640901_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สำเหนียกให้สำนึกเปิดบุญนิยมทีวีผ่านดาวเทียม
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1b2pP3Y9tDAlkn3aacECYk_-vxHy6c4zw-7CYtTxUNe4/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1enk2WYijQjC-5fdi_wtgQHK0vhcyOkDM/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/341355534402788
สำเหนียกให้สำนึกเปิดบุญนิยมทีวีผ่านดาวเทียม
สมณะฟ้าไท…วันนี้เป็นวันพุธที่ 1 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะถ่ายทอดสดบุญนิยมทีวีทางดาวเทียม ก็จะมีพิธีเปิด
VTR เปิดสถานีบุญนิยมทีวีผ่านดาวเทียม
บุญนิยมทีวีคืนสู่ดาวเทียมอีกครั้ง
หลังจากที่บุญนิยมทีวีจอดับไปเปลี่ยนจากระบบดาวเทียมมาออกอากาศในระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 นับเป็นเวลา 16 เดือน หลายท่านสะดวกติดตามด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่หลายท่านก็ไม่สะดวกแบบนี้
กระทั่งพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้มีดำริ ปราถนาจะเผยแพร่ธรรมะผ่านดาวเทียมอีกครั้ง ช่วงโควิด-19ระบาดหนัก เพื่อช่วยเหลือส่องแสงสว่างให้ประชาชนยามมืดมิด ให้รอดพ้นจากความทุกข์ยากทั้งกายและใจ ลูกหลานชาวอโศกจึงมีการประชุมปรึกษาหารือกันหลายครั้งอย่างเร่งด่วน และมีมติอย่างเป็นเอกีภาวะที่จะเปิดบุญนิยมทีวีทางดาวเทียมอีกครั้ง
ชาวอโศกเริ่มต้น เดือนมิถุนายน 2550 ทำทีวีด้วย โทรทัศน์เพื่อแผ่นดิน FETV ต่อมาเปลี่ยนเป็น โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ FMTV และมาเป็นบุญนิยมทีวี ทั้ง 3 ชื่อ ยืนหยัดตามนโยบายจากพ่อครู “ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง” เราได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ด้วยการเผยแพร่โลกุตระธรรม 3 อาชีพเพื่อมนุษยชาติ โดยเฉพาะการทำหน้าที่ถ่ายทอดรายงานช่วงชุมนุมตั้งแต่เปิดสถานีกระทั่งปี 2557
ทีวีคนจนที่มีแบบ ออกอากาศได้ 12 ปี 6 เดือน 6 ชั่วโมง โดยคนทำงานเป็นจิตอาสาทำงานฟรีไม่มีค่าตอบแทน และเป็นทีวีที่ไม่มีโฆษณา อาศัยรายได้จากสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ “ดินอุ้มดาว”
การฟื้นคืนชีพของบุญนิยมทีวีสู่ดาวเทียม เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เพราะหากสถานีโทรทัศน์ช่องไหนจอดับไปแล้วก็มักจะไม่ได้ฟื้นคืนกลับมา เพราะงานทีวีเป็นงานที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ปาฏิหาริย์ความมหัศจรรย์ครั้งนี้ชาวอโศกตั้งใจว่าจะเปิดทีวีประมาณ 2 ปีก่อน ขึ้นอยู่กับทุนรอนว่าจะต่อลมหายใจของงานเปิดเผยธรรมะของพระพุทธเจ้าไปได้อีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็ต้องค่อยๆดูกันไปและช่วยให้กำลังใจกันไปนานๆนะคะ
_สู่แดนธรรมว่า… กระผมขอเป็นตัวแทนลูกๆน้อมนมัสการ เอาฤกษ์ดีมงคลดี แรม 9 ค่ำ เดือน 9 เพื่อเปิดออกอากาศผ่านดาวเทียมโลกุตรธรรมทีวี ให้โลกุตรธรรมแพร่หลายไปทั่วโลก สาธุ สาธุ สาธุ
พ่อครูว่า… เป็นฤกษ์งามยามดีตามโลกที่มีพิธีกรรมโดยไม่ต้องซักซ้อม จะเห็นได้ว่าไม่สมูทดีหรอก ไม่รู้เลยนะว่าจะมีอะไรพวกนี้ รู้เอาวินาทีที่จะมาทำตามที่เขาบอก ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาอย่างไร มันจะมีมานะอยู่ในตัว ถือดี ว่าถ้ามันจะพลาดมันจะผิดหรือไม่ มันก็จะมีนิดๆหน่อยๆตามประสา ที่จริงก็ไม่มีปัญหาหรอกความผิดพลาดก็มีได้เป็นธรรมดา แต่เราผิดพลาดแล้วก็แก้ไขข้อบกพร่อง ในฐานะที่เราเองยังเป็นผู้ที่ไม่ชำนาญที่สุดเป็นที่สุดเราก็ต้องฝึกฝนไปตลอดเวลา
การฝึกฝน มันเป็นเรื่องจำเป็นเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องที่จะต้องกระทำกันจริงๆ คนเราถ้าไม่มีการเรียนรู้และฝึกฝน ก็จบก็เป็นสัตว์ชั้นต่ำ เป็นมนุษย์ชั้นต่ำ ไม่เจริญงอกงามอะไร มันจะเจริญงอกงาม มันมีอยู่ 2 คำที่น่าจะขยายความ ในโอกาสดีนี้
คือคำว่าสำเหนียกและสำนึก นี่ไม่ได้เตรียมมานะ ก็เอาสดๆ
คำ 2 คำนี้เป็นภาษาไทย แต่ก็สืบเนื่องจากภาษาบาลีมา สำเหนียกและสำนึก เป็น 2 คำที่มีนัยยะแตกต่างกัน
ขออธิบายตามความรู้ความเข้าใจที่อาตมาดี อาตมาเชื่อว่าจะให้ความหมายที่ใช้ได้
สำเหนียกกับสำนึก 2 คำนี้ มันจะต้องเป็นไปด้วยกัน
สำเหนียกคือ มีความระมัดระวัง อยู่เสมอ
สำนึก เป็นตัวที่ลงตัว
แล้วทีนี้ สำเหนียกอะไร? มันคืออย่างไร สำเหนียกคือ ความระมัดระวังในทุกกรรมกิริยาทุกอาการ ในตัวเรา เราจะต้องสำเหนียกเสมอ โดยแต่ละคนก็มีความสำนึก คือระลึกรู้ตัว แล้วคนเราจะรู้ตัวอะไร รู้ตัวไปทำไม
คนเราจะต้องรู้ตัวว่า เรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นตัวหลักของจิตวิญญาณ ของความเป็นชีวิต ของความดำเนินชีวิต จนกระทั่งถึงปรินิพพานเป็นปริโยสาน มีกรรม
กรรมนี้ยิ่งใหญ่ ถ้าจะว่าไปแล้วก็ต้องพูดกันอย่างชัดเจน เป็นคำวิชาการไม่ใช่เป็นคำที่ยกตนข่มท่าน ไม่ใช่ดูถูกดูแคลนอะไรใคร แต่เป็นคำที่มีความหมายเป็นเช่นนั้น
กรรมนี่คือตัวแทนของมนุษย์ ที่เป็นตัวปรากฏการณ์จริงอยู่ในโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่เป็นความจริงของGod ยืนยันได้ยิ่งกว่า God หรือพระเจ้าของศาสนาเทวนิยม
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม ที่มีกรรมเป็นใหญ่ไม่ใช่มี God เป็นใหญ่ แต่เทวนิยมเขายึดถือ God เป็นใหญ่ แล้วเขาจะไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องของกรรม กรรมคือการกระทำของคนแต่ละคนนี่แหละ
เพราะฉะนั้นคนแต่ละคนจะต้องสำเหนียก ระมัดระวัง ระวังทางใจที่เป็นประธาน สำเหนียกว่าใจของเรามันจะมีอาการอย่างไร ออกมาทางวาจาก็ต้องสำเหนียกระมัดระวัง ออกมาทางกายกรรมก็ต้องสำเหนียกระมัดระวัง ในขณะที่เรายังไม่ชำนาญ ยังไม่เป็นอัตโนมัติในกรรมกิริยาทางกาย วาจา ใจ ที่พร้อมไปด้วยสติสัมปชัญญะ ปัญญา ทั้งหมด เราก็จะต้องฝึกฝนอบรมและระมัดระวัง
เมื่อระมัดระวัง ประคอง ปฏิบัติประพฤติ จนกระทั่งมันเป็น สมาหิโต เป็นจิตที่ตั้งมั่นของพุทธ จิตที่ตั้งมั่นของพุทธเกิดจากกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 ประพฤติปฏิบัติ จิตก็จะลงตัวและบริสุทธิ์ วิมุติหลุดพ้นสะอาดจากกิเลสแล้ว ก็จะตกผลึกลงมา เป็นผลึกที่แข็งแรง จิตก็ก่อตัวจับตัวกัน ตั้งมั่น แข็งแรง
เพราะฉะนั้น อาการของจิตตั้งมั่นของศาสนาพุทธ จึงไม่ใช่อาการจิตตั้งมั่นที่เขาอธิบายขยายความคำว่าสมาธิ โดยทั่วไปของเทวนิยมสากลทั่วไปเขาใช้คำนี้ พระพุทธเจ้าจึงเรียกของท่านว่าเป็น สมาหิตะหรือสมาหิโต ไม่ใช้คำว่าสมาธิ หรือเจโตสมาธิ สามัญ ที่เรียกกันทั่วไป มีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกันบ้างอย่างที่กล่าวมา
ผู้ที่มีความสำเนียงระมัดระวังตัว การตกผลึกลง ให้ความสำนึกระลึกรู้ว่าอันนี้ดีแล้วนะอันนี้ทำได้แล้วนะ อันนี้บริบูรณ์แล้วอันนี้เป็น สมาหิตะหรือสมาหิโตแล้ว ก็ไม่ต้องไประมัดระวัง ไม่ต้องไปควบคุม ไม่ต้องไปสำเหนียกอะไรมากแล้ว ก็สำเร็จ เป็นสมาหิตะ สำเหนียกสำนึกสมาหิตะ ก็ลงตัวสมบูรณ์แบบ
นี่คือการฝึกฝนจิตวิญญาณ ขยายความจาก 2 ตัว 3 ตัว ลงตัวเสร็จบริบูรณ์เป็น cyclic order 1 2 3 สมบูรณ์แบบแล้วก็ลงตัวไป
สภาวะที่อาตมาเคยรวบรวมไว้บ้างจากพยัญชนะบาลี คือสภาวะของความรู้ สำเหนียกสำนึกตัวเรานี่แหละ เพื่อที่จะให้เกิดความสำนึก มีคำ ภาษาบาลีที่แยกพอสมควร ที่จริงละเอียดกว่านี้ก็ได้ แต่ขนาดนี้ก็ละเอียดมากแล้ว
เช่น มีคำว่า สัมปชัญญะ
สัมปชัญญะ = ความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้
สัมปชานะ = รู้สำนึกตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่
สัมปาเทติ = เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ
สัมปัชชติ = ความรู้จากการแยกแยะขจัด
สัมปาเปติ = การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร
สัมปฏิสังขา = ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .
สัมปัชชลติ = เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง
สัมปัตตะ, สัมปันนะ = การเข้าบรรลุผล.(ในรอบนั้น)
สัมปฏิเวธะ = ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในรอบนั้น
ปฏิสาเรสฺสามิ = จักทำให้เขาสำนึก, ปัจจเวกขันตัสสะ = ได้สำนึก
สติของพุทธต้องตื่นเต็มทั้งภายนอกภายใน โดยเฉพาะภายนอก ภายในก็ควบคุมภายนอก มีสติทางกายกรรม สติทางวจีกรรม สติทางมโนกรรมครบสมบูรณ์
จากสติเชื่อมต่อมาการตื่นรู้ก็ทำงาน ทำงานสังขารทำงานทั้งหมดที่จะมีอาการกรรมกิริยาต่างๆ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ก็เป็นความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้อยู่ สติรู้ตัว
สัมปชัญญะก็ต่อมาเป็น สัมปชัญญะ ระลึกรู้ตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่ เช่นสติปัฏฐาน 4 ปฏิบัติอบรมกายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรม ที่ได้อธิบายกันมามากแล้ว
สัมปาเทติ เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ สัมปัชชติ คือความรู้จากการแยกแยะขจัด ขจัดสิ่งที่ไม่ดีออก สิ่งที่ดีก็ทำขึ้นให้ยาวนานให้สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สัมปาเปติ = การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร
สัมปฏิสังขา = ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำไปเรื่อยๆ
สัมปัชชลติ = เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรองขึ้น เมื่อถึงขั้นต่อไป
สัมปัตตะ, สัมปันนะ = การเข้าบรรลุผล.(ในรอบนั้น) สัมปัตตะ บรรลุในรอบแรก ต่อมา สัมปันนะบรรลุระดับที่ 2 หรือต่อมา
สัมปฏิเวธะ = ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในรอบนั้น
ปฏิสาเรสฺสามิ = จักทำให้เขาสำนึก, ปัจจเวกขันตัสสะ = ได้สำนึก
จะทำให้เขาสำนึก สมบูรณ์ด้วยสำนึก ทำให้สำนึกแล้วเราก็ได้สำนึก ใครคนอื่นก็ตาม ถ้าเขาเองมารับรู้ด้วย เอาไปทำตาม เขาก็จะเป็นผู้ที่รู้ว่าน่าจะเอามาทำอย่างนั้น ก็ทำให้เขาเสมอ เขาก็เอาไปทำจนเขาได้
จากทำสำเหนียก จนเกิดความสำนึกบริบูรณ์
นี่คือธรรมะที่อาตมาได้จากพระพุทธเจ้าและอบรมฝึกฝนให้ละเอียดละออ จน ณ ปัจจุบันขณะนี้ก็ได้สิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ก็เอาสิ่งที่ดีเหล่านี้มาสืบสาน ขยายความต่อ ไม่ได้ทำมาชาติเดียวชาตินี้แต่ทำมาเป็นล้านชาติแล้ว คุณอาจจะฟังแล้วบอกว่าเวอร์เป็นล้านชาติ แต่ความจริงแล้วเป็นเช่นนั้น
เพราะบางชาติไม่ได้มีอายุยืนยาว อายุแค่ 5-10 ปีก็ตาย บางชาติทำงานได้ 20 ปี 30 ปีบางชาติก็ได้ 100 ปีกว่า เกิดจากเหตุปัจจัยองค์ประกอบที่เรามีวิบากที่จะมาสังเคราะห์สังขารกัน ดีไม่ดีคนมาทวงหนี้สินทำร้ายเราก็ตายไปง่ายๆก็ได้ แต่ว่าอาตมาห่างจากที่จะถูกทำร้ายตายโหงมาไกลพอสมควรแล้ว ที่พูดมาไม่ได้ท้าทาย ชาตินี้ไม่เคยถูกใครต่อยตีเตะ มีแต่ถูกหอกปาก แต่โดนถูกลงไม้ลงมือยังไม่เคยมีแม้แต่สักครั้งเดียว โดนตบจากใครก็ยังไม่เคย แม่อาตมาเคยตีอาตมาครั้งเดียว ตีที่แขน เอาไม้บรรทัดตี แล้วแม่ก็ร้องไห้ ก็เท่านั้น เราถูกตีก็สำนึก ไม่พยายามทำผิดที่แม่จะไม่ชอบใจ
จะยาวไป เดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นคนแก่มาเล่าความหลัง
SMS วันที่ 30 – 31 ส.ค. 2564
คนจนที่ไม่เป็นหนี้แต่มีเหลือแจก
_ณัฐนพ วิชากรนฤมิต : ขอบคุณบุญนิยมทีวีที่ได้ออกอากาศในดาวเทียมอีกครั้ง ครับ
_Tanudtud Snitwong Na Ayudhya (ถนัดทัต สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) : กราบนมัสการพ่อท่านครับ ส่งสัญญาณดาวเทียมแล้ว ขออย่ายุติการส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตนะครับ สำหรับคนที่ไม่มีทีวีก็จะยังติดตามได้ไม่ขาดหายครับ กราบขอบพระคุณครับ ??
พ่อครูว่า…ไม่ได้หยุด อินเทอร์เน็ตก็ส่งอยู่ดาวเทียมก็ส่ง เท่าที่มันจะขยายไปได้ก็ยังเปิดอยู่ เราทำไปได้ เราจะไม่เป็นหนี้
การเป็นหนี้นี้ 1.เป็นทุกข์ 2. เสียเครดิต เสียศักดิ์ศรี เสียหน้า เป็นคนจนอย่างไรก็ไม่เป็นหนี้ให้ได้ ต้องรักษาฐานะ อย่าเป็นหนี้เด็ดขาด นอกจากไม่เป็นหนี้แล้วต้องเลี้ยงตัวเองรอดแล้วให้มีส่วนเหลือส่วนเกิน แล้วใช้ส่วนเหลือส่วนเกินช่วยคนอื่นด้วย เป็นคนจนอย่างนี้ แล้วเราก็ทำได้มาตลอดทุกวันนี้เราก็พอถูไถ ทำได้อยู่ ยังไม่เป็นหนี้แล้วก็ยังเผื่อแผ่ผู้อื่นได้บ้างแม้จะน้อยลง
เพราะฉะนั้นก็ต้องขยันเพิ่มขึ้นนะ พวกเราช่วยกันหน่อย ขยัน โดยเฉพาะกสิกรรม ลงมือลุยกสิกรรมกันให้รุ่งเรือง ฟังอาตมาดีๆ แล้วทำความเข้าใจดีๆ ช่วยอาตมาหน่อย มันเท่ากับช่วยโลกทั้งโลก ระดมลงมือช่วยทำกสิกรรมเราให้มาก ที่ดินของเรายังพอมีอยู่ ทำให้เต็มไปเลยทำให้เขียวไปหมด ตอนนี้มันเขียวไม่หมดแต่ก็กินไม่ได้บ้าง ปลูกสิ่งที่กินได้ให้เต็มไปหมด แล้วช่วยกันเก็บมาแจกจ่ายเจือจานกัน
ถ้าเราสามารถทำได้ถึงขั้นว่า เราปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารขึ้นมาได้แล้ว มากพอเราก็ขยันเก็บ แล้วเราก็เอาไปจำหน่าย ไม่ใช่ขายนะแต่แจก งานของเราคือแจกฟรี แจกได้ตลอดเป็นงานของเราแล้วเราก็อยู่ได้จริงๆ เราอยู่ได้เท่าที่เรามี แจกไปให้เป็นพฤติกรรมมนุษย์มนุษย์ให้เป็นอย่างนี้ได้ ได้ไหม …ยังไม่มากเท่าใด ได้น้อยๆ จึงต้องเอาให้มากขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่ความเลวเลย มันเป็นความประเสริฐ เป็นความดีงาม ไม่ได้ทำเพื่อโด่งเพื่อเด่น แต่ทำอย่างเป็นสัจจะ เพราะฉะนั้นตั้งใจเอา
รัฐศาสตร์ คอมมูน มาจากอะไร
_Araya Sripairoj (อารยา ศรีไพโรจน์) : คอมมูน มาจากคำว่า community หรือไม่เจ้าค่ะ กราบนมัสการด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า…มันเกี่ยวเนื่องกัน คอมมูน คือการรวมกันเป็นหมู่ เป็นชุมชน เข้ามารวมสนิทสนมกลมเกลียวกลมกลืนกันจนเป็นอย่างเดียวเลย ท่านแปลเป็นศัพท์ว่า สหคาม (คอมมูน) ในพจนานุกรมแปลอย่างนั้น คาม คือหมู่บ้าน สห คือร่วมกัน เป็นประชาคม เป็นการปกครองประชากรที่อยู่ใน สหคามนั้น ในหมู่บ้านนั้น
เช่นชุมชนราชธานีอโศกชุมชนสันติอโศกชุมชนศีรษะอโศก เป็นต้น หรือหมู่บ้านอื่นๆก็แล้วแต่เป็นสหคาม เป็นคอมมูน
คอมมูน จะมีลักษณะที่ย่อยไปเที่ยวโยงกันกับหมู่บ้าน มีลักษณะกิริยาของมันเป็น คอมมูนอล ทีนี้มันก็สูงไปเป็น communion กรรมสิทธิ์ร่วมกัน เหมือนกับเราเป็นสาธารณโภคีคือคอมมิวเนียน เป็นของส่วนรวมร่วมกัน
Communism เป็นลัทธิคอมมิวนิสต์
หรือคอมมิวนิสต์ เป็นการนับถือคอมมิวนิสต์หรือตัวบุคคลที่เป็นคอมมิวนิสต์ผู้นั้น
Community ที่คุณถาม เป็นการระบุถึงสังคมประชาชนกลุ่มนั้น ก็มีสิ่งที่ร่วมกันใช้ร่วมกันเป็นสาธารณชน
ที่อาตมากำลังอธิบายอยู่ขณะนี้ ขยายความในเรื่องของระบบการบริหารปกครองที่โลกมีกัน โดยใช้ภาษาคำที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ คำหนึ่ง และก็ Democrazy หรือประชาธิปไตยอีกคำหนึ่ง ทุกวันนี้ก็ 2 คำนี่แหละเป็นใหญ่อยู่
อาตมาจะต้องอธิบายสิ่งเหล่านี้อีกนาน มาป่านนี้ ยังรู้สึกว่าอธิบายไม่เก่ง มันน่าจะอธิบายได้ดีเช่นอาตมาสรุปความเป็นจริงว่า
ถ้าเรียกว่าประชาธิปไตยแล้วล่ะก็ เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตยที่ดียอด ยอดกว่าประชาธิปไตยที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตย 2 ขา ดีกว่าประชาธิปไตยขาเดียว ไม่ได้ไปข่มกันไม่ได้ดูถูกดูแคลนแต่เป็นลักษณะความจริงอธิบายวิชาการให้ฟัง โดยมันมีของจริงในโลกที่จะศึกษาตามได้
2 ขามันมี
-
วิญญาณ 2. มีกาย มีกายกับจิต ส่วนขาเดียวนั้นมันไม่มีจิตวิญญาณเป็นหลัก มันมีแต่กาย กายแล้วก็มีจิตที่แตกที่แหลกที่กระจายไม่มีระบบ จิตไม่มีความรวม จิตไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นอย่างระบบกษัตริย์ ที่มีจิตต่อเนื่องสืบสันตติวงศ์ เจริญ และเป็นความไม่เจริญด้วย เช่น