640913_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 9
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/10VeLOX5gKe4RAcyAJSNq79fnXAY3uSZkaMxpFAbCyTo/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1-HNdBizupWgjZJ11v_ZkCaAT05c0bbvi/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/219257660220510
พ่อครูว่า… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู อาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ
เรามาเริ่มกันที่ SMS
SMS วันที่ 10-12 ก.ย. 2564
_1626 : ได้ดูบุญนิยมเเล้วมีความสุขมากเหมือนได้ไปวัดเลย กราบมนัสการพ่อครูและทีมงาน
ปัญญาวิมุติต่างจากอุภโตภาควิมุติต่างกันอย่างไร
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ลูกฟังพ่อครูเทศน์ เรื่องบุคคล๗ ปัญญาวิมุติ ก็ได้เป็นพระอรหันต์ และอุปภโตภาควิมุติก็ได้เป็นพระอรหันต์ ลูกอยากถามพ่อครูว่า พระอรหันต์สองบุคคลนี้ต่างกันอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… อธิบายอย่างสรุป ปัญญาวิมุติกับ อุภโตภาควิมุติ พระพุทธเจ้า ตัดเคิร์ฟตัดเกรด พอเป็นปัญญาวิมุติ เป็นบุคคลที่ 6 ถือว่าเป็นอรหันต์ได้แล้ว หรือจะนับ อุภโตภาควิมุติ เป็น 1 ปัญญาวิมุติเป็น 2 นับขึ้น หรือนับลง ปัญญาวิมุติก็เป็นอันดับ 2
ปัญญาวิมุติท่านตัดให้เป็นอรหันต์ได้เพราะว่าสิ้นอาสวะ หมายถึงอาสวะดับไม่มีทางเวียนกลับมาเกิดอีก นอกจากเจ้าตัวจะตั้งจิตเกิด อันนี้เป็นเรื่องที่อาตมาเอามาเปิดเผย โดยเฉพาะในสายเถรวาทของเมืองไทย ถือว่าอรหันต์ ถ้าผู้ใดบรรลุอรหันต์แล้วตายลงไปในชาติใดก็แล้วแต่ต้องตายสูญ จะเกิดอีกไม่ได้ นี่คือมิจฉาทิฏฐิของชาวเถรวาทอันนึง ซึ่งเรื่องอื่นเขาก็เข้าใจอยู่แบบนี้เยอะเหมือนกัน อาตมาก็มาเปิดเผยไขความลับว่ายังไม่ใช่
อรหันต์คือบุคคลที่ สามารถที่จะยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ เป็นอมตะบุคคล ในมูลสูตร 10 อมตะบุคคลเป็นบุคคลในระดับ 9 แล้ว สามารถจะเกิดหรือจะตายเองได้ จะเกิดหรือจะตายศูนย์ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ไปแล้วแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้ แยกแล้วก็จบจะเอามารวมกันเกิดใหม่อีกไม่ได้ ก็เลิกเลย หรือจะยังไม่ตาย อมตะบุคคลจะยังไม่ตายก็ได้จะเวียนกลับมาเกิดอีกก็ได้ ยังไม่ตายด้วยนิพพานหรือวิมุติ 3 คือยังตั้งจิตเกิดอยู่ ยังไม่ตายด้วย 0 อนิมิตนิพพานหรืออปนิหิตนิพพาน ยังไม่ตาย 0 อย่างนั้นยังไม่หมดก็เกิดได้อยู่อีก
ความซับซ้อนลึกซึ้งพวกนี้ มันเป็นลักษณะสิริมหามายา มีคำว่ามายาด้วยบัญญัติ แต่มันเป็นความจริงเป็นสิริมหามายา เป็นผู้ให้เกิดพุทธวิสัย
แม่ของพุทธ สิริมหามายาคือแม่ของพุทธ ดังที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมเกิดมาในยุคนี้ใช้บัญญัติตรงกับสภาวะ สิทธัตถะต้องมีแม่ชื่อสิริมหามายา ซึ่งดูแล้วก็บอกว่าชื่อมีเยอะแยะทำไมตั้งชื่อมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน ตั้งชื่อแบบไม่มีมายาก็ได้ เอามายามาตั้งทำไม แต่ก็ต้องตั้ง สำหรับพระพุทธเจ้าสมณโคดม แม้แต่ลูกยังต้องเชื่อราหุลเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่อง อจินไตย อาตมาเข้าใจสภาพพวกนี้ ในฐานะที่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็เข้าใจ อจินไตย ระดับ
อุภโตภาควิมุติ ก็แน่นอน อุภโตแปลว่า 2 ทีนี้มีวิมุติทั้ง 2 ครั้ง เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ
เจโตวิมุติสุดยอดจริงๆนี้ยัง ยัง เพราะฉะนั้นเจโตวิมุติสุดยอดคืออะไร ก็คือการดับอนุสัย ไม่ใช่ดับอาสวะ อันนี้แหละยากมากเลย ระหว่างอาสวะกับอนุสัยคืออะไร อาตมาไขหมดแล้ว ไขถึงพยัญชนะ
สว กับ สย แล้วอนุสยะ กับ อาสวะ ไขไว้หมดแล้วทำไมใช้อา อนุกับ อา อะไรสั้นอะไรยาวกว่ากัน อะไรเล็กอะไรยาวกว่ากัน อนุสยะ คือสุดยอดจิต อนุสัยที่เป็นกุศลก็ได้เป็นอกุศลก็ได้ อันนี้ไม่มีใครมาเปิดเผยหรอก เขาบอกว่าอนุสัยคือสิ่งที่เป็นอกุศลหมด แต่อาตมาว่า อนุสัยนี้ในความเป็นพระอรหันต์ก็มี พระอรหันต์ที่ต้องรักษาสยะ อย่างเล็กละเอียดสุดแล้ว ถ้า อา นี้หยาบ แต่อนุ นี้ทั้งอะ ทั้งนุ สั้นหมด แล้ว นะ นุ นะ ก็แปลว่าไม่ แถมสามเส้าด้วย อะ อิ อุ
อาตมาขยายแม้แต่สระ ว่ามีพยัญชนะกับสระ ก็ไม่อยากจะขยายมากเกินไป เพราะคนที่ชอบจะหมกมุ่นกับเรื่องนี้และไม่ยอมเอาไปปฏิบัติ เมื่อไปติดกับพยัญชนะเหล่านี้แล้วไปเลยนะ พวกที่ติดภาษาเดี๋ยวนี้อย่างพวกเถรสมาคม ติดบัญญัติภาษาติดความรู้แล้วไม่เข้าสู่การปฏิบัติจิตไม่เข้าสู่สภาวะ มากกว่ามาก ทั้งนั้นเกือบทั้งนั้น อาตมาเกรงใจนะทั้งที่น่าจะบอกว่าทั้งนั้นเลย
เพราะ อาตมาแน่ใจว่ายังไม่มีใครบรรลุอรหันต์เลยในเถรสมาคม หรือในกระบวนการทั้งหมดของศาสนาพุทธในยุคนี้ยังไม่มีใครบรรลุอรหันต์ ที่มุขกัน เข้าใจผิดว่าเป็นอรหันต์กันยังเป็นอรหันต์มิจฉาผล อรหันต์เก๊ อาตมาก็พูดไปแล้วอย่างเกรงใจ แต่ก็จำใจต้องพูดเพราะมันปิดบังไม่ได้ ปิดบังก็เป็นการอมพนําก็เสียไปอีกเข้าใจผิดไปหมด มันต้องแก้จากผิดให้ถูก ที่ไปยึดอย่างผิดนั้นมันน่าสงสาร
อาตมาก็ต้องยอมเสียรังวัด เพราะมันเสียตรงที่คนที่เขาชังน้ำหน้าอาตมา ใครจะไปอยากให้ใครมาชังน้ำหน้าตัวเอง มันจำนนและจำเป็นจริงๆ สุดจำนนสุดทางที่จะต้องพูด ต้องเปิดเผยความจริง แล้วก็ยืนยันไปอธิบายไปอ้างอิง มีพระไตรปิฎกเป็นหลักอ้างอิง เพราะอาตมาไม่มีบุคคลที่จะอ้างอิงได้
ชาตินี้อาตมามีโชคอยู่อย่างเดียว ที่อาตมาเกิดมาในยุคร่วมกันนี้ มีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้อ้างอิงสภาวะตรงกันบ้าง แต่วิบากอาตมาที่เป็นหมากลางตลาด ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็เลยอยู่คนละฟากฟ้า อาตมาพูดนี้ไม่ได้น้อยใจ มันเป็นสภาวะจริง อาตมาต้องเป็นเช่นนี้ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่อันนี้ อย่างนั้นด้วย มันต้องเป็นอันนี้แหละ ไม่อย่างนั้นอาตมาไม่ได้พิสูจน์ตัวเอง ปางนี้อาตมาต้องพิสูจน์ตัวเองหนัก ให้คนเข้าใจผิดหนักๆไว้แหละดี แล้วต้องยืนยันพิสูจน์ความจริงจนกระทั่งเขาจำนนว่าอย่างนี้ใช่ เขาเข้าใจผิดอย่างไรสุดท้ายก็ต้องจำนนอาตมา ว่าอาตมามีสภาวะจริงเป็นผู้ที่พูดความจริงเป็นเรื่องจริงจนเขาจะต้องจำนน
สรุปลงที่อรหันต์ 2 อย่าง อรหันต์อย่างหนึ่งสิ้นอาสวะ อรหันต์อย่างหนึ่งสิ้นอนุสัย อุภโตภาควิมุติ สิ้น ทั้งอาสวะและอนุสัย ปัญญาวิมุติสิ้นเฉพาะอาสวะ อนุสัยมี 7 อาสวะมี 10
ก็เคยอธิบายเอาไว้ แต่ไม่ขอลงรายละเอียดในวันนี้
การกินเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดยส่วน 3 และ 5 ข้อที่บาปเป็นอันมาก
_จรรยา อิ่มประเสริฐ : เป็นเรื่องที่แปลก แต่ไม่แปลก อ่านหนังสือคนถามพระว่า คนดีตาย ไปแล้วขึ้นสวรรค์ แล้วสัตว์เดรัจฉาน หมู หมา กา ไก่ ช้าง ม้า วัว ควาย ที่ทำดี ตายแล้ว มี สวรรค์ของสัตว์หรือไม่ พอมาฟังพ่อเทศน์ เรื่องเลี้ยงสัตว์เท่ากับทำบาป เพราะไม่ยอมให้สัตว์ใช้วิบาก เกิดเป็นสัตว์ก็คือตกนรก ยิ่งเอาหมา มาเลี้ยงให้ใส่สร้อยคอทองคำฝังเพชร
นอนติดแอร์ แถมเรียกลูกบ้าง น้องบ้าง ยิ่งทำให้สัตว์เหล่านั้นติดใจ และไม่ได้ใช้วิบาก
ตายไปก็เกิดเป็นหมาอย่างเก่า ยิ่งเอามาเลี้ยงแล้วเอามาฆ่ากิน ยิ่งต่อเวรเข้าไปใหญ่ ดิฉันเข้าใจ วิบากอย่างนี้ แต่ก็แปลกนะคะ ญาติธรรมบางคนยังเลี้ยงหมา แมวอยู่ เป็นงง ว่าไม่เข้าใจพ่อเทศน์หรือ??????
พ่อครูว่า… ถ้าสัตว์ทำดีก็เจริญขึ้น เป็นสวรรค์ของฐานะสัตว์ ก็คือมันพัฒนาขึ้น ก็คุณเป็นคนก็ต้องพัฒนาจากสัตว์มาทั้งนั้น ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนกว่าจะได้มาเป็นคน จนกว่าจะเป็นคนที่เป็นสัตว์สอนได้ เป็นเวไนยสัตว์ ต้องผ่านอเวไนยสัตว์มา ซึ่งสอนไม่รู้เรื่อง อันนี้เป็นอจินไตยที่ สุดวิสัย สอนอย่างไรก็สอนไม่ได้เพราะรอบเขายังไม่ถึง เหมือนสอนเด็กที่ยังไม่เดียงสามันไม่ถึงขีดเขต สอนอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องหรอก ฉันใดก็ฉันนั้น อันนี้ก็คงพอเข้าใจอย่างนี้เป็นต้น
นำสัตว์มาเลี้ยงเป็นการไม่ให้สัตว์ใช้วิบาก อันนี้เป็นเรื่อง อจินไตย จริงๆ หมาก็มีจิตหลงตัวเป็นอัตตา และอัตตาที่อวิชชาด้วย สัตว์เดรัจฉานอย่างหมามันมีอวิชชา มันก็ยึดถือต่ำลงไปอีก ตกนรกหนักลงไปอีกนานชาติ ไปเกิดซ้ำซ้อนอีกตั้งไม่รู้กี่ชาติ กว่าจะได้เจริญขึ้นมาใหม่อีก นี่มันซ้อนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าไปสร้างวิบากให้สัตว์ คนเอาสัตว์มาเลี้ยงเท่ากับทรมานสัตว์ ตัวเองก็เป็นวิบากร่วม สัตว์ก็ตกต่ำไม่ได้เจริญ อันนี้อาตมาก็พูดไป สอนไปอธิบายไป อ้างศีลของพระพุทธเจ้า จุลศีลที่ท่านบอกไว้เป็นหมวดหมู่
แม้ที่สุด ขอซ้ำตรงนี้ คิดอยู่เมื่อคืนว่าน่าจะย้อนช่วงนี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ชีวกสูตร 5 ข้อนั้นที่มี 2 นัยยะสำคัญ
นัยยะหนึ่งก็บอกว่า บริสุทธิ์โดยส่วน 3 กับ ความเป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย 5 ข้อ ในชีวกสูตร สำคัญอยู่ 2 ประเด็นนี้
ที่บอกว่า บริสุทธิ์โดยส่วน 3 เขาก็ไปแปลเข้าข้างตัวเองว่า มุ่งหมายจิตมีเจตนา มีสัญจิตเจตนา อุทิสมังสะ
คนที่มีจิตใจมุ่งจะฆ่าสัตว์ ไม่ว่าคุณไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่า แค่คุณมีจิตมุ่งฆ่า แล้วก็ดำเนินการให้คนที่เขาไปฆ่าทำตามที่คุณต้องการ นั่นแหละจะมีบาปเป็นอันมาก 5 ประการ
เอา 3 ประการ บริสุทธิ์โดยส่วน 3
ไม่เห็น ไม่สัมผัสทนโท่ว่าสัตว์นี้ตายด้วยคนฆ่า คนมีเจตนามีความมุ่งหมาย อุทิสะ มีสัญเจตา คนน่ะฆ่า ไม่ใช่สัตว์มันฆ่ากันไม่ใช่มันตายเอง
ปวัตตมังสะ มี2 1 สัตว์มันตายเองทิ้งร่างมันอย่างนี้ไม่เป็นวิบากกินได้ สัตว์ตายเอง จะตายด้วยโรคหรือตายโหงก็แล้วแต่
กับอีกอันหนึ่งมันเป็นเดนของสัตว์กิน คือมีสัตว์ตัวอื่นเป็นผู้ข้าไม่ใช่คนเป็นผู้ฆ่า ไม่ใช่ถูกฆ่าด้วยคน แต่ถูกฆ่าโดยสัตว์ ซึ่งมันเป็นวิบากแก่กันและกันเกินกว่าที่เราจะไปล่วงล้ำอันนั้น เพราะฉะนั้นสัตว์ที่มันฆ่ากันเองมันก็รับวิบากกันไป เมื่อสัตว์มันฆ่าแล้วสัตว์มันก็กินกัน กินแล้วมันก็เหลือ เป็นเดน มันทิ้งแล้วเป็นเนื้อบังสุกุลแล้ว เออ อย่างนั้นคุณเอามากินได้ ปวัตมังสะมี 2 อย่าง
การบริสุทธิ์โดยส่วน 3 ไม่มีพยัญชนะเกินกว่านั้น มีแต่ว่า สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง คำว่า สัญจิจจะ คือเจตนา หรืออุทิสะ เจตนาของคน คนไปฆ่าสัตว์ ก็ไปเบี้ยวบาลีว่า เจตนาฆ่าสัตว์ตัวนี้คือเจาะจงให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่มีรายละเอียดเป็นคำบรรยายในภาษาบาลีอย่างนี้เลย แต่คนแปลไปเบี้ยวบาลีไปว่า การเจาะจงบุคคล ถ้าสัตว์ตัวใดถูกฆ่า โดยเจาะจงว่า เช่น ไก่โต้งตัวนี้ ฆ่าทำต้มยำกินเลี้ยงให้คนนี้กิน เช่นไปเจออาจารย์แป้ง ไม่ได้เจอกันนาน วันนี้ฆ่าไก่ คุณไปฆ่าไก่ตัวนี้มา ฆ่ามา เอามาทำต้มยำ เลี้ยงกันให้อร่อยเลยอ.แป้ง แต่อ.แป้งกินไม่ได้เพราะเป็นบาปเนื่องจากเจาะจงบุคคล คนที่ไม่ได้เจาะจงกินได้หมดเลย นี่เป็นการเจาะช่องเพื่อให้คนตัวเองกิน ก็คนสั่งก็ไม่ได้เจาะจงคนอื่นนอกจากคนเดียวคนนั้น ไม่ได้เจาะจงตัวเองด้วย คนอื่นทั้งหลายก็กินได้หมด นี่คือคนฉลาดแกมโกงพวกหัวหมอ ตีความแล้วก็ได้กินเนื้อสัตว์ตลอดกาล เพราะการจำเพาะอย่างนี้ไม่มีใครเขาทำหรอก มี แต่ผ่าน ไม่ไปไล่เรียงว่า เจาะจงชื่อนั้นหรือเปล่า ก็ไม่มีใครไปถามชื่อหรอก
บริสุทธิ์โดยส่วน 3
-
เจาะจงสัตว์ที่เจาะจงว่า คนมีความมุ่งหมายเจตนาฆ่าโดยคน ไม่ใช่ฆ่าด้วยสัตว์ ใครก็แล้วแต่ที่เป็นคน คนไม่ควรฆ่าสัตว์ เป็นคนไม่ควรฆ่าสัตว์ใดๆเลย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) เป็นข้อต้นของศีลเลย คนอย่าไปฆ่าสัตว์ เป็นศีลข้อที่ 1 เลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตเลย
เพราะฉะนั้นสัตว์นั้นต้องไม่ตายด้วยคนเจตนาฆ่า ถ้าเห็นคนเจตนาฆ่าโดยเขาลงมือฆ่าเลย นั่นข้อที่ 1 ไม่บริสุทธิ์
-
ไม่เห็นแต่ได้ข่าว เช่น เขาฆ่าเอามาขายที่ตลาด ก็ไม่เห็นว่าคนฆ่าหรอก แต่มันเป็นเนื้อมาแล้ว ก็ต้องรู้ข่าวคราวว่าเนื้อนี้ไม่ใช่เนื้อสัตว์ตายเอง มาจากโรงฆ่าสัตว์คนก็ต้องฆ่า ก็กินไม่ได้หรอกเพราะว่าไม่บริสุทธิ์ในส่วนนี้
-
ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน แต่ได้ข่าว แต่ก็สงสัยว่าสัตว์นี้บริสุทธิ์โดยส่วน 3 หรือเปล่า ไม่ใช่สัตว์ที่คนเจาะจงมีเจตนาฆ่า สัตว์มันตายเองเป็น ปวัตตมังสะ ถ้าเป็นปวัตตมังสะถึงจะกินได้ ถ้าไม่ใช่ ปวัตตมังสะ ซึ่งมี 2 อย่างคือสัตว์มาตายเอง กับ สัตว์อื่นฆ่ากัน
เข้าสู่ 5 ข้อ บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60