอบได้ ขยายความได้ มุมไหนที่ยังไม่ชัดเจนก็ถามให้ขยายความได้
หมดสุขทุกข์เพราะหมดวิปลาส 4
มันน่าประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่ง อาตมาเผชิญอยู่ ว่า อาตมาไม่ข้องติด คุณจะถามปัญหาอะไรก็ไม่ข้องติด ..ไม่ติด ตอบได้หมด จริงๆ
สู่แดนธรรม… อันไหนที่ตอบไม่ได้ล่ะครับ
พ่อครูว่า… ตอบไม่ได้ก็คือสิ่งที่อาตมาไม่รู้ ก็ยิ่งง่าย มาถามสิ่งที่เราไม่รู้ เช่น ไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่ ไม่รู้ ก็ตอบไม่ได้จริงๆ
ญาติธรรมว่า…ไก่เกิดก่อนค่ะ
พ่อครูว่า… ก็พูดไปหรือมีอะไรอื่นๆที่งมงายก็พูดกันไป
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าไปเที่ยวไปคิดอะไรๆที่เป็นประเด็นที่ท่านสรุปให้แล้ว มาศึกษาเรื่องสุขเรื่องทุกข์ ถ้าคุณเข้าใจเรื่องสุขเรื่องทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องที่มนุษยชาตินี้ติดยึด หลงใหลงมงาย ถ้ารู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วเลิกติดยึด ไม่สุขไม่ทุกข์
คำว่า ไม่สุขไม่ทุกข์นี้เป็นภาษา มันไม่ถึงซึ่งความจริงหรอกเพราะว่าสุขทุกข์มันเป็นมายา มันไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้นคนไปหลงมายา คนไปหลงความสุขความทุกข์อยู่ จึงเป็นการหลงไปอยู่กับโลกเขา สุขทุกข์มันเป็นเรื่องโลกๆป็นเรื่องยึดติดตามอุปาทาน
เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนรู้ว่าที่มันเป็นเรื่องอุปาทานเป็นเรื่องหลอกๆลวงเป็นเรื่องเท็จคืออย่างไรและเรื่องจริงคืออย่างไร
เรื่องจริงคือเรื่องตากระทบรูป ก็รู้จักรูปตามความเป็นจริง หูกระทบเสียงก็รู้เสียงตามความเป็นจริง ไม่มีดีหว่า ชอบหว่า ไม่ชอบหว่า ไม่มี ชอบหรือไม่ชอบ ดีหรือไม่ดี ยึดติดกัน ไปถามพวกดนตรีหูแตกสิ เล่นเบาๆ เขาก็บอกว่าไม่ได้เรื่องต้องตีให้ดังหูแตกถึงจะดี ส่วนไอ้คนที่ไม่ชอบก็ว่าจะบ้ารึ หูจะแตกมันดังเลอะเทอะเกินไปให้ไปที่อื่น ก็เท่านี้มันก็ทะเลาะกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ
หรือ ส้มโอต้องรสอันนี้ ถ้าไม่ใช่รสนี้ไม่ใช่ส้มโอ รสดี ต้องรสนี้ คุณก็ยึดของคุณเอง อย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี สีอย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี เสียงอย่างนี้ดีเสียงอย่างนี้ไม่ดี ยึดทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นอะไรมันเกิดเป็นอย่างนั้นๆ มันก็เป็นอย่างนั้นๆของอย่างนั้นๆ ต่างกันเท่านั้นเองก็จบ
แล้วเราก็รู้ตามโลกที่เขารู้ว่า คนนี้เขายึดอย่างนี้ๆ เราเข้าใจเขาแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันก็พยายาม เราก็อยากให้เขาได้ตามชอบก็แบ่งแจกเฉลี่ย
เพราะฉะนั้นจะบริหารประเทศ เพื่อให้คนแต่ละคนชอบแต่ละอย่างแตกต่างกันเพื่อจะไกล่เกลี่ยให้อย่าทะเลาะกันอย่าตีกันอย่าแย่งกัน มันก็อันเดียวกันกับการมาเรียนศาสนาพระพุทธเจ้าให้ไม่ติดยึดความสุขความทุกข์ ไม่ติดว่าจะต้องน่าได้น่ามีน่าเป็นอย่างโลก สุภะอสุภะ ไม่มีอะไรน่าได้น่ามีน่าเป็นหรอก
มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็นน่าจะปรินิพพานเป็นประโยชน์สารทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณไม่ศึกษาจริงๆคุณก็จะต้องยึดติด น่าได้น่ามีน่าเป็นทั้งนั้น เป็นสุภะทั้งนั้น แต่แท้จริงมันอสุภะ
คนที่หลงสุภะ ก็เป็นคนวิปลาสในวิปลาส 4 เป็นคนวิปลาส เป็นคนสำคัญผิดในวิปลาส 4
-
เห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง
-
เห็นความทุกข์เป็นความสุข
-
เห็นความไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน
-
เห็น อสุภะเป็นสุภะ สิ่งที่ไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็นเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น
วิปลาสทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่จบแล้วเป็นพระอรหันต์ ทุกอย่างนั้นก็เป็นภาระ ที่ต้องอาศัยมัน มันไม่น่าได้น่ามีน่าเป็นอะไรเลย ถ้าไม่เข้าใจแล้วไม่ปล่อยวางมันอยากตายมากกว่า เพราะฉะนั้นพระอรหันต์รุ่นแรก ก็มีฆ่าตัวตายไปเยอะเลย ก็เพราะเห็นว่าไม่มีอะไรน่าได้น่ามีน่าเป็นเลยก็เลยฆ่าตัวตายไปเสียเยอะ มีในประวัติอยู่ มันเบื่อหน่าย
กว่าจะเป็นผู้ที่มีความเข้าใจ มีปัญญาถ่องแท้ อย่างที่อาตมาพูด แล้วก็เห็นจริงรู้จริงว่ามันน่าเบื่อ ทุกวันนี้อาตมาไม่อยากพูดหรอก พูดแล้วพวกคุณก็จะว่าอาตมา ค่ำอีกแล้ว นอนอีกแหละ สว่างอีกและ แล้วเดี๋ยวก็มาทำนั่นทำนี่ไม่ได้เท่าไหร่ก็กินอีกแล้ว กินแล้วเดี๋ยวก็ให้นอน นอนอีกแล้ว ไม่ใช่นอนเย็นนะนอนกลางวันนี่แหละ เดี๋ยวก็ให้นอน ร่างกายมันก็อย่างนั้นต้องการ มันยิ่งเสื่อมไปเป็นธรรมดา สังขารต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นต้องให้มันพักผ่อนเพื่อจะให้มันฟื้น ถ้าไม่นอนแล้วมันก็ไม่ฟื้น มันก็ขัดแย้งกับสัจจะ จะใช้มันตะลุยแหลกมันตอนหนุ่มๆ มันจะขาดใจตายไปนั่นแหละ เขาเรียกว่า stroke ล้มช็อคตายไปเลย มันจะเป็นอย่างนั้น จึงต้องค่อยปรับชะลอ
ที่อาตมาเคยพูดว่าอาตมาชะลอขันธ์ พยายามต่อขันธ์ ซึ่งมันหมดอายุขัยแล้วต่อมาได้ 1 นักษัตรจนอายุ 84 ปีแล้ว อายุขัยเดิมอาตมา 72 ปี แต่ตอนนี้ ย่างเข้า 88 ปีแล้ว
ต่อขันธ์ไป เดี๋ยวก็เช้าแล้ว ทำงานไปต่อชีวิตไป เย็นๆก็นอน ยังนึกอยู่เลยว่า เรานี่ พยายามจะไม่เป็นไปอย่างเพื่อนๆหลายคน เหมือนทมยันตี เหมือนสุเทพ นอนหลับแล้ว รุ่งเช้ามาไปปลุกไม่ตื่นแล้วไปแล้ว อาตมาก็ว่าไม่อยากให้พวกเราเจออย่างนั้น แต่ก็ต้องเจอจนได้วันใดวันหนึ่ง
อาจจะมีอาการเจ็บป่วยอย่างแรง ตื่นๆ สุดท้ายก็บอกว่าจะไปแล้วนะก็ไป เหมือนกับอย่างท่านถนอมคูณ พูดว่าจะไป ให้วางตรงไหน ท่านถนอมคูณ พระอรหันต์องค์หนึ่ง ก็บอกว่าให้ปล่อยเลยว่างเลย แป๊บเดียวก็ไป คือ มันไม่มีความสะทกสะท้านความสะดุดอะไร ตายก็ตายอย่างนี้เป็นต้น มันเป็นเรื่องสามัญๆ นี่พวกเราของจริง ยุคนี้นะ ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้า
สมณะถนอมคูณก็สมณะพวกเรา เป็นเรื่องจริงก็เอามาเล่าสู่กันฟัง ตายอย่างมีสติ ปล่อยวางก็ตาย ไม่มีปัญหาอะไร เป็นเรื่องสามัญ
ฉะนั้นจึงบอกว่ายิ่งเข้าใจเลยว่าชีวิตจิตนิยามนี้ เป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว จึงพูดความจริงที่คนไม่รู้อย่างอาตมารู้หรอก ว่า ตายแล้วจะเกิดอีกก็ได้เป็นอมตะบุคคล ไม่เอาแล้ว เลิก หยุดตั้งปณิธานจะต่อภพภูมิเป็นพระอรหันต์ ตายแล้วก็เลิกเลย ไม่ตั้ง นิพพาน 3 ไปเลย สุญญตนิพพาน อปณิหิตนิพพาน อนิมิตนิพพาน ตายสูญสุดท้ายเลย แล้วก็รู้เลยว่าการทำจิตสูญ เป็นอย่างไร การทำจิตไม่ตั้งจิต ไม่ตั้งนิมิตอะไรเลยในการตาย ก็รู้ว่า เราไม่ตั้งนิมิต ไม่ตั้งจิตอะไรเลย จบที่ 0 ปล่อยว่าง ตายไปเลย ยางเหนียวทั้งหลายแหล่แห่งจิตนิยามก็สลายไปหมดเลย ธาตุจิตนิยามก็สลายเป็นดินน้ำไฟลม ไม่จับตัวกันอีกเพราะหมดยางเหนียว
การอุปาทานคือยางเหนียว ยึด ยึดเห็นไหม เพราะฉะนั้นไอ้นี่มันไม่อยู่ เดี๋ยวไปขอยางเหนียว ขอตัณหาอุปาทานให้มันหน่อย ยางเหนียว ภาษาบาลีว่า อยะ คือยางเหนียว อยะยั่วก็พัวก็พัน ยึดไว้
อาตมาพูดส่วนมากนี้เอาพยัญชนะมาพูด หลายคนฟังแล้วก็ว่าพูดอะไรองค์นี้ ดีไม่ดีโดยเฉพาะพวกที่เรียนไวยากรณ์ อักขรวิธี บาลี มีสูตรมีวิธี อาตมาไม่ได้เรียน ที่จริงอาตมามีธรรมชาติของพยัญชนะ ภาษา สภาวะ อาตมาก็ไปกับสภาวะ แต่การมาเรียบเรียงเป็นไวยากรณ์มันมาทีหลัง อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ มันมาเกิดทฤษฎีเรียบเรียงทีหลัง มันไม่ถึงแก่นของสภาวะที่จริงที่เกิดก่อน ภาษาเรียกสภาวะนี้มีเกิดก่อน แล้วคุณก็ค่อยเอาไปเรียบเรียงกันก็ค่อยไปตั้งพยัญชนะ ภาษา วิธี ไวยกรณ์ ก็เป็นอจินไตย พูดไปก็ยากที่จะเข้าใจ
ศาสตร์หนึ่งเดียวสุดยอดคือศาสตร์ของพระพุทธเจ้า
สรุปหลายทีแล้ว สรุปแล้ว ชีวิต ที่อาตมาพูดไปเขาไม่ค่อยฉุกคิดกันเท่าไหร่ ที่อาตมาพูดว่า พระพุทธเจ้าท่านเกิดมาเป็นคนๆหนึ่งเหมือนกันกับพวกเราทุกคน เสร็จแล้วท่านก็แสวงหา ว่า อะไรคือที่สุดแห่งที่สุดของความเป็นมนุษย์ ท่านรู้ที่สุด เข้าใจที่สุด มีปัญญาที่สุด รู้จุดสูงสุดที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็อยู่กับมนุษย์ มีความรู้เป็นทฤษฎี มีศาสตร์อะไรก็แล้วแต่ รวมเป็นหนึ่งอยู่ในนั้น ก็คือ มาเรียนรู้โลกุตรธรรม
อาตมาเคยอธิบาย ในยุคของพระพุทธเจ้ามีสำนักตักสิลาสอน 18 สาขาวิชา 18 ศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดคือ ตักสิลา ท่านก็ไปเรียนจบทุกศาสตร์ ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ทุกศาสตร์ ไม่มีใครสู้ได้ เป็นเกียรตินิยมอันดับ 1 ทุกศาสตร์ เป็นคนสุดยอดจริงๆ ไม่ใช่เรื่องแกล้ง ไม่ใช่เรื่องสมมุติ ไม่ใช่จะทำเป็นยกยอพระพุทธเจ้า แต่เป็นเรื่องจริงที่ต้องมีคนจริงอย่างนี้จริงๆ ถ้าพระพุทธเจ้าเกิดมาในยุคนี้ ก็ไปเรียนศาสตร์ไหนในมหาวิทยาลัยใด จบด็อกเตอร์มันมันทุกศาสตร์ ศาสตร์เกียรตินิยมทุกศาสตร์ อันดับ 1 หมด แล้วก็ทิ้งทุกศาสตร์ มาสอนศาสตร์โลกุตระอย่างเดียว
เรียนให้รู้ว่าในโลกนี้เขาเรียนรู้อะไรกันบ้าง มีเป็นร้อยศาสตร์ มีสาดเสื่อก็มี กระยาสารทก็มี สาดเสียเทเสียก็มี เสร็จแล้วมาทำงานศาสตร์นี้ศาสตร์เดียว เห็นไหมว่ามันสุดยอดยิ่งใหญ่ในการเกิดมา เสร็จแล้วสอนศาสตร์นี้ทำงานศาสตร์นี้เป็นชาติสุดท้าย ปลีกย่อยที่ไม่มาเรียน อันอื่นถือว่าเป็นเดรัจฉานวิชาทั้งนั้น
ศาสตร์ที่ถือว่าเป็นเดรัจฉานวิชาคือ ศาสตร์ที่ไม่พาบรรลุอรหันต์ ขวางทางนิพพาน เพราะฉะนั้นศาสตร์อื่นใดไม่เอา เดรัจฉานวิชาคือศาสตร์ที่ไม่มาเรียนโลกุตระก็เป็นศาสตร์เดรัจฉานทั้งนั้น จะว่าไปแม้แต่เรียนเปรียญ 9 ก็ยังเป็นเดรัจฉานวิชา สอนเปรียญ เอาสอบ เอาตำแหน่ง เอาอะไรเฉยๆ ไม่ต้องเรียนเลย ปฏิบัติเรียนรู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าอย่างนี้ คุณก็ปฏิบัติให้เป็นพระอรหันต์ ให้ได้บรรลุอรหันต์ แต่ไปเรียนศาสตร์ทั้งหลายแล้วไปหลงในตำราอยู่นั่นแหละ โอ้โห ว่ามันเป็นสิ่งที่น่าเรียนมากมาย
อันนี้พูดไปแล้วอาตมาก็สงสารท่านพุทธโฆษาจารย์ ท่านมหาประยุทธ์ ท่านสนใจเรื่องความรู้หลงไปเรื่องความรู้พยายามเรียบเรียงความรู้ ที่ท่านเห็นว่าอันนี้พระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธมันเป็นเรื่องปลีกไป แก่นแท้ท่านสรุปไปหมดแล้ว แต่ท่านก็ยังไปเก็บให้หมดอีก ซึ่งมันไม่หมดหรอก ท่านควรจะมาปฏิบัติให้สุดยอดแล้วสอนคน เหมือนอย่างอาตมาสอน บรรลุให้เป็นพระอรหันต์แล้วสอนคน
เพราะผู้บรรลุอรหันต์แล้วจะไม่ไปยุ่งยากแสวงหาที่จะเรียนรู้ตำราอะไรอีก จะสอนเพราะว่ามีจุดที่บรรลุนิพพานบรรลุอรหันต์แล้ว ผู้ที่ยังติดในพยัญชนะ ยังอยู่ในศาสตร์อื่นใดอยู่ เป็นตำราเป็นบัญญัติอยู่อย่างนั้น ก็ยังหลงอยู่กับไอ้พวกนี้ ถ้าเผื่อว่ารู้แล้วจะไม่ไปเสียเวลา แต่จะใช้บ้าง ไม่มาก
อย่างอาตมานี่ขออภัย นอกจากพระไตรปิฎกก็ไม่อ่าน อรรถกถาจารย์ใดๆ ก็ไม่อ่านซึ่งไม่ใช่เพราะว่าดูถูกนะ อาตมาเขียนหนังสือก็อ้างอิงจากพระไตรปิฎกทั้งนั้น ยังอ้างอิงไม่หมดเลย แล้วจะไปเอาของย่อยๆมาอ้างทำไม ไม่ต้องเสียเวลาไปเอามาหรอก มันเป็นเรื่องรองมาก เรื่องตรงของพุทธเจ้านั้นมีอยู่แล้ว ลึกซึ้งละเอียดกว่าน่ากลัวมากเลยกินแล้วครับกินจริงๆเลยตรงรายละเอียดลึกซึ้งกว่า
เพราะมันชัดเจน ผู้ที่ยังหลงในเรื่องของปลีกย่อยพยัญชนะหรือเปลือกของมันก็จะไป ผู้ที่เห็นว่าอะไรเป็นแก่นก็ปฏิบัติเข้าสู่แก่น
ทีนี้พวกไม่รู้จักแก่น เลยแก่นไป คือ พวกหลับตา น่ากลัวมากพวกเลยแก่น เป็นพวกมืดเรียกว่า กิณหา พวกมืด แล้วหลงมืดจริงๆเลย ยิ่งกว่าหลุมดำ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า พูดกันไม่รู้เรื่องเลย ยึดติดในความมืด มืด มันไม่มีปฏิภาณปัญญา มันไม่มีไหวพริบอะไร มันตื้นมันบื้อ ยิ่งโง่งมงายไปเรื่อย มันน่าสงสารไม่รู้จะช่วยอย่างไร
พวกที่เขาศึกษาบัญญัติภาษายังพอกระเตื้องได้ฟังไป ยังพอมีการคิดนึก แต่นี่ไม่ได้คิดนึกเลย ตีทิ้งเลยพวกนั่งหลับตา อาตมาพูดนี้เขาไม่ฟังหรอกพวกนั่งหลับตา จะฟังบ้างก็พวกศึกษาตาม ไม่ใช่พวกนั่งหลับตา พวกที่หลับตาไม่ฟังอาตมา นอกจากคนส่วนตัวที่มีปฏิภาณ รู้ว่า สะดุดว่า ฉุกคิดว่า ซึ่งมีไม่กี่คนหรอกในกระบวนพระหลับตา ที่จะฟังอาตมา มีน้อย มีแต่จะด่าแล้วด่าอีก เพราะอาตมาตำหนิพวกหลับตามาก
จริงๆนะ หลับตามันโมฆะ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย แต่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสหนักๆเหมือนอาตมาพูด ท่านไม่ตรัสอย่างหนักว่าพวกหลับตาไม่ดี เพราะท่านรู้ว่าเขาหลงการนั่งหลับตากันไปทั้งหมด ท่านไปด่าเขาหมดไม่ได้ ไม่เหมือนอย่างอาตมา ด่าไปแล้วเขาก็มายาก แต่อาตมาถือว่าอาตมาคัดคน
เพราะฉะนั้นใครยังยึดติดงมงายอยู่ คนนั้นอย่าเพิ่งมา เพราะอาตมาเมื่อย ถ้ามีจริตที่จมปลักอยู่ทางโน้นอย่ามาเลย ถึงมาก็ไม่ค่อยได้เรื่องหรอก เพราะคนเป็น สัทธานุสารี ที่จม ยากมาก
สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี ปัญญาวิมุติ บุคคล 7
อาตมาไม่ได้ท่องพยัญชนะพวกนี้นะบุคคล 7 ก็ไม่ได้ท่อง แต่พอรู้จักบาลีตามประสาอาตมาบ้าง ที่พูดก็ไล่ตามสภาวะทั้งนั้น พยัญชนะบางทีก็ลืม อะไรว้า ตัวนี้ สงสารพวกเราบางทีอาตมาก็ลืมพยัญชนะ แต่สภาวะนั้นแม่นไม่มีปัญหา แต่พยัญชนะบางทีก็ลืมไปหรือบางทีก็สับสนในพยัญชนะบางตัว
ทางรอดของมนุษยชาติอยู่ที่อาหาร
อาตมาก็ขอพูดถึงเรื่องปัจจุบันธรรมขณะนี้ ตอนนี้เราเปิดร้านอุทยานไหม
สิกมาตุกล้าข้ามฝัน …เปิดขายแบบ รักษาระยะห่างให้เขามาหยิบเอาเอง มีขายน้ำผัก กับข้าว ตั้งไว้ให้เขามาหยิบแล้วก็ไป
พ่อครูว่า… โรงปุ๋ยขายปุ๋ยหรือไม่ (ขาย) ก็ยังพอทำเนามีรายได้ ที่จริงไม่มีรายได้ เราก็มีข้าว มีผัก มีพืช มีมัน มีถั่วของเรากิน จะเห็นได้ว่ามนุษยชาติมีอาหารเป็นหนึ่งในโลก โดยเฉพาะอาหารที่เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร แล้วเราก็สร้าง เรามีข้าว เรามีพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีผักมีพืช มีถั่ว มีฟักแฟงแตงกวากินกันอุดมสมบูรณ์
โลกเขาจะเป็นอย่างไร หากมีวิกฤตยิ่งกว่า covid เราจะรอดกันไหม ..รอด เห็นทางรอดของมนุษยชาติไหม เพราะฉะนั้นคนที่ไปสะสมธนบัตร สะสมเพชรนิลจินดา สะสมทองคำ ถ้า covid อยู่ไปอีกสักประมาณ 50 ปี พวกที่สะสมทองคำสะสมธนบัตรจะรู้สึก พวกเรานี้ จะรู้เลยว่าพวกเราจะมีคุณค่า เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าหยุดยั้งในการที่จะเป็นกสิกร ทำกสิกรรมให้แข็งขันทุกคน
คนไม่เคยคนไม่ชอบก็พยายาม พวกที่ไม่ติดดิน ไม่ชอบเลย ไม่อยากทำ ให้พยายามเถอะ มันไม่ตกต่ำอะไร ไม่เสียหายอะไรเลย มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดที่เราสามารถสร้างอาหารที่เป็นหนึ่งในโลกนี้ให้มนุษย์ได้อาศัยใช้สอย โดยวิธีขายคือแจก แจกเป็นดีที่สุด แจกไม่ได้ก็ขายในราคาต่ำที่สุด ต่ำไม่ไหวก็แพงขึ้นบ้างแต่อย่าไปเกินทุน ไม่ไหวจริงๆจะเกินทุนก็เกินนิดหน่อย แต่อย่าไปเกินกว่าราคาตลาดเป็นอันขาด นี่คืออุดมการณ์อุดมคติของพวกเรา
พวกเราก็ทำได้ พวกเราคือนักเศรษฐศาสตร์ชั้นยอด ที่เราประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ โดยสร้างสรรสิ่งที่จำเป็นสำคัญที่สุดของมนุษย์ เราไม่ต้องไปสร้างอาวุธ โง่ที่สุดคือการสร้างอาวุธฆ่ากัน เพราะฉะนั้นเราสร้างอาหารนี้ฉลาดที่สุดในโลก คนสร้างอาหารนี้ ฉลาดที่สุดในโลก
ยิ่งมีภูมิประเทศที่ควรสร้างอาหาร ถ้าหากคุณอยู่ขั้วโลกเหนือ คุณจะสร้างอาหารมันไม่ใช่ถิ่นที่คุณจะสร้างอะไรได้หรอก ก็จำนนจำเป็น แม้แต่คุณอยู่ในตะวันตก หิมะลงหลายเดือน แผ่นดินไม่เหมาะสม ภูมิอากาศสู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโซนที่ทำพืชพรรณธัญญาหารดีที่สุด ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามีองค์ประกอบทุกอย่างพร้อม อย่าไปดิ้นรนทำสิ่งที่มันไม่ค่อยเป็นไม่ค่อยมี
จริงหลายอย่างที่เราผลิตไม่ได้เป็นอุตสาหกรรม ต้องอาศัยเขา จะซื้อแพงหน่อยก็เอา เขาก็ต้องเอาแพงหน่อย เพราะว่าเขาเองต้องคิดต้องทำต้องเลี้ยงชีวิต เป็นคนลำบาก พวกนักอุตสาหกรรมคือคนลำบาก พวกเราเป็นคนงานหนัก แต่ไม่ลำบาก แต่พวกเขาทำงานหนักแล้วทั้งลำบาก เขาก็ทำมา ก็ให้เขาแพงๆ แต่ของเราอย่าขายแพงนะ ให้ขายถูกๆ เห็นไหมมันเป็นสัจจะ
สมณะฟ้าไท… สรุปจบ
640922_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วันนี้พ่อครูบอกทางรอดของมนุษยชาติ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1M-LItMLhM53IE3xVdAhAPn0lNuC-7WO2ENiQ_g0TIo0/edit?usp=sharing ng
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1udyAlManchfaunR-zAnrtlxxCQ5l3CDN/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1005165756995737
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้มีหนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 3 ออกมา ทยอยส่งแจกให้ผู้สนใจเอาไปอ่าน หนา 411 หน้า พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ขยันเขียน ไม่ทราบว่าผู้อ่านจะขยันอ่านหรือไม่
มีหลังปกเขียนโปรยไว้ว่า…ระบบบุญนิยมเป็นไปเพื่อความเจริญความประเสริฐ ถ้าคนเข้าใจได้ก็ต้องมาทางนี้ เขาจะรู้เองว่าที่สุดแล้วต้องมาทำอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนี้คุณก็ไปไม่รอด ต่อไปทรัพยากรโลกมันร่อยหรอลง คนจะยิ่งแย่งชิงกัน อำนาจจิตวิญญาณของคนที่ถูกกิเลสครอบงำมันจะรุนแรงโหดร้าย คนไม่อยากทุกข์อย่างนั้นหรอกใช่ไหม ฉะนั้นไม่มีทางออก เมื่อมีมวลมีตัวอย่างที่จะเป็นไปได้ ก็ต้องทยอยมาเรื่อยๆ เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาเท่านั้น …โดยสมณะโพธิรักษ์
พ่อครูว่า… เริ่มที่ SMS วันที่ 17-19 ก.ย. 2564
_สมยศ ฐานศิลา : กราบนมัสการครับ ตอนนี้ดูผ่านเฟสบุ๊คครับ กล่องดาวเทียมเป็นกล่องSD เลยไม่มีสัญญานครับ กล่องที่เป็นHD ยังไม่มีสัญญานครับชื่อช่องบุญนิยมทีวี แต่ไม่ใช่ช่องชาวอโศกครับกล่องของ IPM ครับ
พ่อครูว่า… ยังไม่เรียบร้อย คอยติดตามไปนะ
คนโสดคือคนเป็นบัณฑิตเป็นเช่นไร
_สติพล จนพัฒนา : พระพุทธเจ้าตรัสว่าการเป็นโสดเป็นบัณฑิต..คงหมายถึงการไม่มีกิเลสกามละกระมังครับ..เพราะเอาแค่เป็นโสดภายนอกเท่านั้น…คนโสดเยอะมากเลยครับ.
พ่อครูว่า…อันนี้จะหมายถึงอย่างที่คุณว่า หมายถึงไม่มีกิเลสกาม ก็คือผู้ที่ลดกิเลสกามได้เรื่อยๆจริงๆ จนถึงขั้นคนไม่มีกิเลสกามก็เป็นอนาคามี ก็ต้องเป็นบัณฑิตแน่นอน เป็นผู้บรรลุธรรมแน่นอน คำว่าบัณฑิตคือผู้ที่บรรลุธรรม ผู้เจริญในธรรม เจริญจากปุถุชนสามัญธรรมดาขึ้นไปเรื่อยๆ
คำว่าโสดคำนี้ จริงๆแล้วมันหมายถึงการไม่มีคู่ ที่เป็นผู้หญิงผู้ชายมาจับคู่แต่งงานกันเป็นคู่สมรส นั่นก็ชัดเจน ทุกคนก็รู้กันเป็นเรื่องปกติสามัญ ที่ใครๆก็รู้กัน ส่วนความโสดที่คุณหมายถึงการไม่มีกิเลสกาม โอ้โห มันลึกนะ มันลึกซึ้ง ก็ค่อยๆทำความเข้าใจ มันก็ดีทั้งนั้นแหละ โสดที่ไม่มีคู่ ในรูปธรรมธรรมดาก็ดี ไม่ต้องมีใครเป็นภาระ ไม่ต้องคอยก่อเรื่องให้มี คือคนเรามันมีเรื่องลึกลงจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของเราเองแท้ๆตัวคนเดียว เราก็ต้องระมัดระวังกระทบสัมผัสกับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่
ส่วนคนที่แต่งงานกันแล้ว มันลึก ไม่ใช่ว่าจะชาติไหนก็แล้วแต่ แต่งงานกันแล้วเท่ากับสัญญากับสังคมแล้วว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นครอบครัวเหมือนคนคนเดียวกัน มันก็เลยยิ่งหนัก ขนาดใจเราใจเดียวก็ยังหนัก เอาอีกใจหนึ่งมาคอยดูแล คอยระมัดระวังกัน มันก็ยิ่งหนักกันใหญ่ มันเป็นภาระ คนที่ฉลาดก็อยู่เป็นคนโสดนั่นแหละดีเป็นบัณฑิต ยิ่งลดกิเลสก็แน่นอนยิ่งเป็นบัณฑิต
_น้อมดิน ทยาธรรม : ได้ความรู้ มากเลยค่ะ ฟังคุณหมอ แนวคิดหมอวรงค์ ถูกต้องที่สุด
ผู้บรรลุธรรมของพุทธในยุคนี้มีอยู่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น
_คนจน คนนา : เพราะท่านพูดว่าอยู่ที่คนเลือกนี่แหละ เป็นปัญหามาก เพราะแต่ละคนภูมิปัญญาต่างกันมากลิบลับ โดยเฉพาะภูมิทางคุณธรรม
พ่อครูว่า… คนที่มีภูมิปัญญา ท่านก็รู้ปัญหา ไหนที่เกี่ยวกับท่าน ท่านช่วยเขาได้ก็ช่วย อันไหนไม่เกี่ยวหรือช่วยไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ช่วย ปัญหามันมีมากมาย ถ้าหากไม่บรรลุธรรมจริงๆ ทางโลกยิ่งเป็นโลกียไม่ได้บรรลุธรรมแบบโลกุตระเลย ยิ่งไม่มีทางจะหมดปัญหาได้เลย ปัญหาเขาจะมากๆ
แค่ประเด็นนี้ผู้ที่มีภูมิธรรมโลกุตตรธรรมแล้วปัญหาทางโลกนี้จะมีน้อย เมืองไทยเองเป็นเมืองพุทธ แล้วอาตมาขอยืนยันว่า ทุกวันนี้พุทธศาสนา มีเมืองไทยเท่านั้นที่มีโลกุตรธรรม ที่มีผลต่อมนุษย์จนปฏิบัติลดละกิเลสได้ ปฏิบัติแล้วบรรลุมรรคผลได้ นอกนั้นไม่มี ประเทศไหนก็แล้วแต่ที่มีศาสนาพุทธแม้แต่ประเทศอินเดียเอง เพราะไม่รู้จักโลกุตรธรรมแล้ว ปฏิบัติลดกิเลสไม่ได้ ได้อย่างเก่งก็กดข่มกิเลส
ฟังประเด็นชัดๆ ลดกิเลสคือทำลายกิเลสหมดลงไปได้ด้วยปัญญาด้วยฌาน เป็นฌานแบบลืมตาไม่ใช่ฌานสะกดจิต มันเผากิเลสจนหายไป แล้วจะไม่มีกิเลสอีก เป็นพระอรหันต์แล้วไม่มีกิเลส หมดแล้วหมดเลยไป ตายชาติหน้าเกิดมาเป็นโพธิสัตว์อีกสืบทอดต่อพุทธภูมิ กิเลสก็ไม่มี แต่จะมีลิงลมอมข้าวพองได้ แม้แต่ชาติที่เป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ดูเหมือนตอนแรกจะมีกิเลสอย่างโลกๆเขา ต้องแต่งงานต้องมีอะไรต่างๆนานา เหมือนยังมีโลภโกรธหลงแต่ที่จริงมันลึกซึ้งมาก มันเป็นเรื่องถูกครอบงำทางสังคมเท่านั้นเอง ไม่ช้าไม่นานก็สลัดได้ อันนี้อาตมารู้ดีเพราะอาตมาเป็นเองจึงบอกได้
ศึกษาไปดีๆ พูดไปก็เหมือนคนหลงใหลเชิดชูยกย่องพระพุทธเจ้าเกินไป จนกระทั่ง อาตมาก็ได้ยกย่องชมเชยมาไม่น้อยแล้วก็รู้สึกเกรงใจ ที่จริงมันไม่หมดไม่พอหรอกที่จะยกย่องค่อยว่ากันไป
7 ปีนี้พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ยึดอำนาจมาบริหาร
_สมพร : เขาเรียกร้องชัดเจน แต่พวกคุณสิ ไม่ชัดเจน เด็กต้องการเลือกตั้ง แต่พวกคุณต้องการให้ทหารยึดอำนาจ ฝ่ายหนึ่งประท้วงให้มีการเลือกตั้ง อีกฝ่ายประท้วง เพื่อให้ทหารเข้ามาโกงกิน เขาต้องการให้ประหยุทธิ์ลาออกแล้วมีการเลือกตั้ง
สงบแต่ยึดสนามบิน เอาผ้าเหลืองมาใส่ เลวสุดๆ เลย
(คอมเม้นท์จากรายการปัจจุบันเสวนา สัมภาษณ์คุณแซมดิน)
พ่อครูว่า… ด่าฟรีนะ เราไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับเขาอย่างนั้นเลย ก็ต่างคนต่างเห็นต่างคนต่างคิดนะ อาตมาก็ขอยืนยันว่า พลเอกประยุทธ์ไม่ได้มาเผด็จการ พลเอกประยุทธ์ไม่ได้มายึดอำนาจ ทุกวันนี้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการยึดอำนาจ แต่เป็นนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายของประเทศ ได้รับการเลือกตั้ง แม้ว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใด แต่เขาก็เลือกตั้งกันแล้ว คุณนั้นงมงายกันอยู่อะไรกันเล่า เขาผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว จะครบ 4 ปีสมัยนี้แล้ว
ใช่ 4 ปีแรกนายกฯประยุทธ์เหมือนยึดอำนาจ แต่เราขอยืนยันว่านั่นก็ไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจ แต่เป็นประชาชนยึดอำนาจ เสร็จแล้วพลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อ แต่คนที่ไม่ประสีประสาก็บอกว่านายกฯมายึดอำนาจ พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจ ก็ไม่ผิดหรอกก็ถูกของเขาเพราะว่ารูปธรรมมันเป็นอย่างนั้น แต่ที่จริงอำนาจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีแล้วประชาชนไล่ไปเปิดเปิงแล้ว แล้วนายกฯประยุทธ์ก็มารับหน้าที่ดำเนินการบริหารประเทศต่อไป เพราะเป็นหัวหน้า คสช.
แล้วพวกเราชาวประชาชนยึดอำนาจได้แล้วก็ไม่มีใครคิดจะตั้งตนเป็นผู้บริหารประเทศ อาตมาก็ยังเคยบอกว่าตั้งนานกว่าจะมารับช่วงต่อ พลเอกประยุทธ์มารับช่วงต่อ ตอนที่ 4 ปีแรกบริหารไป แล้วจากนั้นก็มีการเลือกตั้ง เขาก็เลือกพลเอกประยุทธ์ให้เป็นนายกฯอีก รู้ให้มันชัดเจนสิว่านี่คือประชาธิปไตยบริบูรณ์ที่สุดแล้วในประเทศไทย
เมื่อเป็นประชาธิปไตยแล้วจากนั้นผ่านมาก็ 7 ปีแล้ว มีบ้างที่มีประชาชนค้านแย้ง เป็นพวกโง่เง่าเป็นคนกระจุกเดียวนิดหน่อยเป็นธรรมชาติธรรมดาก็ต้องมี error มีจำนวนหนึ่งที่บ้าบอตกโลกตกยุค ไม่ชัดเจนในสัจจะสักอย่างเขาก็ทำกันอย่างที่ทำ คนที่รู้เขาก็รู้ แต่คนที่รู้ก็จะทำแบบกวนประเทศจะทำไม มันส์ดี พวกมาโซคิสซาดิส ก็จะได้เงินทองใช้บ้าง มีความซับซ้อนสารพัด
พวกคุณมาด่าเราฟรี เราไม่ได้เลว ไม่ได้โง่เง่าอย่างที่คุณว่าเลย ที่คุณว่ามานี่ด่าตัวเอง เพราะไม่รู้ความจริงชัดเจนพวกนี้ คุณชื่อสมพร ขออภัยที่ตอบคุณแรงไปหน่อย มันเป็นความจริง
SMS วันที่ 20-21 ก.ย. 2564
ความแตกต่างระหว่างพระอวโลกิเตศวรกับพระเจ้า
_ฝน : วันนี้พ่อครู กล่าวว่าจะมาต่อความแตกต่างระหว่าง พระอวโลกิเตศวร กับ พระเจ้าต่างกันเช่นไรค่ะ กราบนมัสการ อย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… พระอวโลกิเตศวร เป็นชื่อฉายาโพธิสัตว์ใหญ่ที่อยู่ยาวนาน ยาวนานจนกระทั่งท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยาวนานที่สุด จะไม่ปรินิพพานไปก่อน จนกว่าจะช่วยคนให้เป็นพระอรหันต์ให้หมดโลกท่านจึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องสุดวิสัย เป็นปณิธาน
สู่แดนธรรม… ผมคิดว่าในที่สุดพระอวโลกิเตศวรก็มีที่จบ แต่พระเจ้าไม่มีที่จบใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ พระเจ้าไม่มีที่จบหรอก วนในกะลาครอบในความรู้เก่า ซึ่งเขาไปไหนต่อไหนตามเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่เขาก็จมอยู่ในอันเก่าไม่มีองค์ประกอบใหม่ แม้แต่สัปปุริสธรรม 7 ก็ไม่มี เป็นคำสอนตายตัวอย่างไรอย่างนั้น ยุคไหนก็ยุคนั้นอย่างนั้น พันปี 2021 ปีมาแล้ว ก็สูตรเดียวกัน ไม่มีอนุโลมปฏิโลมไปตามกาละเทศะฐานะ ก็ว่าไป คนที่มีความรู้ความเห็นแค่ไหนเขาก็เป็นแค่นั้น
_พลังเพ็ญ คำด้วง : รับชมที่บวรสันติอโศกค่ะ พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ อะไรก็เป็นจริงทุกอย่าง เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จริงหนอ กราบนมัสการด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า… ธรรมดาหมอดูก็ทำนายแม่นมี แต่พระพุทธเจ้านี้พยากรณ์ได้ว่าใครจะเป็นอะไรต่อไป เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเป็นต้น แม่นยิ่งกว่าแม่น มันยิ่งกว่าจับวาง ศึกษาสัจจะให้ดีแล้วจะเห็น
ปัญญาเหนือกว่าเจโตโดยสัจจะ
_ยอด คมมั่น : แป้ง..ขอถามผ่านไปถึงพ่อท่านหน่อยว่า”พ่อท่านใหญ่มาจากไหนจึงได้พูดด้อยค่า”ท่านพระมหากัสสป”อยู่บ่อยครั้ง” ขอถามตามหลักวิชาการนะแป้งเพี้ยนรัก??
สู่แดนธรรม… ผมก็ไม่รู้ว่าคุณยอด คมมั่นคือใครนะครับ ผมก็ตอบตามหลักวิชาการ จริงๆแล้วพ่อท่านพูดไปอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่ามีเจตนาจะไปข่มหรือด้อยค่าท่านพระมหากัสสปะ มันเป็นธรรมชาติที่สิ่งใดอยู่เหนือกว่าสิ่งนั้นก็อยู่เหนือกว่าโดยแท้ เช่นน้ำมันก็ต้องรออยู่เหนือน้ำ จะให้พูดว่าน้ำเหนือกว่าน้ำมันมันก็ไม่ถูก ผมก็จะตอบโดยวิชาการว่า ธรรมชาติของพลังงานทั้งสายปัญญาสายเจโต
ในธรรมะอินทรีย์ 5 พละ 5 จะแบ่งฝ่ายเป็น ปัญญากับเจโต
อำนาจของเจโต ต้องมี 4 ข้อ ตั้งแต่ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ทั้ง 4 รวมกันจึงจะเท่ากับปัญญา 1 ข้อ 4 รุม 1 คุณว่าใครเก่งกว่ากัน มีข้อสังเกตอีกว่า วิริยะ ถ้าคุณอยู่สายวัดป่าก็มีพลังงานวิริยะเต็มที่เลย แต่ถ้าไร้ซึ่งสัมมาทิฏฐิไร้ซึ่งปัญญา พลังงานเหล่านั้นก็จะไร้การควบคุม
พ่อครูว่า… เหมือนคนเข้าป่าหลงทางเลย
สู่แดนธรรม… เหมือนคนบ้าพลัง หากไร้สัมมาทิฏฐิก็จะไม่มีทิศทางลดละไปสู่ความไม่มี
พ่อครูว่า… เอาง่ายๆ ผู้ที่มีฐานของปัญญา บำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ส่วนสายศรัทธานั้น 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ส่วนพวกวิริยาธิกะ ใช้เวลา 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป หลงทางอยู่ในป่ากว่าจะออกจากป่าก็ใช้เวลานาน นี่เป็นสัจจะตามวิชาการ
เพราะไม่พบสัตบุรุษคือพ่อครูทำให้เข้าใจบุญไม่สัมมาทิฏฐิ จึงไม่บรรลุธรรม
_ศุภรัตน์ จันทร์ดอน : ฟังพ่อครูบ่อยๆ จนปัจจุบันเข้าใจเรื่องบุญชัดเจนแล้วค่ะ
พ่อครูว่า…ศาสนาพุทธนั้นเสื่อมไปมาก ถ้าใครฟังแล้วเข้าใจดีว่าบุญต่างจากกุศลอย่างไร แม้แต่มีพระบาลีบอกว่า ปุญญปาปปริขีโณ เมื่อบาปก็หมดบุญก็หมด ก็สูญสิ้น ปุญญปาปปริกขีโณ พระอรหันต์พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่มีบาปแล้วก็ไม่ต้องปฏิบัติบุญอะไรอีกแล้ว แค่ความหมายคำว่าบุญที่อาตมาเอามาไขในยุคนี้ อาตมาคิดว่าอาตมาคงเป็นคนเดียวนะ ที่เอามาพูดว่า บุญ ต่างกับกุศลคนละเรื่อง ลิบลับเลย
บุญสะสมไม่ได้ บุญไม่มีหน้าที่สะสมเลยอะไรอย่างนี้
คนเข้าใจทำบุญที่เกิดจากฌานเผากิเลสจนหมดเป็นบุญได้ ไม่เข้าใจพยัญชนะภาษาคำว่าบุญได้จะเอาไปปฏิบัติสภาวะเป็นบุญได้อย่างไรจะบรรลุได้อย่างไร เพราะเอาไปปฏิบัติก็จะเพี้ยนความหมายอย่างอื่นแล้ว ไม่ใช่ความหมายตรงของมันแล้ว เป็นความหมายเพี้ยนไปแล้วจะได้ผลอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ของแปลกที่มันเสื่อมไปขนาดนี้จนไม่มีใครบรรลุธรรมแล้ว
คำว่าบุญ คำว่ากาย เขาก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาเอามาเปิดเผย คำว่า กาย เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 คำว่ากาย หากเข้าใจว่าไม่มีสิทธิ์เข้าไปร่วมเลยนั้นผิดไปเลยใช้ไม่ได้ จะไปบรรลุได้อย่างไร สังโยชน์ข้อแรก สักกายทิฏฐิ ก็มิจฉาทิฏฐิก็จะพ้นไม่ได้ แล้วปฏิบัติธรรมก็จะไม่ได้ผลอะไร
แล้วยิ่ง กว่าจะมารู้จักมรรคมีองค์ 8 กว่าจะมาปฏิบัติสังโยชน์ได้ ต้องพบแสงอรุณ 7 ก่อน
ต้องพบสัตบุรุษ เช่น ในยุคนี้ไม่รู้คำว่ากายคำว่าบุญเป็นต้น พอไม่รู้ก็ไม่รู้กันทั้งหมด อาตมาก็มาประกาศความจริงจึงต้องมาพบอาตมาต้องมาฟังอาตมาต้อง ปรโตโฆษะ อาตมาอย่างสัมมาทิฏฐิจึงจะรู้ว่า กายเป็นอย่างนี้บุญเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้ คุณก็จะไปปฏิบัติโยนิโสมนสิการได้ ปฏิบัติและพัฒนาจิตใจทำใจในใจของคุณให้มันสัมมา ให้มันบรรลุได้
แต่นี่คุณเห็นโพธิสัตว์มาพูด โพธิสัตว์มาบอกคุณก็ไม่ฟังไม่เอาแล้วไม่เชื่อเลย คุณก็อยู่ในกะลาครอบของคุณตลอดกาลไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้าได้เลย แล้วก็ไปหลงนับถืออรหันต์บูชาเชิดชูกันที่เป็นอรหันต์หลอก ซ้ำซ้อนกัน น่าสังเวชใจ มันสุดสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ได้แต่บ่นอย่างนี้แหละ ก็ว่าไปก็ไม่รู้จะทำอย่างไรบังคับกันไม่ได้
_นภารัตน์ อิ่มรัง : ลูกมีภาวะรู้กิเลส.แต่สู้ผัสสะไม่ไหว
พ่อครูว่า…คำว่าไม่ไหวนี้เหมือนจะท้อนะ ก็อย่าท้อ มันหนักหนาสาหัสก็อนุโลมมา
ศาสนาพุทธเน้นให้พ้นสุขพ้นทุกข์เป็นยอดของทุกอย่าง
_พ่อยาว น้องโมโม้ : ชีวิตคนเราเลือกได้ด้วยหรือถ้าเลือกได้ใครอยากทุกข์
พ่อครูว่า…โลกียะสอนเรื่องดีเรื่องชั่ว โลกีย์ทั้งโลกนี้สอนให้ประพฤติดีละชั่ว แต่ศาสนาพุทธไม่เน้นตรงนั้น แต่ไม่ใช่ว่าไม่สอนให้ประพฤติดี ก็สอนให้ประพฤติดีละชั่ว แต่เน้นยิ่งกว่านั้นจึงเรียกว่าโลกุตระ เน้นให้พ้นสุขพ้นทุกข์ อันนี้แหละเป็นเรื่องยาก ศาสนาพุทธสอนให้เป็นเรื่องวาง ละสุขละทุกข์ แค่นี้แหละใช่เลย เป็นยอดของทุกอย่าง แล้วสอนเรื่องดีชั่วเหมือนอย่างอื่นไหม ก็สอนเหมือนกันแล้วเคร่งครัดกว่าด้วย เคร่งอย่างถูกต้องด้วยเพราะว่า เคร่งอย่างไม่เป็นฤาษี เคร่งอย่างเป็นคนในสังคม รู้จักดีชั่วของสังคม รู้จักโลกาธิปไตย รู้จักอัตตาธิปไตย รู้จักธรรมาธิปไตย ให้อยู่กับสังคมด้วยการช่วยโลก มีอายะ 3
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : ยืมเงินแล้วไม่จ่ายผิดศีลข้อใหนครับท่าน
พ่อครูว่า…ก็ศีลข้อ 2 นี่แหละ คุณก็บอกว่าผิดศีลข้อ 2 นะ
_ส.ฮังดิน ภูมิคโต : ขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า กรรมปัจจุบันเป็นตัวแปรของวิบากได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ตัวกรรมอดีตมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ตัวกรรมปัจจุบันเปลี่ยนแปลงได้ อดีตนั้นผ่านไปแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึงให้ปฏิบัติ จะไปทำอะไรได้
_ตีโจทย์พระพุทธพจน์ ที่กล่าวว่า .. อาหารเป็นหนึ่งในโลก ..ด้วยเหตุใด??
.. ด้วยเหตุที่ ..
.. ดนตรี เป็นศิลปะ อันประกอบด้วย”เสียง” แต่ไร้ซึ่ง รูป-กลิ่น-รส และสัมผัส
.. จิตรกรรม/ประติมากรรม เป็นศิลปะ อันประกอบด้วย “รูป” แต่ไร้ซึ่ง เสียง-กลิ่น-รส และสัมผัส
.. ส่วน อาหาร นั้นเป็นศิลปะอันอุดม เนื่องด้วย ประกอบด้วย รูป-รส-กลิ่น-เสียง และสัมผัส ..
.. ด้วยเหตุนี้ “อาหาร” จึง “เป็นศิลปะอันอุดม” .. และ “อาหาร” จึง “เป็นหนึ่งในโลก” ดังนี้ฯ แล.
กราบ ? นมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพยิ่ง ..
.. น้ำนวลดิน ตีโจทย์พระพุทธพจน์เช่นนี้ตามความเข้าใจ ถูกต้องตามความหมายหรือไม่เจ้าคะ?? .. พ่อครูฯ จะมีเมตตาตอบและอธิบายขยายความ เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้างค่ะ?
พ่อครูว่า… ได้
_ฟ้าใส แซ่หว่อง….กราบระลึกถึงคุณของหลวงปู่สมณะโพธิรักษ์ ค่ะ
ลูกขออนุญาตมีความเห็น(ส่วนตัว) ค่ะ
ศีลน่าจะมี 3 อย่าง ไหมคะ?
๑. ศีลเกิดจากการสมาทาน รับเอามาปฏิบัติ พอสมาทานบ่อยๆ เหมือนย้ำศีลเป็นประจำ ถ้าไม่สมาทาน ก็จะไม่มีความตั้งใจที่จะงดเว้น พอยุงกัดก็เผลอตบเลย เพราะมันเป็นความเคยชินก็ตบเลย โดนกัดก็บี้เลย
๒.ศีลเกิดจากตั้งใจงดเว้นในเหตุการณ์เฉพาะหน้า (ไม่ได้สมาทานมา) มีเหตุการณ์ที่ยั่วขึ้นมาให้ผิด แต่ก็คิดถึงเหตุถึงผล คิดข้อดี ข้อเสีย แล้ว เลยงดเว้นตรงนั้น เขาก็เรียกว่าเป็นศีลที่เกิดจากการ วิรัติ งดเว้นในเหตุการณ์นั้นๆเช่น ใครก็แล้วแต่ ที่เค้าไม่ได้สมาทานศีลเลย แต่พอมีเหตุการณ์เฉพาะหน้า เขาก็คิดทบทวน ทำดีไม่ทำดี ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นฟ้องร้อง เดี๋ยวถูกจับ ฯลฯคิดกลัวเหตุ กลัวผล ก็เลยไม่ทำ เช่น สส. ,นายกรัฐมนตรี,ผู้นำ,ประธานาธิบดี บางคน (ไม่ได้เป็นพุทธศาสนิกชน)ก็คิดถึงเหตุถึงผล พอมีเหตุการณ์ให้ผิด แต่ไม่คอรัปชั่น ไม่ฉ้อขโมยเงินงบประมาณแผ่นดิน ฯลฯ ถ้าหากทำผิด กลัวถูกฟ้องร้อง เป็นต้น
๓ . ศีลของพระอรหันต์ คือ ไม่ต้องมาตั้งเจตนาใด ใด พระอรหันต์จะเป็นผู้มีศีลเป็นปกติ (๔๓ ข้อ) ไม่ผิดเลย ตั้งแต่วันที่บรรลุธรรม ส่วนพระธรรมวินัย อาจจะบกพร่องเล็กๆน้อยๆ ผิดพลาดได้ แต่ก็ชื่อว่า เป็น “ สามี จิติปะฏิปัน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ” คือเป็นผู้ปฏิบัติสมควร ทำอะไร มันก็สมควรหมด อย่าไปเพ่งโทษท่าน พราหมณ์ ผู้ลอยบาป. สมณะ ผู้สงบบาป
แผ่นดินพุทธมีแห่งเดียวในโลกอยู่ที่ชาวอโศก
และลูกขอโอกาสถามหลวงปู่ ค่ะ ว่า อาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกว่าติดกันทั่วโลก คำว่า “ อาหาเร ปฏิกูลสัญญี ” (อาหารเป็น ปฏิกูล )เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าหรือไม่คะ?
พ่อครูว่า… เป็น อยู่ในสัญญา 7 สัญญา 10
คำว่าอาหารเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก เราพูดกันเรื่องศีล เรื่องปฏิบัติทางปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตา เป็นการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า คนที่งมงายก็บอกว่าพูดอะไรไป แล้วที่พูดนี้นอกของพระเจ้าสอนอยู่ไหม ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนกันทั้งนั้น
แต่เรื่องที่ไปนั่งหลับตาแล้วไม่พูดเรื่องเหล่านี้เป็นพวกงมงาย เป็นพวกเดียรถีย์นอกรีตแล้วไม่รู้ตัว แล้วมาหาว่าพวกเราพูดอะไรกัน ทำไมไม่ไปภาวนา ภาวนาก็คือการนั่งหลับตาสะกดจิตทำสมาธิ เขาบอกว่าไม่ต้องศึกษาสิ่งเหล่านี้หรอก นี่คือความงมงายที่สุด พระป่าพระที่ปฏิบัติธรรมตอนนี้เป็นพวกงมงายที่สุดในศาสนาพุทธ แล้วหลงตัวเองว่านั่งสมาธินั่นแหละทำให้บรรลุธรรม
นั่งสมาธิและบรรลุธรรมหลับตาไม่มีในศาสนาพุทธ
แม้พระพุทธเจ้าตรัสว่า การปฏิบัติสมาธิจะบรรลุธรรมได้ แต่ ก็ไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติสมาธิคือไปหลับตา ไม่ใช่นะ มีคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า การบรรลุธรรมบรรลุธรรมได้ด้วยการฟังธรรม ทบทวนธรรม บรรลุได้ด้วยการแสดงธรรม บรรลุได้ด้วยการฟังธรรม บรรลุได้ด้วยการปฏิบัติสมาธิ
แล้วจะไปตีขลุมว่า การปฏิบัติสมาธิคือการนั่งหลับตานั่นก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หลับตา หลับตาไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า พวกหลับตาสมาธิคือพวกออกนอกรีดพระพุทธเจ้าไปไกลลิบเลย ผู้เข้าป่าแล้วไปนั่งหลับตาสมาธิใน คุหัฏฐกสูตร คือผู้ไกลจากวิเวก จมลงในความหลง อย่างกู้กลับไม่ได้เลย หลงงมงายติดยึดกัน
ยุคนี้มันซวย ที่พระพาปฏิบัติผิดเพี้ยนไปหมดเลย สายพระป่าก็ไปหลงลาภยศสรรเสริญอย่างที่เห็น มันไม่ใช่การเรียนรู้ปฏิบัติ เรียนรู้แล้วไปหลงในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขคือพระสายเปรียญสายวัดบ้าน ส่วนพระป่าไปหลับตาปฏิบัติก็ออกนอกประเทศทั้งคู่เลย
แล้วเข้าใจว่าศาสนาพุทธนี่แหละ มีอยู่ 2 สายคือพระป่ากับพระบ้าน พอพระไม่ใช่พระป่านะแน่นอนแล้วไม่ใช่พระบ้านอย่างของคุณ อย่างชาวอโศกไม่ใช่พระบ้านไม่ใช่พระป่า เขาก็หาว่าไม่ใช่พุทธ อาตมามาสอนธรรมะพระพุทธเจ้าเอาธรรมะพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องมาสอน เขาบอกว่าไม่ใช่พุทธ ซึ่งน่าสงสารจริงๆเลย
อาตมาตั้งข้อสังเกตมาหลายมุมหลายมิติหลายแง่
มิติที่พูดซ้ำบ่อยๆ อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายขยายความมาสอนมาพูด อาตมานำมาจากพระไตรปิฎก แม้แต่ก่อนนี้ อาตมายังไม่มีพระไตรปิฎก มันก็เป็นธรรมะที่ตรงกับพระไตรปิฎก ตอนหลังอาตมาก็เอาพระไตรปิฎกยืนยันอ้างอิงตลอดเวลาเลยเขาก็เลยเงียบๆไป
นอกจากจะเอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงยืนยันแล้ว เราก็ปฏิบัติได้มรรคได้ผลมีชีวิตบรรลุธรรม อาตมาสรุปว่าชาวอโศกปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าบรรลุธรรมเรียบร้อย จนกระทั่งกลายเป็นสังคมที่มีสาราณียธรรม 6 เรียบร้อย มาอยู่กันเป็นชุมชนสังคมพุทธ ที่ขึ้นป้ายว่า “แผ่นดินพุทธ” ซึ่งไม่ได้ขึ้นป้ายเล่นนะ ยืนยันจริงว่ามีพุทธแท้อยู่ที่นี่ในชาวอโศก ที่อื่นไม่มี ขออภัยที่พูดความจริงตรงเกินไป ที่อื่นไม่ใช่พุทธหรอกถ้าไม่ใช่ชาวอโศก ขออภัยจริงๆเลย รู้สึกว่าเกรงใจที่พูดคำนี้มันแรง ไปดูถูกดูแคลนคนอื่นเขาจริง แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆโดยสัจจะ
เพราะฉะนั้น พวกเราจึงมีอยู่กันอย่างเป็นสังคมที่ชัดเจน อยู่กันด้วยเมตตากายกรรมเมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วก็ได้ ลาภโดยธรรม ลาภธัมมิกา เอามารวมกันเป็นสาธารณโภคี ทำได้อย่างนี้ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลย
หรือ คุณธรรมวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ความเจริญให้ง่ายนั้น เราก็ไม่ได้ลบหลู่พวกที่ไปเรียนจากเมืองนอกมาเป็นเทวนิยมแล้วจะเอามาเหนือพุทธศาสนา มันไม่ใช่ แต่อย่างที่พุทธศาสนาที่เขายึดถือกันและที่อยู่ในเถรสมาคมนั้นก็ไม่ใช่ ซึ่งจริงด้วย เละเทะ สู้แบบเทวนิยมเคร่งๆไม่ได้ เขายังดีกว่าอีก
เพราะฉะนั้นชาวอโศกนี้ อย่าง วรรณะ 9 นี้ ยากจะเข้าใจ (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) มีน้อยอย่าไปมีมาก สันตุฏฐิ แค่นี้ก็พอน้อยก็พอใจมันพอ แต่เขาแปลว่าพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็ชิบหายเลย บิลเกตส์เขาก็พึงพอใจสิในทรัพย์สินของเขา หรือเศรษฐีคนไหนเขาก็พอใจ แล้วเขาก็ไม่หยุด หยุดของเขาไม่พอนะ เขาพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แต่เขาไม่เคยพอที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ใจไม่พอ ใจไม่หยุด เอาแค่นี้พอ สละออก มากกว่านี้ไม่เอา
พวกเรามาอยู่ที่จนที่สุด น้อยที่สุด สูงที่สุด อย่างสมณะนักบวชนี้ศูนย์เลย ไม่ต้องมีสมบัติอะไรอีกแล้ว มีเท่าไหร่เอาออกหมด ไม่ต้องสะสม และมีชีวิตอยู่ได้ไหม ได้ สบม-ธมด-ปกต-หห-จจ มช-ยลล ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ มาอยู่กันอย่างสบายมากเลย พิสูจน์ยืนยัน เดี๋ยวนี้ยิ่งทันสมัยใหม่เสมอ
ไม่สะสมยอดขยันมาทำงานฟรี มีชีวิตฝากชีวิตไว้กับหมู่ มีใจพอ ไม่แย่งชิง ไม่อยากมากมาย แต่ขยันหมั่นเพียรสร้างสรร มันสุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์ สุดยอดแห่งเศรษฐกิจเลย ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์โลก ด็อกเตอร์ก็ยังไม่มีภูมิรู้อันนี้หรอก ว่าเป็นคนจนและเป็นคนสร้างสรร ไม่สะสมเกื้อกูลผู้อื่นนี้ ทำกันเป็นทฤษฎี ทำกันเป็นวัฒนธรรม ทำกันเป็นกลุ่มมนุษยชาติเลยอย่างพวกเราทำ ท่ามกลางแม้แต่ชาวพุทธทั่วไปยังไม่เข้าใจเหมือนพวกเรา แต่เราก็ทำได้อย่างนี้ยากแสนยากแต่ก็ทำสำเร็จ เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก พูดใหญ่เหลือเกินนะโพธิรักษ์ แต่เป็นอย่างนั้นจริง ต่อไปในอนาคตนั่นแหละ นักศึกษาทั้งหลายจึงจะมาเห็นว่า โอ้โห! อันนี้ของพระพุทธเจ้า โพธิรักษ์เอาของพระพุทธเจ้ามาสอนเอาไว้ พ.ศ. 2500 กว่านี้ ตอนมีชีวิตอยู่เขาไม่ฟังโพธิรักษ์ ตอนนี้มีแต่คำสอนที่บันทึกเอาไว้ โพธิรักษ์ตายเสียแล้วจะมาถามก็ไม่ได้แล้ว ถ้ายังไม่ตายก็ยังพอจะทำได้ มาซักตอบได้ ขยายความได้ มุมไหนที่ยังไม่ชัดเจนก็ถามให้ขยายความได้
หมดสุขทุกข์เพราะหมดวิปลาส 4
มันน่าประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่ง อาตมาเผชิญอยู่ ว่า อาตมาไม่ข้องติด คุณจะถามปัญหาอะไรก็ไม่ข้องติด ..ไม่ติด ตอบได้หมด จริงๆ
สู่แดนธรรม… อันไหนที่ตอบไม่ได้ล่ะครับ
พ่อครูว่า… ตอบไม่ได้ก็คือสิ่งที่อาตมาไม่รู้ ก็ยิ่งง่าย มาถามสิ่งที่เราไม่รู้ เช่น ไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่ ไม่รู้ ก็ตอบไม่ได้จริงๆ
ญาติธรรมว่า…ไก่เกิดก่อนค่ะ
พ่อครูว่า… ก็พูดไปหรือมีอะไรอื่นๆที่งมงายก็พูดกันไป
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าไปเที่ยวไปคิดอะไรๆที่เป็นประเด็นที่ท่านสรุปให้แล้ว มาศึกษาเรื่องสุขเรื่องทุกข์ ถ้าคุณเข้าใจเรื่องสุขเรื่องทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องที่มนุษยชาตินี้ติดยึด หลงใหลงมงาย ถ้ารู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วเลิกติดยึด ไม่สุขไม่ทุกข์
คำว่า ไม่สุขไม่ทุกข์นี้เป็นภาษา มันไม่ถึงซึ่งความจริงหรอกเพราะว่าสุขทุกข์มันเป็นมายา มันไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้นคนไปหลงมายา คนไปหลงความสุขความทุกข์อยู่ จึงเป็นการหลงไปอยู่กับโลกเขา สุขทุกข์มันเป็นเรื่องโลกๆป็นเรื่องยึดติดตามอุปาทาน
เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนรู้ว่าที่มันเป็นเรื่องอุปาทานเป็นเรื่องหลอกๆลวงเป็นเรื่องเท็จคืออย่างไรและเรื่องจริงคืออย่างไร
เรื่องจริงคือเรื่องตากระทบรูป ก็รู้จักรูปตามความเป็นจริง หูกระทบเสียงก็รู้เสียงตามความเป็นจริง ไม่มีดีหว่า ชอบหว่า ไม่ชอบหว่า ไม่มี ชอบหรือไม่ชอบ ดีหรือไม่ดี ยึดติดกัน ไปถามพวกดนตรีหูแตกสิ เล่นเบาๆ เขาก็บอกว่าไม่ได้เรื่องต้องตีให้ดังหูแตกถึงจะดี ส่วนไอ้คนที่ไม่ชอบก็ว่าจะบ้ารึ หูจะแตกมันดังเลอะเทอะเกินไปให้ไปที่อื่น ก็เท่านี้มันก็ทะเลาะกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ
หรือ ส้มโอต้องรสอันนี้ ถ้าไม่ใช่รสนี้ไม่ใช่ส้มโอ รสดี ต้องรสนี้ คุณก็ยึดของคุณเอง อย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี สีอย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี เสียงอย่างนี้ดีเสียงอย่างนี้ไม่ดี ยึดทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นอะไรมันเกิดเป็นอย่างนั้นๆ มันก็เป็นอย่างนั้นๆของอย่างนั้นๆ ต่างกันเท่านั้นเองก็จบ
แล้วเราก็รู้ตามโลกที่เขารู้ว่า คนนี้เขายึดอย่างนี้ๆ เราเข้าใจเขาแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันก็พยายาม เราก็อยากให้เขาได้ตามชอบก็แบ่งแจกเฉลี่ย
เพราะฉะนั้นจะบริหารประเทศ เพื่อให้คนแต่ละคนชอบแต่ละอย่างแตกต่างกันเพื่อจะไกล่เกลี่ยให้อย่าทะเลาะกันอย่าตีกันอย่าแย่งกัน มันก็อันเดียวกันกับการมาเรียนศาสนาพระพุทธเจ้าให้ไม่ติดยึดความสุขความทุกข์ ไม่ติดว่าจะต้องน่าได้น่ามีน่าเป็นอย่างโลก สุภะอสุภะ ไม่มีอะไรน่าได้น่ามีน่าเป็นหรอก
มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็นน่าจะปรินิพพานเป็นประโยชน์สารทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณไม่ศึกษาจริงๆคุณก็จะต้องยึดติด น่าได้น่ามีน่าเป็นทั้งนั้น เป็นสุภะทั้งนั้น แต่แท้จริงมันอสุภะ
คนที่หลงสุภะ ก็เป็นคนวิปลาสในวิปลาส 4 เป็นคนวิปลาส เป็นคนสำคัญผิดในวิปลาส 4
-
เห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง
-
เห็นความทุกข์เป็นความสุข
-
เห็นความไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน
-
เห็น อสุภะเป็นสุภะ สิ่งที่ไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็นเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น