640917_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชีวิตคืออะไร แล้วชีวิตจะอยู่ไปทำไม
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1nNZj-MTg6FfP8_i4wEWbCLkOMDsSELNH2X3Q-dHylZA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/10eZt03IDwDAOQMYaM62QR5ksV3VwML2J/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/385750189834269
สมณะเดินดินว่า… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 17 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เหลือเวลาอีกไม่นานก็ถึงวันออกพรรษาคือวันที่ 20 ตุลาคม แต่โควิดทำให้เรานิ่งกับที่ไม่ไปไหน
มีพวกเราที่ปฐมอโศกติดโควิด 2 คน แต่เป็นคนไปทำงานนอกวัด อยู่นอกวัด ได้ไป ร.พ.ก็ได้รับการดูแลที่ดี และมีญาติธรรมที่อยู่ชลบุรีก็ติดเชื้อโควิด มีเชื้อลงปอด ต้องใช้ยา Favipiravir หลังกินยาก็หายใจโล่งขึ้น ต้อง x ray ดูบ่อยมาก
ที่สำคัญคือหากไม่ตกใจก็ไม่เป็นไร พวกเรามีใจดี ฝึกปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ก็ได้ไปช่วยเหลือคนรอบข้างที่เจ็บป่วยร่วมกัน
ทิศทางของโรคก็เบาบางลง หมอสันต์ ให้ความเห็นว่า ภูมิคุ้มกันหมู่จะเกิดได้ต้องฉีดให้ครบ 100% ของประชากร แต่โรคนี้ต่อไปก็เหมือนโรคหวัด คนรู้ทิศทางในการดูแลได้
ในบวรชุมชนพวกเราก็ยังรักษาตัวได้ดีไม่มีใครติดเชื้อโควิด แต่ก็อย่าประมาท แต่อยู่ข้างนอกอย่างไรก็ไม่ปลอดภัย ในเขตวัดจะปลอดภัยกว่า
บนโต๊ะมีทุเรียนลูกใหญ่
ชีวิตคืออะไร แล้วชีวิตจะอยู่ไปทำไม
พ่อครูว่า…อาตมาว่า น้ำหนักไม่ต่ำว่า 15 กก.แน่(คนบอกว่า 16 กก.) เอ๊ แม่นเหมือนกันนะ เพิ่งเคยเห็นทุเรียนลูกใหญ่ขนาดนี้ แต่ก่อนเอามาก็ดูว่าลูกใหญ่ แต่ลูกนี้ใหญ่กว่าอีก
พวกเรานี้โดยภูมิธรรมโดยปัญญา เข้าใจกันแล้วว่า ชีวิตนี้จะต้องมีอาหารเป็นหนึ่งในโลก แล้วอาหารก็คือพืชไม่ใช่สัตว์ใดๆทั้งนั้น พืช
เป็นพืชหนึ่งเดียว ไม่ใช่ทั้งพืชทั้งสัตว์ ซึ่งอันนี้ นับวันก็จะชัดเจนขึ้นทุกที มันจะพิสูจน์กันจริงๆ อาตมาพยายามรักษาชีวิต ไม่ใช่ว่าอยากจะมีชีวิตอยู่ยาวยืนนะ มันก็ต้องวนเวียนอยู่กับชีวิตทุกวัน แต่มันเข้าใจชีวิต
เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร?… แล้วชีวิตจะอยู่ไปทำไม? แล้วชีวิตจะเป็นอะไร จะมีอะไร อะไรดีอะไรไม่ดี มันจะเข้าใจ…หมดเลย แล้วก็จะเข้าใจอีกว่า แล้วมาหลงยึดอะไร อันนี้สำคัญ มาหลงยึดอะไร มันจึงไม่เกิดปัญญาเข้าใจว่า ชีวิตมีเกิดกับตาย แล้วเกิดกับตายนี้เป็นภาวะ 2 ไม่มีจบเกิดตาย-ตายเกิด เกิดตาย-ตายเกิดๆๆๆๆๆๆๆ วนเวียนอยู่อย่างนั้น
แต่ทางเทวนิยม 100% ตายไปแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้ามีชาติเดียวชีวิตเดียวเพราะเขาไม่มีความเข้าใจว่ามันมี rebirth มันมีการหมุนเวียน ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย เขาไม่เข้าใจเพราะไม่มีคำสอน พระศาสดาของเทวนิยม ไปเอา 2 มาเป็น 1
เทวฺ แปลว่า 2 แล้วไปหลง 2 เป็น 1 แล้วยึดเอาว่า 1 ยิ่ง 1 สูงสุดแล้วเป็นเจ้าแห่งวิญญาณ เจ้าแห่งธาตุจิตอะไรไปหมด ก็เลยไม่มีความรู้แตกฉานอะไรเท่าไหร่ โดยเฉพาะไม่แตกฉานออกมารู้ 2 นัย รู้โลกุตระ เขาจะรู้แต่โลกียะที่จะวนเวียนอยู่กับสภาพที่มีสุขมีทุกข์มี 2 และเข้าใจเป็น 1 จริงๆแล้วมันมี 2 แต่เขาเข้าใจมันเป็นเพียง 1 แล้วเขาก็ไม่เรียนรู้ทุกข์ เขาไม่นำพาเรื่องทุกข์ เขาก็มุ่งเอาแต่ 1 เอาแต่สุขๆๆๆ เป็นสุขนิยม เขาก็เลยไม่รู้ความเป็น 2 สมบูรณ์แบบ
หากรู้ 2 สมบูรณ์แบบ รู้ 1 สมบูรณ์แบบแล้วก็จะรู้ว่ามี 0 เพราะอะไร? เพราะว่าทำ 2 ให้ เป็น 1 ได้ เมื่อทำได้ก็ทำ 1 ให้เป็น 0 ได้
หากจะแยก 1 เป็นครึ่งๆ ก็ทำ 2 ครึ่งนี้ให้เป็น 0 ได้แล้วทำได้จริง ไม่ใช่คาดคะเน ถึงรู้เกิดและดับอย่างไร ปัญญาข้อที่ 8 ดูการเกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมไปความดับ จริงๆมันไม่เคยตั้งอยู่นิ่งๆไม่เปลี่ยนแปลง มันมีแต่เสื่อมไปๆ กับเจริญ
แต่เจริญนั้น คุณจะต้องใช้พลังงานเข้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งสุดที่สุดแล้วคุณเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าใคร สูงสุดก็ให้พระพุทธเจ้า ท่านอาจจะเพิ่มได้มากมายจนอายุได้ 8 หมื่นปี แต่เราจะเอาสัก 100 กว่าปี นี่ก็ยุคนี้แล้ว เกิดคิดเกินคาดแล้ว
มันยึดอะไรอยู่ด้วยอวิชชา จนกว่าจะหายโง่ รู้ว่าชีวิตมันจะอยู่อย่างไร จะเป็นอะไรดีก็รู้แล้วแล้วก็ไม่ทำชั่วทำแต่ดีอย่างเที่ยงแท้ด้วย ไม่ทำเลยชั่วเด็ดขาด
และที่สำคัญก็คือเข้าใจความเสพ หมดความอยากสิ้นความเสพ เรียบร้อย มันหมดจริงๆเลยในจิต ธาตุรู้เรารู้เลยว่า มันไม่มี อาการรสสุข รสทุกข์ รสเสพไม่มี มีแต่รสรู้ความจริงตามความเป็นจริงมันปรุงแต่งกันอยู่ก็เข้าใจสังขารอย่างสมบูรณ์แบบตามปฏิจจสมุปบาท เป็นวิชาที่รู้จักสังขารปรุงแต่งกันอยู่ แล้วก็มาเป็นวิญญาณโง่ๆ ถ้าหากมีอวิชชาก็ไม่รู้สังขารมาปรุงแต่งกันก็เป็นสามเส้า
อวิชชา สังขาร วิญญาณ อวิชชา สังขาร วิ
ญญาณ ไม่มีจบ
จนกว่าจะสามารถมาเรียนรู้ แยกรู้ได้ว่า มันเกิดจาก 2 ธาตุคือธาตุรูปกับธาตุนามจึงจะแยกรูปแยกนามได้ วิญญาณนี้รู้ได้ด้วยการแยกรูปแยกนาม ที่ 2 อันอาศัยกันได้เพราะรูปนามปรุงแต่งเป็นวิญญาณ หากรู้รูปนาม ก็ศึกษาเหตุปัจจัยอะไรได้ทั้งหมด จนกระทั่งจบหมดรู้ว่า วิญญาณหรืออัตตาหรือเทวะไม่มีหรอก มันอยู่เพราะเรายึด อุปาทาน
เมื่อมีปัญญาหมดความโง่รู้จักขันธ์ 5 รู้จักความดีความชั่ว รู้จักความเกิดความดับ รู้จักทำเกิดทำดับได้ก็จบ จึงมีอนัตตาไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตนจริงๆ
เพราะฉะนั้นจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้เป็นอมตะบุคคลอย่างเช่นอาตมา ทุกวันนี้ก็ได้แต่จำนน 1 จำนนเพราะว่ารับปากแล้วจะมาสืบทอดศาสนาให้จบพุทธกัปป์ 5,000 ปีให้ได้ อันนี้เป็นเรื่องของลูกผู้ชาย รับมาแล้วต้องทำให้ได้ ทำให้สำเร็จสมบูรณ์ให้ดีที่สุด ไม่เชื่อไปถามพลเอกประยุทธ์ดูก็ได้ ความหมายอันนี้สุดยอด ต้องทำ ตายเป็นตาย จิตวิญญาณอันนี้จึงทำให้ได้สำเร็จ
_SMS วันที่ 15-16 ก.ย. 2564
_คอยใคร : ช่วงนี้เปิดรายการบุญนิยมทิ้งไว้ช่วงกลางคืน พอตื่นมาไม่รู้กี่ตีได้ยินรายการเปิดเพลงแว่วๆแล้วหลับต่อเพราะฟังเพลินดีครับ ตกลงเป็นช่วงเปิดเพลงให้ฟังใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า.. เมื่อก่อนมีเพลงอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว
_1945 : อยากให้สันติอโศกคืนจอทีวีอีกครั้ง ตอนนี้เปิดไปก็มีแต่สอนศาสนาคริสต์
พ่อครูว่า.. เดี๋ยวนี้เรามีช่องดาวเทียมใหม่แล้ว ..
-
กล่อง Infosat หมายเลขช่อง 211
-
กล่อง thaisat,ideasat , KS TV หมายเลขช่อง 177
-
กล่อง GMMz หมายเลขช่อง 155
-
กล่อง psi หมายเลขช่อง 119
สิริมหามายาคือภาวะ Axiom
_จากผู้อยากรู้สภาวะที่สันติอโศก ฝากมาถามว่า “กุรูสู่ช่วยถามพ่อท่านให้ช่วยอธิบายความหมายของ axiom ให้ชัดในสภาวธรรมหน่อย เพราะพ่อท่านพูดว่าเป็น นัตถิ อุปมา หาอะไรเปรียบไม่ได้ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันฟังแล้วก็งง ๆ พ่อท่านพูดมาหลายครั้งก็ยังไม่ค่อยเข้าใจชัด บางครั้งท่านก็พูดในแง่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ต้องพิสูจน์แล้ว (สัจพจน์)
บางครั้งพูดแล้วดิฉันเข้าใจในเรื่อง นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปรินามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง (มีหลายคนที่สันติอโศกก็อยากรู้ให้ชัดเหมือนกัน) พี่เลยขอให้แล้วเธอช่วยถามด้วยค่ะ
(ผม กุรูสู่เลยเห็นว่า ในเมื่อผู้ใดยังมีความสงสัยใน สิ่งที่ตัวเองยังมี “ความไม่บริสุทธิ์หมดจด ก็ย่อมยังมีความมัวแห่งปัญญา ไม่เห็นสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ ที่ยังไม่สิ้นสุด ก็จึงไม่แจ่มแจ้งใน “สภาวะความบริสุทธิ์หมดจดในระดับแอ๊กเซี่ยมนั้นได้” ต่อให้คุณได้ฟังคำอธิบายอันชาญฉลาด คุณก็จะได้ฟังแค่อุเทศ นิเทศ อันเป็นเพียงสื่อเท่านั้น เพราะการหลงผิดคิดว่า แค่ได้ฟังคำอธิบายคุณก็ฉลาดพอที่จะเข้าใจได้ แต่คุณจะไม่มีอาการ ไม่มีลิงคะ ไม่มีนิมิต ของสิ่งที่ บริสุทธิ์หมดจดนั้นๆ มาให้รู้เลย ผมเลยอดใจไว้ ไม่ได้ช่วยตอบเขาไป เพราะยังไม่มีบารมีที่จะทำให้เขาเชื่อสัจจวาทะของผมได้ ก็เลยต้องมาขอพึ่งบารมีพ่อท่านช่วยตอบเขาด้วยครับ)
พ่อครูว่า… Axiom เป็นความจริงที่จบ ไม่มีอะไรเปรียบเทียบแล้ว เป็นยอดพีระมิดแล้ว เป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์แล้ว หรือว่าเป็น 0 แล้วก็ไปเปรียบกับอันอื่นไม่ได้
คำว่าบริสุทธิ์หมดจด ใช้ภาษาอังกฤษว่า Axiom
ถ้าหากคุณไม่มีสภาวะแล้วตรวจสภาวะด้วยธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จะมีเหตุปัจจัย 2 ตัวเปรียบเทียบกันไปเรื่อยๆ เทียบไปจนถึงคู่ที่เล็กละเอียดจนถึงคู่สุดท้ายที่สุดถึงที่สุด จะมีจุดที่พระพุทธเจ้าท่านนับไว้เป็นบัญญัติคือ
อากาสานัญจายตนะ กับ วิญญานัญจายตนะหรือเป็น
อสัญญีสัตว์ กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
อสัญญีสัตว์คือดับสัญญาไปเลย ก็นึกว่า 0 แต่อีกอันว่าไม่ 0 นะก็เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ
อาฬารดาบสได้แค่ฌาน 7 มีแค่ อากิญจัญยายตนะ เขาดับไปถึงขั้นไม่มีเลย นึดนึงน้อยนึงก็ไม่มี แต่อุทกดาบส มีนิด แต่อาฬารดาบส สุดวิสัย ที่จะรู้สิ่งเล็กๆกว่านี้อีกแล้ว ไม่เกิดอันที่เล็กละเอียดกว่านั้นให้อาฬารดาบสรู้ได้อีกแล้ว มันเกิดก็ไม่มีภูมิจะหยั่งรู้ได้ ถึงได้แค่ขั้นที่ 7 ส่วนอุทกดาบสได้ฌาน 8 เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่เขาเข้าใจว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นสิ่งที่สูงที่สุด ทั้งๆที่มันยังไม่สูงที่สุด ยังมีสัญญาต่างๆที่มันต่างกันอยู่ เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ สัตว์ที่ยังไม่เป็น 1 ยังมี 2 ยังมีสัญญา 2 ยังไม่จบ
เพราะฉะนั้นอันนี้แหละในวิญญาณฐีติ 7 จะไม่มีอสัญญีสัตว์แล้วไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ถ้ามีสองตัวนี้ด้วยรวมเป็น สัตตาวาส 9
แต่วิญญาณฐีติ ไม่ต้องมี สัตตาวาส 9 จบแค่ 7 ไม่ต้อง เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะ อากิญจัญยายตนะ ก็จบแล้วเพราะทำชัดเจนทีละคู่มาแล้ว จนจบที่ อากิญจัญยายตนะ นิดนึงน้อยนึงก็ไม่มี กิเลสสาสสวะไม่มี ไม่มีอย่างตื่นๆเห็นๆ ไม่มีครบกาย ภายนอกภายใน ครบทวารทั้ง 6 พร้อมแล้ว สมบูรณ์แบบทั้งภายนอกภายในไม่มีเข้าใจผิด
คำว่า กาย สมบูรณ์ทั้งภายนอกภายในตื่นๆครบ ไม่ใช่กายไม่มี แต่ไปสร้างกายเก๊ให้ตนเองเป็นกาย 3 นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมาณกาย เป็นของเก๊ของแต่ละคนเนรมิตเอาเองทั้งหมด แต่มาทำเป็นโมเมว่าเข้าใจกันได้เป็น สัมโภคกาย แต่ต่างคนต่างมืดทั้งหมดเป็นอาทิสมาณกาย ต่างคนต่างไม่เห็นของคนอื่นหรอกมีแต่ของตัวเองทั้งนั้น เพราะมันอยู่ของใครของมัน ไม่มีการเปรียบเทียบกันเลยเพราะมันอยู่ของใครของมัน
รายละเอียดตอนนี้เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาเทวะ หรือ ความเป็น 2 แล้วก็จบด้วยความเป็น 1 ที่สุด จบด้วยความเป็น 0 อย่างชัดเจน หากไม่ชัดเจนมันจะเป็นมายาหลอกเรา
คำว่า มายา กับ สิริมหามายา ถึงเป็นภาษาคู่สุดท้าย ว่า ถ้า สิริมหามายาคือ Axiom ความจริงสูงสุด ถ้าเป็นนักมายากลอยู่ก็ยังไม่เป็น Axiom สรุปจบลงตรงนี้
ประชาธิปไตยของพ่อครูไม่ใช่มีอยู่แค่ในจินตนาการ
_ยอด คมมั่น : ปชต.ที่พ่อท่านว่ามันไม่มีหรอกครับในโลกยุคนี้ มันเป็น ปชต.ในจินตนาการของพ่อท่านเท่านั้นและครับ คุณแป้งเห็นด้วยไหมครับ???
พ่อครูว่า… ก็มีได้ แม้มีแค่ 3 คนก็เป็นจริงได้ เราแม้จะมีเล็กอยู่ก็เป็นจริงได้มีจิตเป็นประธานยืนยันได้ ซึ่งยากมาก อาตมาเห็นใจที่คนไม่เข้าใจไม่ไปโทษเขาหรอกเพราะมันยากจริงๆ จะจบ ด๊อกเตอร์ทางรัฐศาสตร์มาจบประชาธิปไตย ด๊อกเตอร์ 10 ใบ ศาสตร์ไหนก็แล้วแต่ในแง่ต่างๆ ด๊อกเตอร์ 10 ใบก็ตาม มันยังไม่ใช่ มหาวิทยาลัยในต่างประเทศทั้งหมด ไม่มีประชาธิปไตยแม้แต่จากประเทศอินเดีย ประชาธิปไตยที่จะเป็นโลกุตระนั้นมีแต่ในประเทศไทย
และอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ยังไม่มี มีมหาวิทยาลัยอโศกเท่านั้นเอง พูดอย่างนี้ทางหมอเขียวคงจะชอบ เขามีวิทยาลัยของหมอเขียวเขา ก็จะมีที่นี่ที่จะพอไปได้ พอรู้จริงๆเลยว่า ความเป็นประชาธิปไตยที่
1.ไม่มีตัวตน ถ้ามีเหตุปัจจัยที่เป็นหลักยืนยันว่าถึงสามเส้า ไม่มีตัวตน
-
ซื่อสัตย์
-
รับใช้ประชาชนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน มันเป็นสัจจะ เป็นความเป็นจริงของคน จะเป็นจริงได้ไหม อย่างที่คุณคนนี้ว่า มันไม่มีหรอกในโลกยุคนี้