640816_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 5
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1q0a6Le1Qp6EkFTCjPXjpUDQa7noudAcxKAGdKZElhvw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1-EKfec1aRanvM6CPWh9Q15iiCx5RJ-GT/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/7q60vTe32W/
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ทั่วโลกก็สะเทือนเลื่อนลั่นกับเรื่อง covid มันสะเทือนไปทั้งโลก เก่งจริงๆ คนก็หาวิธีแก้ไขปรับเจ้าโควิดกัน ที่อื่นเขาจะรู้เรื่องนี้กันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ในกลุ่มชาวอโศกกำลังดีใจเรื่องโคคลานใบขน อาตมาเจอโบรชัวร์พวกเราทำไว้ ตั้งแต่ 2561 มีคุณสิริมา ศรสุวรรณเขียนไว้ มหัศจรรย์สมุนไพรบ้านราชฯ โคคลานใบขน
โคคลานใบขน ข้างหลังมันจะมีสีขาว เหลืออีกอันนึงคือฝ้ายน้ำ ได้มี ดร.ไชโย ชัยชาญทิพยุทธ ได้มาที่ราชธานีอโศก ท่านจะเกิดอาการเป็นหวัดปวดคอและปวดไหล่ ขณะเดินดูพันธุ์ไม้ที่มีคุณค่าทางยากับคุณธาตุดิน หอมจันทร์ ท่านได้พบไม้เถาชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายต้นโคคลาน แต่ใบเป็นขน ท่านจึงตัดเอาก้านและใบมาต้ม ประมาณ 1 ฟายมือ หรือประมาณ 60 กรัม ดื่มน้ำต้มสมุนไพรน้ำ 3 แก้ว อาการทั้งหลายดังกล่าวหายเป็นปลิดทิ้ง
ดร.ไชโยให้ข้อมูลเชิงประจักษ์อีกว่า เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งขับรถให้ขับติดต่อกัน 13 ชั่วโมง มีอาการปวดเอวมาก คิดว่าวันรุ่งขึ้นคงขับรถไม่ไหว แต่เมื่อได้ดื่มสมุนไพรนี้ 3 แก้ว นอนหลับ 1 คืน อาการปวดเอวก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ทีนี้ ต้นโคคลานใบขนนี้ เป็นพืชกลุ่มเดียวกับต้นเปล้า มีกลิ่นหอม แก้โรคกระเพาะอาหารและมะเร็ง ซึ่งงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคุนหมิงและมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มีรายงานรับรองผลคุณค่าทางเภสัชดังกล่าว นักวิจัยจีนได้พบว่า โคคลานขน ชนิดนี้มีใช้เป็นยารักษาโรคครอบจักรวาลในชนเผ่าไต หรือไท ใน สิบสองปันนามาช้านาน สามารถรักษาตั้งแต่โรคมาลาเรีย จนถึงโรคข้อเท้าแพลง
ประสบการณ์เรื่องโรคมาลาเรียดร.ไชโยเล่าว่า มีคนเป็นไข้หนาวสั่นเหงื่อเปียกโชกเราอาบน้ำ ดื่มสมุนไพรนี้สามแก้วอาการหายเป็นปลิดทิ้ง
คนที่มีอาการโรครองช้ำ ปวดประจำเดือน กรดไหลย้อน ก็ใช้ได้ผล
ส่วนที่เป็นสรรพคุณทางยา
ก้าน แก้ปวดลดไข้
ใบมีกลิ่นหอมช่วยขับลมแก้ปวดบวมอักเสบลดไข้
ทั้งก้านและใบนี้ออกฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีน แก้ปวดได้ดีมาก
องค์การเภสัชกรรมของจีนได้ทำการวิจัยแล้วดังกล่าวข้างต้น แต่ยังไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลอย่างแพร่หลาย
วิธีรับประทานใช้ทั้งก้านและใบหั่นเป็นชิ้นเล็กๆประมาณ 1 ฟายมือหรือว่า 60 กรัมต้มดื่มแทนน้ำ จะใช้สดหรือว่าตากแห้งก็ได้ ต้มครั้งแรกๆน้ำสีชมพู ต้มนานๆเข้าน้ำจะเป็นสีแดง
ชื่ออื่น จังหวัดจันทบุรีเรียก กระดอหดใบขน ที่มะลายูหรือนราธิวาสเรียก กูเราะ-เปรียะ ทางภาคกลาง ประจวบคีรีขันธ์เรียก โคคลาน ภาคกลางเรียกโคคลานใบขน ทางกรุงเทพฯเรียกต้นปริก
ก็มีรายละเอียดวิจัยอีกพอสมควรไม่ต้องอ่านแล้ว เราไม่ค่อยเก่งทางด้านนี้
ตอนช่วงนี้มีรายงานมาให้อาตมาประชาสัมพันธ์ในรายการนี้ว่างั้น
ในช่วงนี้ ชาวชุมชนบ้านราชฯ และนักเรียนระดมถอนต้นโคคลานใบขน เพื่อแจกให้ประชาชน แจกให้ชาวสันติอโศกและชาวปฐมอโศกไปปลูกและแจกให้ประชาชนทั่วไปด้วย ไปแจกให้เอาไปปลูกเพื่อกินแก้ไข้
ขอได้โปรดเรียกให้เต็มยศว่า “โคคลานใบขน” ซึ่งมีสรรพคุณแก้ไข้ ส่วนโคคลานนั้น แก้ปวดเมื่อยไม่ได้แก้ไข้ ลักษณะใบคล้ายกัน ต่างกันที่ โคคลานใบขน มีขนสากๆอยู่หลังใบ วงศ์เดียวกัน แต่รายละเอียดต่างกัน ชื่อภาษาละตินก็ต่างกัน
ดร.ไชโย บอกดิฉันไม่นานมานี้ว่าให้ดื่มเป็นยาแก้ไข้เท่านั้น ถ้าดื่มต่อเนื่องกันนานไม่ดีเพราะมีสารมอร์ฟีน (ดร.ไชโย ชัยชาญเทพยุทธ) ผู้ค้นพบสรรพคุณทางยาของโคคลานใบขน ทางอีสานเรียกว่า ฝ้ายน้ำ
ข้อความมาจากคุณหายโง่ สิริมา ศรสุวรรณ
ก็เก็บความรู้ไปเรื่อย เด็กๆมานั่งฟังหลายคราวหลายทีแล้ว เด็กๆคนไหนมีอะไรอยากจะถามอยากจะซักไซ้อะไรกับหลวงปู่มีไหม เด็กไทยเราไม่ค่อยชอบถาม ไม่เหมือนเด็กฝรั่ง
ความศักดิ์สิทธิ์คืออะไร
_ สู่แดนธรรม… ผมถามแทนเด็กๆ เมื่อสัปดาห์ก่อนผมถูกเด็กชายภูมิพุทธถามปัญหา เขาถามว่า ความศักดิ์สิทธิ์คืออะไรครับ
พ่อครูว่า… อาตมาสมัยเรียนอยู่ ม.2, ม.3 เรียนอยู่ที่พิบูลมังสาหาร โรงเรียนวัดกลาง เรียนกับครูทา ศรีจันทร์ อาตมาก็มีดำริจะเปลี่ยนชื่อเหมือนกัน เปลี่ยนชื่อเป็นเด็กชายศักดิ์สิทธิ์
คำว่า “ศักดิ์สิทธิ์” นี้ ความรู้รวมรวมโดยทั่วไปในประเทศไทยคือเป็นสิ่งที่ขลัง ความศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจพิเศษ บันดลบันดาลเป็นแบบเทวนิยม มีฤทธิ์เดชได้น่ากลัว
ทีนี้ในความหมายลึกๆของคำว่าศักดิ์สิทธิ์
ศักดิ์ แปลว่า มีชั้นมีความสูงต่ำ
สิทธิ์ แปลว่า สำเร็จ
ศักดิ์สิทธิ์ คือทั้งสูงและทั้งสำเร็จ ความหมายอย่างสั้นๆลัดๆชัดๆ
ความหมายของเทวนิยมจะเป็นความหมายทางเรื่องลึกลับ ไม่ค่อยเข้าใจเป็นฤทธิเดชอะไร แปลความหมายไทย อเทวนิยมหรือแบบชาวพุทธ เป็นการรู้สภาวะชัดเจน ไม่ใช่เรื่องลึกลับ หรือเป็นเรื่องที่เป็นเชิงพรางบัง แต่ชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่สูงส่ง ที่สำเร็จได้ชัดเจนนะ ซึ่งต้องยากนะ
สู่แดนธรรม… สำหรับเด็กๆพวกเราถ้าเริ่มต้นสั่งสมบารมีเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ คงจะเริ่มทำตั้งแต่พูดจริงทำจริง พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้นใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ต้องมีพูดมีรู้มีทำ มีการพูด มีการรู้ ครบถ้วนทั้งรู้ชัดเจนทั้งหมดแล้ว ก็ทำได้พูดได้ รอบรู้อย่างชัดเจนแท้จริง ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
_ ด.ญ.ใสกลางเพ็ญ(น้ำมนต์)… พรรษานี้ หนูตั้งตบะว่าจะไม่เอาแต่ใจตัวเอง หลวงปู่มีความเห็นอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… ดีมาก ตั้งใจจะไม่เอาแต่ใจตนเองดีมากเลยหนูน้ำมนต์
รู้นะว่า เอาแต่ใจตัวเองเป็นอย่างไร
น้ำมนต์ว่า..รู้ค่ะ
พ่อครูว่า… รู้ ดีแล้ว ก็ดีแล้วแล้วเราก็จะตั้งใจแก้ไขไม่ให้เอาแต่ใจตัวเอง เมื่อเรารู้ตัวว่าเราเอาแต่ใจตัวเองเมื่อไหร่ก็เลิก ทำแก้ทำกลับ อย่าให้เป็นอย่างนั้น มันไม่ดี ที่เราไม่ทำนี้ก็เพราะว่ามันไม่ดี มันไม่ควรทำ ถ้าเราเกิดทำขึ้นมาเมื่อไหร่ รีเลิกรีบหยุด อย่าทำ อย่าทำอย่างนั้นไม่แต่ข้างนอก เอาแต่ใจ ทางกายกรรมก็หยุด เอาแต่ใจตัวเองทางภาษาคำพูด คำพูดก็รู้แล้วหยุด ใจของเราคิดจะเอาแต่ใจตัวเองก็หยุดด้วย เอาให้ครบ ดีมาก
ทำไมคนเราเกิดมาต้องทำงาน
_เผ่งอัง(เชิดเชิญธรรม)… ทำไมคนเราเกิดมาต้องทำงานครับ
พ่อครูว่า… คำถามนี้เข้าท่านะ ตีแสกหน้าคนดีจัง ทำไมคนเราเกิดมาต้องทำงาน ตอบ คนเราเกิดมาเป็นจิตนิยามหรือว่าเป็นสัตว์โลกชนิดที่มีจิตเจริญ เจริญกว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายกว่ามด แมลง จนกระทั่งไปถึงสัตว์โต สัตว์มีแข้งมีขา ตัวโต หมูหมากาไก่ช้างม้าวัวควาย เจริญกว่าทั้งนั้น
ที่นี้ถามย้อนไปว่า สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมันทำงานไหม …ทำ มันทำงาน ทำงานอย่างน้อยมันก็ทำงานเลี้ยงชีพตัวเอง พึ่งตนเอง สัตว์เดรัจฉานมันรู้จักทำงาน ถึงเวลานอนมันก็นอน ถึงเวลาตื่นมันก็ตื่นขึ้นมาทำงาน หรือสัตว์มันจะพักมันจะนอน หรือมันจะทำงาน อย่างน้อยมันก็เลี้ยงชีพตัวเอง
เพราะฉะนั้นเป็นคนที่มีศักดิ์ถึงขั้นมีจิตเจริญกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันก็ต้องทำงานอย่างน้อยเลี้ยงชีพตัวเองได้เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ถ้าคนใดไม่ทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง เพื่อพึ่งพาตัวเอง คนนี่ พอเกิดมาปุ๊บเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ตัวน้อยๆไม่มีใครเลี้ยง ไม่มีคนเลี้ยง ไม่มีพ่อแม่เลี้ยง ไม่มีพี่ป้าน้าอาหรือใครเลี้ยงเลยนะ ตายท่าเดียว นอนตายเฉยๆอย่างนั้น คนนี่ เด็กพอเกิดมาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย นอนอดอยากแห้งตายไปเฉยๆ ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน มันก็ยังหาทางดิ้นรน ลูกสัตว์เดรัจฉานบางตัวเกิดมามันหากินได้เลย ไม่เหมือนคน
เพราะฉะนั้นพื้นฐานอย่างน้อยต้องทำงานพึ่งพาตัวเองเลี้ยงชีพตัวเองให้รอด คนที่เลี้ยงชีพตัวเองไม่รอด จึงเป็นคนชั้นต่ำมาก ต่ำกว่าเดรัจฉาน
เพราะฉะนั้นคนทุกคนต้องทำงานให้คุ้มกับการอยู่การกินของตัวเอง ยิ่งเป็นระบบสาธารณโภคี เราทำงานที่เป็นงานดีๆในสังคมเราแล้ว ทำเสร็จแล้วเราก็จะมีผลแรงงานผลความรู้ของเราทำ รวมแล้วเราก็อาศัยกิน ผู้ที่หาพืชพันธุ์ธัญญาหารให้กิน กินของกินโดยตรง โดยแรงงานของเรา กรรมของเราก็ไม่เป็นหนี้ ถ้าเราไม่มีแรงงานทำอะไรอยู่ร่วมและเราก็กินโดยที่เราไม่มีอะไรเลย กินฟรีกินอย่างฟรีเราก็เป็นหนี้
รู้ไหมเด็กๆเราต้องทำงานให้คุ้มกับที่เรากินเราใช้หรือยิ่งทำงานอย่างเกินกินเกินใช้ถือว่าเป็นกุศล ถือว่าเป็นสมบัติที่เหลือ นี่แหละเป็นคนเจริญ เป็นคนรวย รวยอะไร รวยคุณธรรม รวยกุศล รวยความดีงาม พยายามฟังที่หลวงปู่อธิบายให้ฟังนี้ อย่าเป็นคนขี้เกียจ ให้เป็นคนรู้จักทำงาน งานที่ไม่ดี งานที่ผู้ใหญ่ห้ามหรือใครห้ามบอกว่าอย่าทำอย่างนี้อย่าทำ เราก็ไม่ต้องทำ งานที่ผู้ใหญ่พาทำดีๆมีเยอะแยะไป งานนั้นงานนี้งานโน้นต่างๆมันก็จะเป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ ชีวิตเราก็ชำนาญ รู้อะไรต่างๆทำได้ ก็จะกลายเป็นคนมีคุณค่ามีประโยชน์ ไม่เป็นคนที่เกิดมาเสียชาติเกิดเปล่าๆ มันไม่ขาดทุนเกิดมามีชีวิตไม่ขาดทุน ตายไปแล้วจะมีวิบากที่ดี สั่งสมไป
ถ้ายิ่งมีปัญญา ที่นี่สอนปัญญา ปัญญาคือเป็นความรู้ความฉลาดเป็นธาตุรู้ชั้นพิเศษของศาสนา ที่หลวงปู่กำลังอธิบายอยู่ทุกวันนี้ลึกซึ้งต้องฟังให้ดีพวกเรา ปัญญาคือความรู้ความฉลาดที่รู้จักกิเลสและรู้จักวิธีทำให้กิเลสลด ทำให้กิเลสลดได้ ไม่ใช่รู้แต่เพียงดีชั่วเท่านั้น ดีชั่วเป็นเพียง เฉโก เป็นความรู้ของโลกทั่วไป ส่วนปัญญานั้นรู้เกินกว่านั้น รู้เหตุที่มันพาให้เราทำชั่ว รู้เหตุที่มันเป็นกิเลสทำให้เกิดกิเลส แล้วลด มีปัญญาลดกิเลสได้
ศาสนาเทวนิยมไม่มีความรู้ในทางรู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดไม่มีเลย ถึงแม้จะพยายามค้นคว้าหาอยู่ก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิ แม้แต่ชาวพุทธเองก็ยังสัมมาทิฎฐิกันไม่หมด ชาวพุทธเองไม่ใช่เหรอน้อยจะมีสัมมาทิฎฐิรู้จักกิเลส แล้วรู้จักการลดกิเลสได้จริงกิเลสลด ถูกฆ่ามีพลังงานฌานเผากิเลสตาย จนฆ่ากิเลสหมด สิ้นอาสวะกิเลสไม่เกิดอีกเลยเป็นพระอรหันต์ ตลอดจนปรินิพพานเป็นปริโยสาน อย่างนี้เป็นต้นที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบสิ่งสุดยอดประเสริฐที่สุดเลย มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น
พวกเราได้รู้จักอันนี้แล้วติดตามให้ดีๆเกิดมาชาตินี้แล้วได้ค้นพบ อย่าปล่อย ให้รู้ให้ได้ให้รู้จักกิเลสให้ได้แล้วทำให้กิเลสลดได้จนเป็นพระอริยะเป็นพระอรหันต์ให้ได้พยายามพากเพียรให้จริง เป็นสุดยอดของความเกิดมาเป็นคนให้รู้สิ่งนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นไปเป็นเทวนิยมอีกไม่รู้กี่ชาติวนอยู่กับความชั่วความดีความดีความชั่วเป็นวิบากหมุนเวียนอยู่อย่างนั้น ได้ดีสูงขึ้นตกต่ำวนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่มีจบ
แต่ศาสนาพุทธนี้ดีแล้วไม่ตกต่ำไม่ชั่วอีกเลย ไม่ชั่วแล้วแถมกิเลสไม่เกิดไม่กลับมาทำชั่วทำบาปอีก กิเลสหมดด้วยแล้วทำแต่ดีกิเลสก็หมด เรียก สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เกิดเป็นคนมีหลักประกันอันนี้จะอยู่อีกกี่ชาติก็เชิญ หรือผู้ที่เป็นพระอรหันต์สามารถตายแล้วสูญเลิกเลย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุตัวเองไม่เกิดมาอีกเลยเป็นดินน้ำไฟลมสลายไปเลยหมดความเป็นจิตนิยามได้ นี่เป็นสุดแห่งที่สุดเลยในความรู้ของมนุษยชาติ
ปล่อยวางอย่างไรจากความยึด
_น.ส.จิวรา ศรีมาศ(บีน)…หนูมีปัญหาที่แก้ไม่ได้สักที 2 อย่าง
-
หนูก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ ม.3 ก็ปล่อยวางทุกอย่าง ยกเว้นบางเรื่อง ที่เราปล่อยวางไม่ได้ เราก็จะเก็บไปคิดมาก เชื่อมโยงไปอันที่ 2 คืออยู่ๆก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่มีเหตุผลค่ะ คืออยากแก้นิสัยพวกนี้ค่ะ
พ่อครูว่า… เอ้า ที่เรารู้แล้วก็ปล่อยวางได้ เราก็เรียนรู้สิ ที่เรายึดแต่ก่อนนี้ เรารู้ว่าสิ่งนี้แบบนี้แหละคือการยึด เรายึด
ทีนี้ที่หนูพูดเองว่า เสร็จแล้วก็วางได้ มันคืออย่างไร อาการที่เรายึดแล้วเราก็วางได้คืออย่างไร นั่นแหละ แล้วทำไมเราถึงวางได้ เราก็อ่านดู เรื่องที่เรายึดอยู่เมื่อก่อนตอนนี้เราวางได้แล้ว จริงๆแล้วที่อะไรก็แล้วแต่ที่วางได้ คนที่รู้จักวางได้นี้ท่านเรียกว่าเป็นคนมีปัญญา มีปฏิภาณไหวพริบและรับรู้ ว่าเราไปยึดอยู่ทำไม สิ่งเหล่านี้มันก็ผ่านไปผ่านมากับชีวิตของเราแล้วเราก็ยึด จะต้องเป็นอย่างนี้จะต้องเป็นเราเป็นของเรา ไม่ต้องยึดหรอกเดี๋ยวมันก็ผ่านไปผ่านมา
เสร็จแล้วจริงๆแล้ว ทุกอย่างมันเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรจริงที่เราจะยึดมั่นถือมั่นเป็นอะไรเอาอะไรได้ เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นสิ่งสำคัญ ที่ชีวิตเราจะต้องใช้ ชีวิตเราจะต้องอาศัย ในปัจจุบันนี้ หรือในวาระที่ไม่ห่างไกลไม่เกินนัก เช่น เราจะต้องมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องกิน มีชีวิตอยู่ควรจะทำงาน ก็ควรจะต้องหางานทำ เรียกว่า อาหารปริเยฐิ ก็แสวงหางานนั้น มาใช้อาศัยทำให้เป็นประโยชน์ ก็เท่านั้นเอง ชีวิต
ชีวิตเราก็เกิดมามีงานทำ มีข้าวกิน มีอาหารกิน ชีวิตก็ดี มีการทำงานแล้วก็มีผลงานได้อาศัยเราก็ได้ใช้ได้อาศัย คนอื่นๆก็ได้อาศัย ก็ดี ไม่ใช่มีผลงานแล้วก็เอาไปขายได้ราคาดีได้เงินมาก อย่างนั้นก็เป็นการตะกละตะกลาม ทำงานขึ้นมามีผลผลิตแล้วเอาไปให้คนอื่น แล้วให้คนซื้อ แลกเป็นของคืนก็ตาม แลกด้วยทองคำ แลกด้วยวัตถุที่มีค่า ดีไม่ดีได้เปรียบ อย่างนี้มีชีวิตอยู่อย่างขาดทุน ไปได้เปรียบ ที่เขาเรียกว่าได้กำไร พวกนี้มีชีวิตขาดทุนทั้งนั้น
อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสไว้ว่า ขาดทุนคือกำไร เราขาดทุนก็รู้ว่าการขาดทุนนี้แหละดี ให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าได้เปรียบ แต่ว่าขาดทุนนี่แหละดี ต้องเข้าใจให้ถูกสภาวะ ควรทำ และไม่ควรจะไปเอาเปรียบที่เรียกด้วยภาษาว่ากำไร แต่ไปทำผิด เพราะกำไรจริงๆมันต้องขาดทุน กำไรจริงๆคือการขาดทุน แต่ไปขาดทุนแล้วหลงว่าได้กำไร แล้วจะต้องทำกำไรอย่างที่ได้เปรียบเอามา มันคือความผิดพลาดมันโง่ ยิ่งได้กำไรมากๆยิ่งโง่มาก พวกที่ได้กำไรมากๆได้เปรียบมากสะสมเอาเปรียบเอารัด หาทางทำอะไรก็แล้วแต่มีสภาพปรุงแต่งวิธีการให้ยิ่งได้เปรียบมากๆ บอกว่าอย่างนั้นชีวิตเจริญ ที่จริงแล้วเป็นชีวิตที่เสื่อม ชีวิตที่ตกต่ำ เป็นชีวิตที่โง่ทับถมลงไป โง่เป็นปฏิภาคทวีตลอดกาล
นี่คือความจริงที่ศึกษาให้ดีๆเพราะฉะนั้นอย่าไปทำเช่นนั้น มันค้านแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า เขาไม่รู้เดี๋ยวนี้มันเป็นความเสื่อมไปแล้วแย่
อีกคำถาม อยู่ดีๆก็ร้องไห้
พ่อครูว่า… ไม่รู้ว่าทำไมต้องร้องไห้ สาระจริงๆแล้ว การร้องไห้มันไม่มีอะไรหรอก การร้องไห้เป็นเรื่องของการกลบเกลื่อนชนิดหนึ่งที่ไม่เข้าเรื่องอะไร ดีใจก็ร้องไห้เสียใจก็ร้องไห้เป็นการกลบเกลื่อน โดยไม่เดียงสาเท่านั้นเอง การร้องไห้เป็นเรื่องของเด็กๆไม่เดียงสา ถ้าโตขึ้นอาการนี้ก็จะหายไป
เอาประโยชน์อะไรจากความรู้อุตุนิยาม พีชนิยาม
_ด.ญ.เพชรรัตน์ บุญมานัด(นิค) ม.1… หนูอยากทราบว่า อุตุนิยาม กับพีชะ ต่างกันอย่างไร เด็กๆอย่างหนูจะเอาประโยชน์จากอุตุและพีชะได้อย่างไร
พ่อครูว่า… อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องอุตุกับพีชะ เป็นโลกุตระธรรมเป็นธรรมะพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสรู้ ศาสนาอื่นไม่มีความรู้เรื่องนี้ เขาก็ใช้งาน อุตุนิยาม พีชะ เขามีศาสตร์เรื่องของชีววิทยา ไบโอโลจี หรือทางวิทยาศาสตร์พลังงานอุตุก็เอามาใช้
แต่ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่รู้ อุตุนิยาม พีชะ คือ รู้ว่า
พีชนิยาม เป็นพลังงานที่ปรุงแต่งกันอยู่เป็นสังขารที่มีสัญญา ที่มีความจำความหมายรู้ได้ แต่มันไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ อาการที่ไม่มีเวทนา คือไม่มีความรู้สึกที่ผิดไปจากความจริง
เวทนาเป็นความรู้สึกที่เป็นความรู้สึก เดี่ยวๆจริงๆเลย คือ ความรู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุขไม่สูงไม่ต่ำ ไม่มีสองเป็นความรู้สึกจริงตัวเดียว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีวิญญาณไม่มีเวทนา
ทีนี้ อารมณ์ของพืชนี่แหละเมื่อมันไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไม่มีสูงมีต่ำ ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก ผู้ใดทำจิตนิยามให้เป็นจิตแบบ พีชะได้ จึงเป็นผู้ที่ไม่ทุกข์ตัวเองไม่สุขตัวเอง ตัวเองก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ตัวเองก็รู้ความจริงความควรความพอเหมาะ อะไรในกาละใด ที่สิ่งนี้เรียกว่า ควรหรือดี ก็ทำแต่สิ่งดีสิ่งควรในทุกมหาปเทส ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากในความรู้ของชีวิตที่จะจัดสรรกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมของตนเองให้ดีตลอดไม่มีอะไรเสียหาย แล้วตัวเองก็ไม่ทุกข์ไม่สุขอะไร สบายๆ เพราะเหตุแห่งทุกข์คือกิเลสล้างได้หมดไป
ต้องเรียนรู้อุตุนิยาม พีชนิยาม ส่วนคนเป็นจิตนิยาม ทางวิทยาศาสตร์ไบโอโลจีเขาไม่รู้รายละเอียดพวกนี้เขาจึงทำไม่เป็น แต่ศาสนาพุทธทำเป็น จนไม่ติดยึด จนรู้แจ้งว่าจิตนิยามอาศัยการเกิดทัน ถ้าไปยึดถือตายไปแล้วจะต้องเวียนกลับมาเกิดนี่แหละตัวสำคัญจะต้องพิสูจน์ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จึงรู้จักจิตนิยามตัวนี้แล้วสมบูรณ์แล้ว ว่าอย่าไปยึดถือให้มันปรุงแต่งอยู่สิ ก็เลิกความปรุงแต่ง มีจิตที่กำหนดทำจิตให้มันไม่ปรุงแต่ง ไม่สังขารปรุงแต่ง ตายไปก็ไม่มีสังขารปรุงแต่ง ก็เลยไม่มีธาตุอัตตาธาตุตัวจิตนิยามของมนุษย์นี้เกิดอีกเลย นี่เรียกว่าสูงสุด เป็นผู้มีอนัตตาที่แท้ไม่ใช่ตัวตนแท้
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้จึงเป็นพระอรหันต์คือมีหลักประกันคือ 1. แม้มีชีวิตอยู่ก็ไม่ทำชั่วทำแต่ดี 2. แล้วตัวเองก็ไม่ทุกข์ไม่สุขอะไร อยู่ได้เท่าไหร่ก็มีแต่เป็นคนประเสริฐมีแต่เป็นคนมีประโยชน์ตัวเองก็ไม่ทุกข์ไม่สุข แล้วตัวเองก็จะสามารถเลิกจิตนิยามตายแล้วเป็นชาติสุดท้ายปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ จบเลยหมด ความรู้ในโลกของอัตภาพ
ส่วนศาสนาเทวนิยมไม่รู้ทำไม่ได้ตายแล้วก็ไปอยู่นิรันดรเป็นอัตตานิรันดรเป็นจิตวิญญาณนิรันดร แก้ไม่ได้ แล้วไม่รู้ด้วยว่าตายไปแล้วก็ต้องวนเวียนมาเกิดอยู่กับกรรมวิบากเยอะแยะ ต่อเนื่องกันอยู่สะสมแก้แค้นกันไปแก้แค้นกันมามีการเกิดการดับมีการหมุนเวียนแก้แค้นกันอยู่ต่างๆนานา เป็นบุพเพสันนิวาส ต่างๆนานา ศาสนาเทวนิยมไม่รู้เรื่องแต่เขามีชีวิตของเขาก็เหมือนบุพเพสันนิวาสแต่เขาไม่รู้เรื่อง
_สม.เป็นหญิง…เมื่อเช้า ท่านติกขะบอกว่า หนังที่จะดูตอนฉันอาหารคือเรื่องมหาภารตะยุทธ ดิฉันเคยดูแล้วประทับใจมาก ตัวเอกในเรื่อง เมื่อเกิดวิกฤตสามารถทำให้หมู่กลุ่มผ่านวิกฤตได้ เมื่อในยุคนี้เป็นยุคโควิดพ่อท่านก็พาให้พวกเรารอดได้ ดิฉันก็รู้สึกว่าอยากให้พ่อท่านโฆษณาหนังเรื่องนี้
พ่อครูว่า… ความรู้เรื่องของรามเกียรติ์ก็ดี ความรู้เรื่องของภารตะยุทธหรือมหาภารตะยุทธก็ดี มันเป็นเรื่องของความเป็นชีวิตมนุษย์ ที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณสูงส่งมาก ที่ผู้รู้ในโบราณกาลจับเอาเรื่องราวพวกนี้มาร้อยเรียง เป็นนิทานหรือเป็นนิยาย เป็นเรื่องของทางจิตวิญญาณชั้นสูงทั้งนั้น จนกระทั่งมันไม่สามารถที่จะอธิบายเป็นโลกุตรธรรมได้ง่าย แต่มันมีโลกุตรธรรมชั้นสูงมาก จนกระทั่ง ผสมผสานอยู่ในนั้น มันก็ไม่ได้ ต้องแยกออกมาว่าเป็นพุทธ เพื่อที่จะอธิบายโลกุตรธรรม ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นเทวนิยมจมอยู่ในนั้นหมดเลย ในมหาภารตะยุทธกับรามเกียรติ์ มันอยู่ด้วยกันนั่นแหละ ด้วยจิตวิญญาณทั้งนั้น แต่เป็นจิตวิญญาณที่แยกไม่ออก มีอยู่ในนั้นแต่แยกไม่ออก รามเกียรติ์กับมหาภารตะยุทธ
แต่โลกุตระที่เป็นพุทธนั้นแยกออก แยกออกแล้วเป็นไง ไม่ติดยึด ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าตัวจบนี่คือ รู้จักโลกียะแล้วรู้จักโลกุตระ แล้วไม่ติดไม่ยึดทั้งโลกียะ ไม่ติดไม่ยึดทั้งโลกุตระ นี่คือของพระพุทธเจ้า ไม่ได้หมายความว่า เราเป็นโลกุตระแล้วเราก็ติดยึดที่โลกุตระ แล้วไปข่มโลกียะ ไม่ใช่ โลกียะไม่ต้องไปข่มเขาหรอก ยังไงๆเขาก็ทุกข์ โลกุตระคนพ้นทุกข์ได้แล้วก็ดีแล้วนี่ จะไปข่มเขาทำไม ช่วยเขาให้พ้นทุกข์อีกนี่ต่างหาก
เพราะฉะนั้นพูดจบทั้ง 2 อย่างแล้วไม่ติดยึดทั้ง 2 อย่างและไม่เอาอย่างที่เรามีเราได้ไปข่มอย่างที่มันยังไม่เจริญไม่ดีไม่ได้ จะสงสารเขา ต้องช่วยกันเกื้อกูลเขานั้นต่างหาก
ภราดรแปลว่าอะไร
_ด.ช.ภูมิพุทธ…หลวงปู่ครับ ภราดร แปลว่าอะไรครับ
พ่อครูว่า… ภราดร แปลว่า อะไร? ภราดร แปลว่า ความเป็นพี่เป็นน้อง เข้าใจความเป็นพี่เป็นน้องไหม นั่นแหละ ภราดรแปลว่าความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นปู่ย่าตายาย เป็นพี่เป็นน้อง เป็นทวดเป็นปู่ อะไรพวกนี้
มีทั้งพี่น้องทางสายเลือดและไม่ใช่ทางสายเลือด
อย่างเช่นเรานับถือพระพุทธเจ้าที่สอนเราบอกเรา ให้ความรู้เรา เราทำตามแล้วก็เกิดความเจริญ อย่าง ไม่ละเว้นใครได้ใครนับถือพระพุทธเจ้า ศรัทธาพระพุทธเจ้าอย่างเป็นพ่อเป็นสมเด็จปู่เลย เป็นความรู้ทางธรรม อย่างชีวิตชาตินี้ของหลวงปู่อายุ 80 กว่าแล้ว ใกล้จะ 90 แล้ว ไม่มีลูกสักคน ไม่มีลูกเลย เป็นคนไม่ใช่อาภัพนะแต่เป็นคนสุดยอดสบายสุดยอดเจริญ ไม่มีลูกสักคนแต่มีลูกทางธรรมะจำนวนพันเป็นอเนก ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์นั้นจะมีลูกเป็นจำนวนพันเป็นอเนก
แล้วลูกๆนี้สนิทใจว่าเป็นลูกอาตมาจริง ยอมรับนับถือ บางคนพูดได้เต็มปากเลยว่า จะบอกว่านับถือยิ่งกว่าพ่อแม่ก็ดูจะกระไร พ่อแม่ก็รู้ว่านับถือให้กำเนิดแต่ว่าหลวงปู่ให้กำเนิดทางจิตวิญญาณนี้ยิ่งลึกซึ้งเป็นสัจจะที่จะต้องเอาให้ได้อย่างนี้เป็นต้น
_ลูกอยากจะรู้ว่า บ้านราชฯจะอยู่ได้อีกกี่ปีครับ จากฟี่โน่
พ่อครูว่า… ตอบว่าไม่รู้ จะอยู่ได้กี่ปีไม่รู้ ก็อยู่ไป จนกว่าจะสิ้นชื่อของความเป็นบ้านราชฯ แต่สถานที่มันก็อยู่ของมันอย่างนี้จนกว่าโลกจะแตก เปลี่ยนรูปเปลี่ยนเจ้าของเปลี่ยนชื่อไปก็ได้ในอนาคต มันไม่เที่ยงหรอก แล้วจะอยู่ได้นานร้อยปีพันปีหมื่นปีก็เรื่องของมัน
พวกสามกีบจะเอาลุงตู่ออกได้ไหม
_หลวงปู่คิดว่า พวกสามกีบ มันจะเอาลุงตู่ออกได้ไหมครับ
พ่อครูว่า… ถามเข้าเป้าผู้ใหญ่เลยนะ ออกคำนี้ หมายถึงว่าออกจากความเป็นนายก ซึ่งจริงๆแล้ว สามกีบ ไม่ต้องไปเสียแรงเลยยังได้อย่างไรลุงตู่ก็ต้องออกจากความเป็นนายกวันใดวันหนึ่งจนได้แหละ สามกีบ ไม่ต้องไล่เลยแต่เขาใจร้อนเขาอยากได้ตำแหน่งอยากให้ได้พรรคพวกของเขาหรือตัวเขาเองไปเป็นหน้าที่แทน มาแย่ง เป็นสมบัติผลัดกันชม เขาถือว่าอันนี้เป็นสมบัติ
แต่ลุงตู่พลเอกประยุทธ์เขาไม่ได้ถือว่านี่เป็นสมบัติของเขา แต่เขาถือว่าเป็นหน้าที่เป็นงานที่เขาจะต้องมาทำ เพราะตอนนี้ตกอยู่ในฐานะนี้แล้ว ต้องทำหน้าที่ตามฐานะนี้ให้ดีที่สุด และเข้าใจสิ่งที่เกิดที่เป็นปัจจุบันทำนี้ด้วยว่า เขาเหมาะสม เขาทำงานนี้ได้ แล้วก็มีประโยชน์มีผลดีอยู่ เขาก็มั่นใจ แล้วก็รู้ว่าพวกที่ไล่ออกนี้ เขามาไล่ๆๆ เป็นพวกอะไร โดยเฉพาะเป็นลักษณะของประชาธิปไตยมันเป็นประชาธิปไตยด้วย และพวกที่ไล่ออกนี้ เขาไม่รู้ตัวหรอก ว่าเขานะไม่ใช่ตัวเขาเป็นปากหอยปากปู เขาก็ทำไปตามธรรมชาติที่จะต้องมีสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเอง
สรุปคำตอบว่าไล่ออกได้ไหม นอกจากถึงเวลาแล้วนายกฯตู่จะพ้นหน้าที่ไป โดยครบฐานะครบกาละเวลา ที่สมควรแล้ว ก็จะออก แต่ตอนนี้ ยังตั้งใจแล้วรู้ได้ว่ายังไม่ควรออก ซึ่งมีคนพูดบอกว่า ตอนนี้เหมือนอยู่กลางน้ำเชี่ยวรบกันอยู่กลางน้ำเชี่ยว แล้วจะเปลี่ยนม้ากลางสนามกลางลำธารนี้ไม่ได้ ต้องให้มันเรามันเพลาเป็นไปได้ก่อน
สรุปคือเรารู้ความเหมาะควร เพราะฉะนั้นคำพูดของนายกฯตู่ที่พูดว่า ผมไม่ถอดใจหรอก มันลึกซึ้งมาก หมายถึงใจของพลเอกประยุทธ์ที่มีปัญญารู้ความเหมาะควรมีความอดทนที่ดี มีความรู้ความเป็นจริงว่าที่ทำอยู่นี้มีประโยชน์เหมาะสม ก็เลยอยู่ในฐานะนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ถอดใจ
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยากในคน อาตมามีความรู้ในเรื่องพวกนี้มันประกอบไปด้วยทั้งวิธีหรือวิชาการของรัฐศาสตร์วิชาการของสังคมศาสตร์ แม้แต่ทางเศรษฐศาสตร์ก็อยู่ในนี้ อาตมาก็ดูแล้วว่านายกตู่นี้มีสิ่งเหล่านี้อย่างเหมาะสมและเหมาะควรกับกาละเทศะด้วย ก็อยู่ในฐานะนี้แล้วทำไป ถึงได้พูดว่าให้ทำไปถ้าไม่มีใครเหมาะควรเท่าหรอก
_หลวงปู่คิดว่าคนบ้านราชฯ จะมีคนคิดที่จะเป็นพวก สามกีบไหมครับ
พ่อครูว่า… ก็น่าจะมีคนโง่ๆแฝงอยู่บ้างมั้ง เพราะว่าที่ไหนก็มีคนโง่แฝงอยู่ในที่คนฉลาดนี้ด้วย ก็คงจะมีบ้างหรอก สามกีบก็คือคนโง่ไง่ มันห้ามไม่ได้เขาจะโง่ไปห้ามได้ที่ไหน
_เจมส์…ลูกอยากรู้ว่า คนบ้านราชฯ จะมีผลไม้กินเยอะไหมครับ
พ่อครูว่า… เยอะแยะ เรามีมากเราก็ยิ่งให้คนก็ยิ่งเกรงใจ ไม่หมดหรอก แล้วจะมีเรื่องแถมจะมีคนมาช่วยมีแรงงานมาเพิ่มอะไรต่างๆนานา ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา
_ถ้าเกิดว่าเราเป็นคนมีบุคลิกนิ่งๆ แต่พอมีเวลามีเรื่อง ที่เราควรเสียใจควรร้องไห้ควรทุกข์กับมันพูด เช่นมีคนเสียชีวิตแต่เรายังไม่รู้สึกเสียใจอะไร อยากทราบว่าเป็นเพราะเราเย็นชา หรือเป็นเพราะว่าเราปล่อยวางได้ หรือเพราะเหตุอย่างอื่นครับ
พ่อครูว่า… คนที่ถามมานี้รู้หมดทุกอย่าง ว่าประเด็นต่างๆหมายถึงอะไร คนนี้เป็นคนเจริญ รู้เท่าทันการเกิดการเสียใจหรือไม่ควรเสียใจอะไรรู้หมด นี่เด็กสิ เด็กที่มีความรู้อย่างนี้เกินผู้ใหญ่จริง คนตายก็คือธรรมดาไม่ทุกข์อะไรไม่ต้องไปเสียใจ อย่างนี้เป็นการปล่อยวางได้ เป็นการถามมาอย่างรู้ ถ้าหากเย็นชาก็ไม่รู้เรื่อง
_สันตินาคร…พ่อท่านคะ ในตัวเรามี 2 จิตใช่ไหมคะ 1.จิตแท้ 2.จิตกิเลส ถ้าลดกิเลสได้แล้ว กิเลสเป็นพีชะ หรือจิตเป็นพีชะ
พ่อครูว่า… จิตสิ เป็นพีชะ จิตมันมี คุณสมบัติเป็น พีชะ พีชะคือไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่หลงไปกับเวทนา จิตนิยามที่ทำให้เป็นพีชะได้ แล้วอาศัยจิตเป็นพีชะนี้อย่างถาวรคนที่เป็นพระอรหันต์ พลังงานที่สูงกว่าพีชะ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้อยู่ กิเลสก็เป็นพีชะไม่ได้ กิเลสคือตัวอวิชชาตัวโง่เป็นพีชะไม่ได้เป็นได้แต่จิตที่อวิชชา พอหมดอวิชชา จิตก็เป็นพีชะและมีพลังงานเหนือพีชะได้ก็ทำประโยชน์ให้คนอื่นได้และไม่มีตัวตน
สู่แดนธรรม… ที่มีเด็กถามว่า จะรู้เรื่องอุตุ พีชะ แล้วจะมีประโยชน์อะไรก็อย่างที่หลวงปู่ว่า
พ่อครูว่า… เสริมอีกว่าการศึกษาศาสนาพุทธถ้าไม่รู้จักอุตุ ไม่รู้จักพีชะ ไม่สามารถจะจบเป็นพระอรหันต์ได้ เรียนรู้ไม่จบ ต้องทำจิตให้เป็นอุตุหรือเป็นพีชะอาศัยหรือเป็นอุตุ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้
_ภูเลบุญ ประทุม (บุญ)… เทวนิยมกับอเทวนิยม แตกต่างกันอย่างไรครับ
พ่อครูว่า… เทวนิยมคือ คนอยู่ในลัทธินั้น ศาสนานั้น ไม่สามารถรู้จักความเป็นเทวะ ที่เรียกว่าเทวนิยม หมายความว่าไม่รู้จักจิตวิญญาณ ไม่รู้จักอัตตา ไม่รู้จักกิเลส ไม่รู้จักวิธีทำให้กิเลสลดลง นี่คือเทวนิยม ส่วนอเทวนิยมนั้นรู้จักจิต รู้จักอัตตา รู้จักกิเลสแล้วลดกิเลสได้ จะหมดกิเลส จนหมดสิ้นแม้กระทั่ง อัตตา มันตรงกันข้ามอย่างยิ่งใหญ่
อยู่วัด ได้อะไร เชื่อฟังผู้ใหญ่ทุกอย่างถูกหรือไม่
_ผมกราบขอโอกาสอย่างนี้ครับ
-
อยู่วัดแล้วได้อะไรครับ 2. เด็กจะปรับตัวอย่างไรในสังคมอาวุโสนิยม ที่ฝังลึกมานานในเมืองไทยมาร้อยปี ผู้ใหญ่ส่วนมากมักจะนิยามว่า เด็กควรจะเชื่อผู้ใหญ่ทุกอย่าง ใครที่ไม่เชื่อผู้ใหญ่ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กไม่ดี
พ่อครูว่า… อยู่วัดแล้วได้อะไร ผู้ที่อยู่วัดที่เป็นวัดจริงๆ หมายความว่าเป็นสถานที่อบรมคนให้มีความรู้ โดยเฉพาะมีความรู้เรื่องดีเรื่องชั่ว และสูงกว่านั้นคือรู้เรื่องทุกข์เรื่องสุข หรือรู้จักโลกุตระโลกียะได้ นั่นคือ วัด เพราะฉะนั้นถ้าอยู่วัดนี้แล้วไม่ได้อะไร ดีชั่วก็อ่านไม่ออกทำตัวดีไม่ทำชั่วก็ไม่เป็น ยิ่งโลกีย์ยิ่งโลกุตระไม่รู้เรื่องเลยอยู่วัดก็ไม่ได้อะไร
เพราะฉะนั้นถ้าอยู่วัดแล้ว 1. ได้ดี 2. ได้นิพพาน สรุปสั้นๆ นั่นแหละคืออยู่วัด
ถ้าอยู่วัดที่เป็นวัดจริงๆเขามีทั้งสอนดี ให้ละชั่วประพฤติดี แต่ไม่ใช่ สัพพปาปัสส อกรณังแปลว่า ละชั่วประพฤติดีและทำแต่ดี เท่านั้น ผู้นั้นยังไม่รู้จักศาสนาพุทธ แต่สัพพปาปัสสอกรณัง แปลว่าไม่มีบาป และไม่มีบาปไม่มีบุญ กรรมจึงมีแต่กุศล นี่คือของพระพุทธเจ้า ส่วนที่แปลว่าละชั่วประพฤติดีอันนั้นบอกว่าเป็นปาติโมกข์ 3 อันนั้นไม่รู้จักศาสนา
เรื่องเด็กจะปรับตัวอย่างไรในสังคมอาวุโสนิยม
ตามสามัญปกติคำว่าผู้ใหญ่ คือผู้รู้จริง ผู้เข้าใจสิ่งที่ดีที่ชั่ว หรือเข้าใจโลกียะ โลกุตระจริง เพราะฉะนั้นก็ต้องเชื่อผู้ใหญ่
แต่ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จริง ดีชั่วก็ยังไม่ค่อยรู้ ยิ่งโลกียะโลกุตระก็ไม่ค่อยรู้ใหญ่ มันก็ต้องมีเป็นธรรมดา เขาเรียกว่าเฒ่าทารก แก่อยู่นานเฉยๆ แก่เพราะอายุยาวเฉยๆ ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ใหญ่จริง ก็เป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้นคำว่า ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่นั้นถูกแล้ว แต่เราต้องรู้ว่าผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีความจริงที่เป็นผู้ใหญ่ที่จริงอย่างที่อธิบายไปคร่าวๆ เราก็ต้องเข้าใจว่า เขามีอายุมาก แก่เพราะอยู่นานเท่านั้นไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง ก็ต้องเข้าใจเขาว่าเขาก็อยากจะเป็นผู้ใหญ่ที่เจริญที่แท้จริงนั่นแหละ แต่เขาเป็นได้แค่นั้น จึงต้องสงสารต้องเห็นใจ ถ้าเรามีความรู้มากกว่า ในฐานะที่เรามีอายุน้อยกว่า เราเจริญ เรียกด้วยภาษาว่าอภิชาตบุตร คือบุตรที่เจริญกว่าพ่อแม่ กว่าผู้ใหญ่ ก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปข่มผู้ใหญ่อย่างนั้น ไม่ต้องไปดูถูกผู้ใหญ่อย่างนั้น น่าจะให้ความสงสารให้ความเคารพนับถือ น่าจะรู้อะไร เพราะฉะนั้นเราเป็นเด็กจะไปสอนผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่ฐานะทีเดียว ถ้าผู้ใหญ่เขายอมรับ เรารู้ว่าผู้ใหญ่เขายอมรับสิ่งที่เราพูดอธิบายสอนได้ ก็ทำบ้าง แต่อย่าไปแสดงตัวผิดฐานะที่แท้ที่เราเป็นเด็กเลย
สู่แดนธรรม… ไม่ใช่อาวุโสนิยม มันเป็นปกติของคนทั้งโลกใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… อาวุโสนิยม เขายึด ว่า เป็นอาวุโสเที่ยง ความเกิดมาก่อนเที่ยงความอายุเยอะกว่าเที่ยงไม่งั้นก็เป็นความไม่จริง
คนที่ตัดกิเลสได้มาอยู่ร่วมกันจะเป็นอย่างไร
_เจมส์ (ด.ช.ดนัย คุณเพียร) ม.1…คนที่ตัดกิเลสได้แล้วจะเป็นคนเช่นไร
พ่อครูว่า… ก็เป็นอย่างหลวงปู่ หลวงปู่เปิดเผยความจริงทุกอย่าง ซึ่งมันรู้ได้ยากท่านแปลว่าผู้ที่หมดกิเลสแล้วเป็นพระอรหันต์ อรหันต์คืออะไร อรหันต์คือคนที่หมดกิเลสไม่มีกิเลสในตัวเองนั่นก็คือคำตอบ ที่นี้จะรู้ได้จริงๆก็ต้องอยู่ด้วยกันต้องคบหากัน คนที่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ คนที่ไม่มีกิเลสคือใจจะไม่มีความโลภโกรธหลง
ก็เรียนรู้ว่าอาการโกรธเป็นอย่างไร อาการโลภเป็นอย่างไร ความโลภโกรธหลงมีอาการเป็นอย่างไร เราเป็นคนที่มีอาการโลภ แต่ก่อนเราโลภมากกว่านี้ ตอนนี้ความโลภเราลดลงเป็นอย่างนี้ แล้ว ลดลงได้อย่างถาวร มันลดได้อย่างถาวรอย่างมากเป็นอย่างไรในจิตเราเองเป็นอย่างไร มันจะมีปัญญาปฏิภาณรู้ ว่าเราไม่ควรจะเป็นโลภมาให้แก่ตัวเอง เพราะอะไรๆมันก็แย่งกันไปแย่งกันมาเท่านั้นเอง ถ้าเราเองเราไม่ต้องไปอยากได้มากไม่ต้องไปมีมาก ไม่ต้อง มหัปปิจฉธ มักมาก อยากได้มากมันจะมีไปทำไมให้เมื่อย มันต้องหอบต้องหาม ควรจะมีน้อยมันเบาดีกว่า
ลักษณะสาธารณโภคีมีในส่วนกลาง เราไม่ต้องแบกไม่ต้องหาม ไม่ต้องยึดถือเป็นเราเป็นของเรา อาศัยกินใช้อยู่ในนี้ตลอดชีวิตสบายสุดยอดเลย ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาจะรู้เลยว่า สุดยอดสาธารณโภคี แล้วเราก็รู้ว่าเราเป็นคนที่อาศัยเป็นปลิงเป็นทากดูดเกาะกินเขาอยู่หรือเปล่า หรือว่าเราไม่ใช่เราก็ไม่ได้ก็กิน แต่เราทำงานสร้างสรร เหลือกินเหลือใช้ เราทำแล้วเหลือเกินกินเกินใช้เสร็จแล้วเอาเข้ากองกลาง ทุกคนก็ไม่ต้องมาแย่งกันแล้ว ยังอยู่อย่างสบายเลย มันก็จะเหลือ นี่เป็นวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ทุกคนช่วยกันสร้างแต่กินน้อยใช้น้อย มันก็จะเหลือเกิน สะพัดออกไปข้างนอกมากได้นี่เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ที่ชาวอโศกทำตามพระพุทธเจ้าได้สุดยอด
_ทำไมคนเราเกิดมาทั้งที ต้องคิดแต่จะทำร้ายผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองเป็นใหญ่เช่นพวกสาม กีบ หลวงปู่คิดว่าอย่างไรครับ
_ฟีโน่(ดช.ปรเมศว์ สารภาพ) ม.1…พ่อท่านคิดว่า สงครามสามกีบ จะจบเมื่อไหร่ครับ (เด็กเขียน กลีบ)
พ่อครูว่า… กลีบมันเป็นกลีบดอกไม้ แต่กีบ มันคือเล็บตีนเล็บเท้า กีบม้า กีบหมู กีบวัวควาย แต่หมามันเป็นเล็บ claw แต่กีบนี้ ช้างม้าวัวควาย เล็บกีบ จะกินพืช เล็บ claw จะกินสัตว์
จะจบเมื่อไหร่ จนกว่าจะหายโง่ ไปทำอย่างนั้นจะทำอย่างโง่ๆ ก็ทำไงได้มันโง่ บังคับกันไม่ได้ คนโง่มันต้องมีอยู่ตลอดโลกแตก เราก็ต้องป้องกันเอา เพราะว่าคนที่จะไม่โง่ คนที่ฉลาดมันก็ต้องถูกเขาลองของ พวกโง่ๆก็จะไปลองของคนฉลาด คนฉลาดก็ต้องรู้จักอยู่อย่างให้คนโง่มาทำอะไรเราเสียหายมากมาย
ถอดไส้ออกจากหญ้าปล้องเป็นเช่นไร
_คำว่า “ถอดไส้ออกจากหญ้าปล้อง” มันคืออะไร เพราะว่าตอนที่ลูกเป็นเด็กเคยเล่น รู้สึกว่ามันขาวสะอาดดีค่ะ
พ่อครูว่า… อันนี้ดีมากลึกซึ้ง หญ้าปล้องคือเปลือก ไส้คือข้างใน ดาบคือข้างใน ฝักดาบคือข้างนอก คนเกิดมาก็เหมือนดาบ คนเกิดมาก็เหมือนหญ้าปล้อง คือจะมีปลอกแล้วก็มีไส้ จะมีกายและมีจิต จะต้องมีร่างและมีวิญญาณ 2 อย่างเสมอ ทั้งหมด
เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียนรู้ว่าอันนี้คือไส้ อันนี้คือเปลือกหญ้า อันนี้คือฝักดาบ อันนี้คือดาบ แยกออกได้ชัด แต่คู่กันตลอด แยกไปจากกันก็ไม่ครบไม่เต็มเต็ง คนต้องมี 2 อย่างนี้เสมอ ตลอด จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน แล้วอยู่เหนือ รู้จักกาย รู้จักจิต รู้จักดาบ รู้จักฝักดาบ รู้จักเปลือกหญ้าปล้อง รู้จักไส้หญ้าปล้อง ถอดออกจากกันได้ แต่ไม่แยกกัน แยกกันได้ แต่ไม่แยก รู้หน้าที่ รู้กาละ รู้เวลา รู้เทศะ รู้ตำแหน่ง รู้แหล่งรู้ที่ ทำอยากถูกสัจจะหมดทุกอย่าง นี่เรียกว่า รู้เทวรูป 2 แล้วทำ 1 ได้ ผู้รู้ 2 แล้วทำ1 ได้เรียกว่า เทวธัมมา โดยเฉพาะทำที่เวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 เป็นผู้ที่ทำ 2 ให้เป็น 1 สำเร็จ และอาศัย 1 อยู่ใน2
สู่แดนธรรม… เป็นปาฏิหาริย์แท้ๆของพุทธ ถ้าเด็กๆมี ไส้ คือกิเลส แล้วเอากิเลสออก
พ่อครูว่า… แยกกันไม่ได้ ไส้กับหญ้าแยกกันไม่ได้ แยกโดยปัญญา แล้วทำให้รู้หน้าที่อย่าแฝง ไส้เป็นจิตนิยาม เป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็อย่าให้มันมีตัวเก๊เข้ามา ให้มันเป็นจริงก็จบ
เปลือกก็คือเปลือก ไส้ก็คือไส้
_บุญ(ดช.ภูเลบุญ ประทุม) ม.1 …หลวงปู่ครับ ลูกอยากรู้ว่า อวิชชา 8 มีอะไรบ้างครับ
พ่อครูว่า… อวิชชา 8
-
ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)
-
ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง)
-
ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา)