640730_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 4
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1B1AAlO_oI9rQtUHURlPcJOQTeMvB-B_P5x5FQoKx0Xs/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1ZOL–tZZxcu76R3aIo4yCugyq8jIUIsU/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/2FAON9aZFHA
สมณะเดินดิน…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก สถานการณ์ประเทศไทยตอนนี้ นายกรัฐมนตรีถูกบีบให้ออก ก็มี mv เพลงใจฟ้า(https://youtu.be/2olTYjknkyY) ที่พวกเราทำมาให้ดู ซึ่งเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้ แม้จะมีคนรุมด่านายกฯ แต่ก็มีป๋าเทพ (เทพ โพธิ์งาม) ออกมาให้กำลังใจนายกฯด้วยภาษาเทพ ก็มีกระแสตอบรับดี จนขนมเปี๊ยะขั้นเทพขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แสดงว่ามีคนสนับสนุนนายกฯเยอะอยู่
ประเทศไทยเป็นสังคมที่ดีที่สุดในโลก
พ่อครูว่า…เมืองไทยก็ดีสังคมทุกประเทศก็ดีก็คือเรื่องของสังคมมนุษย์ ก็มีแตกต่างกันไป ให้ศึกษากันไป ซึ่งอาตมาก็เคยพูดหลายทีแล้ว ไม่ได้พูดเล่นไม่ได้พูดอย่างคะนอง แต่พูดอย่างไตร่ตรองแล้ว แล้วก็ขอยืนยันว่าเป็นความจริงด้วยคือสังคมประเทศไทยเป็นสังคมที่ดีที่สุดในโลก
สังคมที่ดีนั้นไม่ใช่สังคมที่ล้าสมัยเกินไป แล้วก็ไม่ใช่สังคมที่แล่นไปแย่งชิงให้มันล้ำสมัยเข้าไปไม่ใช่ หรือแม้แต่แค่จะทันสมัยเขาก็ไม่ต้อง แต่เป็นสังคมที่อยู่กึ่งกลางๆพอเหมาะพอดี เพราะฉะนั้นคนจะเข้าใจยากที่สังคมทุนนิยมจัดนั้นเจริญหรือ ซึ่งไม่ใช่ มันเป็นสังคมสุดโต่งสุดขอบ สังคมที่ตกยุคไม่เอาถ่านเลยสุดโต่ง ก็ไม่ใช่สังคมที่อยู่อย่างเหมาะควรพอเหมาะพอดี
สังคมใดที่อยู่อย่างพอเหมาะพอดี ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 บอกว่าเราก็อยู่อย่างพอดีพอเหมาะ ไม่ใช่สังคมที่ก้าวหน้าอย่างมาก เพราะการก้าวหน้าอย่างมากเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว ท่านตรัสอย่างโลกุตระ คนโลกีย์ก็ฟังไม่รู้เรื่อง มันคนละโลกอยู่ทางโลกีย์ก็หลงไปตามธรรมดาธรรมชาติของความสุดโต่ง
เพราะฉะนั้นคนที่จะมาโลกุตระเท่านั้นจึงจะรู้ความเป็นกลาง หรือความพอเหมาะพอดี จะเห็นความตรงของความน้อยไปมากไปสูงไปต่ำไป ขวาไปซ้ายเกินไปอะไรพวกนี้
เพราะฉะนั้นความต้องการของมนุษยชาติที่บอกว่าต้องการสังคมประชาธิปไตย มีอธิปไตยที่รวมความเห็นของประชาชนมีค่ารวมองค์รวม อย่างพอเหมาะพอดีนั่นคือประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นคนจึงเข้าใจไม่ได้ง่ายๆในความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
พวกที่เรียนประชาธิปไตยทางทุนนิยมอย่างไรก็เอียงข้างสุดโต่ง เพราะไม่รู้จักสภาพ 2 ทุนนิยมหรือเทวนิยมทำตะวันตก ทางศาสนาที่มีความรู้ไม่รู้จักเทวะไม่รู้จักสภาพ 2 แล้วก็ดู เป็น 1 ได้อย่างดีที่สุด ซึ่งเป็น อจินไตย ที่คิดยากคิดไม่ออกหรอก อาตมาพยายามไขความ ใครสามารถรู้ตามได้อย่างอาตมาก็ดี แต่แม้คนรู้น้อยก็ต้องพูด เป็นยุคสมัยที่ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากแล้วในเรื่องโลกุตระ
หมายความว่า ต้องอธิบาย คนที่ไม่เข้าใจอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปเซ้าซี้ เอาคนที่พอเข้าใจให้เข้าใจลึกให้สุดให้ครบ จึงต้องสาธยายโลกุตรธรรมให้มาก สำหรับคนที่อยู่ในโลกียะ ส่วนคนโลกียะนั้นไม่ต้องไปเซ้าซี้ไม่ต้องไปเสียเวลาเขา ไม่ต้องมาพูด พูดไปเขาก็ไม่รู้เรื่องรับไม่ได้ไม่มีประโยชน์ เราก็มาทำต่อยอดอันนี้ไปเรื่อยๆให้เป็นประโยชน์ต่อศาสนาพุทธโลกุตรธรรม
เพราะโลกุตรธรรม 2,500 ปีมานี้มันหมดไปแล้วตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์เอาไว้ อาณิสูตร เป็นเรื่องจริง ท่านพยากรณ์เอาไว้ตั้งแต่ท่านมีพระชนม์ชีพ ตอนนี้ก็ถึงวาระที่เป็นไปตามพยากรณ์
อาตมาไม่ได้พูดเล่นว่าอาตมานำเอาโลกุตระกลับคืนมาประกาศลงไปเชื่อมสืบต่อในพระพุทธศาสนาให้ได้ ไม่มีใครมายืนยันอย่างอาตมาหรอก แม้แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ประพฤติโลกุตระ แต่ท่านไม่ได้มีหน้าที่สืบสาน ท่านก็มีหน้าที่ตามสัมภาระวิบากของท่าน ส่วนสัมภาระวิบากของอาตมาก็เป็นอย่างที่อาตมาต้องทำ ก็คนละหน้าที่คนละอย่างกันไป
_pphopcw Cw : ผมได้ศึกษาชีวประวัติของพ่อครู มีความซาบซึ้ง เลยได้ไปเดินตามหาบ้านในอดีตที่อยู่ซอยอาคารสงเคราะห์ 2 เพื่อที่จะไปยืนรำลึกถึงเรื่องราวต่างๆในประวัติ แต่หาไม่พบครับ เดินมองๆดูไม่ทราบว่าหลังไหน ไม่ทราบว่าบ้านยังคงมีอยู่ไหมครับ (ผมทำงานอยู่ในซอยอาคารสงเคราะห์ 2)
พ่อครูว่า…บ้านหลังนี้ก็ยังอยู่ที่ซอยอาคารสงเคราะห์ เป็นบ้านเลขที่ 62
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : สัปเหร่อทำงานหนักแต่รัฐไม่มีค่าตอบแทน จะแจ้งหน่วยงานไหนครับ / คุณบัญชา ชุมชัยเวช(ช่อง3)แจ้งว่าโรงสีใหญ่ใกล้เจ๊งเป็นข่าวดีหรือร้ายครับท่าน
_0015 :โควิดสายพันธุ์โอลิมปิก จะเป็นสายพันธุ์ใหม่จากการกีฬาที่จะล้างและทำลายโลกอย่างที่พ่อท่านเคยบอกไว้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ตอนนี้เขาก็ยังไม่กลัวอะไรกัน กำลังแข่งกีฬาโอลิมปิกกันเต็มเหนี่ยว อาตมาก็ไม่รู้นะแล้วไม่อยากให้เกิดหรอก ก็คงมีคนกังวล ที่ไปมั่วสุมแข่งกีฬากันเต็ม แข่งกีฬาก็คงไม่ได้ใส่แมส ก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่จากการกีฬาขึ้นหรือเปล่า แล้วอย่าเอาคำพูดตอนนี้ให้อาตมาแช่งให้สังคมไม่ดี ถ้ามันเกิดก็รู้สึกสยองไม่ค่อยดีไม่อยากให้เกิด ก็อย่าให้เกิดเลย
_Vittaya Sudprasert (วิทยา สุดประเสริฐ) : ใส่แมสด้วยนะครับท่านฯ
พ่อครูว่า…ขอบคุณที่เตือนมา ขออภัยที่อาตมาไม่ใส่แมส เพราะอาตมาเป็นคนที่รับออกซิเจนได้น้อย ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็รู้สึก ออกซิเจนไม่เคยพอ ใส่แมสมันก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ มันไม่พอไม่ดี ก็เลยให้พวกเราใส่แมสกันให้หมด เหลืออาตมาไม่ต้องใส่แมส แล้วพวกเราก็ใส่แมสกันทุกคน มีอาตมาขออภัยไม่ใส่แมสคนนึง
SMS วันที่ 28-29 ก.ค. 2564
_สุดชดา : กราบนมัสการค่ะพ่อครู ที่พ่อครูว่าประชาธิปไตย 2 ขานั้น ถ้าจะกล่าวเป็นภาษาที่คนในสังคมเข้าใจได้นั้นจะกล่าวว่าวัตถุนิยมและจิตนิยมพอจะใช้แทนกันได้ไหมคะ?
ในช่วงที่ดิฉันอยู่ในภพดิฉันมีเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาเป็นอารมณ์ คือจะรู้ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่เชิงแต่รู้ว่ากำลังเกาะกับความคิดและการรอคำตอบอะไรบางอย่าง พอออกจากภพเนวสัญญานาสัญญาตัวนั้นก็น้อยลงขึ้นกับกำลังสติที่อยู่กับปัจจุบันอย่างนี้เข้าใจถูกไหมค๊ะ
พ่อครูว่า…ประธานาธิบดีนั้นอาศัยคำว่าประชาธิปไตยเท่านั้น พฤติกรรมกับโครงสร้างที่เขาวางไว้นั้นมันจะเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนเป็นเผด็จการที่แฝงไว้ไม่ให้คนเข้าใจเหมือนคอมมิวนิสต์ดื้อๆ ส่วนคอมมิวนิสต์นั้นไม่ได้อำพราง สมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ไม่ได้อำพราง แต่อันนี้เป็นเผด็จการแบบอำพราง
เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันไม่สมบูรณ์ทั้งองค์ประกอบนอกและใน เพราะฉะนั้นใน เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา จึงต้องสัญญากำหนดรู้และพยายามทำให้เกิดปัญญาเพื่อที่ จะเป็นการเลือกเฟ้น เนวสัญญา แปลว่า ยังไม่ลงตัวยังไม่เป็นสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวชัดเจนตัดสินสมบูรณ์ โดยไม่ต้องมีอะไรอีก โดยเฉพาะองค์ประกอบมันไม่สมบูรณ์
แต่ถ้าองค์ประกอบสมบูรณ์แล้วไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา
เหมือนวิญญาณฐีติ 7 มี อากิญจัญยายตนะ เท่านั้นทำงาน เรียนรู้กาย กับสัญญา 2 ตัวนี้มาเป็นตัวศึกษาเทวซึ่งเป็นคู่ที่สำคัญที่สุดรู้จักกายโดยมีสัญญากำหนดรู้กาย มิจฉาทิฏฐิเขาจะกำหนดไม่ชัดเจน สัมมาทิฏฐิจึงจะกำหนดกายได้ถูกต้องชัดเจน สัญญาก็ไม่วิปลาส เป็นสมบูรณ์แบบ ผู้ที่เข้าใจชัดแล้วปฏิบัติวิญญาณฐีติจึงไม่ต้องมีเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นอารมณ์
เนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงไม่มีองค์ประกอบครบปกติที่จะต้องตื่นรู้กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เหตุการณ์องค์ประกอบที่ตนเองร่วมอยู่ด้วยเข้าใจหมด ส่วนประกอบสมบูรณ์แบบ ก็จะใช้สัปปุริสธรรม 7 กับการปฏิบัติประกอบในกาละที่เรามีชีวิตร่วมอยู่ด้วย ก็ตัดสิน มัตตัญญุตา ตัดสินประมาณได้ตรงตามที่ตัวเองมีประสิทธิภาพ ตามบารมี
_ไพฑูรย์ : ถ้าพ่อท่านนั่งเป็นประธาน ให้สมณะท่านอื่นบรรยายแทน ท่านคอยเสริมบ้าง
จะสร้างบุคคลากรและความเชื่อถือต่อสมณะอื่นๆมากขึ้น จะลดภาระพ่อท่านได้มากขึ้นครับ
พ่อครูว่า…ถูกที่ลดภาระอาตมาได้มากขึ้น แต่ประโยชน์จะได้เท่าที่ควรไหม…ก็ไม่ควร ก็คิดดู อาตมามีกำลังทำได้อยู่ ทุกวันนี้บางวันเขาก็ไม่ให้เทศน์ อาตมาเทศน์วันเว้นวัน หากวันไหนยึดไปก็ห่างไปอีก 2 ช่วง ก็เป็นไปได้ เอาน่า อย่าเพิ่งให้อาตมาหมดแรงแก่ไปนัก พอทำได้อยู่ ไม่ได้ฝืนทรมานทรกรรมอะไร อาตมาเข้าใจในความหวังดีของแต่ละคนขอบคุณ
_สินอโศก : ต่อไปดิฉันก็จะพยายามเข้ามาพูดคุยกับพ่อท่านค่ะ
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_พักสัมมา : ตอนนี้ดูข่าวการเมืองเกือบจะไม่ไหวแล้ว ได้ดูป๋าเทพพูด มันส์มาก กราบนิมนต์พ่อครูช่วยให้สัมมาทิฎฐิด้วยครับ
พ่อครูว่า…อาตมาให้สัมมาทิฏฐิกับประชาชนตลอดเวลา ซึ่งที่เคยทำกันนั้นเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ทั้งหมด น่าสงสาร ก็พยายามเอาสัมมาทิฏฐิเข้าไปเติม ตั้งแต่เรื่องที่ควรจะเลิกควรปฏิบัติภาคปฏิบัติที่ไปหลงการนั่งหลับตา อาตมาก็พูดอย่างเต็มที่ว่าเลิกกันได้แล้วนั่งหลับตา มันไม่อยู่ในระบบของศาสนาพุทธเลย มันไม่มีความจำเป็นต้องไปนั่งหลับตาเลย แม้แต่ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงอานาปานสติก็ไม่มีเข้ามานั่งหลับตา แต่ไปนั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านพยายามอธิบายอย่างอนุโลมมากแล้ว ว่ามันต้องรู้จักกาย
ถ้าหากนั่งอานาปานสติก็จะเหลือกายแค่ลมหายใจเข้าออกอยู่ตรงนี้ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส อะไรต่างๆอีกตั้ง 5 ทวารก็ไม่ได้รู้เรื่อง ไม่ได้เอาใจมาเกี่ยวข้องตรงนี้เลย มันทิ้งไปอย่างสูญเปล่า มันเป็นโมฆะ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมายเลยแล้วก็นั่งอยู่กับที่ด้วย ถ้าคุณไม่นั่งอยู่กับที่ โดยที่เดินไปไหนมาไหนลมหายใจเข้าออกคุณก็เรียนรู้การในขณะที่ลมหายใจเข้าออก มีสัมผัสสัมพันธ์กับอย่างอื่นอยู่ก็ยังมีประโยชน์มาก แต่นี่ไม่เลย กลายเป็นนั่งอยู่อย่างนั้นดีไม่ดีเข้าไปในภวังค์อีก มันเป็นโมฆะสูญเปล่าออกนอก อย่าว่าแต่ออกนอกจากศาสนาพุทธเลย ออกนอกอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้อยู่ในภาคปฏิบัติธรรมเลย
อาตมาว่าได้พูดไว้ชัด ว่าอย่างแรงมากแล้ว หยุดได้แล้วนั่งหลับตาทำสมาธิ ให้มาศึกษาให้ดี สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอจินไตย แค่คำว่า ฌาน ก็เป็นวิสัยที่เป็นอจินไตย ไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ ขออภัยที่ต้องพูดว่า อาตมาเชื่อว่าในประเทศไทยยังไม่มีใครชัดเจนสมบูรณ์แบบว่า
ฌาน ของศาสนาพระพุทธเจ้าคืออะไร ขออภัยต้องพูดอย่างนั้น ฌานวิสัยเป็นอจินไตย คิดเอาเองไม่ได้
ฌาน ของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติตามหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 ต้องมีศีลมาก่อนด้วย หากไม่มีศีล ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า แค่นี้ก็เขี่ยทิ้งที่เขาปฏิบัติกันมามากแล้ว เพราะต้องสังวรศีลสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 สัมผัสกับของกินของใช้อาหารทั้ง 4 ชัดเจนทุกอย่าง มี ผัสสะ มโนสัญเจตนา พร้อมวิญญาณฐีติ จึงจะมีฌาน ผ่านสัทธรรม 7 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา โดยมีปัญญาเป็นยาดำ กระสายอยู่ใน จรณะ 15 วิชชา 8
ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 4
มาอ่าน อัมพัฏฐสูตร
[157] ดูกรอัมพัฏฐะ เมื่อเทียบหญิงกับหญิงก็ดี เมื่อเทียบชายกับชายก็ดี กษัตริย์พวกเดียวประเสริฐ พวกพราหมณ์เลว ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนพราหมณ์ทั้งหลาย ในโลกนี้ พึงโกนศีรษะพราหมณ์คนหนึ่ง มอมด้วยเถ้า เนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?
ไม่ควรได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคลในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?
ไม่ควรเชิญเขาให้บริโภคเลย พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?
ไม่ควรบอกให้เลย พระโคดมผู้เจริญ.
เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?
เขาควรถูกห้ามทีเดียว พระโคดมผู้เจริญ.
[158] อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กษัตริย์ทั้งหลาย ในโลกนี้พึงปลงเกศากษัตริย์องค์หนึ่ง มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?
ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคลในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?
ควรเชิญให้เขาบริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?
ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.
เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?
เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ กษัตริย์ย่อมถึงความเป็นผู้เลวอย่างยิ่ง เพราะเหตุที่ถูกกษัตริย์ด้วยกันปลงพระเกศา มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมือง ดูกรอัมพัฏฐะแม้ในเมื่อกษัตริย์ถึงความเป็นคนเลวอย่างยิ่งเช่นนี้ พวกกษัตริย์ก็ยังประเสริฐ พวกพราหมณ์เลวด้วยประการฉะนี้.
สมจริงดังคาถาที่สนังกุมารพรหมได้ภาษิตไว้ ดังนี้
คาถาสนังกุมารพรหม
[159] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร
ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน…
พ่อครูว่า…
[160] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิดประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราเห็นด้วย ดูกรอัมพัฏฐะ ถึงเราก็กล่าวเช่นนี้ว่า
[161] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร
ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.
จบ ภาณวารที่หนึ่ง
พ่อครูว่า…สรุปแล้ว จะเป็นกษัตริย์หรือ พราหมณ์ ก็นับจรณะวิชชาเป็นสิ่งประเสริฐสุด
วิชชาจรณสัมปทา
[162] อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เราอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล.
[163] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า.
ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
พ่อครูว่า…สิ่งที่มนุษย์ควรได้ที่สุด สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดคือ วิชชาจรณะสมบัติ
กษัตริย์ก็มีการสืบสันตติวงศ์ อัมพัฏฐมานพข่มว่า พราหมณ์ สูงกว่า แต่ พระพุทธเจ้าตรัสแก้ ว่า กษัตริย์ไปเป็น พราหมณ์ ได้ แต่ พราหมณ์ ไปเป็นกษัตริย์ไม่ได้
คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต
พ่อครูว่า…ตอนนี้มันไกลมามาก นักบวชไม่ใช่พราหมณ์ นักบวชคือนักบวช นักบวชจริงคือพระพุทธเจ้า โดยพระพุทธเจ้ามีไว้ผมเหมือนพราหมณ์ ท่านโกนหัว แต่ไม่ได้คลุกขี้เถ้าเพราะท่านไม่ได้ถูกไล่ออกไม่ได้ถูกลงโทษ โกนหัวเอง ใครมาท่านก็บวชให้เอง เป็นเอหิภิกขุ
พระพุทธเจ้า ท่านเป็นนักบวช เพราะท่านเป็นผู้มีวิชชาสมบัติ จรณสมบัติจริง แต่อัมพัฏฐะไม่มี แม้แต่อาจารย์ของอัมพัฏฐะก็ไม่มี
สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต
พ่อครูว่า…ปัจจุบันนักบวชทำตัวดุจฆราวาส เพราะมีเงินมีทรัพย์ไปศฤงคาร ฝากธนาคารไว้ เป็นเจ้าของธนาคารด้วย อย่างพระในญี่ปุ่น สืบทอดกันเป็นตระกูล ตระกูลนี้เป็นเจ้าของธนาคารเลย
สู่แดนธรรม… สมัยพระพุทธเจ้าเรียกว่าพราหมณ์มหาศาล
พ่อครูว่า… เดี๋ยวนี้ก็คือพระมหาศาล ไทยยังไม่แย่เท่าญี่ปุ่นเท่านั้นเอง
สู่แดนธรรม… สมัยนั้น ผู้ปกครองเมือง จะดูว่านักบวชไหนปกครองคนได้ดีก็จะยกบ้านเมืองให้ปกครองเลยอย่างเช่นพระเจ้าพิมพิสาร
เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
จุลศีล
ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล?
-
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
พ่อครูว่า….ในจุลศีลข้อท้ายๆห้ามเลี้ยงสัตว์
ข้อ 18. เธอเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.
ข้อ 19. เธอเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.
ข้อ 20. เธอเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.
สรุปว่า มนุษย์เอาสัตว์มาใช้ประโยชน์ ท่านแบ่งการใช้ประโยชน์เป็น 3 ประเภท
ประเภทแรกแพะใช้นม แกะใช้ขนมันมาเป็นประโยชน์ ประเภทต่อไปไก่และสุกรกินเนื้อมันเลย ประเภทสุดท้ายช้าง โค ม้า และลาเอามาใช้แรงงาน
สรุปว่าเลี้ยงปลาก็จะกินปลา เลี้ยงไก่ก็จะกินเนื้อหรือไข่ เลี้ยงสุกรกินเนื้อแต่ไม่กินขี้มัน เป็นต้น
ในจุลศีลไม่ให้ฆ่าไม่ให้ทำร้าย แต่ในข้อท้ายไม่ให้ใช้ประโยชน์จากสัตว์เลย อย่าว่าแต่เลี้ยงเพื่อฆ่าหรือขายอย่าง CP นี่บาปมหาศาล ทุกวันนี้มันไม่ใช่ไก่แล้ว มันเป็นโรงงานผลิตชีวะอันหนึ่ง อาจจะมีสัตว์ชนิดอื่นอีก อย่างเช่นไก่เลี้ยงเป็นฟาร์มมหาศาล มันไม่ได้ไปไหนเลย เป็นไก่พิการด้วย ให้มันกินอย่างเดียว จุดไฟให้มันเพื่อให้ไข่ 2 ฟอง หลอกมันทั้งวันทั้งคืน นี่คือเรื่องของสัตว์ เห็นไหมว่าคนเรานี้เห็นแก่ตัว
จริงๆแล้วคนเราพระพุทธเจ้าท่านตัดไม้ตัดมือไม่ให้เกี่ยวข้องอะไรกับสัตว์เลย เขาเอามาเป็นโรงงานชีวแล้วอาศัยชีวะนี้ เขาจะมีอายุให้ไก่มัน 45 วัน แล้วก็ต้องเอาไปขายกินเนื้อหรือเอาเข้าโรงงานทำเนื้อหมด ไม่ต่ออายุ 45 วัน เขามีกำหนดได้หมดเลย อาศัยชีวะของเขามาเป็นเครื่องมือหากินในชีวิตของตนเอง อย่างไม่เห็นแก่ชีวิตเลย เหมือนเป็นวัตถุอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าจิตใจเขาทำด้วยอะไร แล้วทำโรงงานใหญ่โตมโหฬารรวยเละเลย เพราะคนมันเสื่อมมากศาสนาเสื่อมมาก กินเนื้อสัตว์
พวกนี้ก็เลยถือโอกาสที่คนติดเนื้อสัตว์ สร้างโรงงานใหญ่โตร่ำรวย อาศัยความโง่ของคนเพื่อที่จะสร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง แล้วตัวเองนั่นแหละโง่ยิ่งกว่าโง่ เพราะมีใจดำอำมหิต คนที่ข่มคนโง่ ทับถมคนโง่ หากินบนคนโง่อีก คนนั้นสุดยอดใจดำอำมหิตที่สุด คุณจะรวยอย่างไรก็ช่างแต่คุณเป็นคนใจดำอำมหิต ร้ายแรงที่สุดไม่น่าคบเลย
ขยายความเรื่องศีลเพื่อให้เห็นชัดเจนว่าปฏิบัติศาสนาพุทธไม่ใช่ตื้น แต่ทุกวันนี้ปฏิบัติเละเทะไปหมด พูดไปแล้วก็สงสารศาสนา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่านี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง แต่ทุกวันนี้พระไม่เอาแล้วเรื่องศีล มีแต่เรื่องของวินัย 227 ข้อ อีกหน่อยก็จะกร่อนลงเหลือแค่สัญลักษณ์ ผ้าน้อยห้อยหู อย่างญี่ปุ่นเหลือเพียงเป็นคนทำพิธีกรรม พอจะไปทำพิธีกรรมก็แต่งชุดนักบวช เมื่อไม่ได้ทำพิธีกรรมก็เหมือนกับคฤหัสถ์ทุกอย่าง ยิ่งกว่าคฤหัสถ์ด้วย เพราะว่าทำงานทุกอย่างเหมือนกับคฤหัสถ์เขาทำได้ด้วย จะมีอาชีพอะไรจะร่ำรวยได้ก็ทำหมด และยังได้เป็นเจ้าของพิธีกรรม เป็นเจ้าพิธี จะไม่รวยได้อย่างไร คือรวบไปหมดทั้งงานศาสนากับงานทางโลกก็เอา แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร เจ้าของกิจการก็ทำได้หมด และเป็นเจ้าของพิธีได้ด้วย นี่พระนะ เมืองไทยไม่เป็นขนาดนั้นก็ยังดี แต่ญี่ปุ่นเป็นอย่างนั้นแล้ว
-
เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
-
เธอละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลเว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.