650314 พ่อครูมาสถาปนาโลกุตระได้นั่นเป็นเรื่องยาก รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1xHxOdt3bSBT0R3fO5Q9pqkYx2oGN5xdJPhRPGkOQg30/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1gp8GKarJXcl5PJfoGBIaMwh5qEhi_R_W/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bKTpFidX8_/
และ https://youtu.be/a-1Emo5h9j0
_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นรายการที่ทำให้เราได้พบเจอสัตบุรุษ อ.ไม้ร่มได้พูดคุยกับผม ถ่ายทอดสดอยู่ดีๆ ขาผมก็ก้าวไม่ออกเลย พอดีว่า อ.ไม้ร่มกับคุณรุ้งก็ช่วยกันทัน ก็ขอขอบคุณอ.ไม้ร่ม และอ.ไม้ร่มก็ถามมาว่า
_ไม้ร่ม…เมื่อพิจารณาถึงพวกนาคที่เอาแต่อยู่ในภพ เป็นฤาษีไม่ดูแสงสว่างของโลก ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป จะปักมั่นยึดมั่นถือมั่นอยู่แต่ในโลกแห่งการงานของตนเอง แล้วเขาก็ระบุมาเลย เช่นสังคมของชาว ซาคาฮารี ในบ้านราชฯ ที่จะต้องสำคัญมั่นหมายในการใช้ใบตอง ไม่ใช้อันอื่น ไปหาตัดใบตองตามสวนต่างๆ
อย่างที่ 2 แม้แต่การสั่งของเพื่อประกอบอาหารก็ได้สิทธิพิเศษไม่ต้องไปส่งที่ด่าน แต่ไปส่งที่ครัวเลย อย่างเช่นนมแพะเนยใส เป็นต้น
เขาถามว่าการปักมั่นยึดมั่นในอัตวิสัยในอัตตา ในสักกายะเช่นนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยจะฃถือว่าเป็นพวกงูพวกระดับพญานาคได้ไหมครับ
สู่แดนธรรม… โดยส่วนตัวผมก็เคารพอาจารย์ไม้ร่ม ไม่ใช่ฐานะของผมที่จะไปปรับทิฏฐิ แต่ผมก็ขอพูดกับคนร่วมงานกับอ.ไม้ร่ม พ่อท่านเคยบอกว่า ถ้าจะทำงานชิ้นนี้ให้เอาตามไอเดียของอาจารย์ไม้ร่ม เหมือนเปิดทางให้อ.ไม้ร่มเป็นเต้ย แต่คนที่ร่วมงานด้วยถ้ายังไม่เข้าใจจุดนี้ ประโยชน์ตนเองที่จะได้ก็จะไม่ได้ คือการทำให้กิเลสตนเองลดลงให้ได้ประโยชน์ตน ส่วนจะทำให้คนอื่นได้ประโยชน์ก็เป็นสิ่งที่พ่วงกันมา
พ่อครูว่า…พูดมามันเลยยาว อาตมาเลยจับประเด็นไม่ได้เลย
อนุปคัมมะ ไม่เข้าไปยึดทั้งความมีและความไม่มี
สู่แดนธรรม… เขาถามว่าการปักมั่นยึดมั่นในอัตวิสัยในอัตตา ในสักกายะเช่นนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยจะถือว่าเป็นพวกงูพวกระดับพญานาคได้ไหมครับ
พ่อครูว่า… ได้ การยึด พอเริ่มยึดก็เริ่มเป็นงูขึ้นมาแล้ว ยึดมากเข้าก็เป็นพญา พญางู พญานาค
จริงๆแล้วยึดนี้เป็นเรื่องสุดยอดยิ่งใหญ่ในศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่รู้จักความฃฃงบจริง ความจริงในโลกมีสมมติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ
ความจริงของสมมติมันมีแตกต่างกันไปมากมาย เราจะไปยึดเอาอันใดๆนั้นมันไม่หวาดไม่ไหวมันมาก
ส่วนความจริงของปรมัตถ์นั้นมันมีขั้นตอน ของพระพุทธเจ้ามีจิตเจตสิกรูปนิพพาน สามารถศึกษาเป็นลำดับไป สุดท้าย รวมเป็นหนึ่งและที่สุดเป็น 0 จบ ได้ ปรมัตถสัจจะที่สูงสุดเป็นอย่างนั้น
ที่นี้ปรมัตถสัจจะ หมายความว่า เขาไปถึงจิต ทำจิต ทำจิตในจิตทีเดียว เขาก็ทำได้ สายศรัทธา สายเทวนิยม แม้แต่ชาวพุทธที่ยังไม่เข้าขั้นมีปัญญาแท้ สามารถที่จะแยกแยะจิตแยกแยะกายได้อย่างสัมมาทิฏฐิจริง ซึ่งไม่ใช่จะแยกกันได้ง่ายๆ แล้วไม่ใช่จะรู้จักความเป็นกายได้สัมมาทิฏฐิสมบูรณ์แบบได้ง่ายๆ ก็ไม่สามารถจะเข้าถึงสภาพทำให้เป็น 1 หรือเป็น 0 เป็นอนัตตาได้สำเร็จอย่างแท้จริง
คนผู้ที่ทำได้ขนาดไหนอย่างไร เขาก็ยึดของเขา อย่างนั้นๆ จนกว่าจะเป็นผู้ที่มาเรียนรู้การไม่ยึด ตั้งแต่ตนเองยึดสิ่งที่หยาบใหญ่ตั้งแต่ต้น แล้วก็วางเป็น แล้วก็วางอันที่ 2 อันที่เหลือต่อไป 3 4 5 6 7 8 9 10 วางแล้วจึงเห็นว่า อ๋อ.. ความมีมันมีอยู่ในโลกเป็นสมมติสัจจะ เพราะเราไปยึดมันเอง มันก็เลยกลายเป็นความยึด จนในที่สุดผู้ที่ไม่ยึดได้สูงสุดเป็นพระอรหันต์ ก็เห็นว่า อ้อ.. มันก็มีก็มีไป เราทำความไม่มีหรือความไม่ยึดได้แล้ว ก็เป็นเรื่องของเรา
เสร็จแล้วเราก็รู้ทั้ง 2 อย่าง เป็นผู้ที่อยู่ลอยตัวเป็น อนุปคัมมะ ไม่เข้าไปยึดทั้ง 2 อย่าง เพราะในโลกมันมีสภาวะ 2 อย่าง เป็นอนุปคัมมะ คือผู้ที่มี มัชเฌนธรรม คือธรรมะที่เป็นกลางอย่างสมบูรณ์แบบ
ผู้ที่มีความรู้อย่างนี้จึงเป็นผู้ที่มันไม่ ที่จริงแล้วไม่มีภาษาจะพูด แต่พยายามพูดโดยเอาภาษาไทยมาขยายความ สุดท้าย ตายไปด้วย ความมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะถ้ามีหรือไม่มีก็คือธาตุรู้ที่ยึดมี หรือยังยินดีในมี ในไม่มีก็คือยึดนั่นแหละ แต่ผู้ที่ตายผู้นี้ ไม่เป็นทั้งมีที่ไปยึดอยู่ หรือไม่มีไม่ยึดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นธาตุรู้หายไปเลย ตายอย่างดินน้ำไฟลม ไม่เหลือธาตุรู้ จึงมีทั้งมี จึงมีทั้งไม่มี และไม่มีทั้งมี และไม่มีทั้งไม่มี
เพราะเป็นคนมีบารมีจึงได้มีชีวิตอยู่ในแดนโลกุตระ
ว่ายังไงเด็กๆฟังแล้วสนุกสนานดีไหม
อาตมาเองยังรู้สึกว่าเราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้แต่ละคนๆนั้นรู้ในสิ่งที่มีและสิ่งไม่มี เป็นสิ่งสูงสุดของศาสนาพุทธแล้ว ใช้ภาษาพูดได้คำว่ามี กับคำว่าไม่มี สุดท้ายแล้วผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นอรหันต์ขึ้นไปแล้ว ก็อยู่กับมัน อยู่กับความมีกับความไม่มี แต่ก็ไม่ได้ยึดทั้งความมี ไม่ได้ยึดทั้งความไม่มี จึงอยู่กับความทั้งมีและไม่มีอย่างสมมุติอีกทีหนึ่ง ส่วนปรมัตถ์หรือจิตของผู้นั้นที่เป็นอรหันต์ขึ้นไป เป็นโพธิสัตว์กี่ชั้นก็แล้วแต่ คือคนผู้ที่หมดคู่แล้ว หมดเทวะ หมดสภาพ 2 แล้ว จัดการกับสภาพ 2 ได้สมบูรณ์แบบ การจัดการกับสภาพ 2 ได้สมบูรณ์แบบนี้แหละเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ความรู้อย่างที่ว่าที่กล่าวไปคร่าวๆนี้ แต่มันลึก สูง สูงสุดด้วย เด็กๆมานั่งฟังแล้วก็คงยากจริงๆ นอกจากจะเป็นเด็กที่เป็นอัจฉริยะจริงๆ เป็นผู้ที่มีบารมีจริงๆ เขาฟังแล้วก็เข้าใจ เด็กที่มีความเดียงสาขึ้นไป เช่น อายุเลย 7 ขวบขึ้นไปแล้ว ก็จะรู้สาระนี้
เพราะฉะนั้นในสมัยพระพุทธเจ้า เด็กอายุ 7 ขวบเป็นอรหันต์ก็มีแล้ว รู้เดียงสาแล้วรู้ความจริงนี้ได้ นั่นเป็นเรื่องของ กาละ เทศะ ฐานะ ของพระพุทธเจ้า กาละนี้คงจะยากแล้วอาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าด้วย ไม่สามารถทำให้เด็กขนาดนั้นบรรลุได้อีกด้วย ขนาดผู้ใหญ่ก็ยังยาก ไม่ใช่รู้ได้
กำลังจะพูดว่า เด็กๆที่ได้มาเรียนที่นี่ หรือแม้แต่เด็กๆที่เขาอยู่ที่นี่ ตั้งแต่คลอดอยู่ในนี้ แล้วก็โตมาในนี้ด้วย อย่าง น.ส.โมกข์ นายมะขาม อะไรอย่างนี้ นายขวัญเมืองราช นายชาติเมืองพุทธ(กระทง) พวกนี้ ได้มาอยู่ที่นี่จนกระทั่งชัดเจน แล้วในที่สุดแล้วเขาก็ชัด เขาไม่คิดอยากจะไปที่ไหนหรอก อยู่ที่นี่ เขาจะมีธาตุรู้ที่มีปฏิภาณปัญญาของเขาเองว่า มันเทียบได้
ออกไปข้างนอกกับอยู่ที่นี่ เขาจะยังชีวิตของเขา เขาจะรู้เลยว่ามันยากกว่ากันมากเลย อยู่ในนี้ ยังชีวิตมันง่ายกว่ากันมากจริงๆเลย อยู่ข้างนอก ยังชีวิตไปยาก
มีเรื่องสั้นของ O. Henry (โอ.เฮนรี่) เรื่องสั้น มีนายคนหนึ่ง เขาทำผิดจนกระทั่งต้องเข้าคุก เข้าคุกก็ทุกข์ทรมานในคุก ออกมาอยู่นอกคุก ก็เลี้ยงตัวเองทำมาหากินยากมาก เขาพยายาม สุดท้ายเขาทำผิดจนได้ ถูกจับเข้าคุกอีก พอหมดเวลาที่ติดคุก ก็ออกมาอีก ออกมาก็มาสู้ชีวิตอีก ยากอย่างเก่า ลำบากอย่างเก่า สุดท้ายดิ้นรนไปมา ทำผิดสังคมโลกอีก ถูกจับเข้าคุกอีก พ้นหมดอายุความที่ต้องอยู่ในคุกก็ออกมาอีก มาสู้ชีวิตข้างนอกอีก จนกระทั่งซาบซึ้งดีแล้วว่า ชีวิตข้างนอกนี้ยากกว่าอยู่ในคุก
อยู่ในคุก ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องอาจจะไม่เรียบร้อยเหมือนข้างนอกเท่าไหร่ เขาก็ไม่เอาแล้วอยู่ข้างนอก ไปอยู่ในคุกดีกว่า อยู่ข้างนอกมันทรมานทรกรรม ต้องเลี้ยงตนต้องดิ้นรน ลำบากลำบนมากเลย คิดได้แล้วก็พยายามเข้าไปในคุกดีกว่า ก็พยายามจะกระทำความผิด เจตนาทำความผิด เพื่อจะให้ตำรวจจับเข้าคุก
เช่น ไปแย่งอาหารเขากินเลย เขาก็ไม่ว่าอะไร ตำรวจก็ไม่จับ เพราะว่าเจ้าทุกข์เขาก็ไม่ว่า เขารู้จักหน้าตาดี เอาของไปเขาก็ไม่ว่าอะไร
หนักเข้าทำแรงกว่านั้น ทุบตู้กระจกเขาและเอาอาหารมากินอีก เขาก็ไม่จับอีก จนกระทั่งทำร้ายร่างกายเขาด้วย เขาก็ไม่เอาเรื่องอีก เหนื่อยมากเลย ก็อยากจะเข้าคุก ทำไมไม่ถูกจับเข้าคุกสักที เหน็ดเหนื่อย
เข้าไปในสวนก็ไปนอนที่ม้านั่งสาธารณะเพราะมันเมื่อย เสร็จแล้วตำรวจก็มาจับ ถามว่าผิดอะไร ตำรวจบอกว่าผิดในการนอนในที่สาธารณะ เวลานี้เขาห้ามแล้ว ก็มานอนสบายๆไม่ได้ทำร้ายใครเลยถูกจับเข้าคุกไปเลย
เรื่องนี้ เรื่องของ O.Henry นักเขียนเรื่องสั้น
สู่แดนธรรม… ก็สุดแท้แต่ว่าจะมองว่าสังคมข้างในเป็นคุก หรือสังคมข้างนอกเป็นคุกกันแน่ ท่านจันทร์เคยแต่งเหมือนเพลง โอ้ชีวิตเหมือนติดคุก
พ่อครูว่า… ก็มาศึกษาให้ดีๆว่า เกิดมามีชีวิต ชีวิตเหมือนติดคุก เพราะหลงสุข หลงสร้างทางสวรรค์ เพราะหลงรสอร่อย รสเอร็ด รสเผ็ด รสมัน
พระพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้และสอนให้รู้แล้วเลิกติดสิ่งเหล่านั้น ไม่มีเรื่องจริงเลย มีอะไรเขาสมมุติว่ามีอะไรดีก็ทำดีตามเขาได้ แล้วก็อยู่กับเขาไป จิตที่รู้ความจริงจนกระทั่งเป็นอนัตตา แล้วสามารถปล่อยวางจิตได้จริง จิตวิญญาณไม่ไปยึดจิตวิญญาณ มีอิสรเสรีภาพ สุดยอดเลย เป็นพระอรหันต์ตายแล้วก็สามารถเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรได้เลย สามารถอธิบายได้ง่ายๆอย่างนี้
ความจริงที่จะรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน จะไปนิพพานได้ก็เรื่องของแต่ละคน สามารถรู้ รายละเอียดของจิตเจตสิกต่างๆ พระพุทธเจ้าสอนรายละเอียดให้แยกรูปแยกนาม แยกเป็นจิตเจตสิก แยกไปถึงธาตุเวทนา แยกเวทนา 108 โลกโลกีย์เขายึดถือเป็นมโนปวิจาร 18 เป็นอย่างไร
เป็นแม้คำว่าออกจากโลกีย์เป็นอย่างไร รู้จักเจตสิกธรรม มโนปวิจาร เป็นอุเบกขาคือจิตที่ปราศจากกิเลส รู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสออกไปจากจิตได้ เป็นเบื้องต้น ท่ามกลางบั้นปลาย เป็นลำดับ ซึ่งยากมาก
พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าผู้ที่ทำได้ความเป็นลำดับจึงน่าอัศจรรย์ ผู้ที่ไม่รู้ความเป็นลำดับ พูดว่า ลำดับลำดา แต่ไม่รู้ลำดับจึงได้แต่ดับเลอะเทอะ ไม่รู้กายรู้กาม ไม่ได้รู้เรื่องเหมือนมหาบัว ก็ติดยึดถืออย่างนั้น มันก็หลงได้จริงๆ เพราะมันไม่ง่าย เรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพานนั้นง่ายๆ ยิ่งต้องไปดูเวทนาในเวทนา
แยกได้ จิตที่มีกิเลสทำออกจากกิเลสได้ จนเป็น เนกขัมสิตเวทนา ตัวสุดท้ายทำได้จึงเป็นเรื่องที่ยากสุดยาก แต่ก็ไม่พ้นความรู้ของมนุษย์ที่จะเรียนรู้ได้
เด็กๆหรือพวกนักเรียนได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้ในนี้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยแต่ก่อน ที่จะทำให้เราต้องได้เข้ามา เราไม่ได้เข้ามาหรอก อย่าไปว่าถึงอยากเข้ามาเลย ถ้าไม่มีบารมีแล้ว ไม่ได้เข้ามาอยู่ในนี้หรอก ถ้าเข้ามาอยู่ในนี้โดยที่ไม่มีบารมีนั้น ตัวเองจะประพฤติตนเองไม่ได้ดีก็ถูกไล่ออกไป จะอยู่ไม่ได้เรียบร้อยอย่างพวกเรา
เพราะฉะนั้นเด็กที่อยู่ในนี้ได้ นอกจากเด็กที่ไม่มีบารมีพอ โตไปก็ออกไป แต่เด็กที่มีบารมีพอ โตขึ้นเขาก็เลือกอยู่ที่นี่ อยู่ตามวัฒนธรรมที่นี่ ตามหลักเกณฑ์อย่างน้อย มีศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่มีอบายมุขเป็นพื้นฐาน ซึ่งมันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร
แต่ข้างนอกเขาไม่ได้นะ เขารักษาศีล 5 ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ได้ เขาทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม้แต่พวกเรา จะเด็กก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ตาม ออกไปข้างนอกแล้ว จะให้อยู่อย่างที่นี่คือ ถือศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุขสบายๆไม่ได้ง่ายหรอก เหมือนในนี้ ที่นี่มีพลังงานมีเหตุปัจจัยเป็นองค์รวม สามารถทำให้เราอยู่ได้ ถ้ามีบารมีพออยู่ก็อยู่ได้ แต่ไปข้างนอกนั้นมันไม่ง่าย
เพราะฉะนั้นคนที่มาอยู่ที่นี่จึงมีจำนวนจำกัด ไม่ได้ปิดกั้นนะ อโศกไม่ได้ปิดเลย ใครจะมาเท่าไหร่ ก็มา อย่างนักเรียนนี้เรียนฟรี อย่าว่าแต่เรียนฟรีเลย แต่เลี้ยงดูทุกอย่างด้วย จนโต อยากอยู่ต่อ ที่นี่ให้อยู่ต่อได้ เรียนจบแล้วจะอยู่ที่นี่ต่ออยู่ได้ อยากไปเมื่อไหร่ก็ไปได้ ไม่มีการบังคับอะไร อิสรเสรีภาพ
เพราะฉะนั้นคนอยู่ที่นี่ถึงเป็นคนมีบารมีจริงๆ แม้แต่เด็กบางคนไม่อยากอยู่หรอก แต่ถูกพ่อแม่หรือญาติพี่น้องที่มีอิทธิพลบังคับให้มาอยู่ที่นี่ได้ เขาก็มีบารมีขนาดหนึ่งแล้ว ถ้ายิ่งใจตัวเองก็ไม่มีปัญหาอะไร อยู่ที่นี่ได้สบาย ก็อยู่ที่นี่ได้ สุดยอด นี่คือเนื้อแท้โลกุตรธรรม
แต่อย่างว่ามันไม่ง่าย แม้จะอยู่ได้ อย่างพวกเราอยู่ทั้งปีไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง ตอนนี้ก็ปล่อยให้กลับบ้านกัน ถ้าบอกว่า อยากจะไป นั่งอยู่ที่นี่เหมือนถูกตีกรอบอะไรอยู่บ้าง ก็รู้สึกว่ามันเก่าแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ๆ ระวังเถอะ ผีข้างนอกมันหลอก มากมายผีหลอกข้างนอก ระวังดีๆนะ แต่ละคนๆออกไป ผีหลอกแล้วนี่ เชื้อมันร้ายแรงกว่า Covid อีกนะ เดี๋ยวติดเข้ามาในนี้แล้วโอ้โห มันยิ่งกว่า Covid อีกนะระวังเถอะ ปล่อยปละละเลย ปล่อยตัวไปนะ ยุ่ง
แต่บอกแล้วพูดไปแล้วว่าจริงๆแล้วมันซับซ้อน เพราะว่าเด็กที่จะมาอยู่ที่นี่ได้ จะยไม่ออกไปนั้นมีบารมี แม้จะเป็น เด็กเกิดในนี้เลยแล้วก็อยู่ในนี้เลยจนโต รุ่นโตที่สุดที่เกิดในนี้เลยก็รุ่น โมกข์ มะขาม
ที่จริง กระทกรกหรือกระทงก็ดี พ่อแม่เขาก็อยู่ในนี้ แต่เขาไปคลอดที่โรงพยาบาล แต่โมกข์กับมะขาม หมอตำแยคือพรตะวันทำคลอด
แม้แต่จะว่าไปแล้ว ด.ญ.ปุญย์ แม้จะไปคลอดที่โรงพยาบาลก็ตาม เขาก็คลอดธรรมชาติ เขาไม่ยอมผ่า ซึ่งคนแนะนำมากเลย เพราะแม่ เจ้ารุณ ตัวเล็ก แล้วเด็กตัวไม่เล็กเท่าไหร่
สู่แดนธรรม.. กระทงกับกระทกรก เป็นรุ่นเดียวกัน ส่วนมะขามเกิดที่บ้านสุขภาพหลังเก่าเขตสิกขมาตุ (รื้อออกไปแล้ว)
พ่อครูว่า… ชื่นชมบารมีเด็กที่อยู่ในนี้มันเป็นสัจจะ ซึ่งคนข้างนอกอาจจะไม่รู้สึกว่ายิ่งใหญ่เท่าไหร่ แต่อาตมาขอยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งในยุคนี้ เป็นยุคที่เสื่อมมาก ศาสนาพุทธโลกุตรธรรมไม่เหลือแล้ว แต่ในนี้เป็น แดนศิวิไลซ์แท้ๆ
อาตมาพูดไปคนเขาก็ไม่รู้ เขาอาจบอกว่าหลงตัวเองบ้าบอ อะไรสาธารณโภคี โลุตระ เขาไม่รู้เรื่องหรอก คนข้างนอกเขาฟัง แม้จะศึกษามาบ้าง เป็นผู้ศึกษาทางธรรม ทางพุทธศาสนา ได้ยินคำเหล่านี้ พยัญชนะเหล่านี้ เข้าใจความหมาย แต่ไม่ได้หยั่งรู้เข้าไปถึงข้างในลึกๆ เพราะมันเป็นสิ่งสูงส่ง เป็นสิ่งที่สุดยอด เกิดได้ในยุคนี้เป็นคนที่มีโลกุตรธรรม เกิดได้ในยุคนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
อาตมาพูดไปแล้วเหมือนมันหลงตัวเองใหญ่เหลือเกิน แต่มันเรื่องจริง เป็นอย่างนี้นี่เป็นได้ยาก แต่พวกเราเป็นได้อย่างสงบเรียบร้อย สงบอบอุ่นด้วย จริงไหม … อยู่ด้วยกันอย่างสงบอบอุ่น ไม่แย่งไม่ชิง ไม่รุนแรง ไม่มีวิวาทะ
สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ นี่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมดเรียบร้อย มีหมดเลยที่นี่
มี สาราณียธรรม อยู่กันอย่างระลึกถึงกัน
มีความรักกัน รักกันอย่างญาติธรรม ปิยกรณะ
เคารพกันด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิก็ตาม คุรุกรณะ
สังคหะ เอื้อเฟื้อเจือจาน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป
อวิวาทะ ไม่ทะเลาะกัน ทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราวอะไรกัน บางคนอยู่กันมา 40 กว่าปี จะ 50 ปีแล้ว …. ใครอยู่มา 50 ปีบ้าง …ไม่มี 40 กว่าปี …มีบ้าง
มันเป็นเรื่องจริงนะ อยู่กันอย่างนี้ ไม่ได้อยู่กันอย่างบำเรอ บำรุงกัน ต้องการอะไรก็ได้อย่างใจอยากเสพอยากได้ ก็ไม่ได้มีความต้องการ ไม่ได้อยากได้อะไรมากมายจนต้องแย่งชิง จนต้องทุจริต ขโมยหรือโกงกัน เป็นทุจริตกรรม
40 – 50 ปีพวกเราทำได้มีศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
ศีล 10 คือไม่สะสมเป็นของตัวของตน มีกองกลางไว้อาศัย ศีล 10 เป็นระดับสาธารณโภคี แม้แต่สังคมข้างนอก เป็นสังคมพุทธระดับภิกษุ ได้ไหม สาธารณโภคี แต่พวกเราเป็นฆราวาส ได้ นี่ไม่ได้ยกตนข่มท่าน ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรหรอก แต่เป็นสัจธรรม
ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เรียนรู้ปฏิบัติแล้วทำได้ตามคำสอนคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ แม้ในยุคนี้ใกล้กลียุค ศาสนาพุทธเสื่อมหนักขนาดนี้พวกคุณยังปฏิบัติได้ บรรลุธรรมได้ ถ้าไม่ใช่บรรลุธรรมพวกคุณอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก อดทนไม่ได้หรอก
สู่แดนธรรม… กดข่มเอาไว้
พ่อครูว่า… กดข่มได้ก็พักหนึ่ง สักพักก็ต้องออกไป แต่ผู้ที่อยู่ได้ ฝากชีวิตไว้กับเฮือนสุดชีวิตเลยเพราะที่นี่มีที่เผาศพ เรียบร้อย
ละกิเลสจริงในปัจจุบันต้องทำอนุปัสสี 4
สู่แดนธรรม… อวิวาทะ พวกเราไม่ได้ทะเลาะวิวาทกัน
พ่อครูว่า… ไม่มีเรื่องราวถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลต้องมีตำรวจมาจัดการ พูดใช้หอกปากก็ไม่มีมากมายอะไร ไม่มีอวิวาทะจริงๆ หอกปากก็หอกทื่อๆ ไม่แหลมไม่คม ไม่แข็งแรงด้วย แตะๆแทงๆกันเบาๆ อวิวาทะ
อยู่กันอย่างสามัคคียะ อยู่กันอย่างพรั่งพร้อม พร้อมเพรียง ว่าง่าย อยู่กันอย่าง สุภระ
สุโปสะ ทุกคนก็ตั้งใจศึกษา ศึกษาพัฒนาตนเองให้เจริญงอกงามไพบูลย์ อย่างแท้จริง มีวรรณะ อย่างแท้จริง
เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ซึ่งหลักธรรมของพระพุทธเจ้าพวกนี้พวกเรานำมาศึกษา แล้วปฏิบัติฝึกฝนอบรมตนได้ทำสำเร็จ จนกระทั่งอยู่ได้โดยไม่ยากเลยไม่ลำบาก เป็นชีวิตที่เป็น ฌาน
เป็นฌานวิสัย คำว่าฌานคำนี้ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า เขาเข้าใจไม่ได้เลย เป็นอจินไตย ฌานวิสัย เขาเข้าใจไม่ได้หรอก นี่แหละพวกคนนี้ ฌาน นั้นจะต้องไปนั่งหลับตาเข้าฌาน ไม่ใช่ นี่แหละฌานของฤาษี
ฌาน คือปัญญา ปัญญาคือฌาน
ปัญญาคือความรู้ แล้วความรู้นี้เผากิเลสได้ พอเผากิเลสได้ ขั้น ฌาน 1 กิเลสก็เริ่มรู้จัก ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วลดกิเลสได้ เป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา
ทำอภิสังขารแยกแยกแยะ ตักกะ วิตักกะ มีปัญญาแยกกิเลสออกจากจิตแล้วทำกิเลสลดได้
โดยปัญญามันจะเข้าใจอย่างแรกเลยว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง ซึ่งปัญญาที่เฉลียวฉลาดแบบโลกุตระ เห็นความไม่เที่ยง
อนิจจานุปัสสี ปัญญาตามเห็นความไม่เที่ยง สภาวะ 2 ทุกอย่าง ไม่มีอะไรเที่ยง
ทีนี้มันไม่เที่ยง ที่ไม่มีปัญญา เขาก็รู้ได้เดาได้ มีปฏิภาณก็พอรู้ทั้งนั้นว่ามันไม่เที่ยง แต่ไม่เที่ยง ผู้รู้จะเห็นความไม่เที่ยง ตามรู้ อนิจจานุปัสสี ตามเห็นความไม่เที่ยง ของ เจาะลงไปที่กิเลสเลย
จิตก็ตาม กิเลสก็ตาม ก็คือส่วนหนึ่งของจิต ปลอมตัวเป็นจิต ไม่เที่ยงและไม่แท้ เป็นอาคันตุกะ เป็นพวกจรเข้ามาอยู่ในจิตเรา เขาเรียกว่า แขกจร ไม่เที่ยงไม่แท้
ปัญญา ธาตุปัญญา มันมีพลังงานอำนาจรู้จักความไม่เที่ยงนี้แหละ รู้โดยเฉพาะ ยิ่งตัวไม่แท้คือกิเลส เฮ้ย! เอ็งอย่าปลอม เอ็งอย่ามาเสนอหน้า ปัญญามันจะรู้จริง
อธิบายไปแล้ว เท่านั้นแหละ กิเลสมันหายกิเลสมันลด หรือหากว่ายังไม่มีอำนาจประสิทธิภาพพอ กิเลสมันก็จะค่อยๆ จางคลายลง วิราคานุปัสสี ไม่ใช่ว่าไปนั่งกดข่ม แล้วก็ตามเห็นใน อานาปานสติสูตร
อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี
พวกนี้ มันเป็นลำดับที่แท้จริงเลย มันเป็นลำดับของสัจธรรม คุณจะตามเห็นเรียกว่า อนุปัสสี เห็นโดยปัญญาญาณ แล้ว เข้าไปรู้ตั้งแต่อนิจจัง มันไม่เที่ยง โดยเฉพาะกิเลสนี่แหละไม่เที่ยงเพราะมันไม่แท้ กิเลสมันไม่ใช่ตัวจิต กิเลสมันเป็นอะไรไม่รู้ แอบแฝงเข้ามาอยู่ในจิตเรามานานแล้ว พอปัญญามันเกิดจริง มันเห็น มันก็อยู่ไม่รอหน้า
ยังไม่มีอำนาจมากก็แค่ วิราคา ลดลงจางคลายลง จนกระทั่งมันดับได้ด้วย นิโรธานุปัสสี ดับได้ด้วยจริงๆ ไม่มีกิเลสตัวนี้ในจิตได้ ก็เข้าใจเลย ที่นี้ก็เลยทำตามอย่างที่ว่าด้วย ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำตามนิโรธานี่แหละ ก็ทำกลับไปกลับมา ทวนไปทวนมา จนสำเร็จเรียบร้อยเป็นอัตโนมัติ อนุปัสสี 4 ในอนุปัสสี 4
ในอานาปานสติ ตัวอนุปัสสี 4 เป็นยอดในการปฏิบัติ คนไปนั่งหลับตาปฏิบัติเขาก็ทำเขาก็เห็นเขาก็รู้แต่มันเป็นสมถะ มันไม่ได้เป็นวิปัสสนามันไม่ตื่นเต็ม อนุปัสสี เห็นตามทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและเห็นกิเลส มันเกิดจริง หลับตาปฏิบัตินั้นไม่เห็นกิเลสจริง มีแต่ความจำ
หลับตาปฏิบัตินั้นไม่มีกิเลสจริง มีแต่กิเลสปลอม มีแต่ความจำ
-
จำได้ว่าเป็นกิเลสก็เอาความจำมานึกถึงเท่านั้น
-
กิเลสตัวเองในอุปาทานแล้วก็เป็นสัมภเวสีคิดไปเองว่าเป็นกิเลส ปั้นมาใหม่ แล้วกิเลสเป็นกิเลสลมๆแล้งๆ เพราะคุณคิดเอง