640906_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 8 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1LWNR21rf6VzqynSlsWm7Pf74KFU4waf_V3xRPVnHNJ0/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1L0ClPR4SSTmUdfugMrqzMyUmVDoIODxL/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/2769050230061397 สัปปายะ 4 อธิปไตย 3 ของศาสนาพุทธ พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ยิ่งการเมืองในขณะนี้ยิ่งจู้จี้จุกจิกสารพัด เราก็พยายามทำให้มันดูรู้สึกว่ามันไม่ต้องไปทุกข์ร้อนต้องไปกังวลอะไรมากมายนัก คลายใจสบายๆร่าเริงเบิกบานอะไรกันไปดีกว่า เขาก็มีพฤติกรรมทางสังคมกันไปแต่ละกลุ่มแนวคิด เราก็เป็นคนไทยอยู่ในเมืองไทยก็เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดมีแนวคิด มีการดำเนินชีวิตไปตามที่เราเชื่อมั่นว่าเป็นวิถีชีวิตที่น่าเดินทางไปทางนี้ตาม Concept ของเรา ของใครก็ของใคร ของเราก็เป็นศีลสามัญญตาทิฏฐิสามัญญตา เราก็เห็นว่าหลักการหลักเกณฑ์ของศีลปฏิบัติอย่างนี้ เสมอสมานกันไปตามทิศที่ตรงกันเสมอสมานกัน แล้วเราก็กลายมาเป็นคนชนิดหนึ่งในสังคมโลก เรียกฉายาว่าเป็นชาวอโศกเป็นต้น เราก็มีจะเกิดความเป็นการเมืองความเป็นเศรษฐกิจสังคม มันก็เป็นตรงนั้นเป็นจริงตามที่เรามี Concept อย่างนั้นอย่างนั้น เรามีConceptอย่างที่เราเป็นมันก็เป็นอย่างนี้ อาตมาก็ภาคภูมิใจที่พวกเราได้มาฟัง ที่อาตมาเอาความเชื่อมั่นของตัวเองว่า คนที่ได้พากเพียรบำเพ็ญบารมีมาจนได้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบ ว่าชีวิตมนุษย์ จนกระทั่งมนุษย์ที่มี Concept อย่างเดียวกันเสมอสมานกัน มีทิฏฐิสามัญญตาศีลสามัญญตาปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ แล้วก็จะเกิดผลอย่างที่เราเป็น อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้องค์รวมของท่านเป็นสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ว่าอย่างนี้ดีที่สุด อาตมาก็มาทำความเข้าใจตาม Concept ของอาตมาว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เป็นอย่างนี้ คนอื่นๆในเถรสมาคมในผู้รู้ทั้งหลายในโลกเขาก็มี Concept ของเขา Concept ก็คือความคิดความรู้องค์รวมของแต่ละคน เขาก็มีความคิดองค์รวมความรู้องค์รวมอย่างที่เขาเป็น มันก็ต่างกันบ้างเหมือนกันคล้ายกันมากที่สุดบ้าง อย่างพวกเรานั้นเหมือนกันคล้ายกันมากที่สุด จนกระทั่งจะเรียกว่าอันเดียวกันตรงกันก็ได้ แล้วเราก็รู้ความแตกต่างว่า แม้มันจะตรงกันแต่มันก็มีความต่างกัน ต่างกันในลำดับต่างกันในน้ำหนัก ต่างกันในความรู้ความเป็นไปได้ในความเห็นความเชื่ออะไรก็แล้วแต่ หรือเรียกว่าปัญญาจะมาเป็นตัวแยกตัวแบ่งความแตกต่างกันก็ตามเราก็เชื่อว่าที่เราเป็นนี้จนกระทั่งเราเอาชีวิตของเราแต่ละคนแต่ละคนเอามาดำเนินชีวิตไปในทางนี้อย่างนี้เสร็จแล้วก็ได้ผลว่า เราก็อยู่ดีนะกายกรรมของเราก็อยู่สบายดี วจีกรรมของเราก็อยู่สบายดี มโนกรรมของเราก็อยู่สบายดี ตรงกันกับภาษาลาวทั้งหมดเลย สบายดี เขาทักทายกันว่าสบายดี มันก็สบาย สบายมาจากภาษาบาลี สัปปายะ ความหมายของสัปปายะนั้นลึกซึ้ง เช่นสัปปายะ 4 เป็นต้น มีเสนาสนะสัปปายะ มีบุคคลสัปปายะ มีอาหารสัปปายะ มีธรรมะสัปปายะ อย่างนี้เป็นต้น สังคมใดที่มีสัปปายะ 4 นี้ ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า สังคมนั้นก็จะมีรูปปรากฏการณ์ขึ้นมาให้เห็น อย่างชาวอโศกเรานี้ ก็มีสัปปายะ 4 ของเรา มีสถานที่ เสนาสนะสัปปายะ มีบุคคลสัปปายะ ก็มีคนมีมวลชนตั้งแต่เกิดจนตาย เด็กจนถึงผู้เฒ่า ก็อยู่รวมกันเป็นสังคมมนุษยชาติธรรมดานี่แหละ อยู่กันจนกระทั่งสามารถที่จะเกิดคุณธรรมตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส อย่างในสาราณียธรรม 6 เป็นต้น ตรงกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อยู่กันด้วยเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม เสร็จแล้วก็อยู่กันอย่างมีระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมือง ระบบสังคมเป็นสาธารณโภคี อาตมาเรียกรวมทั้งการเมืองเศรษฐกิจสังคมว่าแบบสาธารณโภคีทั้งหมด เป็นส่วนกลางร่วมกัน ซึ่งมันสุดยอดแล้ว อาตมาว่ามนุษยชาติสุดยอดแล้วอันนี้ ในคนที่เขาไม่ได้ศึกษาตำราหรือวิชาตามหลักสูตรของพระพุทธเจ้า หรือทฤษฎีต่างๆของพระพุทธเจ้า เขาก็ไม่รู้ครบไม่รู้บริบูรณ์ แต่อาตมาศึกษามาตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าก็รู้ครบ รู้ครบอะไร เขาแบ่งใหญ่ๆอยู่เป็น 3 อย่าง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม… พ่อท่านกำลังชี้แจงสังคมที่เป็นอยู่สุขสบายที่ยิ่งกว่าสุขอย่างไร พ่อท่านพยายามจะให้ผู้รู้ต่างๆในสังคมเข้ามาศึกษาสังคมอย่างนี้ พ่อครูว่า… จริงอย่างที่คุณสู่แดนธรรมพูด อาตมาก็ทำอย่างไรที่ผู้ที่ได้เรียนรู้ตำราทางเศรษฐกิจก็ตาม ทางการเมืองก็ตาม ทางสังคมก็ตาม มาจากต่างประเทศ จากสังคมเทวนิยมจากศาสนาเทวนิยม จากครูบาอาจารย์ ปราชญ์ทางเทวนิยม เขาก็ได้มาอย่างที่เป็น แล้วเอาอย่างเทวนิยมมาครอบงำในประเทศไทยที่เป็นประเทศพุทธศาสนาที่มีอเทวนิยม เอามาครอบงำ อาตมาก็ว่าน่าสงสาร ของดีๆของไทยตั้งแต่สร้างประเทศไทยก็มีพุทธศาสนามาที่มีรากฐานเป็นโลกุตรธรรมเป็นของพระพุทธเจ้า แต่ทำไมจะต้องหลงมาเอาจากศาสดาหรือปราชญ์ทางเทวนิยมมา มาแทรกมาครอบงำมาแทนที่ของพระพุทธเจ้า มันน่าสงสารความคิดความอ่าน ที่ไม่มีความชัดเจนความรู้มันไม่ชัดเจนว่า ของที่เดิมมาแต่อ้อนแต่ออกประเทศไทยตั้งประเทศ สร้างประเทศแล้วก็รักษาประเทศมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่ถึงพันปีเมืองไทย ก็อยู่กันอย่างไม่เคยเป็นอาณานิคมของประเทศใดในโลกเลย และไม่เคยเที่ยวได้ไปรุกรานครอบครองทำเป็นใหญ่เป็นเบ้งกับประเทศนั้นประเทศนี้เลย ซึ่งเป็นพฤติการณ์ของประเทศที่สุดยอด อาตมาว่าเขาไม่ชัดเจนในตำราของพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อมั่นว่าคนที่สูงที่สุดที่ได้บำเพ็ญบารมีมา จนกระทั่งถือว่าจบสุดในความเป็นคน แล้วก็รู้จักความเป็นสังคม ความเป็นโลก ความเป็นอัตตา ที่มีอธิปไตยทั้งหมด โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และมีธรรมะที่เป็นอธิปไตยเป็นธรรมาธิปไตย โลกียะก็ต้องรู้ เพราะโลกุตระนั้นรู้ทั้งโลกียะและโลกุตระ ส่วนโลกียะไม่มีความรู้เรื่องโลกุตระ แต่โลกุตระรู้ทั้ง 2 ส่วน โลกียะรู้แต่โลกียะ เขาไม่รู้โลกุตระ ถึงแม้จะมาศึกษาโลกุตระก็ไม่ใช่ง่ายๆที่จะสามารถรู้ว่าความจริงแท้ที่เป็นโลกุตระแท้ๆไปได้ จนกระทั่งถึงการเปลี่ยนแปลงจิต เกิดความยินดี เกิดการเต็มใจที่จะทำใจของเราให้เปลี่ยนแปลงเป็นใจโลกุตระไม่ใช่เป็นใจโลกียะเท่านั้น มูลสูตร 10 คือที่สุดตั้งแต่ต้นจนจบสุดของศาสนา พ่อครูว่า… ตามหลักสูตรพระพุทธเจ้าตามมูลสูตร 10 เขาก็ไม่สามารถที่จะรู้และก็ไม่รู้ว่าทฤษฎีต้นรากคือเป็นมูลสูตร 10 นี่คือต้นรากของมนุษยชาติ ที่จะรู้ว่าจิตวิญญาณหรืออัตตา ต้องมีต้นรากในความยินดี มีฉันทะเป็นมูลเป็นอันแรก แล้วก็ชัดเจนว่า จิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวง เพราะฉะนั้นต้องมาทำที่จิตนี่แหละ รู้จักการทำจิตมนสิการให้เกิดใหม่ มนสิการเป็นสัมภวะมาเป็นแดนโลกุตระ และวิธีที่จะให้เกิดใหม่ก็มีข้อ 3 ข้อ 4 ข้อ 5 ข้อ 6 จนกระทั่งไปจบเอาที่ข้อที่ 10 วิธีก็ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย เป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดการศึกษา การปฏิบัติอบรม เปลี่ยนแปลงจิต เปลี่ยนแปลงมนะหรือจิต โดยมีเหตุปัจจัยเป็นอิทัปปัจจยตา เป็นเวทนา เป็นสมาธิ เป็นสติ เป็นปัญญา เป็นวิมุติ จนเป็นอมตะ จนรู้ที่สุด เป็นปริโยสาน นิพพานเป็นปริโยสาน อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ อย่างอาตมาเจอมูลสูตร 10 ก็รู้ได้ว่าทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ในนี้หมดเลยในมูลสูตร 10 เริ่มต้นตั้งแต่ฉันทะเป็นมูล มันยิ่งใหญ่มากเลยฉันทะ เป็นต้นตอของสิ่งที่จะบรรลุผลของอะไรต่ออะไรทั้งนั้นเลย การเกิดจิตที่จะเป็นจิตยินดีพอใจจริงๆเลย มีฉันทะ มันมีภาษาบาลีเยอะหลายคำในคำว่าความยินดี แต่ฉันทะเป็นคำที่ต้องศึกษากันดีๆเป็นมูลรากของจิต เป็นมูลกา เป็นต้นรากของจิต เกิดอาการยินดีพอใจในอันนี้อย่างมีปัญญาร่วม มีความชัดเจน ว่า โอ้โห อย่างนี้ จะต้องเอาไปให้ถึงที่สุดให้ได้อย่างนี้แน่ เพราะฉะนั้นผู้ที่แน่จริงทำที่สุดศึกษาตามได้จริงก็จะได้ผลตามมูลสูตรไป จนกระทั่งสุดท้ายก็จบด้วยปรินิพพานเป็นปริโยสาน ข้อที่ 10 ปรินิพพานเป็นปริโยสานคืออะไร ปรินิพพานเป็นที่สุดเป็นปริโยสาน ปริโยสานก็คือจบอวสาน จบรอบเลยจบสิ้นจบไม่เหลืออะไรเลย ไม่เหลืออะไร ไม่เหลืออัตภาพไม่เหลือวิญญาณไม่เหลืออัตตา ไม่เหลือตัวตนไม่เหลือจิตนิยามของเรา แยกธาตุของจิตนิยามของธาตุวิญญาณของเรา เป็นที่สุด สามารถแยกธาตุจิตให้เลิกเป็นจิตไปเลย เลิกจากจิตเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ตัวเราก็หายไปเลย ตัวเราที่เคยเป็นเราหมดจบไม่เหลือเลย นี่คือปรินิพพานเป็นปริโยสานของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่า อัตตาหรือวิญญาณหรือจิตนิยามนี้ มันไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องอยู่อย่างนี้คงมั่นนิรันดรอะไร ไม่ใช่ มันเป็นธาตุปรุงแต่งผสมกันอยู่ สังขาร พระพุทธเจ้าเรียนรู้แยกธาตุได้จนกระทั่งละเอียดลออ และก็ทำจิตของตนได้จริง จนกระทั่งปรินิพพานเป็นปริโยสานได้จริง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์หรือพระอรหันต์ทุกพระองค์ รู้ถึงขั้นทำจิตให้ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ท่านก็จบเลิกความเป็นจิตนิยาม ความเป็นวิญญาณความเป็นอัตภาพอัตตาของตัวเองไป สูญไปเลย ล้มล้างทฤษฎีพระเจ้าที่เป็นเจ้าของอัตตาเจ้าของจิตวิญญาณ นิรันดร ล้มล้างความนิรันดรของจิตวิญญาณ ล้มล้างความเป็นพระเจ้าที่เป็นเจ้าของวิญญาณ ล้มล้างพระเจ้าที่ถือว่าเป็นเจ้าของจิตวิญญาณทุกจิตวิญญาณ ล้มล้างมาเป็นว่าจิตวิญญาณไม่ใช่ของพระเจ้าแต่เป็นของเราเอง เราจัดการด้วยตนเองเพราะเป็นของเรา เราจัดการกรรมทุกอย่างเป็นของเรา กัมมัสโกมหิ กัมมสกตา กรรมเป็นของเราเอง เราเป็นทายาทของกรรมของเราเอง เรารับมรดกกรรมของเราเอง เราเป็นเราคนอื่นจะมายุ่งเกี่ยวมาแทรกแซงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย มาแทรกแซงกรรมของลูกหลานของคนอื่นไม่ได้ กรรมเป็นของใครของมัน กรรมก็พาเราเป็นเราไปและทำกรรมของเรา จนสามารถทำให้กรรมของเราสมบูรณ์แบบได้ สมบูรณ์แบบก็คือ จะอยู่ก็อยู่ได้อย่างดี ถ้าเราจะไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็เป็นผู้ที่มีคุณงามความดีมีกรรมที่ดีอย่างเที่ยงแท้ ไม่มีที่จะไม่ดีเลย สูงกว่านั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แค่ดีกับชั่วนั้นเป็นแค่โลกียธรรม ทำดีไม่ทำชั่วเลยนั้นแค่โลกียธรรม เสร็จแล้วไม่เที่ยง เพราะว่าจิตจริงๆแล้วไม่รู้จักความเป็นจริงของจิตแท้ๆว่า มันเป็นอยู่อย่างไร มันสังขารกันอยู่อย่างไร จนกระทั่งมาเรียกมันว่าวิญญาณ มันมีสภาพ 2 เป็นนามรูป เขาไม่รู้ ว่าจิตเป็นนามรูปปรุงแต่งกันอยู่ และวิธีก็จะต้องมีผัสสะ เกิดอายตนะมีเวทนา แล้วรู้ตัวเหตุว่า ตัณหาเป็นตัวเหตุ ที่ทำให้เราโง่ เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน เป็นภพชาติ เป็นนิรันดร นิรันดรก็คือยังอวิชชายังโง่อยู่ นิรันดรความเป็นจิตวิญญาณนิรันดร ก็จะยังมีอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นความมีหรือความไม่มีเป็นที่สุด แห่งที่สุด ดังที่พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่เรียนจบแล้วก็จะรู้จักโลกสมุทัยกับโลกนิโรธ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 เรื่องความมีกับความไม่มี โหติ กับ นโหติ หรืออัตถิความมี กับนัตถิ ความมีกับความไม่มี เป็นต้น ก็จะอยู่กับ 2 อย่างนี้ จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ เป็นอมตะบุคคล สุดท้ายก็ไม่มีงบอย่างสนิทเลย สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปอย่างที่อธิบายแล้ว มันเป็นความสุดตั้งแต่ต้นจนสุด ในการเกิดมาเป็นคน แต่ศาสนาเทวนิยมสุดไม่ได้ มันอวิชชา สุดท้ายก็ไปอยู่กับพระเจ้า และพระเจ้าเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ พระเจ้าก็คือผู้รู้สุดแล้วเป็นอะไร เป็นเจ้าของธาตุจิตวิญญาณนิรันดร เกิดมาแล้วก็มีกรรมต่างๆไม่รู้รายละเอียดของกรรม ไม่รู้ว่าการเกิดการตายมีไม่รู้กี่ภพชาติไม่รู้สำหรับศาสนาเทวนิยม แม้จะรู้ก็รู้ไม่จบ ไม่ใช่เทวนิยม 100% ก็จะเริ่มรู้ว่ามันมีเกิดมีตาย มีการเวียนเกิดเวียนตายหรือจะเกิดชาติเดียว แล้วก็ตายไปอยู่กับพระเจ้าเท่านั้น อ๋อ..มีหลายชาติหรือ มีการเวียนตายเวียนเกิดหลายชาติ เทวนิยมเขาไม่ชัดเจนไม่เรียนรู้อย่างละเอียดลออ เขาไม่รู้ที่เกิดต้น และไม่รู้ที่จบ ปลายของจิตวิญญาณ แต่ของศาสนาพุทธนี้รู้ ชัดเจนทุกอย่างเลย แล้วทำจนกระทั่งสมบูรณ์แบบ จะอยู่ เป็นชีวิตอยู่ มีจิตนิยามอยู่ไม่หายไปไหน จะอยู่แล้วก็จะช่วยโลก ช่วยมนุษยชาติเหมือนพระปณิธานของพระอวโลกิเตศวร ก็อยู่ สอนเขาให้รู้ความรู้ที่ท่านเองมีแล้ว ว่าเกิดอย่างไรตายอย่างไร มันเกิดมาด้วยอวิชชา จนกระทั่งมีวิชชาดับได้ สูญไปเลย ได้ ก็สอนคนอื่นเขาให้รู้ตามช่วยโลกช่วยมนุษย์โลก แต่ผู้ที่ไม่มีปณิธานอย่างพระอวโลกิเตศวรแต่เป็นโพธิสัตว์ขนาดใดขนาดหนึ่ง ประมาณใดประมาณหนึ่งแล้วก็เลิก จบ ไม่ต้องต่ออีก อาตมาว่าอาตมาได้พยายามขยายความต่างๆ วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนไปวนเวียนมา ไม่ได้ออกไปเป็นโลกจินตาอย่างที่เขาฟุ้งซ่านไปไกล ปรุงแต่งกันเป็นโลกที่ต่างกันจนนับไม่ถ้วน หาที่สุดไม่ได้ เป็นโลกที่ปรุงแต่งออกไป ตามลักษณะต่างๆ หาที่สุดไม่ได้สารพัด แต่มันก็วนอยู่ใน 62 ทิฏฐิ มากบ้างน้อยบ้างเท่านั้นเอง อาตมาก็ไม่เก่งพอที่จะเอาทั้งทิฏฐิ 62 มาขยายความ มาอธิบายให้ชัดเจนและละเอียดลออทั้งหมด ยังไม่มีความสามารถปานนั้น แต่ก็พออธิบายได้บ้าง ก็อธิบายผ่านๆไป แต่ละเหตุการณ์แต่ละเรื่องราวที่มันมาถึง อธิบายกันไป ศาสตร์ของพุทธสุดจบจริงยิ่งกว่าทุกศาสตร์ พ่อครูว่า… อาตมาเคยอธิบายเอาไว้ โดยใช้ตัวเลขสังขยาเลข 0 เลข 1 เลข 2 มีคุณน้ำนวลดินเก็บเอาไว้แล้วเอามาให้อธิบาย อาตมาอธิบายตีโจทย์เลข พอดีตอนนี้ชาวอโศกจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา พวกทิดทั้งหลาย พวกสัมมาบัณฑิตจะตั้งพรรคการเมืองชื่อสัมมาธิปไตย และอาตมาก็เลยแนะ เขาจะทำโลโก้กัน อาตมาว่า คุณก็เอาเลข 0 เลข 1 เลข 2 มาผนวกกันให้เป็นรูปโลโก้ ว่า 0 1 2 เป็นตัวเลข 3 ตัว รวมไว้หมดแล้วนะ ตีโจทย์เลข พรรคสัมมาธิปไตย .. 012 .. 0 = เหลือง = ฝ่ายพันธมิตร (0=โลก=จักรวาล=ความยิ่งใหญ่ /สุญญตา/ความหมดตัวหมดตน/ความไม่มี/ความเตรียมตัวก่อเกิดกำเนิดสิ่งใหม่-ชีวิตใหม่) คนทางโลกพยายามปรุงแต่งกันเป็นโลกจินตา อาตมาเคยงึดสุดแสนงึด เรื่องธรรมชาติมันน่างึดจริงๆเลย มันเล็กละเอียดปรุงแต่งกันอย่างไร สัตวแพทย์เขาเรียนรู้เส้นเลือดของยุงได้กันใหม่ แล้วก็ไปจัดการ หัวใจยุงมันทำหน้าที่คล้ายกับมนุษย์ไหม โอ้โห นี่ขนาดยุงนะ มันมีสัตว์ที่เล็กกว่ายุงอีกนะ เล็กกว่าริ้นอีกพูดไปมันก็จะเยอะ ก็คือมันเป็นการคิดฟุ้งซ่านฟุ้งเฟ้อไป ก็เรียนรู้ตัวเราเองนี่แหละ ชีวะ ชีวิต ของตัวเองมันประกอบไปด้วยอะไร ถ้าจะอยู่เป็นมนุษย์เป็นชีวิตอย่างนี้คุณก็อยู่ไปสิ เมื่อคุณจบเป็นพระอรหันต์แล้ว นี่เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ถ้าคุณจะอยู่เป็นมนุษย์ต่อไปอีกนานแสนนานเท่าไหร่คุณจบเป็นอรหันต์แล้วอยู่เลย คุณก็พัฒนาสูงขึ้นรู้จักโลกเขามากขึ้นส่วนตัวเองนั้นไม่มีปัญหา จะเกิดหรือจะตายจะสูญหรือจะมีชีวิตเกิดต่อไปเรื่อยๆอีกกี่ชาติ ก็หมดปัญหาเลย นี่เป็นความตรัสรู้ที่จบแล้ว สิ้นสุดของความรู้แล้ว เพราะฉะนั้นความรู้ที่เรียนกันอยู่ในศาสตร์ต่างๆของมหาวิทยาลัยในสำนักตักสิลาที่ไหนของโลก แต่ของพระพุทธเจ้านั้นจบที่สุดแล้ว สรุปยอดของความรู้หมดแล้ว ไม่ต้องไปศึกษาพวกนั้นมันเสียเวลา พอศึกษาไปจะเป็นเรื่องความปลีกย่อยแต่ละแขนงออกไป เท่านั้นเอง แต่สูงสุดนั้นก็คือพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นศาสตร์ที่สุดแล้ว ดูให้จบเถอะ แล้วจะเข้าใจศาสตร์อื่นๆ ถ้าสนใจอยากจะเรียนให้เป็น Specialist ทางเศรษฐศาสตร์ Specialist ทางการเมือง Specialist ทางมานุษยวิทยา Specialist ทางสัตววิทยา Specialistทางการพนัน Specialist ทางการเล่นไพ่ การเล่นกระบี่กระบอง การหกคะเมนตีลังกายิมนาสติกต่างๆ ก็ได้ทั้งนั้น เรื่องปลีกย่อย แยกออกไป ความรู้สำคัญที่สุดคือรู้จักธาตุวิญญาณ กับร่างกาย ที่มันปรุงแต่งกันอยู่แล้วมีกรรมต่างๆที่มีผลกระทบอยู่กับมนุษยชาติอื่นๆไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นจะไปกระทบทางใด ทางการเกษตร ทางอุตสาหกรรม ทางเศรษฐกิจการเมืองทางอะไรต่ออะไรมันก็แยกแขนงไปเท่านั้นเอง คุณจะสนใจแขนงไหนก็เอาสิ มันสุดยอดของความรู้แล้ว คุณจะไปทางไหนก็ไปเป็นผู้ชำนาญพิเศษ Specialist ในแขนงไหนก็ได้ แล้วก็ไปเล่นทั้งนั้นทั้งนั้นก็เท่านั้นเอง รู้จักก็ไม่มีปัญหาอะไรเรื่องแบบนี้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม… ก็ถ่วงเวลาให้พ่อท่านหายไวๆ ยื้ออายุสังขารไว้เพื่อสืบสานศาสนา พ่อครูว่า… มันเป็นเรื่องของสังขาร จริงๆก็คือ สังขารอาตมานี้มันยื้อไว้ มันยื้อไว้ สั้นๆง่ายๆสรุป ที่ไอทุกทีมันท้วงว่า เมื่อไหร่จะตายสักที อาตมาก็ยื้อไว้ๆ ก็ไอประท้วง นี่พูดสรุปๆให้ฟังน่าตกใจ แต่ไม่ต้องตกใจ อาตมาจะยื้อไว้ จะไปให้ถึงเป้าหมายปลายทางตั้งเป้าไว้ เพื่อที่จะอยู่ อาตมาว่าอาตมามีชีวิตอยู่ไม่ได้เป็นชีวิตที่ทำลาย ไม่ได้เป็นชีวิตที่เป็นพิษเป็นภัย ถ้าจะมองว่าเป็นภัยก็เป็นภัยต่อพวกทุจริตพวกอวิชชา ซึ่งเป็นคนละเรื่องคนละขั้วกัน วิชชากับอวิชชา จะว่าเป็นภัยก็เป็นภัยกับเขาแน่นอน เพราะเขาก็ต้องหลงใหลในอวิชชาของเขา สู่แดนธรรม… ที่พ่อท่านว่า มีเจตนายื้อทำอายุสังขารให้ยืนยาวไป ผมพอจะเดาได้ว่า พ่อท่านต้องการจะเห็นความสำเร็จจากการพยายามสอนของพ่อท่าน ที่ยื้อเอาไว้ มีความปรารถนาจะเห็นอะไรได้สำเร็จหรือเปล่าครับ พ่อครูว่า… ตามที่คุณพูดมาก็มีส่วน แล้วอาตมาก็เห็นไปเรื่อยๆ แต่จุดมุ่งหมายไม่ได้ที่ต้องการเห็น จุดมุ่งหมายต้องการที่จะสืบทอดธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า ให้มันมีคุณภาพมีประสิทธิภาพเต็มที่ ซึ่งอาตมาก็ยังไม่มั่นใจว่า เท่าที่ทำไปแล้ว 50 ปีทำมา เนื้อของโลกุตรธรรม ที่ทำมาได้บ้าง อย่างชาวอโศกทำได้บ้าง มันจะเป็นแก่นแกน มันจะเป็นต้นเชื้อของโลกุตระนี้ ที่มันจะ dilute มันจะเจือจางลงไปเรื่อยๆเหมือนกัน แต่ตอนนี้พยายามจะสร้างพวก พวกเราได้แล้วจะเห็นว่าพวกเราแต่ละคนพยายามสร้างเชื้อเนื้อหาสาระของโลกุตระ ให้เจริญ โดยเฉพาะให้แต่ละคนเจริญ แต่ละคนเจริญเมื่อรวมกันแล้วก็จะเป็นการ Coefficient เป็นพลังงานอัตราการก้าวหน้าทับทวี ที่มันสูงขึ้นไปลักษณะกราฟอย่างสูงชัน จนกว่าจะถึงPeak สุด ก็จะถึงที่สุด แล้วมันก็จะลง จะเห็น Pattern ที่อาตมาเขียนเป็นสามเหลี่ยม เพราะฉะนั้นอาตมาก็จะตั้งไว้ 500 ปี อาตมารับผิดชอบเผื่อไว้แล้ว 500 ปี นี่เกิดมาทำไปแล้ว 50 กว่าปี จะไปได้อีกเรื่อยๆ ไปถึง ถ้าเผื่อว่า ใช้ coefficients สุดเก่งก็ไปถึง 151 แต่เชื่อว่าไม่ถึง เมื่อไม่ถึงก็ต้องเกิดมาอีกในระดับล่างนี้ 500 ปี ในสามเหลี่ยมที่มีสีเป็นแถบๆ 500 ปี แบ่งเป็น x1 x2 x3 x4 ใน 500 ปี เพราะฉะนั้นตอนนี้ทำได้ พอถึง 108 ปีก็จะได้ x3 ถ้าเป็น 144 ก็จะเป็น x4 เสร็จแล้วเหลือเสร็จอีก 7 ปี 151 ก็เสวยวิมุติอีก 7 ปี ถ้าจะพูดกันอย่างโลกๆก็บอกว่าทำงานปลดเกษียณตอนอายุ 144 เสร็จแล้วก็เสวยวิมุติดูผลงานไป ที่นี่เนื้อคุณภาพของเนื้องานโลกุตระจะมีคุณภาพสูงสุด ก็จะมีเนื้อธรรมไปอีก 2,500 กว่าปี ถึงจะหมดเชื้อพุทธ อาตมาก็จะต้องพยายามใส่เชื้อโลกุตระนี้ สร้างเชื้อโลกุตระนี้ให้มีประสิทธิภาพให้มีคุณภาพเต็มที่ มีเนื้อหาสาระของโลกุตระเต็มที่เท่าที่จะทำได้ ซึ่งมันยากแสนยากสุดยากเลย คนที่เขาไม่รู้เรื่องฟังแล้วไม่เข้าใจเลย พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้แล้วว่าโลกุตรธรรมนี้มันจะสูญ ท่านตรัสไว้ใน อาณีสูตร ท่านก็ว่าไว้ชัดเจนว่ามันจะสูญไป ท่านตรัสพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ตรัสรู้ยังไม่นานนัก ว่า โลกุตรธรรมมันจะสูญไป ไม่เหลือในโลกของศาสนาพระพุทธเจ้า มันยังไม่หมดหรอก แต่มันเสื่อมสิ้นไป ท่านได้ตรัสไว้ นั่นแหละเมื่อนั้นแหละ มันเสื่อมไปก็เป็นสภาวะจริงของชาวพุทธในโลก มันก็เสื่อมจนมาถึง 2,500 กว่าปีก็เสื่อมไปเกือบหมด ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ โลกุตรธรรมจะไม่เหลือ เหลือแต่คำสอนของผู้ที่เขารจนาขึ้นมาเป็นคำสอนที่ไพเราะ อธิบายแปรเปลี่ยนไปตามประสาเขา พออาตมาเกิดมาในยุคนี้ก็ ไอ้หยา! เจอกลองอานกะ โอ้โห! จริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย กลองอานกะหรือตะโพน ใบเก่ามันไม่เหลือเชื้อของความเป็นกลองเก่า ซึ่งเป็นเนื้อมีไม้มีหนังมีเชือก มันไม่มีของเดิมเลย มันกลายเป็นวัสดุใหม่วัตถุใหม่ เป็นของประกอบขึ้นมาใหม่ แต่มันมีชื่อเก่าเท่านั้นเหมือนชื่อของศาสนาพุทธก็เป็นชื่อเก่า แต่เนื้อหาสาระของพุทธ มันเป็นของใหม่หมด มันไม่ใช่เนื้อแท้ของกลองอานกะใบเก่าเลย อาตมาไม่ได้อวดเก่งพูดเอาดีเข้าตัวทำเป็นเก่งนะ แต่มันเป็นจริงแท้ๆเลย ไม่มีใครหรอกที่จะมาพูดเรื่องนี้ แล้วกล้าพูดว่า คุณนั่นแหละจะมาเป็นผู้ที่ทำเนื้อใหม่ของกลองใบนี้ กลองอานกะคืนมา ไม่มีใครกล้าพูดหรอก นอกจากโพธิรักษ์ แล้วทีนี้เอาคืนมาได้จริงไหม …จริง เอาคืนมาคืออะไร เอาโลกุตระธรรมคืนมา เอามาให้เกิดจริงเป็นจริงในมนุษยชาติ เกิดแล้วเป็นแล้ว เป็นแต่เพียงว่าอาตมาพูดไปแล้วว่า อาตมายังไม่มั่นใจว่ามันจะมั่นคงยืนนานเพียงพอ แต่ก็มีคนเริ่มรับรู้รับได้เข้าใจเพิ่มขึ้น ดีไม่ดีต่างประเทศก็จะเข้าใจในอนาคตตอนนี้ก็ ตอนนี้ก็ไม่รู้ได้อาตมาไม่มีเครื่องเช็ค ว่ามีคนต่างประเทศเขารู้ไหม เพราะเราไม่มีคนแปลเป็นภาษาอื่นออกไป มีแต่ภาษาไทย ภาษาไทยยังไม่มีคนอ่านกันเลย ความสุขเป็นปัญหาชีวิต สู่แดนธรรม… มีคำถามของเด็กที่เข้ากับสิ่งที่พ่อครูถาม ขณะนี้พ่อท่านกำลังสอนเรื่องจะทำให้เนื้อโลกุตระหยั่งลงอย่างแน่นหนา พอดีเด็กถามว่า _หลวงปูคะ หนูได้อ่านเจอในหนังสือว่า ความสุขคือปัญหาชีวิต หนูเลยสงสัยว่ามันจริงหรือไม่คะ พ่อครูว่า… เข้าท่า ความสุขเป็นปัจจัยชีวิต นี่แหละคือความโง่ ความสุขเป็นปัญหาของชีวิตนั่นแหละคือความโง่ มันไม่ใช่ปัญญา ไปเข้าใจว่าความสุขคือปัญหาของชีวิต เพราะมันไม่เข้าใจว่าความสุขมันไม่มี ความทุกข์มันไม่มี มันเป็นอุปาทานทั้งนั้น สุขก็อุปาทาน ทุกข์ก็อุปาทาน มันเป็นอวิชชา เพราะฉะนั้นไปยึดว่าเป็นความสุขเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง จนกระทั่งเทวนิยมเป็นสุขนิยมเลย ต้องได้แต่ความสุข สู่แดนธรรม… แสดงว่าคนทั่วไปมองว่าความสุขไม่น่าเป็นปัญหาในชีวิต แต่พวกเราชาวโลกุตระเห็นว่ามันเป็นปัญหา เหตุของความทุกข์มาจากความสุขใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… มันไม่รู้ว่าสุขไม่มีจริงๆหรอกมันเป็นอุปาทาน มันก็จะต้องการอยู่นั่นแหละ ต้องการก็คือตัณหา เมื่อมีปัญหาก็เลยไปหลงตัณหา ถ้ามีปัญญาเราก็ไม่ไปหลงตัณหา เราก็ไม่ต้องการสุขไม่ต้องการทุกข์ พูดมันง่ายนะ เราก็ไม่ต้องการสุขไม่ต้องการทุกข์ การที่ไม่ต้องการสุขไม่ต้องการทุกข์นั้นอาศัยพยัญชนะภาษาที่พูด คำว่าไม่สุขไม่ทุกข์ มันเป็นภาษาไทยแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์มันเป็นคำไวพจน์เป็นคำใช้แทน ที่จริงไม่ใช่อันเดียวกันหรอก ใช้แทนกับคำว่าอุเบกขา คำว่าอทุกขมสุขหรือ ไม่สุขไม่ทุกข์มันก็เหมือนหรือเรียกว่าไวพจน์ มันคล้ายกันใช้แทนกัน มันก็พอได้ พอฟังได้ แต่ว่า คำว่า อทุกขมสุขกับอุเบกขามันคนละนัยเลย ไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นความรู้ตื้นๆ แค่โลกียะ แต่อุเบกขาเป็นความรู้ทางโลกุตระ อุเบกขาจริงๆคืออะไร ใครตอบได้บ้าง ใครจะอาสาตอบยกมือ ใครจะตอบได้ตรงกับเฉลยในใจอาตมา เนื้อแท้ก็คือ อุเบกขาคือ ความบริสุทธิ์จากกิเลส บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ปริโยทาตา บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น แล้วจิตนั้นเป็นธาตุจิตที่ยิ่งใหญ่เรียกว่า มุทุภูตธาตุ หรือมุทุธาตุ ภูตะคือจิตวิญญาณที่มีลักษณะมุทุ เป็นลักษณะที่ยิ่งใหญ่มาก ในมุทุเป็นธาตุ 2 ชนิดอยู่ในนั้น ธาตุเจโตกับธาตุปัญญา มีทั้งสองชนิดอยู่ด้วยกันเก่งที่สุดเป็นธาตุเจโตก็เก่งเป็นธาตุปัญญาก็เก่งสุด เพราะฉะนั้นผู้ที่มีธาตุวิญญาณเป็นมุทุได้ จึงเป็นธาตุจิต ที่สามารถจัดการกับกรรม เรียกว่า กัมมัญญา จัดการกรรมได้อย่างเหมาะสม อย่างดี มี สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 สามารถที่จะจัดมัตตัญญุตา ประมาณทุกกาละในการที่จะมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเป็นตัวจัดการ จึงมีแต่สิ่งที่ดีเรียกว่ากุศลในโลก เพราะจิตมันสะอาดจากความลำเอียงไม่มีอคติ ไม่มีรักไม่มีชัง ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่กรรมการงาน มีแต่สิ่งที่จะทำกับสิ่งแวดล้อมสิ่งประกอบให้ดีที่สุด ใช้สัปปุริสธรรม 7 กับมหาปเทส 4 เป็นองค์ประกอบในการทำ วินิจฉัยแล้วก็ทำลงไป ประมวลแล้วเสร็จ มัตตัญญุตา เร็ว เป็นอัตโนมัติยิ่งใหญ่มากเลย ผู้ที่บรรลุเป็นอรหันต์แล้ว มีมุทุภูตธาตุ ก็จะทำ กัมมัญญาได้เร็วไว ตามบารมีของแต่ละท่าน ๆ อย่างอาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ทำได้เร็วไวไม่ใช่น้อย นี่พูดไปเหมือนคุยตัวเองอวดตัวเอง แต่ที่จริงพูดสาระสัจจะ พูดวิชาการ พูดความจริงสู่ฟัง มันเลยเขตข้ามพ้นความอยากอวดตัวอวดตนไปแล้ว อาตมาข้ามเขตนั้นไปไหนต่อไหนแล้วในการอยากอวดตัวตน อยากจะอวดไปทำไม ถึงไม่แคร์คนเขามาด่าหรอก คนอยากอวดดีจะไม่กล้าไปกระทบคนอื่นเท่าไหร่ อยากให้คนชม แต่อาตมาไม่ได้แคร์การชมการตำหนิอะไร เอาความจริงว่าอย่างเดียว สู่แดนธรรม… สาเหตุที่พ่อท่านทำคุณภาพเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าได้ละความสุข จากที่เด็กได้ถาม พ่อครูว่า… ได้ละแล้วทั้งความสุขความทุกข์ พูดไปแล้วคนที่จะไม่เชื่อถือ เขาไม่เข้าใจเนื้อหาสาระสัจจะ แต่พูดไปนี้มีความจริงในพฤติการณ์ทั้งหมด แต่เขาไม่มีปัญญาไม่มีธาตุรู้พอที่จะรู้ถึงกรรมกิริยาอาการของอาตมาทั้งหมด เขาไม่รู้หรอก ก็มันช่วยไม่ได้ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ได้แต่แสดงออกไปสำหรับผู้ที่รู้ได้ ซึ่งมันมีผู้ที่รู้ได้อย่างพวกคุณเนี่ยรู้ได้ แล้วรู้ได้ยิ่งๆขึ้น อาตมาก็ได้ทำให้มันละเอียดลออ เจริญขึ้นเรียกว่าเจริญงอกงามไพบูลย์ เจริญก็คือพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ งอกงามก็คือลักษณะที่มันงอกงาม ชื่อนี้ยิ่งใหญ่เหมือนกันนะ คำว่า งอกงาม เหมือนอย่างปุ๋ยของชาวอโศก งอกงาม เสร็จแล้วก็เต็ม ไพบูลย์ก็คือเต็ม เจริญงอกงาม ไพบูลย์ 3 คำใหญ่ ก็ทำขึ้นไปให้มันเจริญขึ้นๆ แล้วมันก็งอกงามขึ้น เป็นแต่เพียงว่ามันยังไม่เต็ม ยังไม่ไพบูลย์เท่านั้น ก็ต้องทำเข้าไปเรื่อยๆ มันไม่ไพบูลย์ได้ง่ายๆหรอก เพราะว่าความพร่อง พระพุทธเจ้าตรัสว่าโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ หมายความว่าพร่องอยู่เสมอ เพราะความไม่เที่ยง และสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยในการที่จะทำให้เกิดเป็นความไม่เที่ยงมันมาก คนจะทำให้เกิดความเที่ยงมันมีน้อย พระอรหันต์นี้จบในเรื่องความเที่ยงความไม่เที่ยง แล้วท่านก็จบอยู่ที่ความเที่ยงที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเที่ยง พระอรหันต์นี้จบอยู่ในความเที่ยง ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ถือว่าเที่ยง ฟังพอไหวไหม พระอรหันต์จบอยู่ที่ความเที่ยง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แต่ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเที่ยง ถ้าเราไม่ได้ยึดเราก็ไม่ได้อยู่ไม่ได้ทำอะไรร่วมกับเขา เพราะเรายึดเราถึงทำอะไรร่วมกับเขา ถ้าเราไม่ยึดไม่แตะ ไม่ยึดไม่แตะไม่รับรู้แล้วคุณจะทำอะไรร่วมกับเขาได้ ต้องไปรับรู้แล้วไปแตะไปยึดแล้วปรุงแต่งกับเขา สู่แดนธรรม… ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็เป็นมิจฉาอุเบกขา วิมุติอยู่ไหนในศาสนาพุทธ พ่อครูว่า… ใช่ มิจฉาอุเบกขา พูดไปพวกเราก็เข้าใจเพิ่มขึ้นไกลและลึกขึ้น นึกถึงพุทธศาสนาที่มันเกิดอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว อาตมาก็เห็นวงการศาสนาพุทธที่มันเป็นอยู่ จนกระทั่งเกิด นี่ใหม่ๆ เกิดกรณี มหา9 ประโยค กับมหา 7 ประโยค เป็นละครลิเกสลับฉากของสังคมชาวพุทธ ตลกสิ้นดี มันตลกมากเลย ทั้งคู่นะ ต่างคนต่างพยายามทำปริญญาเอกกันนะ ทั้งคู่ แต่ว่ามหาสมปองจะทำเปรียญ 9 ประโยคหรือเปล่า แต่มหาไพรวัลย์นั้นจบเปรียญ 9 แล้ว แล้วกำลังทำปริญญาเอก มหาสมปองกำลังทำปริญญาเอก แต่ไม่รู้ว่าจะจบประโยค 9 ไหม นั่นแหละก็มีความรู้มีการเรียนตามระบบของโลกเขา แต่เสร็จแล้วก็เป็นตัวตลกของศาสนา แล้วก็นึกว่าตัวเองเป็นตัวเด่น เป็นตัวตลกนะ มันก็น่าสังเวชใจ น่าสมเพช น่าสงสารจริงๆ ก็มันก็เป็นจริงในเรื่องของสังคมมนุษยชาติ แม้แต่พุทธศาสนา ก็ไม่ละเว้นที่จะต้องเกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมไป นอกจากกฎไตรลักษณ์ไม่ได้เหมือนกันศาสนาพุทธ แต่มันอยู่ที่ว่าใครจะเอาที่ได้เนื้อหาสาระแก่นแท้ของศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมูลสูตรแก่นคือวิมุติ วิมุติคือแก่น มันก็เป็นพยัญชนะนะ แล้วทำอย่างไรจะได้วิมุติ วิมุติคืออะไร แก่นคืออะไร พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ในพระสูตรอื่นอีก ท่านตรัสว่า คนศึกษาธรรมะก็เพราะว่าต้องการแสวงหาแก่น เสร็จแล้วก็ไปได้งมงายอยู่แค่ สะเก็ด นึกว่าได้แก่นแล้ว ไปหลงสะเก็ดเป็นแก่น บางคนก็ลึกเข้าไปได้ถึงเปลือก เข้าไปจากสะเก็ด ไปถึงเปลือกไม้ ก็นึกว่าเปลือกไม้เป็นแก่น งมงายอยู่กับเปลือก บางคนก็ลึกไปถึงเนื้อกระพี้ นึกว่าเป็นแก่น งมงายอยู่กับเนื้อกระพี้ ส่วนแก่นนั้นคือวิมุติ ก็ไม่ได้แก่น จริงๆแล้วอย่าไปว่าสมัยนี้ยุคนี้ถึงกระพี้หรือเนื้อมันเลยที่ท่านหมายถึงเอาปัญญา กระพี้หรือเนื้อคือปัญญา แก่นคือวิมุติ กระพี้หรือเนื้อคือปัญญา เปลือกคือสมาธิ ก็ไม่ได้ทั้งนั้น สะเก็ดคือศีล ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ก็ไม่ได้ เขาได้อะไร ได้ใบ ได้ดอก ได้ผล ใบดอกผลของต้นไม้ คืออะไร ลาภ สักการะ เสียงสรรเสริญ นี่ ศาสนาเขาได้อยู่แค่นี้ ทุกวันนี้ศาสนามี ใบและผล ใบและดอกและผล มีแต่ลาภสักการะเสียงสรรเสริญ นี่คือสิ่งที่เขาได้ อ่านจากสูตรนี้เลย อุปมาพรหมจรรย์นี้กับแก่นไม้ มหาสาโรปมสูตร ล.12 ข้อ 347 เขาบวชอย่างนั้นแล้วยังลาภสักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น. เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น. เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญ อันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย. เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น. บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่นไม้ ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือกไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่ มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่นและกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปยาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้จะพึงปรากฏ. เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น.เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่ปรากฏ [หรือมีคนรู้จักน้อย] มีศักดาน้อย เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาทเพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้วย่อมอยู่เป็นทุกข์. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า ได้ถือเอากิ่งและใบของพรหมจรรย์และถึงที่สุดแค่กิ่งและใบนั้น. พ่อครูว่า… คำสอนพระพุทธเจ้าชัดเจนเป็นจริงมากเลย เขาเป็นกันไม่ได้ใส่ไคล้ใส่ความหาเรื่องกัน แต่เขาเป็นกันอยู่จริงๆ พูดอย่างนี้หากเขาฟังเขาจะสะดุ้งอยู่หรือไม่นะ ไม่จ้างหรอกนะ จะพูดว่าจ้างก็ไม่สะดุ้ง ก็ไม่จ้าง ไปจ้างให้เสียเงินทำไม พระพุทธเจ้าตรัสความจริงไว้มันจริงที่สุดเลย ตรัสไว้มันจริง ไม่รู้จะจริงอย่างไร มาถึงยุคนี้นี่แหละ คือไม่มีแล้วธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระ สูญหายไปเกลี้ยง พูดเหมือนอวดดีจริงๆเลยโพธิรักษ์ แล้วอาตมาก็เอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปในศาสนาพุทธ ทำมา 50 กว่าปีก็ได้เท่านี้แหละ ก็ภาคภูมิใจอยู่นะ ได้ขนาดนี้ก็เอา สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงทั้งสิ้น อาตมาก็เป็นคนจริงๆ มาทำจริงๆ แล้วก็เกิดเหตุเกิดปัจจัยต่างๆตามที่มันเป็นจริงเป็นสาระสัจจะ ไม่ว่าจะเป็นวิมุติ ไม่ว่าจะเป็นปัญญา ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นศีล คนเขาบอกว่าจะเอาศีลให้ไปเอาที่สันติอโศก สมาธิให้ไปเอาที่ธรรมกาย ปัญญาให้ไปเอาที่สวนโมกข์ แต่วิมุติไม่บอกว่าไปเอาที่ไหน ไม่เห็นมีบอกว่าให้ไปเอาวิมุติที่ไหน _สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน… วิมุติไปเอาที่สายหลับตา พ่อครูว่า… เขาก็ไม่บอกชัดอย่างนั้น แท้จริงแล้ว อโศกนี้มีหมด มีตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญาวิมุติ แถมวิมุตติญาณทัสสนะด้วย มีหมด แต่เขาก็ไปแยกเอา แน่นอนก็ต้องเป็นศีลมาก่อนเพราะเป็นสะเก็ดของต้นไม้ สะเก็ดของต้นไม้ก็พร้อมจะร่วงออกจากต้นไม้ ไม่ได้ไปหลงกิ่งใบที่อยู่บนยอดบนต้นพราวพริ้งอยู่ ดูงามดูอะไร ไม่ใช่ เริ่มต้นที่สะเก็ด มันขี้เหร่ที่สุดแล้วสำหรับสะเก็ด คือศีล ชาวอโศกมีอะไร มีศีล มีสิ่งที่ขี้เหร่ที่สุด พวกศีลนี้พวกขี้เหร่ที่สุดของต้นไม้แล้วคือสะเก็ดของต้นไม้ ฟังดีๆนะธรรมะนี้ลึกซึ้งนะเด็กๆเข้าใจไหม คนเขามองมาแค่ตื้นๆ ว่าอโศกมีอะไรอโศกคือศีล ก็มีแค่สะเก็ด โธ่เอ๋ย สะเก็ดต้นไม้ มันสุดขี้เหร่แล้ว ก็ขี้เหร่นี่แหละเห็นไหม มันไม่ดูสวยดูงามดูโก เป็นเนื้อเนียน เข้าไปหาเปลือก เข้าไปหากระพี้ เข้าไปหาแก่นอะไร ไม่หรอก เขาก็ไม่รู้ว่า เปลือกคือสมาธิเป็นอย่างไร กระพี้คือเนื้อหาสาระของมัน หุ้มอยู่เยอะ เนื้อจะมีเยอะคืออะไร คือปัญญา วิมุติคือตัวแก่น เขาก็ไม่ได้รู้กัน สู่แดนธรรม… นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ พ่อครูว่า… แก่นเขาเอาไปทำเสาทำประโยชน์ได้ กระพี้เอาไปทำประโยชน์บ้าง เอาไปทำยา สะเก็ดนี้เขาเอาไปทำอะไร เอาไปทำเชื้อไฟพอได้ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ นี่เป็นเนื้อแท้ของศาสนา ก็มีศาสนาพุทธนี่แหละอธิบายเนื้อแท้พวกนี้ คนเข้าใจพยัญชนะพวกนี้ แล้วก็รู้สภาวะของ ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี วิมุติก็ดี รู้สภาวะของมันอย่างครบถ้วน ถูกต้อง เป็นจริง ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ แยกกันไม่ได้ ไม่แยก ผู้มีวิมุติแล้วคือผู้มีศีลอันสำเร็จแล้ว ผู้มีวิมุติแล้วไม่ใช่เป็นผู้ที่ทิ้งศีล ไม่ทิ้งศีลเลย มีแต่ศีลที่บริสุทธิ์เป็นศีลอันมีผลสำเร็จบริบูรณ์ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่หลงใหลในกามคุณ 5 ไม่พูดปด ไม่ติดอะไร ไม่เสพติดอะไร นี่คือศีล 5 ศีลพื้นฐาน มีจริงๆ เหมือนชาวอโศกเรานี่มีศีล 5 เป็นพื้นฐาน เป็นความวิเศษที่มีศีล มีศีลถึงขั้นไหน มีศีลถึงขั้นตั้งมั่นเป็นสมาธิ ฟังให้ดีนะ สมาธิไม่ใช่ไปนั่งหลับตานั่งทำจิตนิ่งอย่างนั้น แต่สมาธิคือความตั้งมั่น ความตั้งมั่นของอะไร ตั้งมั่นของศีล ของปัญญา ของวิมุติ สมาธิคือความตั้งมั่น ความตั้งมั่นของ อธิศีล อธิปัญญา หรืออธิมุติ ตั้งมั่นคืออะไร ตั้งมั่นคือ ตั้งอยู่ได้อย่างแข็งแรง ตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง ตั้งอยู่ได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลงไม่เคลื่อนที่ ไม่มีอะไรมาหักล้างได้ สภาวะนั้นแหละ สภาวะอะไร สภาวะของศีลกับปัญญาและมีผลเป็นวิมุติ เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีอื่นไปจากนี้เลย ไม่ได้มีอื่นไปจากศีล สมาธิปัญญา วิมุติ จบด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ ที่อาตมาอธิบายอยู่นี่คือวิมุตติญาณทัสสนะ อาตมามีวิมุตติญาณทัสสนะ ศีลสมาธิปัญญา วิมุติอาตมามีแล้วมีของจริงด้วยจึงได้เอามาอธิบายขยายความได้ละเอียดลออหลากหลายนัยยะหลายมิติ ขยายอย่างหยาบกลางละเอียดทุกแง่มุม และขอย้ำว่าศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ไม่ได้แยกกัน มีวิมุติ ศีลยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นศีลนี่คือหลักเกณฑ์ที่ประกาศกำหนดขึ้น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นต้น พระพุทธเจ้าคือปราชญ์เอก กำหนดหลักเกณฑ์นี้ ต้องปฏิบัติให้ได้ผลได้มรรคผล ตามหลักเกณฑ์นี้ จุลศีลก็อย่างนี้ มัชฌิมศีลก็อย่างนี้ มหาศีลก็อย่างนี้ เป็นต้น ถ้าพูดถึงจุลศีล มัชฌิมศีลมหาศีล เขาไม่รู้เรื่องกันหรอกศาสนาพุทธทุกวันนี้ เขารู้บอกว่าศีลมีเท่าไหร่ ตอบได้ไหมเด็กๆ ศีลมีเท่าไหร่ ศีลของพระมีเท่าไหร่ เขาก็จะตอบว่า 227 ศีลของพระเขาว่ามี 227 ซึ่งอันนั้นมันเป็นวินัย วินัยคือเรื่องคำที่ตั้งขึ้นมาเพื่อบังคับให้ทำตามนี้ ถ้าไม่ทำตามนี้ผิด ผิดอย่างนี้แล้วต้องปลงอาบัติมีอาญาลงโทษ ตั้งแต่ลงโทษอย่างเบาจนถึงลงโทษอย่างหนักตามวินัย แต่ศีลไม่มีการลงโทษอย่างนั้น ศีลเป็นคำสอนพระพุทธเจ้ากลางๆ ใครเห็นดีเห็นด้วยก็เอาไปปฏิบัติตาม ก็ได้เจริญตามศีลนั้นๆจนถึงวิมุติ จนถึงหลุดพ้น จนถึงเป็นโพธิสัตว์ จนถึงเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละเป็นศีล ไม่ได้ทิ้งนะพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทิ้งศีล เป็นพระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้ทิ้งศีล แต่มีศีลเข้าเนื้อเลย เป็นจริงเลย เป็นจริงจนกระทั่ง มีศีล แต่เขาไม่เข้าใจ คนเห็นว่า มันพิสดาร มันแปลก มีศีลทำไมเป็นคนยุกยิกๆ คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว มีศีลเขาว่าจะต้องเป็นคนเคร่ง ต้องนิ่งๆ ต้องเกร็งๆ ซึ่งเขาเข้าใจเป็นคนละทิศคนละทาง สู่แดนธรรม… แสดงว่าคนที่ยังเกร็งยังเคร่งอยู่ยังไม่หลุดพ้นใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป มีศีลยังต้องเกร็งต้องเคร่งทำไม แต่มีศีลก็เป็นปกติธรรมดาของชีวิตสามัญ รับรู้เหตุปัจจัยแล้วก็ปฏิบัติ ว่า อย่างนั้นเป็นสิ่งที่ให้ละเว้น ศีลมีสองนัย ศีลทำให้ยิ่ง(อธิศีล) กับศีลทำให้ละหน่ายคลาย เป็นอธิศีล เพราะฉะนั้นเข้าใจความเป็นจริงไม่ได้ ศีล ลึกซึ้งมากท่านตรัสว่าคือความปกติ ศีล คือธรรมดาคือปกติ ผู้มีศีลคือผู้ที่ไม่ฆ่าสัตว์เป็นธรรมดาเลยเป็นปกติ อย่างไงก็ไม่ฆ่า แม้สัตว์มันมาฆ่าเราเราก็ไม่ฆ่ามัน ถึงปานนั้น คนมาทำร้ายเรา เราไม่ทำร้ายตอบ ของเขาไม่อยากได้ของเขา ไม่เอาเพื่อความเป็นขโมยนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ของคนอื่นก็ไม่อยากได้ของเขา นอกจากไม่อยากได้แล้ว ให้เขาไปด้วย ถ้าอยากให้มันก็ทุกข์ ไม่ต้องอยากหรอก มีมากก็ให้เขา แบ่งกันตัวเองอาศัยกินใช้ เอาใส่ปันสุขไว้ ใครมาเอาก็แล้วแต่เขา มีไหมที่เราเอาไปให้ที่ปันสุขแล้วไม่มีใครมาเอาจนผักมันแห้งเหี่ยวต้องเอามาคืน …ไม่มี หมดทุกที นี่พวกทุเรียนเอาไปไว้ปันสุขบ้างสิ โอ้โห นี่ทางบ้านได้ยินมาคอยเอาเลย จริงหรือเปล่า เอาทุเรียนมาวางไว้ปันสุข นี่ดูสิ ที่บนโต๊ะนี้ทุเรียนมันปริแตกเลย พูมันจะโตเลยนะ จะยกก็เกรงใจ เขาว่าทุเรียนพันธุ์ไร้หนาม สู่แดนธรรม… อนาคต บ้านราช อาจจะมีทุเรียนพันธุ์นี้ไว้แจกก็ได้ พ่อครูว่า… 3 นาทีสุดท้าย _เด็กถามว่า อยากจะรู้ว่าหลวงปู่คุยกับเทวดาได้อย่างไรครับ พ่อครูว่า… คำว่าเทวดาคืออะไร เทวดาคือ ความสูงความเจริญคือเทวดา หลวงปู่ก็คุยกับเทวดาก็คือ คุยกับธรรมะที่สูงธรรมะที่เจริญ แล้วธรรมะที่สูงที่เจริญนั้นเวลาหลวงปู่นอนแล้วคิดขึ้นมามันก็ต้องมีสิ่งที่คิด คนเรามีคิดขึ้นมามันก็จะมีเรื่อง 1.อดีต 2. อนาคต อดีตคือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ส่วนอนาคตนั้นมีทั้งที่อนาคตที่ยังมีจริงแต่ยังไม่เป็นจริง 1. อนาคตที่เป็นไปได้ กับ 2. อนาคตที่เป็นไปไม่ได้ คิดได้แต่เป็นไปไม่ได้ แต่อดีตนั้นเป็นสิ่งที่เป็นแล้วเป็นได้ แต่อนาคตนี้มี 2 อย่าง อย่างหนึ่งเป็นได้แต่ยังไม่เป็น อีกอันหนึ่งก็คือ คิดแต่เป็นไม่ได้อนาคตเป็นไม่ได้ มันจึงมีฟุ้งซ่านถึง 44 อย่าง ส่วนอดีตมีแค่ 18 อย่าง พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอามาแจกแจงว่า ท่านประมวลไว้ในทิฏฐิ 62 ความคิดความเห็นความเข้าใจ ในมนุษย์นั้นมีอยู่เท่านี้ สุดยอดเลยจะไปลงรายละเอียดก็ไม่ไหวอธิบายไปทีละ 3 ทีละ 5 ทีละ 8 ก็เยอะแล้ว ปฏิบัติให้ได้ในเนื้อของ 3 อย่าง 5 อย่าง 8 อย่างนี้ก็เหลือแล้ว แล้วเอาไปปฏิบัติให้ได้ ในศีล 5 นี้เป็นอรหันต์ก็ได้ถ้าเข้าใจแล้ว ไม่ต้อง 5 หรอก 3 ก็เป็นอรหันต์ได้ ศีลข้อ 1 2 3 นี่แหละเรียนให้ดีๆเถอะจบในนี้เป็นอรหันต์ในศีล 3 ข้อนี้ได้เลยถ้าเข้าใจ อย่างหลวงปู่อธิบายให้ฟัง อธิบายทีใดก็ให้เห็นว่าเป็นคุณค่าเป็นของดี ชื่นใจน่าจะต้องมีต้องเป็น ทุกคนควรรู้ควรเข้าใจทุกคนควรได้ จบ เจริญธรรม? Category: ศาสนาBy Samanasandin6 กันยายน 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640903_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความยิ่งใหญ่ของบุญนิยม สาธารณโภคี กสิกรรม NextNext post:640908_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อจินไตยเรื่องกรรม สู่การเป็นสถาบันกษัตริย์Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024