640818_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ่อครูผู้เป็นอรรถกถาจารย์ เปิดเผยโลกุตระในยุคนี้
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1exIaJaiq153fCptcOXUELmz1wv6ZrAAyauYgguzzrFg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1xp0oXTyS2DUTSpepFsAq22XNNu3MevR8/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/7sKA7-9cG4/
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
ฟัง mv เพลง หนามใจใครหรือ (เวอร์ชั่นลูกทุ่ง https://fb.watch/7sFosKqQrH/)
อรรถกาจารย์ที่นำโลกุตรธรรมมาเปิดเผยในยุคนี้คือพ่อครู
พ่อครูว่า…ชีวิตคน..ผู้ที่มีดวงตาปัญญาชัดเจนก็มองออกแยกออกว่าอะไรดี จริง อะไรชั่วจริงๆ ผู้ที่จะมองออกว่าอะไรดีจริงๆอะไรชั่วจริงๆนะเนี่ย จะต้องมีภูมิปัญญาในระดับโลกุตระ ถ้ามีปัญญาในระดับโลกียะมันจะไม่สะอาดพอ มันจะมีความลำเอียง จะมีอคติในจิต
เราชอบเชิงไหน เรารักแบบไหนมันก็เอียงไปแบบนั้น ก็จะมองคนอื่นไปตามที่เรามีแนวโน้ม จิตของเรามีตัวกิเลสลำเอียง ที่มันอคติมันชอบ หรือไม่ชอบ อคติ ชอบหรือชัง หรือมันเลอะเทอะไปต่างๆนานาเป็นโทสะ ราคะโมหะ แม้ ภยาคติ กลัวอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่กล้าชอบ มันก็เป็นเรื่องของความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วเอามาสอนคนกัน
อาตมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ได้บอกความจริงไปว่าอาตมาเป็นผู้ที่ติดตามชีวิตแต่ละชาติมา ตอนหลังจากบรรลุอรหันต์แล้วเราก็จะเป็นผู้รู้ว่าชีวิตก็จะเป็นอย่างนี้
พระอรหันต์ทุกองค์ ชัดเจนแล้วว่าการจะมีชีวิตอยู่จะมีไปทำไม ชาตินี้จะยังไม่ยอมตายยังไม่ยอมสูญ ยังไม่ยอมเลิกความเกิด ยังจะเกิดอีก ทางเถรวาทโดยเฉพาะในเมืองไทยไปเข้าใจเป็นอุจเฉททิฏฐิว่าตายลงในชาติที่เป็นพระอรหันต์แล้วจะตาย 0 ไม่มีทางมาเกิดอีก เป็นความเห็นที่อุจเฉททิฏฐิ ถ้าเป็นความเห็นอุจเฉททิฏฐิอย่างนี้ ศาสนาพุทธก็กุดหมดเลยสั้นด้วนหมดเลย ไม่มีใครสืบต่อเพราะพระอรหันต์ตาย พระอรหันต์บรรลุตนเองเสร็จแล้ว ดีไม่ดีบรรลุแล้วตายปุ๊บเป็นสมสีสี ก็ไม่ได้เป็นความรู้โลกุตรธรรมบริบูรณ์
ศาสนาพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระธรรมที่บริบูรณ์ก็ห้วนๆ อยู่ที่พระอรหันต์ตาย เมื่อพระอรหันต์บรรลุแล้วก็ตาย แม้จะไม่ตายทันทีแบบสมสีสี จะอายุยืนยาวไปอีกกี่ปีก็แล้วก็ตาม แต่ทางเถรวาทบอกว่าตายแล้วสูญไม่มีการสืบทอด
ถ้าอย่างนี้แล้วศาสนาพุทธก็จะสั้นมาก ซึ่งมันไม่เป็นจริงเลยในเรื่องนี้ มันเท่ากับเป็นการบั่นทอน ตัดศาสนาพุทธลงไป เท่าๆกับตัดครึ่งหนึ่งเลยนะ ศาสนาพุทธจากเดิมจะถึง 5,000 ปีก็เหลือแค่ 2,500 ปีก็จบ
เช่นศาสนาพุทธมาถึง 2,500 ปีก็ไม่เหลือแล้วโลกุตระ ไม่เหลือนี้ไม่ใช่พูดเล่น แต่พูดจริง ไม่มีแล้วในเถรสมาคม ในประเทศไหนๆที่มีศาสนาพุทธเหมือนกัน ก็จะไม่มี มีเมืองไทยนี่มีพอสมควรแต่ก็หมดไปแล้วตรงตามที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ว่า โลกุตรธรรมนั้นจะหมดไปจะเสื่อมไป ไม่มีใครพูดโลกุตระขึ้นมาอีกได้ ซึ่งเขาก็จะไม่ค่อยฟัง เขาจะฟังคำสอนของผู้ที่เป็นนักปราชญ์ที่เขายอมรับนับถือกัน พูดไพเราะไม่ขัดเกลากิเลสไม่เป็นไปเพื่อการชำระกิเลสไม่เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลายอะไร พูดไปอย่างนั้นแหละ ขนาดพูดอย่างเอาจริงเอาจัง อย่างหนัก อย่างแร งยังไม่ค่อยกระเตื้องรู้สึกเลย หากพูดเหยาะ ๆแหยะ ๆ มันไม่มีทางจะเป็นไปกระเทือนซางอะไรของคนที่มีกิเลสอวิชชาหนาแน่นได้เลย
อาตมาที่ปรากฏตัว แม้ในชาตินี้แล้วก็พูดไป เปิดเผยออกไปทุกคำพูด ต่อสาธารณชน ย่อมไม่เป็นความผิด ย่อมไม่เป็นความหลอกลวง ถ้าพูดไปเป็นความผิดเป็นความหลอกลวงอาตมาจะได้ชื่อว่าเป็นโพธิสัตว์เป็นผู้สืบทอดศาสนาพุทธได้อย่างไร ก็กลายเป็นคนหลอกลวงของโลก หลอกลวงอย่างยิ่งใหญ่เลยนะไม่ใช่หลอกลวงสามัญธรรมดา เช่นเดียวกับธัมมชโย เป็นต้น ซึ่งน่ากลัวมาก
เพราะฉะนั้นอาตมาจะไม่ทำเป็นเด็ดขาด เพราะอาตมามีธาตุรู้ที่มีชื่อว่าปัญญา เป็นปัญญาที่แท้จริงรู้ความจริงตามความเป็นจริง รู้สัมมาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ รู้มิจฉาทิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิคือผู้ที่มีปัญญาแท้จริง อาตมาเกิดมาในชาตินี้จึงมาเปิดเผยขยายธรรมะ มาอธิบายความธรรมะต่างๆที่เป็นโลกุตระ ซึ่งไม่มีใครอธิบายแล้ว อาตมาเกิดในยุคกึ่งพุทธกาล 2,500 กว่าปีแล้ว มาขยายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
เช่น มาอธิบาย กาย คืออย่างไร ซึ่งเขาไม่ได้อธิบายกันแล้วนะเขาไม่ได้เข้าใจว่ากายมีนัยยะสำคัญละเอียดลึกซึ้งเรื่องกายนั้นเขาอธิบายกันว่าง่ายๆ กายคือร่างกายภายนอกอย่างเดียว
ความรู้ในคำว่า กาย นั้นมิจฉาทิฏฐิไปหมดแล้ว = สังโยชน์ข้อที่ 1 เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปัญญารู้ สักกะของตน กายของตน
ผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธจะต้องรู้ กาย อย่างสัมมาทิฏฐิ สักกายะก็ไม่รู้ หมดประตูจะได้รับธรรมะพระพุทธเจ้า จึงมีแต่ความรู้ธรรมะโลกียะเป็นเทวนิยมไป ทั้งหมดอย่างที่เป็นอยู่ ดูศาสนาอื่นๆทางช่องโทรทัศน์ต่างๆ บางช่องก็ขายเครื่องรางของขลัง บางช่องก็ไล่ผีสางสารพัดเลอะเทอะไปหมดเลย ซึ่งทางเถรสมาคมก็มีความรู้ที่จะไปทำอะไรเขาได้ ว่าเขาก็ไม่ได้เพราะตัวเองก็เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปกับแบบนั้นเหมือนกัน ศาสนาพุทธโลกุตรธรรมนี้ลึกซึ้งมาก เป็นโลกุตระที่ไม่เป็นการไปแบบโลกอย่างที่เขาเข้าใจ
ที่อาตมาพูดซ้อนซ้ำ เพราะศาสนาพุทธไม่มียันต์พิธีมากมายอะไร จะมีก็เพียงยันวิธีเล็กๆน้อยๆอย่างที่ชาวอโศกทำ อาตมานำเอาธรรมะพุทธเจ้ามาประกาศ มาเปิดเผยขึ้นมาในยุคนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่เป็นสิ่งเทียบเคียงความถูกต้องความจริงกับ ความไม่ถูกต้องความไม่จริง
อาตมาจึงสบายใจที่ว่ามีพระไตรปิฎก มายืนยันต่างๆนานาว่าศาสนาพุทธนั้น เป็นศาสนาที่มีจรณะ 15 วิชชา 8
ฌาน ก็ต้องเป็นฌาน ที่เกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 ปัญญาก็ต้องเป็นแบบวิชชา 8 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาและปัญญาจะโผล่ขึ้นมาเลย ซึ่งมันไม่ใช่นะมันมีไม่ได้ มันไม่อยู่ในร่องรอยกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 เลย เพราะไปหลับตานี่แหละเป็นตัวใหญ่เป็นเรื่องใหญ่ หลับตาเป็นของเดียรถีย์ 100% แต่ของพุทธไม่หลับตา 100%ด้วย พูดได้ถึงอย่างนั้น ถ้าหากจะหลับตาก็เป็นเพียงมีความรู้สัมมาทิฏฐิ
-
หลับตาเพื่อพักผ่อน ก็เหมือนนอน มีสัมมาทิฏฐิรู้ว่าเราจะทำ ซึ่งไม่ใช่การปฏิบัติธรรม
-
อาจจะใช้เรียนรู้จิตในจิต ระลึกเป็นสัญญาซึ่งไม่ใช่เป็นปัญญา
-
ใช้ระลึกถึงอดีต เจตนาใช้ทำเตวิชโชเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติธรรม สิ่งที่เกิดผ่านไปแล้วใช้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ว่าเรามีความเกิดความดับอะไรเกิดขึ้น
จุตูปปาตญาณ ญาณ ที่เรารู้ว่าอะไรเกิดอะไรดับทำได้ไหมมีมรรคมีผลไหม แล้วที่สุดถึงขั้นดับอาสวะได้ ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก ว่าจริงก็เป็นการชัดแจ้งรู้จริงว่าเราไม่ได้เลอะๆเทอะๆ เราตรวจสอบประจำเลย แล้วลงบัญชีปิดงบดุลจบ ก็รู้จักการจบกิจ
หลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าทุกอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ที่เขาปฏิบัติการเดี๋ยวนี้กลายเป็นเดียรถีย์ พูดไปแล้วมันมากที่จะช่วยยืนยันให้ได้ว่า มันออกนอกลู่นอกทาง แสวงบุญนอกขอบเขต เพราะคำว่าบุญก็ไม่เข้าใจ อาตมาเอาคำว่า กาย บุญ ฌาน สมาธิ เอามาขยายความไม่เหมือนกับที่ผู้รู้ทั้งหลาย ไม่ได้มีความรู้อย่างที่อาตมาอธิบายเลย แล้วอาตมาเอาความรู้ความเข้าใจอย่างนี้มาจากไหน อาตมาคิดเองใช่ไหม เป็นความรู้ของอาตมาเองใช่ไหม อาตมาฮุบนะ เอานะ ซึ่งที่จริงมันไม่ใช่หรอก เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า อาตมาก็ได้มาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็สามารถรู้ได้ โดยที่ตัวเองจริงๆอย่าไปฝันเลยว่าจะรู้ได้ว่า กายเป็นอย่างนี้ บุญเป็นอย่างนี้ ฌานเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้ เป็นต้น หรืออย่างอื่นๆสารพัดที่จะขยายออกไป
พอต้นๆ กาย ฌาน สมาธิ บุญ เป็นมิจฉาทิฏฐิไปแล้วทุกอย่างก็มิจฉาทิฏฐิตามกันไปหมด เพราะว่ากายคือรูปนาม กายคือคู่ของรูปนาม หรือภาวะ 2 ของวิญญาณ ต้องศึกษาจิตเจตสิก รูป นิพพาน เมื่อผิดตั้งแต่ต้นคือรูปนามของกายคู่แรกผิดแล้ว จะไปหา ฌาน สมาธิ มาจากไหน แล้วยิ่งบุญแล้วไม่ต้องพูดเลย ไกลลิบเลย
จนอาตมามายุคนี้ต้องเปิดยุคบุญนิยม อาตมาได้เขียนบรรยายไว้ในหนังสือเปิดยุคบุญนิยมรวมเล่มมีเล่ม 1 กับเล่ม 2 ยังมีเล่ม 3 ยังไม่ออกอีก
ก็เคยนึกอยู่ว่าเราตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขียนหนังสือแล้วค่อยไปออกกำลังกายหรือบางทีก็ออกกำลังกายก่อนแล้วค่อยเขียนหนังสือ แล้วก็เขียนอยู่นั่นแหละ แม้ไม่มีหนังสือวารสารออกที่จะต้องไปเขียนต่อเนื่องเป็นประจำ หนังสือพิมพ์เราคิดอะไรก็หยุดไปแล้ว ก็ยังเขียนอยู่นั่นแหละ แล้วเขาก็เอามารวมเล่มพิมพ์ออกมา ใครจะอ่านหรือไม่อ่านก็ไม่เป็นไร เป็นหลักฐานเป็นการบันทึกเอาไว้ในโลกา
อาตมาก็เห็นว่าเป็นความสำคัญ ส่วนคนไหนจะเห็นว่าไม่เป็นความสำคัญก็แน่นอน เขาไปเห็นเป็นหนังสืออะไรอื่นที่ควรจะพิมพ์ก่อนข้อเขียนของโพธิรักษ์ก็ทั้งนั้นแหละก็ต้องเห็นอย่างนั้นกัน ข้อเขียนของโพธิรักษ์ก็มีแต่พวกเราชาวอโศกนี่แหละเห็นควร ว่าควรจะพิมพ์มันจะพิมพ์ ก็ร่วมกันเอาที่ควรพิมพ์กันขึ้นมา ลงแรงกัน ก็เกิดเป็นหลักฐานขึ้นมา
ถ้าจะเรียกตามภาษาของสัจจะธรรมะเขาก็เรียกว่านี่คืออรรถกถา หนังสือของอาตมาก็เป็นอรรถกถาจารย์สมัยใหม่ ออกมาเป็นเล่มเป็นหลักฐานจริง เป็นอรรถกถาจารย์แท้
จริงๆแล้วอรรถกถาจารย์ มันต่างกันกับอาจาริยวาทะ
อรรถกถาจารย์คือ คำสอนของผู้ที่อยู่ร่วมในยุคพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว อรรถกถาจารย์รุ่นหลัง รุ่นที่เป็นอยู่ร่วมกับพระพุทธเจ้าเลยนั้น คำสอนบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะว่าผู้ที่เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามารวบรวมไว้ในพระไตรปิฎกด้วยเรียกว่าเป็น เถรวาทะ เป็นคำพูดของพระเถระ ที่เกิดร่วมในยุคพระพุทธเจ้าเรียกว่าพระเถระ เพราะฉะนั้นคำสอนของเถรวาทจึงเป็นคำสอนของผู้ที่ได้ร่วมยุคสมัยกับพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก
จากนั้นก็เป็นอาจาริยวาททั้งนั้น เป็นคำสอนคำบันทึกของอาจารย์รุ่นหลังจากแท้ละวาด ที่อาตมาบันทึกนี้ก็ถือว่าเป็นเถรวาท เป็นคำสอนที่ไม่อยู่ในยุคพระพุทธเจ้า แต่อาตมายืนยันว่าอาตมาเป็นพระเถระในยุคพระพุทธเจ้า ก็มี มายุคนี้ก็เอามาพูดซ้ำย้ำ เหมือนยุคโน้นก็มีไม่เหมือนก็เยอะ เพราะกาละเวลาต่างไป ต้องใช้ภาษาเชิงประกอบเป็นภาษาคำพูดต่างๆให้สมกับยุคสมัย
แต่สารัตถะเนื้อแท้ ของผู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงแล้วสัจจะจะเป็นหนึ่งเดียว เช่น พูดว่าโลกุตระจะเป็นอย่างไร พูดในยุคพระพุทธเจ้ากับพูดในยุคนี้ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอาตมาพูดโลกุตรธรรมขึ้นมาในยุคนี้ อาตมาพูดเนื้อหาสาระสัจจะเหมือนกับของพระพุทธเจ้า
ในยุคนี้ไม่รู้เรื่อง ไม่เหมือน เขาอาจจะเข้าใจโลกุตรธรรมแบบเขา ซึ่งไม่เหมือนหรือฟังไม่ออกเลยไม่รู้ มีหรืออย่างที่โพธิรักษ์พูด เขาก็ไม่เคยรู้ไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ฟัง เช่น บอกว่า
กาย นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ ดินน้ำไฟลม ร่างกายนี้เท่านั้น แต่กาย หมายถึงจิตเป็นหลักด้วยซ้ำ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท…
รูปธรรมอย่างลัดคัดสั้นของโลกุตระที่พ่อครูพาทำ
แล้วเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามายืนยันได้เช่นยืนยันสาราณียธรรม ชาวอโศกปฏิบัติธรรมได้ตรงตามสาราณียธรรม 6 พอมีศีล สมาธิ ปัญญาวิมุติกันแล้ว อยู่กันอย่างนี้นะ
สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ที่ได้อย่างนี้เพราะว่าแต่ละคนมีการเจริญด้วยวรรณะ 9 หรือจิตมี พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ
ส่วน วรรณะ 9 นั้น เป็นคุณสมบัติองค์รวมเป็นหลักใหญ่ ว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้านั้นจะเป็นคนที่คลาสสิค วรรณะคือ Classic เป็นโลกุตระชน ไม่ใช่แบบปุถุชนคนทั่วไป Masses นี่เป็น Classes เป็นคนมีชั้นมีวรรณะ ไม่ใช่แบบวรรณะ 4 ของพระพุทธเจ้าที่แบบยึดถือ แต่นี่เป็นสัจจะความจริงคุณวิเศษ เป็นคุณสมบัติพิเศษที่เป็นคุณวิเศษของคน ที่มีคุณลักษณะที่แท้จริงคือ
เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
มันเสียชาติที่มีจิตใจคิดแบบนี้ได้มันมีด้วยหรือ ชีวิตเราทั้งที่จะรวยก็ได้แต่ก็ไม่เอาจะพยายามพักฟื้นมาเป็นคนจนให้ได้ ซึ่งคนอื่นเขาเรียกว่าแบบนี้วิปริตบ้าบอ แต่เราได้มากกว่านี้ก็ได้แต่ไม่เอา มีความสันโดษ จะมีมากกว่านี้ก็ได้ จะไปฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแบบโลกเขาก็ได้ จะไปฟรุ้งฟริ้งแบบโลกก็ได้ แต่พอแล้ว เข้าใจแล้ว ไร้สาระ แต่ก่อนเราเคยโง่เคยบ้าบอ เหมือนเด็กๆไม่เดียงสาไม่รู้เรื่องแต่ตอนนี้เป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะก็รู้จักพอ
และเข้าใจวิถีชีวิตว่าจะต้องมี สัลเลขธรรม มีธูตะ ต้องมีการขัดเกลาเป็นแก่นสารของชีวิตขัดเกลากายวาจาโดยเฉพาะใจ ชำระกิเลสออกจากจิต ชำระอกุศล ออกจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตามหลักเกณฑ์ ธูตะ ข้อปฏิบัติที่พาให้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ จึงเกิด ปาสาทิกะ มีอาการกายกรรมที่น่าเลื่อมใส วจีกรรมก็น่าเลื่อมใส สำหรับคนมีปัญญานะ คนไม่มีปัญญาก็จะเห็นว่าบ้า มีปาสาทิกะ แล้วเป็นคนไม่สะสมไม่มีตัวไม่มีตนก็อยู่ได้
ไม่ต้องผสมอะไรไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แล้วเป็นคนขยัน วิริยารัมภะ แต่ก่อนนี้ขี้เกียจ เดี๋ยวนี้รู้ตัวว่าแต่ก่อนเราเคยชั่ว ขี้เกียจนี้มันชั่ว เราก็เคยชั่วนะ ใครไม่เคยชั่วบ้างยกมือขึ้น …ไม่มี
ใครเคยชั่วมาบ้างยกมือขึ้น ยกมือกันหมด บางคนก็ขี้เกียจขี้เกียจน้อยขี้เกียจมากรู้จักความขี้เกียจรู้จักความขยัน เดี๋ยวนี้ขยันขึ้นแต่ยังขยันไม่มากนัก จริง แต่ก็รู้ตัวว่าเราขี้เกียจจะอยู่กับคนอื่นขยันเราก็มาเบียดเบียนมาแฝงมันก็น่าอายละอายจะต้องมีหิริโอตตัปปะจริงๆ ตรงตามพระพุทธเจ้าสอนหมดมีหิริโอตตัปปะเป็น เทวธรรม มันจะเข้าใจจะมีปัญญามีศรัทธารู้ชัดเจนว่าแต่ก่อนนี้ทำสิ่งที่น่าละอายหน้าตาเฉยเลยนะ ทำแล้วยังหลงว่าดีว่าเท่ห์ด้วย ทั้งที่น่าละอาย แต่เราเหมือนเฉย แต่เดี๋ยวนี้มาทำอย่างนี้ คนเขาว่าอย่างนี้น่าอาย มันกลับกันไปหมดแล้ว แต่ของเราก็บอกว่าเราก็เคยทำเหมือนที่คุณทำเคยน่าอายมาก่อน เดี๋ยวนี้เรามีวุฒิภาวะแล้ว แต่ก่อนก็ได้ระดับ เดี๋ยวนี้เราออกจากสมาชิกโง่ได้ระดับมาแล้ว แต่ก่อนเราก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งอยู่ในพวกโง่ได้ระดับ
เขาก็จบอยู่ในลาภยศสรรเสริญ โลกียสุขทั้งนั้นไม่ว่าจะในระดับไหน แต่ก็จะทำได้อย่างไรมันพูดเรื่องความจริงไม่ได้ มันก็ต้องพูดไปตามจริงนะ
จริงๆแล้วคนเราเกิดมามันไม่มีอะไรเลิศประเสริฐเท่าโลกุตรธรรม อาตมาพูดอย่างนี้อธิบายย้ำไปหลายทีแล้วว่าคน พระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนเรา เกิดมาชาติสุดท้าย ชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านก็มีพร้อมถ้าจะเอาอะไรแบบโลก เป็นลาภยศสรรเสริญโลกียสุขต่างๆมีพร้อมหมด แต่เดินหันหลังให้ไม่แยแสเลยออกบวชเฉย โอ้โห อาตมาว่า มันไม่ใช่เรื่องเล็กเรื่องตื้นเรื่องง่ายเลยนะ พวกคุณมีเท่าพระพุทธเจ้าไหม ส่วนคนทั้งโลกนั้นไม่ต้องไปถามเขาเลยเขายังหน้ามืดจมดิ่งหลับไหลอยู่ มันเหมือนหญ้าปากคอก พูดก็รู้ก็เข้าใจแต่จริงๆคุณยังไม่เชื่อ คุณยังไม่เห็นถึง
ถ้าผู้ใดเห็นจริงและเกิดความรู้ความฉลาดที่มีประสิทธิภาพที่บอกว่าเราจะจมอยู่ทำไม ทั้งๆที่เราเดินทางโน้นได้ ได้และเห็นทางว่าเราจะอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ทุจริตด้วย อยู่อย่างสง่าเลย แต่ก็ไม่เอา มาอยู่อย่างนี้ จะมาทางนี้แล้วก็มาจริงๆ โดยเฉพาะมาแล้วมีหมู่กลุ่ม ของโลกุตระบุคคลเป็นเมืองอาริยะ
เป็นอาริยกชน ส่วนคนไม่ใช่อาริยกชน ก็คือมิลักขชน
มิลักขชน คือ ชน ยังไม่เจริญ
แต่นี่แหละคือคนเจริญเป็นอาริยกะ คือผู้เจริญ อาริยธรรม
อาตมาเรียก อาริยกะ เอามาจากคำว่า ศรีอา ริยเมตไตรย เพราะคำว่า อริยะ มันได้เข้าใจผิดเพี้ยนกลายเป็นเดียรถีย์ ออกป่าเขาถ้ำไปหมด ตามพระสูตรต่างๆ อาณิสูตร เป็นต้น ก็ค่อยเอามาขยายความไป
อาตมากลายเป็นว่า ชาตินี้เป็นคนปากจัด ด่าคนนั้นด่าคนนี้ จะชมก็ชมแต่พวกตัวเอง อาตมาจึงซวยจริงๆ ไปไหนไม่รอด จะพูดคำนี้ก็ไปด่าเขาส่วนใหญ่ จะพูดชมก็ชมพวกตัวเองอีกซึ่งมีส่วนน้อย ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่อาตมาเลี่ยงไม่ออก คนที่ฟังธรรมะด้วยดี สุสสูสังลภเตปัญญังง จะเห็นได้ว่าอาตมาพูดจริงไม่ได้มีความหลอกแฝงเลย มีแต่สัจจะปังๆ ตีหัวเข้าบ้านๆ
คือมันเป็นยุคที่เสียเวลาไม่ไหวแล้ว ก็เลยต้องลัดคัดสั้น พูดอย่างให้กระชับ ลัด คัด สั้น ไปมัวยืดยาดๆอยู่ไม่เอา
ทำงานมา 50 ปีนี้ ที่จริงอาตมาฝืนตาย ฝืนชีวิตไปเรื่อยๆ วันนี้ก็แทบตาย คนเห็นก็โอ้โห ลองพูดความรู้สึกซิ…มันรอดมาได้วันนี้ มันจะขาดใจเลยนะ มันหายใจไม่ออกเลย
_ในน้ำคำ มาจน… เห็นแล้วก็.. เคยเห็นครั้งหนึ่งที่ผาธรรม แต่ครั้งนี้หนักกว่านานกว่า พ่อท่านมีเสมหะติดลำคอข้นมากแล้วพยายามเอาออก แต่หายใจไม่เข้า ตอนนั้นก็พยายามทำอย่างไรกัน เห็นอาการแล้วรู้สึกว่า ชีวิตนี้ดูสั้นจังเลย ไม่อยากเห็นภาพนี้ ภาพที่พ่อครูหายใจไม่ได้ สิ่งที่เห็นคือเห็นพ่อครูมีพลังขับเสมหะออกมา หากขับไม่ได้ก็แย่ ถ้าขับไม่ออกก็หายใจไม่ได้ช่วงนั้นลุ้น
พ่อครูว่า… ก็อยู่กันหลายคน มันต้องใช้พลังงานสุดๆถ้าไม่ใช้ตาย เขาถ่ายภาพเอาไว้แต่มันไม่น่าดูหรอก อาการมันน่าเกลียด ถ้าจะว่าน่าสังเวชก็กลายเป็นทุเรศะไป
ในน้ำคำ…ก็มีการให้ออกซิเจนเพิ่มให้ แต่พ่อครูเป็น supra standard
พ่อครูว่า… อาตมาเร็ว คือพูดชัดๆก็คือ ถ้าจะตายก็ตายง่ายๆ ตายง่ายเกิดง่าย ไว เป็นมุทุภูเต ไว ไวจนกระทั่งเป็นสิริมหามายา ซึ่งเป็นสัจจะเป็นธรรมะที่ไว เหมือนเป็นคนตลบตะแลงประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย มันลักษณะจะตายก็ร้ายแน่นอน แต่จะไปร้ายแบบหลอกอีกเอา อาตมาว่าอาตมาไม่แล้ว ดูอย่างที่พวกเขาแสดง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… คนตายก็มีที่จากเสลดอุดตัน แต่พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ก็พยายามสู้ ถ้าเป็นเราคงไม่รอด เป็นเขาคิดว่าเราต้องพยายามพากเพียรทำให้ดีมากยิ่งขึ้น
พ่อครูว่า… การตอบแทนบุญคุณอาตมาเต็มที่คือทำอย่างไร
…ลดกิเลส พวกเราตอบถูกต้องชัดเจนคะแนนเต็ม
SMS วันที่ 13-15 ส.ค. 2564
หลงสุขคือเทวนิยม ส่วนอเทวนิยมคือหมดสุขหมดทุกข์
สมณะบินก้าว : “หลงสุขว่าเป็น เทว” ไม่เข้าใจวลีนี้ในหนังสือฯ ครับ
พ่อครูว่า… เทวะ เป็นภาษาบาลีที่แปลว่า 2 คือภาวะ 2 แล้วก็ไปแปลว่าเป็นผู้ที่มีความเจริญมีคุณงามความดี พัฒนาขึ้นได้ เทวะต่างๆหมายถึงอย่างนั้นเป็นผู้เจริญขึ้นไม่ใช่เป็นผู้เสื่อม แต่ผู้ที่หลงสุข ว่าเป็นเทวะ คือคนเสื่อม
คำว่า สุขนี้เป็นยอดมายากล ยอดความหลอกลวง ยอดความเท็จ สุขนี่ เพราะฉะนั้นคนที่ไปหลงสุขว่าเป็นเทวะหมายถึงความดีงามความเจริญ นี่แหละคือคนอวิชชา คือคนโง่ไม่เสร็จ
เพราะฉะนั้นผู้ใดยังเป็นสุขนิยม ยังไม่เข้าใจอาการของจิตที่เป็นสุขนั้นอาการอย่างหนึ่ง ทุกข์ก็เป็นอาการอย่างหนึ่ง ก็มีสุขมากหรือทุกข์มากทุกข์น้อยทุกข์น้อย เมื่อเราปฏิบัติธรรมให้เหลือสุขหรือทุกข์น้อยลง ก็จะเห็นความจริงของอาการจิตที่เป็นปรมัตถ์พวกนี้เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่สุดว่า จิตเราไม่มีสุข จิตเราไม่มีทุกข์แล้ว สุขทุกข์เป็นอันเดียวกันเป็นนักเล่นกลเป็นมายากล แต่สุขทุกข์ก็เป็นสิริมหามายา หมายความว่ารู้ว่าภาวะ 2 นี้เป็นภาวะหลอก จริงๆเป็นภาวะ 0 มันไม่มีจริงหรอกสุขทุกข์
ผู้ปฏิบัติไม่หลงใหลในสุขแน่นอน แน่นอนคนที่โง่ก็ไปหลงใหลในทุกข์ซ้อนเยอะมาก สุขกับทุกข์นี้อธิบายแยกกันไม่ได้ คุณเสพสุขคุณก็เสพทุกข์ คุณเสพทุกข์คุณก็เสพสุข
สุข กับ ทุกข์ เป็นพยัญชนะแตกต่างกันแต่แท้จริงมันเป็นนักมายากลที่หลอกคุณ แล้วจริงๆแล้วผู้รู้แล้วก็เป็นอันเดียวกัน เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงไม่เอาทั้งสองอย่าง ไม่เอาทั้งทุกข์และสุข นี่เป็นโลกุตระ ซึ่งยุคนี้ไม่มีใครพูดหรอกนอกจากโพธิรักษ์ ไม่เอาทั้งสุขไม่เอาทั้งทุกข์
ท่านพุทธทาสนั้นท่านพูดแต่เพียงว่าชั่วกับดีอัปรีย์ทั้งนั้น ไม่กล้าพูดความสุขความทุกข์ว่าอัปรีย์ยิ่งกว่า ยิ่งกว่าดีและชั่ว เพราะดีชั่วนั้นคนก็พอรู้กันในโลกียะเขาปฏิบัติแต่ดีและชั่ว ศาสนาโลกียะก็มีแต่ปฏิบัติดีปฏิบัติชั่ว ไม่ปฏิบัติอย่างรู้ทุกข์รู้สุข แล้วเลิกทุกข์เลิกสุขให้ได้เพราะมันเป็นโลกุตระ ศาสนาเทวนิยมไม่ได้เรียน
ที่สุดของศาสนาเทวนิยมคือไปอยู่กับพระเจ้าที่เป็นแดนสวรรค์แดนสุข จบอยู่แค่นั้น พระเจ้าคือผู้ที่มีสุขอยู่ตลอดนิรันดรมีอุปาทานอย่างนั้น ซึ่งเป็นอุปาทานไม่ใช่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องหลง แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองไม่เป็นอย่างที่คิดเลยไปอยู่กับพระเจ้าแล้วจะไม่เกิดอีก แต่ที่จริงคุณต้องเกิดมาอีกเป็นมนุษย์นี่แหละ เพราะสุขทุกข์ที่พระเจ้านั้นพระเจ้าไม่มีตัวตนจริง พระเจ้าเป็นความสมมุติ ที่ผู้ไม่รู้ก็นึกว่ามีจริง
พระศาสดาของเทวดานิยมนึกว่ามีพระเจ้าจริง ที่จริงแล้วพระเจ้าก็คือตัวตนของพระศาสดาเอง ซึ่งได้บำเพ็ญบารมีเรียนรู้มาแต่เป็นเทวนิยม ได้ความรู้สูงสุดจากโลกียจนได้เป็นพระศาสดาของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ซึ่งมีเยอะมากมายในหลายศาสนา แล้วก็ขัดแย้งกัน ดีไม่ดีรบพุ่งฆ่าแกงกันด้วย แต่ศาสนาพุทธไม่ รู้ความต่าง รู้ความเป็นอย่างเดียว แล้วก็รู้ว่าสุขทุกข์เป็นมายา เลิกสุขเลิกทุกข์แล้วหมดภาวะ 2 หมดความเป็นเทวดาก็ไม่หลงความเป็นเทวดา ไม่หลงสุขหลงทุกข์ ท่านเรียกว่าเป็นคนที่ไม่มีจิตเป็นทุกข์เป็นสุข พยัญชนะว่า อทุกขมสุข
คนที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขนี่แหละเป็นคนที่เรียนรู้เวทนา เรียนรู้เวทนา 108 เรียนรู้กิเลสทั้งหมด กำจัดกิเลสทั้งหมดออกได้หมดเกลี้ยง กิเลสก็ไม่มีในจิต เป็นจิตบริสุทธิ์คือจิตอุเบกขา ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แต่ผู้ที่ยังไม่เป็นโลกุตระสมบูรณ์ก็จะแยกได้ยากแยกไม่ออก
จิตอุเบกขากับจิตไม่ทุกข์ไม่สุขมีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกัน
อุเบกขาเป็นจิตที่บริสุทธิ์จากกิเลสไม่มีกิเลสอีกเลย โดยมีปัญญารู้แจ้งจิตเจตสิกรูปนิพพาน แยกเนกขัมมะกับเคหสิตะได้ ลดกาม ลดปฏิฆะ จนเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาได้
ผู้จะเป็นพระอรหันต์ต้องแยก ทำให้เคหสิตเวทนา 18 มาเป็นเนกขัมสิตะ 18 ทำได้อย่างรู้สภาวะแท้จริงด้วยไม่ใช่รู้แต่บัญญัติ แล้วทำเนกขัมมะได้จริงออกจากกิเลสกาม กิเลสปฏิฆะ จนกระทั้งกิเลส รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา ผู้ที่ปฏิบัติได้สภาวะของเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาได้ ผู้นี้เข้าสู่กระแสพระนิพพาน
เริ่มต้นมีน้อยหนึ่งก็เป็นพระโสดาบัน มีมากขึ้นก็เป็นพระสกิทาคามีไป ผู้ที่นั่งหลับตานี้ไม่มีมโนปวิจาร เพราะไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย จึงออกนอกรีตศาสนาพุทธ เวทนา 108 ไม่มี มโนปวิจาร 18 อยู่ในเวทนา 108 มีแยกโลกียะคือเคหสิตะกับเนกขัมสิตะ รวมกันเป็น 36
เวทนา 108 มีอยู่ในพระไตรปิฎกมีกี่สูตร พระเถระก็ไม่ได้ขยายความ แต่อาตมาเอามาขยายความให้ฟังและเข้าใจปฏิบัติได้ด้วย ผู้ที่นั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายมันไม่มีทางที่จะบรรลุพระอรหันต์ หลับตาปิดประตูบรรลุพระนิพพานบรรลุอรหันต์ของพระพุทธเจ้า นั่งหลับตานั้นเป็นอรหันต์เก๊ ไม่รู้เรื่องที่อาตมาพูดแบบนี้หรอก มโนปวิจาร 18 ไม่รู้หรอก
ไปถึง อดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นเวทนา 108 อันนี้เขาก็พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก อธิบายไม่ได้หรอก
อวิชชา 8 ข้อที่ 5 ส่วนอดีต พอมาข้อ 6 ส่วนอนาคต พอมาข้อที่ 7ส่วนของ อดีตกับอนาคต ข้อ 7 มันจะไปต่างกับข้อ 5 ข้อ 6 อย่างไร
ซึ่งอาตมาอธิบายว่าข้อที่ 7 นั้นส่วนอดีตกับอนาคตที่เป็นศูนย์แล้ว ส่วนข้อที่ 5 กับ 6 นั้นเป็นอดีตและอนาคตที่ยังไม่สูญยังไม่เที่ยง แต่ข้อที่ 7 นั้นมันเที่ยงแล้ว ส่วนข้อที่ 8 นั้นเป็นการไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท นี่คืออวิชชา 8
อาตมาอธิบายนี้มั่นใจว่าไม่ได้โมเม ไม่ได้เดา ไม่ได้ตรรกะ แต่เป็นสภาวะที่อาตมามีเอามาบรรยายให้ละเอียด แม้พระอาริยะเจ้าท่านอธิบายก็ไม่มีคำบันทึกไว้ แต่อาตมาเป็นพระเถระจริงๆรู้จักสิ่งเหล่านี้จึงเอามาพูดจริงๆ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา แต่อาตมามีสิทธิ์พูดความจริง แต่อาตมาจะไม่พูดความเท็จ ขอยืนยันว่าที่พูดนี่เป็นความจริงไม่มีผิด นี่พูดเหมือนคนอวดดีเลยนะ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรมันมีดีก็ต้องเอาสิ่งที่ดีมาอวด ต้องเอาสิ่งที่มีจริงมาให้ฟัง
สัจจะที่อาตมาอธิบายไปเป็นเรื่องสามัญที่คนทั่วไปจะเอามาพูดเพ้อพกไม่ได้ ฟังแล้ว ไม่ใช่คำเพ้อเจ้อ คำหลวมๆเล่นๆ แต่ฟังแล้ว คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) รู้ตามได้ยากเห็นตามได้ยาก
สันตา นี่ยิ่งละเอียดลออ ระดับนิปุณา อตักกาวจรา ขบคิดตรรกะเอาไม่ได้ เป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียดขั้นนิพพาน มีบัณฑิตเท่านั้นจะรู้สิ่งเหล่านี้ได้
เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ได้เป็นบัณฑิตจริง ไปสอบเปรียญ 9 ปริญญาเอกมาทางพุทธศาสนาอย่างไรก็ไม่มีทาง แต่พวกคุณนี่แหละเป็นบัณฑิต แค่จะไปสอบเปรียญ 9 สอบปริญญาเอกมาในทางศาสนาก็ตามคุณก็ยังไม่ใช่บัณฑิตจริง แต่พวกคุณนี้เป็นบัณฑิต เป็นผู้ที่มีปัจจัตตัง มีความจริงของตนเองเกิดจริงเป็นจริง ไม่เช่นนั้นพวกคุณไม่มาอยู่อย่างนี้หรอก ถ้าคุณไม่มีสภาวะธรรมที่เป็นจริงคุณไม่ได้อยู่หรอก เพราะอาตมาไม่ได้พาแบบโลกๆ นี่ยังอุตส่าห์มาได้นะ พิมพ์เพชรรุ้ง เป็นพวกนางฟ้าเหาะเหินอยู่
ถามจริง ตอนเป็นแอร์โฮสเตสนั้น รายได้เดือนละเท่าไหร่ รวมเบี้ยเลี้ยงและอื่นๆทั้งหมด
_พิมพ์เพชรรุ้ง…เดือนละแสนกว่า ถ้าขยันหิ้วของขายของ ก็สะสมขึ้น
พ่อครูว่า… เป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค อยู่ที่ฮ่องกง
แต่ก่อนนี้ก็มี ลาภยศสรรเสริญต่างๆนานา แต่เสร็จแล้วมาทางนี้มาเป็นคนจน ไม่สะสม ถ้ารายได้ก็ไม่เอา ทำงานก็ไม่เอารายได้เลย มันเป็นปาฏิหาริย์ที่พูดไปแล้ว อาตมาอธิบายเศรษฐกิจในระดับเศรษฐกิจสาธารณโภคี โลกเขายังไม่รู้เรื่องหรอก นักเศรษฐศาสตร์จบปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์ มา 5 ใบ ก็ยังไม่เข้าใจได้ง่ายๆ
อาตมาพูดเรื่องเศรษฐกิจเขาก็ว่าอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ แล้วคุณจะหมายความว่าอย่างไรในเรื่องเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจ 5 ชนิด โดยพ่อครู
(1) เศรษฐกิจชนิดหนึ่งนั้น เรียกขาน
ยึดสิทธิรวบ“เผด็จการ” กาจกล้า
“ผู้เดียว”เดี่ยวบริหาร สุดเก่ง
หรือ“กลุ่มอำนาจ”ล้นฟ้า ก็แท้“เผด็จการ”
(2) สองขานเศรษฐกิจโก้ “ประชา- ธิปไตย”
แต่ถูก“ทุนนิยม”พา เฟื่องฟุ้ง
ครอบงำทั่วโลกทา- รุณแนบ เนียนเลย
หลงว่าเจริญรุ่งรุ้ง สู่รู้ อวิชชา
(3) ต่อมา“คอมมูนิสต์”แท้ ชนิดสาม
อิสระถูกคุกคาม หมดสิ้น
หากใครไม่ทำตาม คณะเผด็จ การแฮ
ไม่คุกก็ทัณฑ์ดิ้น ไป่ได้ตายเป็น
(4) เห็นระบอบต่างแบบไซร้ สามชนิด
ตามสัจจ์แห่งเศรษฐกิจ บ่งชี้
แต่ยังซ่อนภัยพิษ แทรกอยู่ ลึกเลย
เพราะฉลาดโลกีย์นี้ ไม่พร้อมปัญญา
(5) ต้องศึกษาพุทธซึ้ง “โลกุตระ”
สร้างฉลาดธาตุอัญญะ อื่นให้
ธาตุรู้เกิดใหม่จะ ปัจจัต- ตังเฮย
เปลี่ยนโลกเศรษฐกิจได้ แน่แท้จริงจัง
(6) ดังมีชนิดสี่แล้ว ยืนยัน
ไทยประเทศสุดสำคัญ พุทธแท้ (พ่อครูไอให้ตัดออก)
“ประชาธิปไตย”อัน มีกษัตริย์
ทรงทศพิธฯวิศิษฐ์แล้ เลิศแม้อภิบาล
(7) “ศรีอาริย์”ชนิดห้า “สาธาระ- ณะโภคี”
มี“ประชา”พร้อม”ก- ษัตริย์”ไซร้
กินใช้ร่วมกันสละ ลดอัต- ตาเฮย
เศรษฐกิจห้าชนิดให้ โลกแจ้งเป็นจริง
“สไมย์ จำปาแพง” 2 มิ.ย. 2561 [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 336 ประจำเดือนกรกฎาคม 2561]
(พ่อครูไอระหว่างอ่านกวี ให้ตัดออก)
_สมณะฟ้าไท…เศรษฐกิจที่พ่อครูนำเสนอนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจแบบโลกีย์ แต่เป็นเศรษฐกิจโลกุตรพามาให้เป็นคนจนไม่สะสม ทำก็มีแต่ให้อย่างเดียว อยู่แบบอย่างผาสุกไม่แย่งชิงใคร สุขสำราญเบิกบานใจ ถ้าพูดแบบคนโลกๆก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ มันจะเป็นไปได้ยังไง แต่มันก็เป็นจริงแล้วมันมีจริงไปแล้วในโลกนี้ มันแสดงตัวให้เห็นในโลกนี้แล้วมีจริงเป็นจริง
พ่อครูว่า… สิ่งที่พาทำนี้เกิดได้จริง ไม่ใช่เรื่องในฝันเพ้อพกเหมือนยูโทเปียของโทมัสมอร์ แต่พวกเราพาให้เกิดจริงเป็นจริงได้ แล้วเป็นจริงอย่างที่จิตใจมีปัจจัตตังเป็นได้จริงด้วยไม่ใช่เป็นตั้งแต่รูปธรรม
เศรษฐกิจ 5 ระดับ
-
เผด็จการ
-
ประชาธิปไตยทุนนิยม
-
คอมมิวนิสต์
-
โลกุตระ ที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ
-
โลกุตระที่เกิดเป็นสาธารณโภคีได้