640809_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 4
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1XX64SgvzsV9zIZlPTdDIPGR2naIXx8AJN-1oI-9pm2Q/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1l2G_-_vslalH15SbNOnvAyn2nrL4mG2J/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/7gT3KGaUCg/
เรื่องความเสื่อมของศาสนาพุทธ และการกอบกู้
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 9 วันนี้ก็วันที่ 9 เดือนก็เดือน 9 ขึ้น 1 ค่ำ ปีฉลู อายุก็ยืนยาวไป
2,500 กว่าปี เป็นกึ่งพุทธกาล คำว่ากึ่งพุทธกาลก็คือ ศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดม มีกาละหรือมีเวลาอายุ 5,000 ปี ตัวเลข 2,500 ก็คือกึ่งหนึ่ง ก็คงเคยได้ยินฟังมา พระพุทธเจ้ามีการกำหนดขอบเขตเวลากาละกัปป์ ของศาสนาพุทธของแต่ละพระพุทธเจ้าไม่เท่ากัน
พระพุทธเจ้าสมณโคดมเป็นยุคปลายภัทรกัป แปลว่า กัป ในยุคที่มี พุทธศาสนา ดีๆ ในภัทรกัปนี้ เขาก็บอกไว้ว่า มี พุทธศาสนา ใน พระพุทธเจ้า 5 พระองค์
-
พระกกุสันธพุทธเจ้า
-
พระโกนาคมนพุทธเจ้า
-
พระกัสสปพุทธเจ้า
-
พระโคตมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน 80 ปีก่อนพุทธกาล)
-
พระเมตไตยพุทธเจ้า (อนาคตอีกหลายล้านปีนับจากที่พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน)
จากนั้นจะเป็นยุคพุทธันดร จะไม่มีศาสนาพุทธเกิดขึ้นที่ไหนในโลก ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยมจะเกิดเป็นช่วงๆ แต่ว่าศาสนาเทวนิยมจะมีอยู่ตลอดกาลนานไม่เคยขาด เป็นพื้นฐานของโลกียะ แล้วโลกุตระคือส่วนเจริญ จึงเจริญเป็นส่วนยอดพีระมิด นานๆถึงจะมีได้ หมดยุคก็จะหายไป แล้วเมื่อถึงวาระอันสมควรมีเหตุปัจจัยครบก็ถึงจะเกิดมีพุทธศาสนาขึ้นมาในโลกอีกใหม่ ไม่ได้มีอยู่ตลอดกาลนาน เพราะมันเป็นสิ่งยากสิ่งสูง
เมื่อโลกมีความเสื่อมร้ายแรงเข้าสู่กลียุค เข้าสู่ความเสื่อมมากจนกระทั่งมนุษย์ตกต่ำไม่สามารถจะรับเอาความรู้ขั้นโลกุตระได้ โลกุตระก็เกิดไม่ได้ แล้วโลกุตระนี้จะอยู่กับมนุษย์อย่างสำคัญ ถ้าเผื่อว่าไม่พากเพียร มีเหตุปัจจัยของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องกรรมวิบากด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่มันจะต้องเกิดต้องเป็นอย่างนั้นด้วย มันจึงมียุคกาลที่ไม่มีศาสนาพุทธ
เช่น พระพุทธเจ้าสมณโคดมท่านพยากรณ์ไว้ พยากรณ์ศาสนาพระองค์เอง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพระองค์เองหรอก แต่เป็นของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะเหมือนกันหมด จะมีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็เสื่อมไป หมุนวนอยู่ ในช่วงเสื่อมมันก็จะเสื่อม ส่วนมันยังไม่หมดไปก็จะมีผู้มากอบกู้
ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าสมณโคดมจะมีอายุยืนยาวไปครบ 5,000 ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ได้เสื่อมไปจริงๆ ตามที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ตรัสไว้ ในอาณิสูตร (พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 672 )
อาณิสูตร ล.16
[672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี … พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ
พ่อครูว่า… เอามาพูดทบทวนเพื่อยืนยัน ไม่ใช่พูดแบบเอาดีเข้าตัว แต่พูดความดีแล้วมันก็เข้าตัว เพราะอาตมาเป็นผู้นำศาสนาพุทธที่ได้เสื่อมไปแล้วในยุค 2,500 กว่าปีของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมีอายุยืนยาว 5,000 ปี เมื่อมาถึงกึ่งหนึ่ง 2,500 มันชัดเจนว่ามันได้เสื่อมจนโลกุตระไม่มีเหมือนที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ท่านไม่ได้ตรัสเรื่องไม่จริง พระพุทธเจ้าจะต้องตรัสความจริง
ผู้ที่หลงในความรู้ตนเองก็หาว่าอาตมาพูดเอาเอง ซึ่งมันไม่ใช่ เราพูดความจริงตามความเป็นจริงยืนยันอยู่ อาตมาไม่ได้พูดเข้าข้างตัวเอง แต่อาตมาพูดความจริง แล้วความจริงนั้นอาตมาเป็นตัวละครอยู่ในความจริงนั้นด้วย อาตมาคือพระโพธิสัตว์ คือสัตบุรุษที่จะมาเป็นตัวละครตัวจริงในยุค 2,500 กว่าปีนี้ มีตัวตนบุคคลคือพระโพธิรักษ์ พระโพธิสัตว์จริงๆ แล้วมาอธิบายธรรมะของพระพุทธเจ้า อ่านพระไตรปิฎกเทียบเคียงให้ดูตลอดเวลา พากันมาปฏิบัติจนกระทั่งมีพระอริยเจ้า มีสาธารณโภคี มีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 ยืนยันความจริงอยู่อย่างนี้
พาคนมาเป็นคนจนมี เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลสมีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) พากันบรรลุ ขัดเกลาตนเอง ให้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอรหันต์แล้วก็พัฒนาภพภูมิเป็นโพธิสัตวภูมิต่อ ก็แล้วแต่องค์ไหนจะไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ต่อเป็นพระโพธิสัตว์ไป ซึ่งอธิบายได้ชัดเจน แต่ท่านก็ไม่เชื่อก็บังคับไม่ได้ เพราะว่าท่านไม่มีผู้ไม่รู้ ถ้าไม่มีภูมิปัญญาพอจะรู้ก็บังคับเขาไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร
สรุปเรื่องกึ่งพุทธกาลนี้มันเสื่อมจริงๆ จะไปเสื่อมตอนไหน จะว่าตอนต้นพุทธกาลก็เริ่มเสื่อม แต่กึ่งพุทธกาบก็ยิ่งเสื่อม แล้วอาตมาจะต่ออายุศาสนาพุทธให้ครบ 5,000 ปี ใช้วิจารณญาณดีๆไต่ตรองตามที่อาตมาสาธยายความจริงอย่างไม่ได้พูดเข้าข้างตัวเอง ไม่ได้หลงตัวเองอะไรเลย พูดธรรมะจริงๆ
พูดถึงกาละของศาสนาพุทธ กับเนื้อหาของศาสนาพุทธที่มีกรรมเป็นตัวหลัก กรรมที่เป็นโลกุตระไม่ใช่กรรมที่เป็นแค่โลกียะ
มาถึงยุคนี้เป็นความจริงที่เป็นยุคเสื่อม ในกึ่งพุทธกาลนี้ จนกระทั่งไม่เหลือโลกุตระตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้มันไม่ผิดหรอก มันเป็นความจริง ฟังความจริงนี้ให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าบังคับให้เชื่อแต่ให้ไปพิจารณาตามให้ดีๆ
ที่ท่านประพฤติกัน ผู้สืบทอดศาสนาจากมหาเถรสมาคม ท่านก็ไปจมงมงายอยู่กับสรรเสริญรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ยกตัวอย่างผู้ที่ทำผิดๆ ซึ่งก็มีตัวตนบุคคลเราเขาที่ปฏิบัติอยู่ ไม่ว่าจะเป็นธัมมชโย มหาบัว ที่จะเป็นคนพูดเยอะ (ส่วนอาจารย์มั่นอาจารย์ของมหาบัวนั้นไม่พูดเยอะก็เสียชีวิตไปก่อนแล้ว) ก็เลยมีบทบาทเยอะ มีพฤติกรรมพฤติการณ์บันทึกไว้เป็นประวัติเป็นตำนานกันเยอะก็ได้เอามาพูดกัน กับพฤติการณ์ของท่าน
ท่านติดสิ่งเสพติดคือหมากพลู ติดสิ่งเสพติดในสรรเสริญ ซึ่งอธิบายได้ยากกว่ารูปรส กลิ่นเสียงสัมผัส เช่นว่าท่านสามารถเรี่ยไรได้เยอะอ่านเยอะ แล้วช่วยประเทศชาติได้เยอะก็เกิดมานะอัตตาติดยึดในสิ่งที่เป็นมานะอัตตาคือดีแท้ จริงมันก็เป็นความดีช่วยประเทศชาติมันเป็นความดีไม่ได้ปฏิเสธเลย แต่มันเป็นโลกิยะเป็นความดี แล้วท่านก็ไปมีอุปกิเลสซ้อนมีปีติยินดีมีมานะอัตตามีอติมานะ โดยท่านไม่รู้จักอุปกิเลสพวกนี้เลยมันก็ยิ่งลึกยิ่งแน่น และมันคงจะจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือท่านปฏิบัติในสายเจโตสายศรัทธาก็เลยเคร่งสะอาด ไม่ละเมิดไม่ผิด ก็ยิ่งซับซ้อนให้ท่านหลงตัวเองที่ติดยึดไปว่าฉันเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์ฉันบกพร่องไม่ได้ อาตมายังมีจุดบกพร่องเยอะเลยอาตมาเขียนไว้ทั้ง 10 ข้อ แต่ว่าท่านไม่บกพร่องอะไรเลย คนโวยวาย แต่มาฟังที่ท่านพูดจะไม่พบความบกพร่องเลย แต่อาตมายอมรับความบกพร่องของอาตมา แต่ท่านก็บอกว่าไม่มี มันก็เป็นภาวะซับซ้อนมากเลยคนเราที่หลงตัวเอง
อาตมาว่าคนที่ไม่มีภาวะบกพร่องเลยยกให้พระพุทธเจ้าองค์เดียว แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์ก็ยังบกพร่องกันอยู่ทั้งนั้น ถือว่ามีสุดยอดพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่จะต้องได้เท่าเทียมไม่เหลืออะไรบกพร่อง ถ้าไม่ถึงพระพุทธเจ้ายอดสุดลดลงมาก็ต้องไม่เท่าแล้ว ใช่ไหม เพราะท่านไม่รู้ท่านจะเอาอรหันต์อย่างเดียวท่านไม่รู้จักโพธิสัตวภูมิและจิตของท่านคำนึงเมื่อท่านมีจิตที่เรี่ยไรเงินเข้าคลัง ซึ่งโพธิสัตว์ไม่ทำหรอกอะไรอย่างนั้นเป็นงานโลกีย์เขา อย่างเช่นอาตมาไม่ไปเรี่ยไรเงินให้แก่ประเทศชาติหรอก ไม่ทำ ซึ่งเป็นความลึกซึ้งซับซ้อนที่ต้องขยาย โดยเอาเหตุปัจจัยจริง ปรากฏการณ์จริง มายืนยันอธิบาย
สรุปแล้วยืนยันว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์จริงเป็นคนในศาสนาพุทธแท้ๆขึ้นมาทำงานที่เป็นงานตามหน้าที่เป็นกรรมวิบากสัมภาระวิบากที่อาตมาจะต้องทำอยู่ จนกว่าจะสิ้นสุดปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ซึ่งสามารถรีไทร์ตัวเองก็ได้ จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้
เหมือนอย่างพลเอกประยุทธ์อาตมาก็ให้กำลังใจให้เข้มแข็งอย่าถอดใจง่ายๆ เพราะว่าอาตมาดูแล้วก็ใช้ได้ แม้จะเกิดเหตุการณ์อะไรต่ออะไรประมวลกันดูแล้ว อาตมาก็ประมวลตามปัญญาอาตมาว่าใช้ได้เป็นตัวอย่างที่เกิดความดีให้แก่โลกนี้ ว่าโลกในยุคนี้ จุกจิก เหมือนอิตถีภาวะ บอกว่าพยายามทำความสงบรักษาความไม่รุนแรง พูดแล้วก็ตลก ซึ่งมันไม่มีระดับด้วย ซึ่งเขาก็อยู่นอกประเทศก็ยังบงการอะไรได้อยู่ ลูกน้องก็ทำการอยู่ เป็นตัวอย่าง ไม่ต้องสมมุติ มันเป็นความจริงที่จะเป็นตัวอย่างให้แก่โลก
สรุปว่า ยุคนี้เป็นยุคเสื่อมจริงๆ แล้วอาตมามากอบกู้ขึ้นได้ เพิ่งกอบกู้ขึ้นได้ อาตมาทำงานมา 50 ปี พอเห็นหน้ายังไม่ถ้วนเห็นหลัง หลังมันเห็นยากกว่าหน้า ก็ต้องค่อยๆเห็นไป แอบๆมาข้างๆแล้ว กว่าจะครบกลมถ้วน ไม่รู้ว่าอาตมาจะต้องตายไปจากร่างโพธิรักษ์แล้วเกิดมาอีกในยุคกับนี้ไหม ในกับของพระพุทธเจ้าสมณโคดมนี้ ถ้ามันยังไม่พอก็ต้องมาเกิดอีก แต่ตั้งใจจะต่อให้ได้นานที่สุด เหลือเท่าไหร่ขึ้นมามันก็จะเบาลง ถ้าอาตมาทำให้ดี ก่อนที่โพธิรักขิโตยุคนี้หรือมงคล รักโพธิ์หมดลมหายใจทิ้งร่างนี้ไป ถ้าไม่มากพอก็ต้องมาเกิดให้ไปถึง 5,000 ปีให้ได้ ถ้าประมาณแล้ว คำนวณดูคิดว่ามั่นใจได้ก็ไม่
แต่ดูท่าทีแล้วมวลมนุษย์นั้นน่าสงสารมาก และมันก็อยู่ในช่วงที่กำลังจะมีโลกุตรธรรมประกาศขึ้นในโลก ซึ่งศาสนาในโลกมีทั้งเทวนิยมและอเทวนิยม ศาสนาพุทธนี้อยู่ในจำนวนยอดพีระมิดเท่านั้น นอกนั้นเทวนิยมเป็นฐานพีระมิดทั้งหมดเลย โลกุตระหรือศาสนาพุทธอยู่ตัดยอดพีระมิดมาส่วนหนึ่งเป็นพีระมิดฐานเล็ก
ศาสนาพุทธที่เแต่ป็นโลกุตรธรรมมันเสื่อมจริงๆตรงตามที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมพยากรณ์เอาไว้ใน อาณีสูตร มันเป็นเรื่องจริง จริงๆเลย อาตมาจึงนำเอาโลกุตรธรรมมากอบกู้มาประกาศสืบทอดของพระพุทธเจ้าไป 50 ปีแล้ว ก็ได้ประมาณนี้ ซึ่งทำให้เห็นว่าเชื้อรากเหง้าของศาสนาพุทธในเมืองไทยยังสืบทอดได้ ยังโคลนนิ่งขึ้นมาได้
โคลนนิ่งคือเอาเชื้อที่จวนจะหมดแล้ว เหลือแค่เล็กละเอียด เอามาฟื้นด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์เขาก็มีก็นี่แหละ อาตมากำลังทำอยู่แล้ว วิธีธรรมะ ให้มาฟื้นขึ้นมาได้ เห็นรูปเห็นร่างทั้งกายและใจ แต่คนก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน คิดว่าง่าย คิดว่าตื้นๆ แล้วคำว่ากายก็ผิดเพี้ยนไป อาตมาก็ต้องมาสืบทอดความถูกต้องของโลกุตรธรรม กายไม่ใช่แค่ภายนอกเท่านั้น แต่มีจิตวิญญาณด้วย ก็ค่อยๆบอกกันไป
ตอนนี้มีหนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 เขียนไว้ ผู้ไม่มีภูมิธรรมอ่านแล้วจะไม่ติดใจ ไม่สนุก ไม่เห็นค่า ไม่เห็นความสำคัญหรอก แต่ผู้ที่รู้มีภูมิธรรมจริงๆ อ่านแล้วจะเห็นว่าหนังสือเล่มนี้จะมีความหมาย สำคัญ มีเรื่องเนื้อหาสาระ ลึกซึ้ง สำนวนของพุทธเจ้าตรัสไว้คือ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) ซึ่งมันเป็นจริงนะ
ตั้งใจศึกษาติดตามให้ดีๆ ชีวิตนี้ควรจะได้สิ่งที่สำคัญ ชีวิตไม่ควรได้โลกียะหรือโลกธรรม เพราะเป็นเรื่องที่หมุนเวียนไม่รู้จักจบ อยู่กับทุกข์กับสุข อยู่กับการทรมานทรกรรมวุ่นวายเดือดร้อนไปจนกระทั่งตกต่ำ อาการสุดเจ็บสุดแสบสุดทุกข์สุดทรมาน จนกระทั่งถึงไม่ทรมานก็หลงสวรรค์ เป็นสวรรค์เป็นนรกอยู่อย่างนั้น หมุนเวียน ซึ่งศาสนาพุทธนั้นดับสวรรค์ดับนรก
คำว่าดับสวรรค์ดับนรก ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก มันก็สูญไปแล้ว สิ้นไปแล้ว ไม่มีใครรู้จักเรื่องนี้ อาตมาก็นำเรื่องนี้มาพูด เพราะศาสนาพุทธุตรธรรมนั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ไม่ได้ไปยึดติดอะไรหรอก หากว่าคุณยึดติดคุณก็มี เช่น สวรรค์ 6 ชั้น เป็นต้น
-
จาตุมหาราชิกา (สวรรค์ที่มหาราชใหญ่ 4 ทิศ ปกครอง)
-
ดาวดึงส์ (ที่อยู่แห่งเทพที่ยังเสพอารมณ์เพิ่ม เกินๆ)
-
ยามา (แดนใจของผู้เปลื้องทุกข์ได้, ได้นาน,)
-
ดุสิต (แดนใจของผู้อิ่มสงบเฉยได้แล้ว เพราะเสวยอิ่ม)
-
นิมมานรตี (ภูมิจิตของผู้มีใจยินดีในการเนรมิต ความปรารถนา สำเร็จได้ด้วยความสามารถตน)
-
ปรนิมมิตวสวัตตี (ภูมิที่อยู่แห่งเทพที่มีอำนาจในการเนรมิตอื่นๆ มีผู้อื่นสนองอำนาจให้ได้อย่างเร็วไว หากจิตพ้นขั้นนี้ได้แล้วย่อมเป็นพรหม)
(พตปฎ. เล่ม 4 ข้อ 17)
พวกที่หลงสวรรค์เป็นพวกไม่เดียงสา ภาษาว่าไม่เดียงสาที่จริงเขาอยู่ ตาวติงสา ไม่เดียงสา แต่เขาจมกับ ตาวติงสะ แปลว่า 33 หากว่า ทวัตติงสะ แปลว่า 32
ลักษณะสำคัญมันมี 32 แต่ไปสร้างภพชาติประหลาดขึ้นมาอีกอันหนึ่งเรียกว่าดาวดึงส์ (ตาวติงสะ แปลว่า 33) มันเกิน 32 ขึ้นมา มันเป็นของเก๊ ดาวดึงส์คือสวรรค์เก๊ คนไม่รู้ก็ไปเป็นจตุมหาราช ไปปราบไปแย่งชิงมาได้แล้วก็สมใจเป็นสุข เบียดเบียนคนทั้งนั้น เบียดเบียนทั้ง 4 ทิศเลย จตุมหาราชิกา รบชนะ 4 ทิศ แต่สู้บุเรงนองไม่ได้ชนะทั้ง 10 ทิศ
แล้วอยากให้มันยาวนานเรียกว่า ยามะ ไม่ให้หยุด ทั้งๆที่เขามีแดนให้หยุดคือดุสิตก็ไม่หยุด ให้พักไม่เอา
เสพติดไม่พอ ก็หาพวกหรือเนรมิตเอง เอามาเสพติดเอง โง่เง่าเอง คือ ทำเอง ทำแล้วจนมันเสื่อมเสียก็ยังเสพของเสียไป เป็นเทพเสพของเสีย เป็นเทพเสพของเสีย นิมมานรดี
ยังไม่พอยังชวนคนอื่นไปสร้างมาให้ตนเองเสพอีกคือ ปรินิมมิตวสวัตตี นี่คือสวรรค์ เก๊ 6 ชั้น
SMS วันที่ 6-7 ส.ค. 2564
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ การปฏิบัติ ฌาน ๑ จะเท่ากับการปฏิบัติโพชฌงค์ ๗ ข้อ๑ ข้อ๒ ข้อ๓ ไหมคะ ลูกก็ปฏิบัติอยู่ ลูกมีความสงสัย ว่า ต่อจาก ฌาน๑ ก็ฌาน๒ คือปีติ ส่วนโพชฌงค์๗ ข้อ๑ข้อ๒ข้อ3แล้ว ข้อ๔ ก็ ปีติ เหมือนกันค่ะ ลูกน้อมกราบพ่อครูเมตตาช่วยอธิบายให้ลูกหายสงสัยด้วยค่ะ น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้า
พ่อครูว่า… คุณสงสัยปีติในฌานกับปีติในโพชฌงค์นั้น อันเดียวกัน แต่มีฐานเหลื่อมกันอยู่ ฌาน 3 เติมอุเบกขาไปบ้าง ฌาน 4 เป็นอุเบกขา ก็มีความเหลื่อมซ้อนๆกันอยู่ โสดาบัน เหลื่อมกับสกิทาฯ สกิทาฯเหลื่อมหาอนาคาฯ อนาคาฯ เหลื่อมไปหาอรหันต์ ค่อยๆเลื่อนขึ้นไปตามลำดับ
คุณปฏิบัติแล้วเกิดความสงสัยเป็นปัญญาข้อที่ 2 ในปัญญา 8 ประการ
ข้อที่ 1 พบพระพุทธเจ้าข้อที่ 2 ไปใกล้ไปถามปัญหา ข้อที่ 3 จะรู้ความสงบ 2 อย่าง ข้อที่ 4 เรื่องของศีล ปฏิบัติศีล ข้อที่ 5 ปฏิบัติจนกระทั่งเกิดพหูสูตร
ข้อที่ 6 มีวิริยะพากเพียรเพิ่มขึ้น เพิ่มเติมให้เกิด สัทธรรม 7 เกิดฌาน 4 สมบูรณ์แบบให้เกิด วิชชา 8 ไปเรื่อยๆ จากนั้นปัญญาข้อ 7 ได้ครบถ้วน เป็นอรหันต์ ก็จะรู้จักการเข้าสู่สภาพ รู้จักควรนิ่งควรพูด เรามีฐานะอะไร อาตมามีฐานะ โพธิสัตว์ ก็มีหน้าที่พูด
_ชุมพล ยอดสะเทิน : ถ้ายังมีตัณหา ความอยาก ยังมีอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งยังเป็นเทวะอยู่ ก็ยังเป็นบาปอยู่ ยังวนอยู่กับความหลงสุขและหลงทุกข์ ยังออกจากทุกข์อริยสัจไม่ได้ เข้าใจความเป็นบุญไม่ได้ ปุถุชนคนทั่วไปเขาเลยฟังพ่อท่านไม่เข้าใจ ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
พ่อครูว่า…คนสามัญปุถุชนทั่วไปฟังอาตมาไม่ค่อยเข้าใจหรอก ต้องพากเพียรศึกษาเพื่อจะได้รับความรู้โลกุตรธรรมไปตามลำดับๆ จนกระทั่งมีเนื้อหาโลกุตรธรรมจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นเป็นอัญญธาตุ เช่นพระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อได้ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนแปลงจากปุถุชนไปเป็นพระโสดาบัน จากพระโสดาบันพัฒนาขึ้นไปก็ต้องมีธาตุรู้มีภูมิปัญญา กว่าจะมาเข้าข่ายชื่อว่าปัญญาต้องมี อัญญธาตุ สะสม จนเต็ม หากว่าหน่วยปัญญามี 100 คุณต้องสะสม อัญญธาตุ ตั้งแต่ 1 หน่วยมาจนถึงเลย 50 จึงจะชื่อว่า อัญญธาตุ ส่วน 60 หรือ 75 จึงสว่างแจ้งชัดเจน แสดงตัวออกมาจากข้างในได้ พระพุทธเจ้า ท่านหยั่งรู้ก็บอกว่า อัญญธาตุ เกิดแล้ว จาก อัญญธาตุ มาเป็นอัญญา กว่าจะเป็นปัญญาไม่ใช่ธรรมดา กว่าจะมาเต็ม อัญญธาตุ แสดงออก
ฟังที่อาตมาอธิบายไปเป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อน คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
_วรกันต์ อินทรีย์ : คนที่ไม่เข้าใจพ่อครูเขาคงยังไม่พ้นโลกธรรมมั้งครับ
_แก่นนวน มาลัยขวัญ : เรื่องอ.เอนกายดิฉันประสบกับตนเองค่ะ. หลังเกษียณเกิดไหล่ติด. ทำสาระพัดในการรักษา. (แปดอ.)ไม่หาย. สุดท้ายต้องนอนพักผ่อนให้พอ. ร่างกายคงซ่อมแซมตนเอง. ขณะนี้ดีขึ้นมาก. (ยังไม่หายสนิท)ค่ะ
_อ้อ : จำได้เลาๆว่า…เคยได้ฟังพ่อครูบอกว่า…บทสวดอะไรที่ไม่ให้ฆราวาสสวดนะคะ…ช่วยบอกด้วยค่ะ…แล้วเพราะอะไรคะ
_กูรูสู่แดนธรรม : วันนี้ผมมีวิธีทำใจในใจมาเสนอ ว่าด้วยการทำสภาวะ “ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ให้เกิด ด้วยการทำสองให้เหลือ “หนึ่ง” ไม่ต้องทำสองให้ต่อยืดยาวออกไปเป็น “สาม” (เพราะสามคือการเกิดใหม่ อันเกิดจากที่มีสิ่งหนึ่งและสิ่งที่สอง อยู่พร้อมหน้า) ถ้าผมพูดเพียงแค่นี้ หากไม่ยกตัวอย่างประกอบ ก็จะไม่มีใครเข้าใจ ผมขอยกรูปธรรมจากกรณี การไม่ทำให้เกิดการถกเถียงกัน ชาตินี้จึงเป็นชาติสุดท้าย ได้อย่างไร ดังนี้นะครับ
เมื่อคนแรก คิดดำริ แสดงทัศนคติพูดออกมา (นี้คือชาติได้เกิดแล้ว) แต่แล้วอีกคนไม่เห็นด้วยจึงพูดแย้ง (นี้ก็คือ ชาติอีกชาติหนึ่งก็เกิดขึ้นมาปรุงแต่งร่วมแล้ว) ดังนั้น คนแรกจึงสำคัญ ที่จะเป็นผู้ควบคุม “การเกิด” ว่าจะให้มีชาติก่อเกิดออกมาอีกหรือไม่ เพราะการเห็นบุคคลที่สองว่า มีถ้อยคำ “เกิดชาติ” ขึ้นมาไม่ตรงกัน ไม่เป็นสัจจะอันเดียวกัน คนแรกจึงเข้าใจองค์รวมการเกิดนั้น จึงไม่ปริปากออกมาเป็นคำที่สาม เพราะคนที่สองก็จะต้องมีคำที่สี่ 5 6 7 เป็นชาติที่เกิดการเถียง เกิดแล้วเกิดเล่า เกิดโดยไม่จบง่ายๆ
ดังนั้น คนแรกจึงยุติการเกิด คือ ทำสองสิ่งที่แตกต่างกันนั้น ให้เหลือเพียงหนึ่ง คือ มีแต่หนึ่งอยู่ในเรา (ไม่งอกต่อ) และยอมให้คนที่สองก็มีหนึ่งอยู่ในเขา ไม่ต้องให้เขางอกต่อ / ดังนั้น ถ้าใครคิดที่จะดับภพ จบชาติ ไม่ต่อชาติอีกคือไม่ถกเถียงอีก ก็จะไม่ทำสองให้เกิดสิ่งที่สาม ยอมทำสองให้เหลือแค่หนึ่ง และแม้มีหนึ่งที่เหลืออยู่ ก็ให้เหลือเป็นชาติสุดท้าย สลายความอยากเกิด คือ ไม่ต้องเกิดขึ้นอีกแม้แต่ในวจีสังขาร นี้คือ การรู้จักการทำให้จบ ขอถามครับว่า สภาวะตัวอย่างนี้ สามารถนำไปดับภพจบชาติได้ทุกเรื่องไหมครับ ?
พ่อครูว่า…ก็เรื่องของคุณ ดับภพจบชาติของคุณ คุณไปพูดเรื่องของคนอื่นก็ไม่จบสิ คุณก็ตัวตนอยู่ที่ของคุณเท่านั้นก็จบ ถ้าจะเอาโครงสร้างองค์รวมความรู้สมบูรณ์แบบก็ใช้ได้ มันมีกับไม่มี มี 1 กับมี 2 ในขณะคุณมีชีวิต คุณรู้แล้วว่ามี 1 กับมี 2 ก็เป็น 3 และ 3 มีตัว 1 เป็นประธาน อีกตัวหนึ่งก็เป็นความแตกต่างเป็นเทวะ คุณจะต่อเป็นเทวดาหรือไม่เป็นเทวก็แล้วแต่คุณจะต่อเป็นสันตติหรือจะไม่ต่อจบก็เท่านั้นเอง นี่ก็เขาก็ศึกษาไป อาตมาก็พยายามใช้พยัญชนะอธิบาย
ครูที่อยู่ในปัญญา 8 คือเช่นไหร
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_เขาอยากรู้เกี่ยวกับปัญญา 8
-
เราต้องฟังธรรมจาก พระพุทธเจ้า จากสัตบุรุษ ครูอาจารย์ เช่น พ่อครูหรือฟังจากใครได้อีก
-
แล้วคนอื่นทั่วไปในสังคมเป็นครูเราได้ไหม
-
มีคนบอกว่า ใครๆก็เป็นครูให้เราได้หมด มีดีมีชั่วให้เห็น
พ่อครูว่า… ตอบข้อที่ 3 ก่อน ข้อนี้คือความคิดที่วนอยู่ในโลกียะมันก็ได้อย่างที่คุณพูด แต่โลกุตระนั้นไม่ใช่ทั่วไปเป็นวิสามัญ ไม่ใช่ใครๆก็ได้ เพราะฉะนั้นตอบข้อ1 เลย ว่า ต้องฟังพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษหรือผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิเท่านั้น จากคนอื่นไม่ได้ จากคนอื่นที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิไม่มีปัญญาหรือไม่มีโลกุตรธรรมจริงๆ ไม่ได้
สู่แดนธรรม…ถ้าคนนั้นอธิบายอย่างเก่ง
พ่อครูว่า… เก่งเท่าไหร่ก็ไม่ออกจากวนของโลกียะความดีความชั่ว จะอธิบายความสุขความทุกข์ไม่เป็นไม่ได้ แล้วจะไปดับความสุขความทุกข์มันก็ไปขัดแย้งกับความเป็นนิรันดรของเขา โลกต้องมีสุขนิยมนิรันดร โลกียะต้องมีสุขนิยมนิรันดร ถ้าไม่งั้นไม่มีที่อาศัย มีแต่นรกเขาก็อยู่ไม่ได้ เขาต้องอยู่ในสวรรค์ แม้จะเป็นสวรรค์เก๊เขาก็ต้องอยู่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้เป็นของเก๊ทั้งนั้น เป็นมายาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผู้ปรินิพพานเป็นปริโยสานเท่านั้นถึงจะหมดเลยทุกอย่าง ไม่เหลือมายาอะไรเลย ถ้ายังมีชีวิตอยู่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็รู้มายาแล้วอยู่กับมายา มายาทำอะไรไม่ได้เท่านั้นเอง
สู่แดนธรรม… ครูที่สัมมาทิฏฐิต้องสอนให้ลดความสุข
พ่อครูว่า… หากพูดวนเวียนอยู่แค่ดีกับชั่วไม่มาพูดถึงเรื่องความสุขความทุกข์เป็นหลัก โลกุตระต้องพูดเรื่องความสุขความทุกข์เป็นหลัก ถ้าดีชั่วนั้นเป็นแค่โลกียะ
แล้วก็รู้ว่าสุขทุกข์เป็นฐานอาศัยของมายา ผู้อยู่เหนือมายาแล้วหมดสุขหมดทุกข์ ต้องอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อ่านจริงๆ อย่างนี้เป็นอาการความสุขมันไม่มีจริงๆ ความทุกข์ที่เกิดจากตัณหาเป็นกิเลสมันไม่มีแล้ว มีแต่สุข หรือมันเป็นอุปกิเลส (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… คำถามข้อที่ 2 ที่ถามว่าครูในสังคมหรือคนทั่วไปเป็นครูได้ไหม ก็เป็นครูโลกียะ ไม่ได้เป็นครูในกรอบของคำว่า ปัญญา 8
พ่อครูว่า… ถูกต้อง
_หมาเฒ่า…จะทำอย่างไรจึงจะไม่ระวังตัว จนกลายเป็นถือตัว
พ่อครูว่า… ทำเป็นถือตัวก่อน ดีแล้วล่ะรู้ตัวว่าถือตัว ผู้ที่รู้สึกสำนึกก็ดี แต่ก็ถือไว้ก่อน ภาษาสภาวะมันแยกให้ละเอียดยังไม่ออก เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน
ใครก็เป็นครูของเราได้จริงหรือไม่ในปัญญา 8
_สมณะเดินดิน… เมื่อกี้นี้มีคำถามที่ว่า ควรเอาทุกคนมาเป็นครู ซึ่งคำพูดนี้อยู่ในหนังสือกฎระเบียบของชาวอโศก อันนี้หมายถึงว่าอยู่ด้วยกันพยายามให้ทำตัวเองให้สามารถที่จะเอาคนทุกคนเป็นครูของเราได้ทั้งนั้น
พ่อครูว่า… คำว่า คนเราทุกคนเป็นครูเราได้ คนที่อยู่ในโลกียะ ยังยึดติดอยู่แค่ดีกับชั่ว เขาทำดีเขาทำชั่ว คนที่ทำชั่วก็เป็นครูเราได้ว่า ถ้าอย่างนี้แล้วเราไม่ควรเอาอย่าง อย่าไปทำตาม คนที่ทำอย่างนี้เป็นการทำชั่วเราก็อย่าไปเอาอย่าง เขาก็เป็นครูเราได้ หรือเอาอย่างคนที่เขาทำดี บางทีดีก็คือเขาไม่ทำชั่วอย่างที่คนชั่วทำ แล้วยังมีดีที่เขาทำได้มากกว่าอีก คนชั่วเขายังทำดีอันนี้ไม่ได้ แต่คนดีอันนี้ทำดีที่เป็นโลกีย์อันนี้ได้ ก็เอาตัวอย่างคนทำดี เป็นนัยยะที่ซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆสู่สูง สูงสุดก็เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง
ทำดีให้ดีที่สุดแล้วก็สอนคนอื่นให้ทำดีได้ ศาสดาเองไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก ของศาสนาเทวนิยม ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เรียนรู้ดีชั่วขึ้นมา เป็นคำสอนของตัวเองก็ไม่รู้แต่ไปฝากไว้ว่าเป็นคำสอนของพระเจ้า ไม่กล้ารับว่าเป็นของตัวเองเพราะว่าไปโยนให้กับพระเจ้า บอกว่าเป็นคำสอนของพระเจ้าตนเองเอามาประกาศเองซะงั้น นี่คือความซับซ้อนที่ไม่มีจบ แต่เขาจบที่เขาโง่เขาไม่รู้ว่าอะไรต่อเขาก็จะทนอยู่กับสิ่งที่เขาเป็นเขามีแล้วก็รับใช้ ใช้ว่าความรู้นี้ไม่ใช่ของเราแต่เป็นของพระเจ้าเขาก็ใช้ และเขาไม่รู้ทั่ว เพราะเขาไม่รู้จักตัวเองคืออัตตา ไม่รู้เรื่องกรรมวิบากของตัวเองที่เป็นสัมภาระวิบากสะสมมา
เทวนิยม ถ้าของตัวเองแล้วก็ยึดถือของตัวเอง ว่าของตัวเองเท่านั้นนะอย่าไปรับนับถือของศาสดาองค์ใดองค์อื่น ต้องเอาของเราเท่านั้นนะ ของอันอื่น 1 อย่าไปสนใจ ถ้าสนใจก็บาป ถึงขนาดนั้นเลย เรียกว่าตีกรอบกันไว้ถึงขนาดนั้น อย่าไปสนใจ ผู้ที่ยึดถือจัดๆ ก็จะไม่เอา เอากรอบของศาสดาองค์เดียว องค์อื่นไม่ใช่ อันอื่นเป็นบาป ต้องเอาอันนี้เท่านั้น
จะไม่เหมือนของพระพุทธเจ้าที่เปิดเผยให้เปรียบเทียบเลือกเอา ทนได้เท่าไหร่ก็ตนเองเป็นตัวตัดสิน ศึกษาไปสะสมไป เพราะฉะนั้นศึกษาอย่างจิตเปิดกับศึกษาอย่างจิตปิด
จิตปิด ก็อยู่ได้ในกรอบ ถ้าหากจิตเปิดก็จะได้กว้างขึ้นมา อาจจะใช้เวลาไม่รู้กี่ล้านชาติก็จะรู้ แต่ทางโลกียนั้นจะใช้เวลายาวนานกว่าศาสนาพุทธอีก แล้วไม่รู้ด้วย ไม่มีทางรู้ด้วย ยาวนานกว่าแล้วไม่รู้ด้วย จนนิรันดร แต่ชาวพุทธจะรู้ไม่ทำให้ยาวนาน ตัดกรอบ ทำกาละได้ ตัดกาละสั้นลงๆ เป็นครั้งสุดท้ายไม่ทำกาละ จบในกาละ นั้นคือสุดคำพูดแล้ว นี่คือสุดยอดของ พระพุทธเจ้า
_น้อมยอดธรรม…ดิฉันได้รู้จักพี่อิ๋ว เขาบอกว่า แจ๊วไปอาบน้ำไหม อยากถามว่า ทำไมแม่น้ำเหมือนที่สวนลุมฯ ชั้นบนน้ำมันร้อนชั้นล่างน้ำมันเย็นกว่า ถามว่า หาดนี้ชื่ออะไร
พ่อครูว่า… หาดริเวียราช
บุญ ไม่มีวิบาก
_ทองแก้ว…สิ่งที่ดิฉันเข้าใจถูกหรือไม่…เรื่องวิบาก ชาตินี้เราไม่ได้ทำ แต่ชาตินี้เราได้รับคือวิบากเก่า แต่เมื่อเราทำใจยอมรับปรับปรุงตัวเองไปเรื่อยๆก็จะกลายเป็นบารมี
พ่อครูว่า… ถูกต้อง
_ทองแก้ว…วิบากชาตินี้ เมื่อก่อนเราจับกิเลสไม่ทัน เกิดวิบาก เมื่อต่อมาเราจับกิเลสทัน อ่านเวทนา เราทำให้เวทนาเป็น 0 ทันที่ ไม่มีวิบาก ดิฉันเข้าใจถูกไหมคะ
พ่อครูว่า… จริงๆแล้ววิบากที่เป็นบุญ คำว่าวิบากที่เป็นบุญมันเข้าใจยาก อย่าเอาคำว่าบุญไปใช้กับวิบาก วิบากคือทำบุญตัดกิเลสตายแล้ว 0 จะไม่มีอะไรที่เป็นคำว่าบุญเป็นส่วนของบุญ คำว่าส่วนของบุญหรือส่วนบุญที่ได้นั้น มันหมายความว่า ได้สิ่งที่ไม่ได้ คือกิเลสนั้นเองมันหายไป ส่วนที่กิเลสถูกฆ่าไปส่วนหนึ่ง เช่น กิเลสเรา บางคนชอบลูกแก้วมังกร แต่ก่อนชอบ 100 หน่วย เปอร์เซ็นต์ที่เราชอบมีน้ำหนักถึงร้อยหน่วย เดี๋ยวนี้ความชอบลดลงไปเหลือ 40 หน่วย ก็แสดงว่าเราเกิดบุญไปแล้ว 60 ได้ฆ่ากิเลสไปแล้ว 60 ซึ่งบุญนั้นไม่มีหรอกแต่เหลือส่วนบุญอีก 40 นั่นเรียกว่าส่วนบุญที่เหลือ หรือจะใช้สำนวนภาษาว่าได้บุญไป 60 แต่คุณได้สิ่งที่ไม่ได้ คุณได้ให้กิเลสมันสูญไป ได้สิ่งที่ไม่ได้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสว่าเราเสียคือเราได้ขาดทุนคือกำไร
ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดีๆ เมื่อได้สภาวะจริงจะชัดเจน อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยให้ศึกษาพวกเรารับได้จนมีสภาวะ คนที่ไม่รู้เรื่องก็ยังจะไม่รู้เรื่อง ไปบังคับกันไม่ได้ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องเห็นใจเขา ก็ได้แต่น่าสงสาร เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่มนุษย์จะต้องรู้ ผู้ที่เป็นโลกุตระได้โลกุตระแล้ว จะรู้ทั้งสองอย่าง ของโลกียะ ที่เราทิ้งมาได้ก็จะรู้ แล้วโลกุตระที่เราได้ก็จะรู้ ได้อะไรได้สิ่งที่ทิ้งไปจากสิ่งที่เราทิ้งไป เป็นสิ่งที่เลอะเทอะสิ่งที่ไม่ควรยึดถือเป็นเราเป็นของเรามันทิ้งไปได้ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ผู้ที่มีความแม่นจริงในสภาวะตรงกันจะไม่สับสนไม่ขัดแย้งกันมันจะฟังแล้วชัดเจนยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สัจธรรมมันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้า โลกุตรธรรมที่มันสูญไป จนกระทั่ง 2,500 ปีกึ่งพุทธกาล จึงเป็นยุคเสื่อมที่แท้จริง เพราะศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดมมีถึง 5,000 ปี ก็ถ้ากลางนี้มันไม่อยู่ในฐานะเสื่อม แล้วมันจะเสื่อมตอนไหน?.. เสื่อมตอนปลายเท่านั้นหรือ มันไม่ใช่ มันเสื่อมตอนนี้แหละ ถึงต้องมากอบกู้ อาตมาต้องมากอบกู้ เป็นเรื่องจริงที่สุดเป็นเรื่องดีอย่างที่อาตมาพูด
บุญคุณก็เข้าใจผิดๆ ทาน คุณก็เข้าใจผิดๆ ฌาน สมาธิ คุณก็เข้าใจผิดๆ มันผิดไปทั้งนั้น ผู้ที่ติดยึด ผู้ยังมิจฉาทิฏฐิ มีอคติยึดถือตัวเองก็หาว่าอาตมาไปว่า อาตมาไม่ได้ไปว่าใครแต่อาตมาพูดความจริงทั้งนั้น ซึ่งผู้ที่ไม่มีจิตใจติดยึดไม่ลำเอียงติดยึดตัวเองแล้วเปิดจิตฟังให้ดีๆ ก็ค่อยๆทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็จะชัดเจน ว่าโลกุตระมันเป็นเช่นนี้เอง โลกียะที่เคยยึดถือมันเป็นเช่นนี้เอง
ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ อาตมาถึงเห็นว่าเราตายไม่ลง เพราะคนที่จะได้ คนที่จะรู้ ทำมา 50 ปีได้เท่านี้ แล้วคนตั้ง 7,000 ล้านคิดดูสิในโลกลูกนี้ เข้าใจดีๆสัก 70 700 หรือ 7,000 ก็เริ่มจะมารับรู้ด้วยกัน ถ้าหาก บ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ …ถ้าเผื่อว่าในหมู่บ้านราชธานีอโศกไม่สนต้องถึง 7,000 แต่มี 700 คนหรือ 777 คนเท่านั้น ก็จะเห็นหน้าเห็นหลังเลยเห็นรูปธรรมที่ชัดเจนดีมากเลย
ถ้าโลกุตรธรรม มีโลกุตระบุคคลมีถึง 7 พันคนรวมกลุ่มกันอยู่เป็นเอกภาพถิ่นเดียวกันนี้อยู่ในบ้านราชฯ บ้านราชฯ ก็จะกลายเป็นหมู่บ้านหลักของตำบลนี้ กระจายอยู่ในหมู่บ้านอื่นๆอีก อีกหลายหมู่บ้าน เป็นเนื้อหาโลกุตรธรรมทั้งนั้น มันจะเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้มันยังไม่เป็นยังไม่จริงก็ได้แค่นี้ไป อาตมาก็เลยดูแล้วยังไม่น่าไว้ใจ ก็ทำไปก่อน จนกว่าจะเข้าร่องเข้ารอย นี่อายุ 87 ปี ย่างเข้าไป 88 ปีล่ะ
_ทองแก้ว…แต่ก่อนเห็นพ่อครูไปเป็นประธานประชุมต่างๆ พ่อครูจะใช้ทศพิธราชธรรม แต่ตอนนี้ให้กรรมการตัดสิน แต่บางองค์กรกลายเป็นแค่ตัดสินแบบถูกผิด ทำให้ไม่ผาสุกเล็กๆ
พ่อครูว่า… ต้องยอมเสียส่วนหนึ่งแล้วเราก็จะได้ส่วนหนึ่งขึ้นมาถ้าไม่ให้รับผิดชอบกันเองฝึกกันเองก็จะไม่โตสักทีมันไม่ได้ 1 อาตมาก็อยากพักมันไม่พอสมควร ก็สงวนพลังงานเอาไว้บ้าง ที่งบอาตมาสงวนท่าทีไว้บ้าง ใครนะที่เขียนมาบ้านนอนมากขึ้นก็จะดีขึ้น อาตมาก็เลยต้องพักมากขึ้น เดี๋ยวนี้นอนพักมาก ถึงได้ไปไหนก็ได้ไปนอนที่ต่างๆ นอนบนสนามหญ้าบนหินบนแคร่ ไปทั่วทีปทั่วแดน บังอรเอาแต่นอน เดินก็ได้ไม่กี่ ก.ม.
_ใบฟ้า…มีลูกๆหลายคนสังเกตว่าพ่อครูครองผ้าสีนี้ดีจริงๆ มีหนังสือ 2 เล่มที่เป็นคู่มือการเรียน คือ ธรรมพุทธสุดลึก กับ หนังสือสรรค่าสร้างคน มองเห็นว่า น่าจะเป็นหนังสือที่บรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียน
พ่อครูว่า… ทั้งรวบรวมทั้งบัญญัติโดยความคิดของตนเองเอาไว้ ในหนังสือสรรค่าสร้างคน ก็นำไปใช้สอนได้ เอาไปขยายความได้ ผู้จะเอาไปใช้เรียนชั้นอุดมศึกษาได้ก็เจริญ อาตมาไม่อยากยัดเยียด ผู้ใดมองเห็นคุณค่าเป็นคุณค่าผู้ใดเห็นสาระเป็นสาระก็เอา จะไปยัดเยียดก็ไม่ดีไม่งามเท่าไหร่ก็เป็นไปตามจริงของมัน
สังคีติ สังคายนา สังสาธยาย
ที่จริงมาถึงวันนี้อาตมาเปิดตัวเองไปมาก จนกระทั่งผู้ที่เขาอคติกับอาตมา เขาไม่ยอมฟังไม่รับแล้วเขาหมั่นไส้ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจริงก็ต้องพูดความจริง ขยายความจริงยืนยันความจริง สาธยายความจริง
การสาธยายนี่แหละ เป็นเรื่องที่จะต้องพูดต้องแสดงแก่กัน เพราะว่าคนเรายังเข้าใจคำว่าสาธยายยังไม่ได้ มันมีภาษาไทยคำหนึ่งคือคำว่า สวด
สวด มีนัยยะ แรงหน่อย เหมือนคำว่าเทศน์ คำว่าเทศน์คำว่าสวดมีนัยยะคล้ายๆกัน คือการว่า การตำหนิ การสวดการสาธยาย จะสาธยายถึงจุดบกพร่อง ตำหนิแล้วตำหนิอีก ไม่ยั้งมือ กระหน่ำคำตำหนิ เพราะฉะนั้นสาธยาย หรือใช้ภาษาบาลีว่า สังวัธยาย
-
สังคีติ
-
สังคายนา
-
สังสาธยายหรือ สังวัธยาย