640825_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เจาะใจคอมมิวนิสต์ พิชิตประชาธิปไตย
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1avkXJvg3_R3fCGpTQus34fdlzXInWu8yZzQjVrrf0yM/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/11e5YQ7yKk_GwHWXxn7Le0Bzb7pHb2Dc2/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/3861682107270209
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้มนุษยชาติเดือดร้อนเพราะพิษภัย covid อย่าทำให้เดือดร้อนเรื่องอาหารไม่มีจะกิน ยาไม่มีจะรักษา ทำให้คนไม่มีทางออกในสังคม เกิดการแก่งแย่งชิงดี
พ่อครูก็มีดำริให้พวกเราออกอากาศบุญนิยมทีวีผ่านดาวเทียมกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้หยุดไปประมาณ 16 เดือน เราก็จะออกอากาศกันในวันที่ 1 กันยายนนี้ ใครมีจานดาวเทียมอันเก่า ก็สามารถอัพเดท OTA ให้ขึ้นช่องบุญนิยมทีวีได้
หมายเลขช่องบุญนิยมทีวี ในกล่องดาวเทียมต่างๆ
1.กล่อง ที่เริ่มทำ OTA ตั้งแต่ 1 ก.ย. 64
1.1 Infosat หมายเลขช่อง 211
1.2 thaisat, ideasat, Ks Tv หมายเลขช่อง 171
1.3 GMMz หมายเลขช่อง 155
2.กล่อง PSI หมายเลขช่อง.. (รอแจ้งอีกครั้ง) เริ่ม 1 ต.ค. 64
พ่อครูว่า… เตรียมเรื่อง เจาะใจคอมมิวนิสต์ พิชิตประชาธิปไตยยังไม่จบ ก็เลยขยายให้ไปเป็นระบอบการปกครองของ ถึง 9 ชนิด เตรียมจดก็แล้วกัน
ที่พูดไปนี้มีอยู่ในโลกทั้งนั้นเลยทั้ง 9 ชนิด เป็นตัวอย่าง
SMS วันที่ 20-24 ส.ค. 2564
ทำไมนักบวชที่สันติอโศกไม่นับว่าเป็นพระ
_CigFilpSip (ซิกฟิลป์สิป) : ทำไมพระ ที่สันติอโศกไม่นับเป็นพระ ฯลฯ
พ่อครูว่า… คำว่าพระ คำนี้สันติอโศกไม่เอาคำว่าพระมานำหน้า ก็รับไม่ได้เพราะว่าเราไม่เอา เราไปเอาคำว่า สมณะ
พระ ที่จริงเป็นภาษาไทยที่บวชมาจากภาษาบาลี คือ คำว่า วร แปลงมาเป็น พระ เดิมเป็นภาษาบาลี เป็นคำนำหน้าบุคคลที่เป็นนักบวชในศาสนาพุทธ
เถรสมาคม ท่านก็ใช้คำว่าพระนำหน้า ที่นี้เราเป็นนานาสังวาส ทางโน้นใช้เป็นกฎหมายเลยว่าไม่ให้เรียกไม่ให้ใช้คำว่าพระนำหน้า ไม่ให้ใช้คำว่าภิกษุ นักบวช นักพรต และคำอื่นๆอีกซึ่งเป็นคำในกฎหมายไม่ให้เรียก แต่เราก็จะมาทำงานทางด้านธรรมะไม่ให้เรียกคำเหล่านั้นแล้วจะให้เรียกคำไหน เขาก็เลือกคำนี้ไม่มีในกฎหมาย คำอะไร ก็คือคำว่า สมณพราหมณ์ ซึ่งเป็นคำเรียกเดิมสมัยพระพุทธเจ้าเลย ท่านเรียกว่าสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เต็มรูปเลย แล้วคำนี้ไม่มีในกฎหมายก็บอกให้เราเอาคำนี้ เราก็เลยเอา ถึงได้คำว่าสมณะนำหน้ามาตั้งแต่บัดนั้น
เพราะฉะนั้น สันติอโศกหมายถึงพวกเราชาวอโศกทั้งหมด เขามักจะเรียกว่าเป็นชาวสันติอโศก ก็หมายถึงชาวอโศกทั้งหมด ที่ว่าทำไมไม่นับเป็นพระ ก็ไม่นับด้วยเหตุผลอย่างนี้จึงนับเป็นสมณะ ซึ่งเป็นคำนำหน้า Article ชื่อของเรา เหมือนกับ นาย นาง นางสาว
ทีนี้คำว่าสมณพราหมณ์มันก็ยาวไปนิด ก็เลยเรียกย่อว่าเป็นสมณะ เป็นคำนำหน้า
วิมุติรสในเรื่องเนื้อสัตว์เป็นเช่นไร
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม : กราบนมัสการพ่อครูค่ะ การจะเลิกทานเนื้อสัตว์นั้นเป็นของยากมากผู้ที่เลิกแล้วเป็นสุดยอด ลูกเลิกมามาเกือบ 30 กว่าปีแล้ว ถือว่าเป็นวิมุตติหรือไม่ค่ะ จะพยายามทำให้ได้ตลอดชีวิตค่ะกราบสาธุคะ
พ่อครูว่า… ก็ตัวเองพูดออกมาเองว่าเลิกทานเนื้อสัตว์เป็นของยากมาก ผู้ที่จะเลิกได้เป็นสุดยอดก็ดูที่ความรู้สึกตัวเองดูที่เวทนา เมื่อเห็นเนื้อสัตว์เราก็สัมผัสตลอด เขาจะต้มแกงผัดปรุงแต่งมาสารพัด เอาเนื้อชนิดต่างๆมาทำเป็นอาหารต่างๆ ปรุงแต่งสารพัดชื่อ เช่น ลาบหมูลาบวัว ลาบไก่ ลาบเป็ด ลาบปลา อย่างอื่นๆอีกสารพัด เรียกไปเยอะชื่อ
แต่เมื่ออาหารนั้นมาสัมผัส เอาตรงที่เราสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส แม้จะไม่ได้สัมผัสด้วยลิ้น สัมผัสภายนอกแตะต้อง หรือจะสัมผัสด้วยลิ้นก็ตาม มันก็รู้สึกเฉยๆ ก็รู้ว่าเป็นรสแท้คืออะไร รสเนื้อ รสหมู รสไก่ รสเป็ด เราก็รู้เพราะอาจจะเคยรับประทานมา ถ้าจะลองชิมก็พอจำได้
แต่ก็อ่านเวทนา อ่านใจในใจ อ่านความรู้สึก มันไม่มีเวทนาเทียม ไม่มีเวทนาเก๊ มีแต่เวทนาที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ว่ามันเป็นรสเป็นกลิ่น เป็นความเหนียวความกรอบอย่างไร มีรายละเอียดของมันไป แต่ละคนก็จะต้องมีการกำหนดรู้เอง
ถ้าเราไม่มีเวทนาเวทนาปลอม เวทนาเทียม ที่เป็นเวทนาตัวที่ 2 มันมีแต่เวทนาตัวที่ 1 เท่านั้นตามของจริง มันจะเป็นสภาวะแท้ๆของมัน ส่วนจะเรียกด้วยภาษาก็ยังจะต่างกันไป คนไทยสัมผัสเรียกอย่างนี้ว่าเหนียวๆ ฝรั่งเจ๊กแขกก็เรียกต่างกันไป อันนี้มันยุ่ยไม่เหนียว หรือบางอันก็เหนียว บางอันก็กรอบ บางอันก็นุ่ม ก็แล้วแต่ หรือมันจะมีกลิ่นแตกต่างกัน บางอันมีกลิ่นคาวน้อยบางอันมีกลิ่นคาวมาก เนื้อมันก็ไม่เหมือนกันในแต่ละชนิด แม้แต่เนื้อปลาชนิดต่างๆ
พวกที่เลี้ยงสัตว์เขาพยายามปรุงแต่งให้เนื้อเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เลย เคยได้ยินเนื้อโกเบไหม มันชื่อดังราคาแพง ก็ให้มีลักษณะนุ่มนิ่มหรืออะไรตามที่เขานิยม หรือเนื้อแกะเนื้อแพะก็ว่ากันไป
เพราะฉะนั้นผู้ที่แยกเวทนาในเวทนา เป็นเวทนาแท้เวทนาเทียมออกจากกันได้ ก็จะรู้จักว่าเรามีพิรุธหรือไม่มีพิรุธ สำคัญ ถ้าเรียนรู้ไม่เข้าใจวิธีแยกแยะสภาวะพวกนี้ให้ชัดเจน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ถ้าไม่รู้ชัดๆ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรม
อย่างมหาบัว ติดรสหมากประจำปากเลย ไม่ค่อยได้ว่างเว้น ก็ไม่รู้ว่าตัวเองติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่ในนั้น มันเป็นสิ่งเสพติดแท้ๆ ก็ไม่รู้พวกนี้จึงยังอีกนาน
ถ้ามหาบัวรู้ว่าอันนี้เป็นสิ่งเสพติดแต่ยังหลอกคนอื่นซ้อนซ้ำ เพราะมันติดแต่ตนเองเลิกไม่ได้ อาตมาเคยได้ยินว่าท่านพยายามเลิก แต่ปรากฏว่ามันเลิกไม่ได้ก็เลยโมเมกินไป ก็เป็นจริงเท็จอย่างไรก็ยังไม่รู้ ถ้าเป็นเท็จก็ขออภัย ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องลึกลับอะไรว่ามันเป็นสิ่งเสพติด ตื้นๆ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เป็นถึงขั้นระดับนี้ไม่น่าจะไม่รู้ ถึงแม้ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เป็นปัญหาสำคัญคือ ท่านเสพติดจริงๆ ของเสพติดมันเป็นอบายมุข ขนาดนี้ยังละไม่ได้
_ตุ๊ก อัศวิน : ประเทศไทย..มีขุมทรัพย์เป็นเลิศในโลก..นั่นคือ..พระพุทธศาสนา..ซึ่งได้ตกทอดจากอดีตมาสู่ประเทศไทย เป็นดังเพชรเม็ดใหญ่งดงาม ที่หม่นหมองไปตามกาลเวลา(ความเห็นผิดเพี้ยนจากต้นฉบับสมัยพุทธกาล) มาในปัจจุสมัยนี้ ได้พ่อครู(พระโพธิสัตว์)มาขัดสีฉวีวรรณให้เพชรได้ เปล่งแสง สุกใส แวววาว ยังอรรถถประโยชน์แก่ ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย ได้เห็นธรรม นับเป็นลาภอันประเสริฐแก่ลูกทางธรรม /น้อมกราบในเมตตาธรรมยิ่ง..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย
_สายชล วังยาว : จริงๆแล้ว ทีวี คนเฒ่าคนแก่ก็ไม่ค่อยได้ดูหรอก โดนคนอื่น ลูกหลานยึดหมด ทั้งละครน้ำเน่า การ์ตูน เอาไปกินหมด และส่วนมาก 1 บ้านก็มีทีวีเครื่องเดียวเท่านั้นแหละ ไม่มีพื้นที่ให้ธรรมะได้เข้าแทรกได้หรอก.
พ่อครูว่า… เอาน่า เท่าที่ได้ เดี๋ยวนี้เด็กๆเขาไม่ค่อยใช้โทรทัศน์กันแล้วเขาดูในโทรศัพท์มือถือกัน เป็นส่วนใหญ่ โทรทัศน์ช่องต่างๆก็มีโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นช่องบุญนิยมทีวี หรือบางช่องไม่โฆษณาก็มีการเรี่ยไรเป็นหลัก แต่ว่าบุญนิยมทีวีคนภายนอกจะเอาเงินมาให้สมทบเราก็ยังไม่รับ ถ้าไม่ตรงตามกติกาของเรา ใครจะว่าหยิ่งผยองก็ตามใจ เราไม่ได้หยิ่งผยอง แต่เราต้องมีกรอบของการป้องกัน ไม่ให้เปิดช่องในการตะกละตะกลาม โลภโมโทสันเห็นแก่ได้อะไรมากขึ้น เราไม่เอา เราป้องกัน ความเสื่อมของเรา
_อุทาน อุทัย : ดูทางโทรศัพท์ก็ดีค่ะเพราะพกพาไปได้
พ่อครูว่า… ก็เห็นว่ามันควรจะเพิ่มทางโทรทัศน์เพราะเป็นสากล เราจึงต้องลงทุน เดือนละหลายตังค์เหมือนกัน นี่ไม่ได้พูดเพื่อให้รับบริจาคอะไรนะ ก็พอเป็นไปพวกเราลองดู
_แผ่นฟ้า : เชื้อกิเลสนี่มันร้ายกว่าเชื้อโควิดเยอะมากๆน่ะ เชื้อโควิดนี่ ถ้าเราไม่ซี๊ซั๊วเที่ยวเตร่ไปที่ๆไม่ควรไป อยู่กะบ้านก็ปลอดภัยดีระดับหนึ่งแล้วครับ ส่วนกิเลสนี่มันฉลาดเฉโก หลอกล่อเราทุกรูปแบบตามจิตที่เรามีกาม มีโทสะหรือหลงเพลิดไปกับสิ่งที่เราติดสารพัด แล้วมันก็จูงเราไป ทำสารพัดที่สร้างความเดือดร้อนให้กะตัวเองและทำให้ผู้อื่นวุ่นวายเสียหายกับการกระทำต่างๆที่หลงทำลงไปทั้งตั้งใจก็ดีหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เมื่อจิตใจเราไม่ฝึกหัดมีสัมมาทิฏฐิที่ถูกตรงแล้ว ย่อมสร้างสารพัดปัญหาขึ้นอยู่เนืองๆตราบจนโลกแตก กิเลสมันก็ไม่ตายจริง ยุคนี้ดีที่มีพ่อท่านมาเป็นผู้ปลดปล่อย ให้พวกเราได้เกิดสัมมาทิฏฐิชี้ช่องทางที่จะจับตัวกิเลสได้ถูกตัวกิเลสที่จรมาสิงบงการในจิตใจเราได้ เมื่ออ่านผีในตัวของเราได้ เราก็จะได้ใช้แบบฝึกหัดต่างๆที่จะต่อสู้และมีภูมิคุ้มกันชนะใจเราเองดีขึ้นๆตามอินทรีย์พละและความใส่ใจตั้งใจจริงๆที่จะขจัดให้ออกไปหมดไปครับ
_สายลมหวาน : อวิชชานี้เป็นตัวสำคัญเพราะเป็นตัวทำคลอดสัตว์ทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่โพธิสัตว์ เข้าใจถูกมั๊ยครับ
พ่อครูว่า… ถ้าเป็นโพธิสัตว์ก็เป็นสัตว์ที่ได้ความตรัสรู้ อวิชชานั้นทำคลอดโพธิสัตว์ไม่ได้ ต้องเป็นวิชชชาเท่านั้นที่จะทำคลอดโพธิสัตว์ได้ อวิชชาหมดสิทธิ์ แต่อวิชชาทำคลอดสัตว์ทุกชนิดตั้งแต่ต้นทางมาแล้ว เพราะอวิชวิชชาจึงเกิด สังขาร วิญญาณ นามรูป จึงเป็นต้นทางของ ปฏิจจสมุปบาท
_0015 : สัมมาสิกขายังดำเนินไปปกติ แม้ยุควิกฤตินี้ ระบบการศึกษาข้างนอกโดนโควิดล็อกไว้หมด นับเป็นบุญของลูกๆสัมมาสิกขาทุกคนครับ
พ่อครูว่า… จริงนะ ของเรายังศึกษากันไปได้ ยังเป็นไปได้ทั้งมัธยมและอาชีวะ ของเขาก็เรียนออนไลน์แต่ไม่สมบูรณ์ แต่ของเราเป็นการศึกษาบวร เราอยู่ร่วมกันหมดเลย
ซึ่ง อาตมาก็ยังไม่ได้ขยายความอย่างละเอียดไปเสียทีเดียว ในความเป็นบวร มันเป็นทั้งหมดของการศึกษาด้านสังคม และอื่นๆ
_รุ่งศรี แก้วดวงสี : กราบคารวะพ่อครู ที่เคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ ลูกเป็นลูกชาวนาเป็นคนที่สิบในพี่น้องสิบเอ็ดคน สมัยเด็ก เริ่มป. 3 ก็ตักน้ำนึ่งข้าวถูบ้านเป็น เพราะตัวเล็กผอมๆจึงใด้ทำงานเบา ทำนาปลูกผักโตมากับทุ่งนา แต่งงานคือวิบากเข้า มีเงินทองแต่สุขภาพแย่ เลยผันตัวเองมาบ้านเกิด ก่อนมีโควิดสามปี คำถามคือ ทำไมลูกไม่เคยมีความรู้สึกว่าตัวเองยากจนเลยคะ ถึงจะมีความลำบากแค่ไหนก็ไม่เคยรู้สึกอดอยากของกินสมัยเด็กมีมากเพราะแม่ปลูกผักเก่ง ใจลูกก็ห่วงแต่คนอื่น ลูกและสามีพูดบ่อยว่า “อย่าห่วงคนอื่นหลาย” และมีความรู้สึกว่าปัญหาทุกอย่างลูกแก้ได้หมด พอมาฟังพ่อครู บอกว่า ต้องช่วยตัวเองก่อนลูกถึงเข้าใจ ว่าการเชื่อมั่นตัวเองมากไปคืออัตตาและยึดดี จนมีคนทั้งรักทั้งเกลียด ลูกเข้าใจว่ามันคือกิเลสที่ลูกต้องลดต้องดูดี ๆ ก่อนช่วยใครไม่ว่าเรื่องอะไร เป็นคนปากร้ายด้วยค่ะ และตลอดปีสองปีมานี้ เวลาลูกมีวิบากจากสุขภาพและเรื่องร้าย พอลูกนึกถึงพ่อครู และอาจารย์หมอเขียว ปัญหาก็คลี่คลาย ลูกจะฝึกฝนตนเองต่อไป กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… ขอทวน ขอย้ำว่า กันยายนนี้ เราจะมีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม
หมายเลขช่องบุญนิยมทีวี ในกล่องดาวเทียมต่างๆ
กล่อง ที่เริ่มทำ OTA ตั้งแต่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
๑. กล่อง Infosat หมายเลขช่อง ๒๑๑
๒. กล่อง thaisat,ideasat , KS TV หมายเลขช่อง ๑๗๑
๓. กล่อง GMMz หมายเลขช่อง ๑๕๕
กล่อง PSI เริ่ม ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ (หมายเลขช่องจะแจ้งภายหลัง)
ระบอบบริหารประเทศ 9 แบบในโลก
พ่อครูว่า… มาเข้าสู่ เจาะใจคอมมูนิสต์ พิชิตประชาธิปไตย
ผู้มี “ปัญญา” เท่านั้น จะเจาะกระเปาะไข่ของอวิชชาออกมาได้
หัวเจาะของปัญญาคือ สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
คอมมูนิสต์คือเปลือกไข่ ปัญญาคือหัวเจาะ
ดังนั้น ผู้สามารถทำพุทธพจน์ 7 นั้นให้เกิดจริงเป็นจริงได้สำเร็จ ก็คือ ผู้มี “ปัญญา” เท่านั้น จะเจาะกระเปาะไข่ของอวิชชาออกมาได้ ….
ระบบการบริหารประเทศในโลกไม่ได้มีแค่ 2 ระบอบ ระบอบที่หายไปไม่ได้หายไปหมดแต่มันแฝงอยู่ แอบมาตีท้ายครัว เช่น เผด็จการ มันแฝงอยู่ทั้งนั้น อย่างเช่น คอมมิวนิสต์ เป็นเผด็จการหมู่ เผด็จการแบบคณะ คณาธิปไตย แต่อย่างจีนแผ่นดินใหญ่ ทุกวันนี้เขายกให้สีจิ้นผิง สีจิ้นผิงก็เลยดูเหมือนเป็นเผด็จการหนึ่งเดียวเลย
แต่ว่าเผด็จการต้องหมายเอาที่จิตประชาชน ถ้าจิตประชาชนเขายกให้ หนึ่งเดียวเลย เหมือนอย่างกับชาวพุทธยกให้พระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ใช่เผด็จการ การที่จิตประชาชนยกให้ ยอมรับนับถือ เชื่อเต็มรูป และมั่นใจในผู้นำที่จะพาไปให้สู่ดี เป็นที่ยอมรับ อันนี้เป็นสากลที่จะค่อยเข้าใจไปเรื่อยๆ
อาตมาก็เลยมาทำรายละเอียดเข้าไปให้ครบ
ระบอบบริหารประเทศที่โลกมีกัน
-
สมบูรณาญาสิทธิราช เต็มรูปคือเผด็จการ
-
ประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์ ขาเดียว เช่น อเมริกา
-
คอมมูนิสต์ สืบสันตติวงศ์ เช่น เกาหลีเหนือ
-
ประชาธิปไตย ที่เริ่มมีปัญญา แต่ยังขาเดียว
-
ประชาธิปไตย มีปัญญาเริ่มเข้าข่ายโลกุตระและเข้าใจ ประชาธิปไตย 2 ขา
-
คอมมูนิสต์ ที่กำลังผนวกประชาธิปไตย แต่ยังขาเดียว
-
ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เจริญโลกุตระตามลำดับ
-
คอมมูนิสต์ ที่มีการเลือกตั้ง ปรับตัวเป็น “ประชาธิปไตยคอมมูน” (คือมีทั้งประชาธิปไตย + คอมมูน) ข้อดียังไม่มีในสังคมโลก แต่ต่อไปเขาจะมี
-
ประชาธิปไตยที่เป็นคอมมูน พร้อม “ภาวะ 2” คือ “ราชประชาสมาสัย” ที่สัมบูรณ์ เป็น “สาราณียธรรม 6” ชัดเจนถึงที่สุดแห่ง “บุญนิยม” นั่นคือ เป็น “สังคมสาธารณโภคี” ที่มี “กายปาคุญญตา” และ “จิตปาคุญญตา” เจริญทั้ง “กาย” และ “จิต” สัมบูรณ์
กายปาคุญญตา กับ จิตปาคุญญตา แตกต่างกันอย่างไร
ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ กายปาคุญญตา อย่างเขาดูสมณะโพธิรักษ์ แสดงการเคลื่อนไหวของกายวิญญัติ ของนัจจะ คีตะ วาทิตะ เคลื่อนไหวรวดเร็ว ไม่สุภาพนุ่มนิ่มอย่างที่เขาเข้าใจ แต่เร็วไว (ปาคุญญตา แปลว่า ความคล่องแคล่วว่องไว ) เพราะฉะนั้น กาย ก็คล่องแคล่วว่องไว จิตก็ เป็นจิตปาคุญญตา จิตคล่องแคล่วว่องไว ถ้าหาก กาย คล่องแคล่ว จิตยังไม่คล่องแคล่วก็ได้ ถ้าหากจิตคล่องแคล่ว กายก็ยิ่งคล่องแคล่ว เป็นการเจริญทั้งกายและจิตสมบูรณ์
หัวเจาะทั้ง 7 หัวของประชาธิปไตยโลกุตระ
คอมมิวนิสต์ กับ ประชาธิปไตย ก็เป็น 2 ระบบใหญ่ในโลก
คอมมิวนิสต์คือหมู่ที่เป็นคณะ ไม่ใช่เดี่ยว ถ้าหากเดี่ยวเผด็จการก็เป็นแบบเดี่ยว
ถ้าหากเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็เป็นหนึ่งเดียว แต่ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ไม่ใช่หนึ่งเดียวแบบเผด็จการ แต่จะเป็นหนึ่งเดียวที่เป็นราชประชาสมาสัย โดยที่ท่านไม่ยึดถือว่าตัวท่านเป็นตัวตนเป็นตัวเผด็จการเหมือนพระเจ้า ไม่ใช้คำสั่ง แต่จะพยายามใช้คำบอกคำกล่าว หรือเป็นคำสอน ไม่ใช่คำสั่ง
อย่างประเทศไทยเรานี่ชัดเจนเลย ไม่สอนด้วยกายกรรมก็สอนด้วยวจีกรรม จิตวิญญาณเป็นประธาน อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เราชัดเจนเป็นสมเด็จพ่อของประชาธิปไตย ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกเข้าใจได้ดีและยิ่งจะเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสายรัฐศาสตร์จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์ จะไม่ชนะด้วยการเบ่งข่ม เพราะ กาละ ยุค ไม่เที่ยง แต่ละวาระของโลก ที่มีองค์ประกอบทุกอย่างตั้งแต่คนกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสถานที่บุคคล อาหาร เครื่องอาศัยต่างๆด้วย และธรรมะ
เช่นธรรมะโลกุตรธรรมในเมืองไทยก็ไม่เท่ากัน ชาวอโศกเข้าใจธรรมะโลกุตระอย่างนี้ กลุ่มอื่นๆก็เข้าใจแตกต่างไปผิดเพี้ยนไปบ้างคล้ายกันมากบ้าง หรือคล้ายกันน้อยลงเรื่อยๆจนแตกต่างกันเข้าใจต่างกันเลย โลกุตระเหมือนกันใช้ภาษาโลกุตระ แต่อีกคนหนึ่งเข้าใจผิดแล้ว ไปเข้าใจโลกียะเป็นโลกุตระอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นสภาวะที่แท้จริง พยัญชนะมันก็ยังอยู่
คำว่าพยัญชนะกับสภาวะเป็นสิริมหามายาที่ยากมากเลยที่จะไปกำหนดมั่นหมายลงไปเลยว่าอันนี้เท่านั้น มันจะพลิกไปพลิกมาไม่ได้ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมองค์ประกอบต่างๆ ที่มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเหมือนไม่เท่าเดิมอยู่เสมอ จึงเป็นรายละเอียดที่ยากมากที่ผู้ที่จะสรุปเป็นองค์รวม แล้วก็ได้ความรู้เป็นองค์รวมเรียกว่า Concept ขึ้นมา จึงไม่ง่าย แต่โดยสามัญของแต่ละคนก็ทำอยู่ ยิ่งเป็นผู้ได้ศึกษามาก็ยิ่งต้องเข้าใจในการสรุปรวมให้เป็น Concept ให้สมบูรณ์แบบของแต่ละคนให้เต็มรูป
เพราะฉะนั้นคำว่าคอมมิวนิสต์กับคำว่าประชาธิปไตยจึงเป็นเทวะ เป็นคู่ 2 ที่จะเป็นเช่นนี้ไปตลอด นัยยะซ้อน ของประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์คือ
คอมมิวนิสต์นี้จะเป็นเชิงกฎบังคับ ส่วนประชาธิปไตยนั้นอิสระสมบูรณ์แบบ คอมมิวนิสต์ไม่อิสระสมบูรณ์แบบ แต่คอมมิวนิสต์ก็พยายามให้อิสระสมบูรณ์แบบ แต่เขาทำไม่ได้ เพราะคอมมิวนิสต์นั้น จริงๆแล้วจะแยกให้ชัดเจนมันจะเป็นสาย ศรัทธาสายเจโต ปฏิภาณปัญญาไม่เหมือนปัญญาธิกะ จะเป็นศรัทธาธิกะ ซึ่งเราก็จะไปบังคับความเป็นจริตที่เป็นศรัทธาจริตกับปัญญาจริตพุทธิจริต ไม่ได้ เราไปบังคับไม่ได้ มันต้องเป็น 2
เพราะ เทวะ เป็นความยิ่งใหญ่ในโลกเหมือนกระดาษ 2 หน้า 1 แผ่นมี 2 หน้า มันจะต้องมีอย่างนี้ไปตลอด คนที่เป็นผู้มีปัญญารู้เป็นสิริมหามายาหรือเป็นมายา เป็นจอมมายาหลอกเลย หรือจริงเลย ถ้าจริงเลยก็สิริมหามายา เหมือนเป็นมายา คนรู้ไม่ทันเป็นเหยื่อจอมมายาเลย
เพราะฉะนั้นคนในโลก อวิชชามากหรือวิชชามาก ศิษย์ของจอมมายากับศิษย์ของสิริมหามายา ใครมากกว่ากัน ก็ต้องเป็นศิษย์ของจอมมายามากกว่า เพราะว่าสิริมหามายาเหมือนกับยอดพีระมิด ให้ตายอย่างไรก็เป็นมวลใหญ่ของโลกไม่ได้ พวกอวิชชาพวกไม่เจริญพวกมากก็ต้องเป็นฐานของพีระมิดแน่นอน
ผู้ที่มีปัญญาจริงๆจึงเป็นพวกที่มีพวกน้อย อย่าไปน้อยใจอย่าไปสับสนเลย มันก็จริงที่ยอดพีระมิดจะไปมีมากกว่าฐานของพีระมิดอย่างไร ถ้าคนมีปัญญาจะจบ ถ้าทำ ถ้าทำได้ก็พลิกกลับยอดพีระมิดลง ถ้าทำได้อาตมาก็ยอมคุณ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
พ่อครูว่า… ทีนี้ก็มาต่อ เราก็ยืนยันว่า คอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตยต่างกัน คือคอมมิวนิสต์ยังไม่เชิงคำสั่ง Command ส่วนประชาธิปไตยนั้นมีอิสระเสรีภาพสัมบูรณ์
ที่เป็นอิสระเสรีภาพได้สัมบูรณ์เพราะว่าจิตที่เป็นประธานนั้นเจริญเป็นโลกุตระสัมบูรณ์ แม้ไม่สมบูรณ์ก็เจริญมีโลกุตรธรรมเจริญไปตามลำดับ
ส่วนพ่อของคอมมิวนิสต์คือคาร์ล มาร์กซ์ ไม่เอาศาสนา หาว่าศาสนาคือสิ่งเสพติด เพราะฉะนั้นก็จึงได้ฝังเชื้อพวกนี้มาซึ่งมันเป็นฐานของคอมมิวนิสต์
มาดู จีน เขารากฐานคอมมิวนิสต์ เขาเปลี่ยนจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นคอมมิวนิสต์ เขาก็เห็นผลของคอมมิวนิสต์นัยยะที่เขาทำ จนถึงบัดนี้มันก็แปลงมา ตั้งแต่คานมาร์คมาเป็นเหมาเจ๋อตุง มาเป็นเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่ง เติ้งเสี่ยวผิงก็ค่อยๆขยายกระจายให้อิสระเสรีภาพมากกว่าเหมาเจ๋อตุง พัฒนามาเรื่อยๆจนถึงสีจิ้นผิง ขยายได้มากกว่าเติ้งเสี่ยวผิง ก็เลยได้รับความนิยมชมชอบ
จริงๆแล้วมันซับซ้อนตรงที่ว่า ผู้บริหารรู้จักเรื่องของเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ดี
เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องของการแบ่งกินแบ่งใช้ เฉลี่ยทรัพยากรให้แบ่งกินใช้กันอย่างดี ทรัพยากรของแต่ละประเทศแต่ละกลุ่มก็มีสนจำกัด แล้วก็เฉลี่ยให้ทั่วถึง เช่นคนแข็งแรงก็เป็นคนเสียสละไม่ต้องเอามากไม่ต้องกินมาก ทำงานมาก ช่วยเหลือคนที่อ่อนแออย่างนี้เป็นต้น เป็นการเสียสละที่ซับซ้อนจริงใจ
คนยังไม่จริงใจก็มีกิเลสแฝงเป็นธรรมดาไป ถ้าคนที่จริงใจเสียสละไม่มีตัวตน ประชาธิปไตยจริงๆ อาตมาก็นิยาม ประชาธิปไตย สามเส้าง่ายๆสามเส้า 2 หมู่
-
ไม่มีตัวตน
-
อ่อนน้อมถ่อมตน รับใช้ประชาชน
-
มีปัญญา
โดยเฉพาะมีปัญญา 8 ประการ ที่จะรู้ทั้งสังคมและรู้ทั้งตัวเอง
ผู้ที่สามารถมีคุณธรรมคุณสมบัติที่วิลเศษพวกนี้ได้จริง ถ้าเข้าข่ายโลกุตระแล้ว การที่จะเข้าข่ายโลกุตระซึ่งต่างจากโลกียนั้นเป็นอย่างไร
โลกุตระ คือ ผู้นั้นมีปัญญารู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้เทวะ แยกแยะกิเลสกับจิตได้ กิเลสมันปลอมตัวมาเป็นจิต จิตเหมือนเป็นตัวมันเลยนะ แต่เราก็แยกได้และปหานกิเลสได้ก็เป็นโลกุตรบุคคล
ตั้งแต่คุณไปติดกิเลสหยาบๆมาก็ทำได้เรื่อยๆ ตั้งแต่โสดาบัน ซึ่งจะต้องมีความรู้เรื่องกายอย่างสัมมาทิฏฐิ ตัวนี้เป็นตัวเอก กายอย่างสัมมาทิฏฐิ
แม้ทุกวันนี้ปราชญ์ทางเถรสมาคมก็ยังไม่เข้าใจกายอย่างสัมมาทิฏฐิ ไม่ต้องไปพูดถึงคำว่าบุญคำว่า ฌาน คำว่า สมาธิ เลย คำว่า กาย เป็นตัวแรกของสังโยชน์ข้อที่ 1 ในสังโยชน์ 10 ก็ต้องมาเอาที่ตน จัดการ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมของตนเองถ้าไม่อย่างนั้นคุณไม่มีทางบรรลุธรรม ไม่เข้าหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า จะไปบรรลุธรรมได้อย่างไร
คอมมิวนิสต์ไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างมีปัญญา ผู้ที่มีปัญญา
ปัญญาสูตร เล่ม 23 ข้อ 92
[92] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 8 ประการ ปัจจัย 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการเป็นไฉน
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
-
เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
-
เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า… ประเด็นของกาย คือจิตที่ไปเกี่ยวข้องกับภายนอกแล้วเกิดกิเลสกับสิ่งสัมผัสภายนอก เรียกว่า “กามคุณ 5”ภายนอกมี 5 ทวาร ภายในอีก 1 ทวาร ผู้ไม่รู้เบื้องต้นคือกามคุณ 5 หากคุณไม่รู้จักกามแล้วลดกามมาก่อน
กามคือ นอกภูเขา คือเปลือกทุเรียนกับหนาม เข้าไปเนื้อใน แล้วถึงในของมันเอง ใน นี้ภาษาอีสาน = เมล็ด ถึงเนื้อแล้วถึงใน จะเข้าไปถึงในต้องเป็น เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย
คนที่หลับตาอยู่ภายในแล้วจะลุยจากภายในฆ่ากิเลสออกมาหาข้างนอก เหมือนคุณไปได้ใบมีดโกนยิลเลตต์บางๆ อยู่ภายใน เอาใบมีดโกนผ่าจากภายในออกมาหาเปลือกหานอกภูเขา มันจะไปสำเร็จได้อย่างไร มันต้องใช้อาวุธที่หยาบ มีดอีโต้ ดาบหนัก ฟันภายนอกออกก่อน ถึงจะไปถึงภายในถึงจะเป็นสัจจะ ไม่อย่างนั้นจะพูดเอาเล่นๆเท่านั้นมันไม่ได้จริง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความเป็นลำดับนี้น่าอัศจรรย์ ในปหาราทสูตร
ข้อที่ 1 อัศจรรย์เหมือนฝั่งทะเลที่ราบเรียบไม่โกรกชันเหมือนหุบเหว
ปัญญาเท่านั้น จะเจาะกะเปาะไข่อวิชชาออกมาได้ คอมมิวนิสต์เหมือนเปลือกไข่ ประชาธิปไตย เหมือนหัวเจาะ แล้วอาตมาก็เอาของ พระพุทธเจ้า มาครบเลย หัวเจาะนั้น 7 หัว
สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
สำคัญทุกหัวเจาะเลย มีหน้าที่เป็นทุกหน้าที่เป็นพลังรวมของแต่ละอย่าง
สาราณียะ คือ มีใจระลึกถึงกัน ไม่ใช่ว่าเป็นคนบรรลุแล้วตัวคนเดียวไม่ระลึกถึงใคร ไม่เอื้อเฟื้อใคร ไม่เผื่อแผ่ให้ใคร ไม่ไปช่วยใคร ไม่ไปทำงานกับใคร ใครจะทำงานก็มาหาฉันสิ อย่างนี้ไม่หมดเนื้อหมดตัวหรอก ใครจะทำงานก็มาหาฉันสิ ฉันเป็นเจ้า คุณจะเอาอะไรก็ต้องมาเอาจากฉัน อย่างนี้มีตัวตน ถ้าอย่างไม่มีตัวตน ใครจะเอาอะไร ก็เอาไปให้ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าตื่นเช้ามาก็นึกถึงว่าจะไปโปรดใคร ก่อนใครหลัง
ระลึกถึงกันเพื่อจะเผื่อแผ่เพื่อจะสังคหะ เพื่อจะเกื้อกูลช่วยเหลือกัน เพื่อทำอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่กันและกัน เรานี่แหละจะไปทำประโยชน์แก่กันและกัน ถ้าผู้นั้นบรรลุสูงกว่าก็แน่นอนจะเป็นผู้ให้ แต่แม้ว่าผู้นั้นยังไม่สูงกว่า เช่นพระโพธิสัตว์ บางทีก็ไม่ได้จากคนอื่นเขาเป็นผู้ให้เรา เราก็ยกให้พระพุทธเจ้าคนเดียวนั้นไม่ต้องไปเอาจากคนอื่นอีกสูงสุด จนกระทั่งมีแต่ให้อย่างเดียวสำหรับพระพุทธเจ้าเป็นสุดยอด หรือพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกนั้นก็ต้องรับไปรับมา เป็นทายก ปฏิคาหก เป็นผู้ให้ผู้รับเป็นผู้รับผู้ให้
แต่เมื่อสูงแล้วเจริญแล้วก็เป็นผู้ให้ได้มากกว่าเป็นผู้รับ มีค่า สิ่งที่ได้ให้มีค่ากว่าสิ่งที่ได้รับมา สิ่งที่ได้รับมาราคาจะต่ำกว่าสิ่งที่ได้ให้
เช่นผู้ให้ให้เงินเขาไป 1 บาท ราคา 1 บาทของผู้ให้ แพงกว่าผู้ที่ต่ำกว่า ต้องไปอ่านในเพลงอาริยะ100 บาทกับบาทเดียว ค่าของเงินเศรษฐีกับยาจกนั้นต่างกัน 1 บาทนั้นเหมือนกัน แต่มีค่าต่างกันสาราณียะ คือระลึกถึง
ปิยกรณะ เป็นความรัก อาตมาขยายไปถึงความรัก 10 มิติ มิติที่แย่ที่สุด คือมิติที่เห็นแก่ตัวอย่างนี้อาตมาไม่เอาไม่นับ ไปนับเริ่มที่ 2 คน โลกนี้มีแต่เราสองคน มันไม่เอาแม้แต่ลูก ต้องไปศึกษาความรัก 10 มิติ เทศน์ไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2517
คุรุกรณะคือการเคารพ คุรุ คือครู ผู้ที่สอนเราบอกเราให้เกิดความรู้ เราก็ต้องให้เกิดประโยชน์แก่กันต่อ คุรุ แล้วคุรุ ก็ต้องมีลำดับ ผู้ที่จะเคารพ แล้วการเคารพก็ เคารพด้วยวุฒิเคารพด้วยวัย เคารพด้วยความสามารถ อะไรต่างๆเราก็แยกกันไป แล้วแต่การยอมรับนับถือ
ใครที่มีคุณธรรมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นครูหรือคุรุที่เราก็ยิ่งยกไว้ในประเด็นนี้กรณีนี้
สังคหะ คือตัวกลางใน 7 ทุกอย่างมารวมตรงนี้ รวมที่การช่วยเหลือ ผู้ที่มีผู้ที่เหนือกว่าก็ต้องให้หรือช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่าเป็นธรรมดา
อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
อวิวาทะคือไม่วิวาท สามัคคียะคือพร้อมเพียงกัน เอกีภาวะคือการเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นปึกแผ่น
คุณธรรม 3 อย่างนี้เช่นชาวอโศกไม่มีการทะเลาะกัน ถ้ามีปากหอก แต่ละคนก็พยายาม ปากหอกให้เหมือนหนังรามเกียรติ์ ยิงลูกศรกลายเป็นดอกไม้ไปกระทบกัน กามเทพก็เป็นลูกศรดอกไม้ ก็ต่างกัน มันซ้อนกันอยู่อย่าเพิ่งไปอธิบายเลย
ไม่วิวาท มีการติติงกันมีการว่ากันบ้าง แต่อย่างหยาบคายไม่มี เสียงดังก็มีน้อย พวกเราดูได้มีลักษณะเหล่านี้
สามัคคียะ ความพร้อมเพรียงของพวกเราดีมาก เป๊งพรึ่บ อ้าว วันนี้ไปลงแขกที่ไหน ก็มากันพรึ่บ เรื่องพวกนี้มันเกิดจากความสำนึกมันเกิดจากคุณธรรมของแต่ละคน
การรวมพลังที่เป็นหมู่ย่อมยังผลสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่าง ความพร้อมเพรียงของชนผู้เป็นหมู่ทำสำเร็จทุกสิ่งทุกอย่าง การรวมกันเป็นพลังงานรวมมีคนละไม้คนละมือก็จะบอกทุกอย่างแล้วทำได้เร็ว ละเอียดและดี ไม่ต้องใช้เวลามาก มันเป็นคุณธรรมที่เป็นประสิทธิภาพของการทำงานที่สุดยอดมากทั้งนั้นเลย
เราอยู่กันอย่างอบอุ่น สามัคคียะ สงบอบอุ่น เมื่อไม่มีอะไรแหลมแรงมาก็สบาย
สู่แดนธรรม… ไม่ได้ริษยากันด้วย
พ่อครูว่า… ไม่เกี่ยงกันไม่ริษยากัน เราสังเกตุดูประเทศไทยขณะนี้
สามัคคียะ ประเทศไทยเรา ความพร้อมเพรียง ยังมีดิ้นมีดีด น้ำหนักของความพร้อมเพรียง ของพฤติการณ์ผู้บริหาร แล้วทำงานบริหารกันอยู่ขณะนี้ อาตมาให้คะแนนถือว่าใช้ได้ ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์จริงๆ ใช้ได้ แต่คนเห็นแย้งกับอาตมาก็เป็นธรรมดา แต่นี่อาตมาแสดงความเห็นส่วนตัวไป คนอื่นแย้งก็ไม่เป็นปัญหา
ก็ขอฝากส่งฟ้าส่งดินไป อย่างเหลิง คณะผู้บริหารก็ดีอย่าเหลิงอย่าประมาท ความประมาทคือหนทางแห่งความตาย ประมาทแล้วตายลูกเดียวมันชิบหายลูกเดียว ประเทศไทยเรามีความสามัคคีกันใช้ได้
ความสามัคคีของหมู่กลุ่มคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ
นี่ก็เคยพูดไว้ ความสามัคคีที่ไม่มีการขัดแย้งกันเลยมันคือสามัคคีคนกำลังเน่า คือต่างคนต่างหมดแรงเน่าอย่างเดียวตายเน่าอย่างเดียว สามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ
อาตมาเคยแยก ความสามัคคี 6
-
เป็นความเรียบร้อยงดงาม
-
เป็นความสุข สันติ เบิกบาน ร่าเริง
-
เป็นความเจริญงอกงาม
-
เป็นพลังสรรสร้าง
-
เป็นความสำเร็จบริบูรณ์
-
เป็นปึกแผ่น มั่นคง ยั่งยืน