650311 ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1k7-N6yEA7DHp27JMsbSSlX9PKq5r87EBbUoP8lphuoA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1ugX4s4tNo9wD0eZO9XnnMPZk_8k3m_5B/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bGVKfuKFgC/
และ https://youtu.be/wpdjk1LBzxo
สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก อีกไม่ถึงเดือนก็จะถึงงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ มีคนถามว่างานนี้จะเปิดชุมชนได้หรือไม่ แต่ดูแนวโน้มสถานการณ์ Covid ที่พุ่งขึ้นเหมือนหัวจรวด ภาวะความเสี่ยงยังสูงอยู่ ยอดติดเชื้อที่อุบลราชธานีเป็นพันคนเลย ยิ่งใกล้สงกรานต์ความเสี่ยงก็ยิ่งสูง …ก็ไม่ต้องมา แต่ตั้งใจสดับฟังธรรมกันต่อไปก็แล้วกัน
พ่อครูผู้มาฟื้นความเสื่อม 2 ทิศทาง ให้กลับมาเจริญของศาสนาพุทธยุคนี้
พ่อครูว่า…ชีวิตมันยังไม่ตาย ยังดิ้นด๊อกแด๊ก อยู่ในโลกยังไม่หยุดหายใจยังมีชีวิตได้รับรู้อะไรได้อยู่ อัมพาตเราก็ยังไม่ได้เป็น ก็ยังขยับเขยื้อนอะไรต่ออะไรได้ เราก็ทำสิ่งที่พอทำได้ควรทำได้ก็ทำ คำว่า ทำนี่ ภาษาบาลีว่า กรรม หรือ กโรติ
กรรมเป็นกิริยา การกระทำคือคำนาม คำกิริยาก็ทำ กโรติ ก็ทำ
คืออาตมาสรุปแล้ว ในชีวิตอยู่ในสังคมในโลก โดยเฉพาะเราอยู่ในถิ่นที่ สัปปายะ 4 อาหารสัปปายะ เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ
โดยเฉพาะเรามีธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สัปปายะ ซึ่งก็ยากที่คนโลกียะจะเข้าใจซึ่งมันบังคับเขาไม่ได้หรอก ยาก ก็ต้องรอจนกว่าเขาจะมีภูมิธรรม มีความฉลาด มีความรู้เพียงพอ ที่จะสามารถรับรู้ได้ ก็จึงจะรู้ว่า อันนี้ประเสริฐ วิเศษ เห็นคุณค่าที่สุดยอด เราก็พูดด้วยความเป็นจริง คนอื่นจะหาว่าอวดโอ่ เราก็พูดความจริงด้วยความจริงใจไปสู่ผู้ที่ได้ควรรับรู้ ว่านี่คือความจริงที่ยิ่งยอด ที่เป็นความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระองค์ที่ตรัสรู้แล้ว เป็นธรรมะอย่างเดียวกันหมดไม่ว่าในยุคไหนเป็นโลกุตระอย่างเดียวกัน
ในยุคไหนก็แล้วแต่ มันเป็นความเที่ยง จะมีรายละเอียดองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆต่างกันบ้าง ตามกาละเทศะฐานะ แต่จุดสำคัญแล้วที่เราเอาพระไตรปิฎกมายืนยัน เช่น วรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 ก็ตาม มันคงเดิม ของพระพุทธเจ้าคงเดิม แต่ก็มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างตามกาละเทศะฐานะไปบ้าง
แต่แกนหลักเดิม เช่นว่า จะต้องมาเป็นคนจน ในยุคของพระพุทธเจ้า 2500 ปีผ่านมาแล้ว ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็มาจน ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนที่จะไม่จน มีพระพุทธเจ้าบางยุคสมัยที่ไม่ได้ออกป่าเลย ตรัสรู้ในวัง ตรัสรู้ในอุทยานของพระองค์เอง ไม่ได้ออกป่า แต่อย่างนั้นมันมีน้อย อย่างเทวนิยม หรืออย่างโลกียะจะมีมาก ถ้าเผื่อว่าอย่างที่สำคัญอย่างนี้จะมีน้อย
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีภูมิธรรมจริงจะรับได้ บังคับอย่างไรเขาก็รับไม่ได้ ยัดเยียดยังไงก็ยัดเยียดไม่ได้ มันต้องมีเหตุปัจจัยที่เพียงพอจริงๆถึงจะรับได้ เพราะความเป็นโลกุตระนั้นมันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องที่สุดยอด
ยุคนี้เป็นยุคที่เสื่อม เสื่อมตามที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ใน อาณิสูตรเรื่องกลองหรือตะโพนอานกะ ที่ท่านตรัสเปรียบเทียบไว้ แล้วมันก็เสื่อมในยุคนี้จริงๆ เนื้อแท้ที่เสื่อมที่ยืนยันจริงๆก็คือโลกุตระนั้นไม่มี เนื้อความไปอ่านให้ดีๆนะ อาณิสูตร ท่านตรัสไว้ชัดเจน คือ มันจะไม่มีโลกุตระแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้โลกุตระอย่างอาตมาเกิดมาในชาตินี้ ก็นำเอาโลกุตระมา สถาปนาลงไป
ก่อนอาตมา มีท่านพุทธทาสกล่าวถึงโลกุตระ แต่ก็ยังไม่มีเนื้อแท้ของโลกุตระอย่างบริบูรณ์เพียงพอ คือเริ่มจะรู้สึกว่าเป็นโลกุตระ แต่ท่านก็ยังมีเทวนิยมอยู่ไม่น้อย ยังไปหาป่า หาอะไรต่ออะไรอยู่ ไม่อยู่ในเมือง
อย่างอาตมาต่างกันกับท่านพุทธทาส อาตมายินดีในเสนาสนป่า ความยินดีมี แต่ไม่จำเป็นต้องไปออกป่า เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาคนกรุง ศาสนาสังคม คนเมือง ไม่ใช่ศาสนา มิลักขะ แต่เป็นศาสนาอริยกะ เป็นศาสนาแห่งคนเจริญคนประเสริฐ ซึ่งมีความซับซ้อนที่แยกจากกันทีเดียวไม่ได้
อย่างพระพุทธเจ้าพระสมณโคดม ตอนออกบวชก็ออกบวชตามโลกเขา มีประเพณีนิยมที่มันเป็นความเสื่อมแล้ว เป็นจารีตประเพณีนิยมคือออกป่า ท่านก็ออกป่าตามเขา เขาพาทำทุกรกิริยาต่างๆ ซึ่งไม่ใช่พุทธเลย บำเพ็ญความลำบากลำบน ทรมานตัวเองต่างๆ จนกระทั่งจะตายไม่ตายแหล่ อดข้าวอดน้ำจนกระทั่งจับข้างหน้าถึงข้างหลัง หน้าท้องถึงหลังเลย ก็มีตำนานเล่าไว้
เสร็จแล้วก็มาได้ฟื้นถึงความเป็นจริงขึ้นมาได้ว่า แบบนั้นมันไม่ใช่ ก็กลับมา มาเป็นปกติ ของพุทธเจ้าเป็นคนปกติสามัญ มนุษย์ในสังคมธรรมดานี่เอง อยู่กลางๆ ไม่ใช่เป็นพวกร่ำรวยฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย จนก็ไม่จนอย่างขาดแคลน อย่างลำบากลำบนขัดข้อง อุดมสมบูรณ์อย่างนี้ คนจนอะไรทำไมของกินเต็มไปอย่างนี้ ชาวบ้านเขาก็งงทำไมบอกว่าจน นอกจากมีกินมีใช้แล้วคนอื่นเขายังมาอาศัยเลี้ยงชีวิต มาทำงานทำการอยู่ในนี้เหมือนกับซาอุฯน้อยๆ มีคนมาทำงานทำการเลี้ยงชีพอยู่ไป จากเดิมไม่มีอะไรจนกระทั่งมีรถแบ็คโฮ มีเครื่องใช้ไม้สอยในระดับชั้นกลาง ซึ่งมันเป็นเรื่องซับซ้อนที่รู้ได้ยากเดาได้ยาก
อาตมาอธิบายถึงเรื่องความเสื่อมของศาสนาพุทธ เสื่อมไป 2 ทิศ
ทิศที่มันไม่รู้ มันโง่ ก็คือทิศไปหาพญานาค ใช่พยัญชนะภาษา เปรียบเทียบเป็นงูใหญ่ งู ต้องใช้ภาษาอะไรใหญ่ๆ ยกให้เป็นพญานาค ระดับพระยาเลย ภาษาโบราณ พญา ภาษาสมัยใหม่ก็ตั้งยศให้เป็นระดับ พระยา อย่างนี้เป็นต้น เจ้าพระยา สมเด็จเจ้าพระยา ไปโน่นเลย
พวกที่หลงในความรู้ เหินหาว บินบนสูงไม่ติดดินเลย ก็คือพญาครุฑ เรามีสมณะ 2 องค์ องค์หนึ่งเดินดิน องค์หนึ่งบินบน เตือนสติตัวเอง ระวังนะ บินบน กับมุดลงดิน ระวังอย่าไปมุดลงดิน ถ้าไม่มีหมู่ก็ลงดินไปแล้ว โดยจริตนิสัยไม่ต้องห่วงหรอก
อาตมาได้พยายามขยายความพญานาค ส่วนพญาครุฑนั้นยังไม่ขยาย ยังไม่รู้ว่าจะขยายหรือไม่ขยาย แต่ก็บอกให้ทราบว่าคนละขั้วกัน พญาครุฑเป็นพวกเหินหาวเหินฟ้า พวกไม่ลงดินเลย หัวสูง บินสูง เข้าไป รู้มาก อยู่เหนือคน อะไรต่างๆนานา คนอื่นร่วมด้วยไม่ได้เพราะว่าเขาสูงจนคนอื่นเกาะไม่ติด รับซับซาบไม่ได้ พูดไปมันก็ฟ่ามๆหลวมๆ กว้างๆใหญ่ๆมโหฬารๆ ไม่มีขั้นตอนให้คนไต่ตามได้
พ่อครูตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย
อาตมาได้ไล่พญานาคไปยังไม่จบดีก็อยากให้จบดี
ไล่ไปถึงระดับที่ 7 แล้วก็ทวน
ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้
มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ
-
นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ
-
นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่
เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ ๑๕ วิชชา ๘ ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา ๓”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ
ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา ๓”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสานพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้
หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด (อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ
“อปัณณกปฏิปทา ๓ (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ ๖-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ ๓ ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ ๙”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[๑] “สำรวมอินทรีย์ ๖” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ ๒”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[๒] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[๓] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด
แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา ๓”มันผิด“วิธีปฏบิติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณปปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้ ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้
-
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ
เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายามที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป
แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์
จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ
จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็น “มูลกา”(ข้อที่ ๑ ของ“มูลสูตร ๑๐” พระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ ข้อ ๕๘)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ“ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จผล
ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”
ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว
ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”
พ่อครูว่า…อุปาทานว่ามี เป็น psychosis เป็นได้จริงๆ หนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันนะเขามีฤทธิ์เดชเดินลุยไฟได้ เป็นได้จริงๆ ทำได้จริงๆด้วย อาตมาก็เล่นมาทางจิตวิทยา ทางนี้ทางวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็เล่น วิทยาศาสตร์อาตมาก็ทำสะกดจิต อย่างนี้เป็นต้น ยืนยันพิสูจน์มาแล้ว
ทางตาสิ่งที่ไม่มีก็ทำให้เห็นได้ กลิ่นมันไม่มีก็ทำให้มีกลิ่นได้ หนังไม่เหนียวก็ทำให้เหนียวได้ ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก อุปาทานทั้งนั้น ก็ได้ชั่วคราวที่จิตมันยึดมั่นถือมั่น ประเดี๋ยวก็เสื่อม บางคนเสื่อมง่าย อย่าไปเดินลอดผ้าถุงนะ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่จิตทั้งนั้นเลย psycho เป็นจิตวิทยา ถ้าไม่เข้าใจมันก็จะยึดมั่นถือมั่นจริงๆ
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าพวกนี้มันไม่แน่นอนไม่เที่ยงหรอก ได้ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีอะไรดี มีแต่หลงใหลกันว่าเก่ง ว่ายอดว่าวิเศษวิเสโสไป จะไปทางอิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ เดินน้ำดำดินอยู่ยงคงกระพัน ถ้าหากทางนามธรรมเรียกว่าอาเทสนาปาฏิหาริย์ ระลึกได้ ของหายก็ทายได้ หยั่งรู้ฟ้าดิน เรียกว่า อาเทสนาปาฏิหาริย์ ก็พอเป็นไปได้
อาตมาไม่ได้เล่นนานหรอก เล่นไสยศาสตร์ตอนเป็นฆราวาสอยู่ 8 ปี ก็ยืนยัน อาตมากลางวันไปเล่นกับพวกวิทยาศาสตร์สะกดจิต กลางคืนไปทางไสยศาสตร์
กลางวันอยู่ที่วัดมะเกลือ หมอเชียร หมอจรูญ หมอประพันธ์ อาตมาก็ไปคลุกคลีกับเขาอันนี้ทางวิทยาศาสตร์ แม้แต่เรื่องการระลึกชาติ เขาก็ตามศึกษา บางคนระลึกไปไกลเลย วิญญาณโน่นนี่ต่างๆนานา อาตมาก็เป็นอาจารย์ จริงๆแล้ว ที่อาตมาเอามาพูดมายืนยันอธิบายต่างๆนี้
แม้แต่นั่งหลับตาสะกดจิต เป็นสมถะ อาตมาก็ไม่ได้หมายความว่าอาตมาไม่รู้จัก อาตมาก็ทำมาหนัก รู้จัก อย่างสายหลับตา เขาจะมีอะไรเหล่านี้ อาตมาก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขา มีฤทธิ์มีเดชก็มีจริงๆ
สายวิทยาศาสตร์แถมอีก อาตมาก็ได้ ศึกษาฝึกฝนไปด้วย ไม่ใช่ว่าไม่รู้ พูดอะไรไปแล้วไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวเหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว ไม่ใช่อย่างนั้นอาตมาเป็นอาตมาทำได้
สู่แดนธรรม… มีคนเคยบอกว่า สมัยที่พ่อท่านทำ มันไม่ใช่ลักษณะที่พระป่าเขาทำ อย่างนั้นไม่ใช่แบบหลุดพ้น
พ่อครูว่า… พระป่าทำอะไร อาตมาทำเกินกว่าพระป่าด้วยซ้ำไป
สู่แดนธรรม… เช่นพระป่าจะรู้อะไรที่มีฤทธิ์เหนือธรรมชาติได้ รู้ใจคนเป็นต้น
พ่อครูว่า… อย่างเช่นอยู่ยงคงกระพัน ไม่ใช่เหนือธรรมชาติหรือ อาตมาเสกกระดูกโปนๆนี่ยุบลงไปคาตาเลย อาตมาทำ คนไปมีสามีเป็นพระพรหม อาตมาก็ซัดให้ด้วยอรูปพรหม เลยนะ พระพรหมก็หายไปเลย ซึ่งจริงๆแล้วก็คือพูดให้เขาเข้าใจว่ามันไม่จริงมันจะไปใหญ่อะไร จิตเรามันใหญ่ ไม่ใช่ไปถูกครอบงำทางจิตค่อยๆพูดจา
(167) ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาค”
เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ”
หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤษฏ์ปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ
เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้ใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ
ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้
-
เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังเต็มที่ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาค 7 ตัว 7 หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ
นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็นทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ 2”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ 1” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด
-
ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”จอมยึดเก่งยอดจนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู ยอดนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค” มีรูปโฉมดังที่เห็นกันอยู่ตามจินตนาการศิลปะไทยนั่นเอง
-
“ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“ หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆไปอีก
พ่อครูว่า…หมายถึงพระป่าที่เอาแต่นั่งหลับตานี่แหละ
สู่แดนธรรม… สุดยอดของการนั่งหลับตาก็คือ อสัญญี ผลักจนล้มก็ไม่ตื่น
พ่อครูว่า… เรียกว่าพรหมลูกฟัก เขาบอกว่าเข้านิโรธเต็มที่ ผลักล้มไปก็อยู่ในท่าแข็งนั่งอยู่ กลิ้งไปได้เลย เรียกว่า
-
สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็หลับต่อ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย