650307 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 30 ตำนานพญานาค ตอนที่ 1
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1_MYgLlj3cD8mlRfdFovO87VkZNCoM_nKJiCyQ9NIqgU/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1GpkI-IxpSJ8AA953-R0fAsDgeHYJ14Xv/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bBJLxvIh3i/
และ https://youtu.be/WOkN7NbcoyU
_สู่แดนธรรม… วันนี้ เป็นวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)และนิมนต์พ่อครูอย่าไออีกเลย
พ่อครูว่า…ไปห้ามมันได้อย่างไร สรีระต้องเกิดปฏิกิริยา บังคับให้ต้องไอ เป็นกลไกธรรมชาติ ไอทีนึง มันก็แรงเมื่อย วิบากมีก็ต้องรับไป
SMS วันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ 2565
พระศรีอาริยเมตไตรยเป็นชื่อตำแหน่งพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ทุกพระองค์
_อู๊ด คาราโว : การปฏิบัติธรรมแนวอโศก ที่นี่ที่เดียว จริง ๆ ครับ ที่จะทำให้เราใช้ชีวิต อย่างมีคุณภาพ สาระ คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ ติดตามให้ได้ สุดยอด ของวิถีชีวิตของมนุษย์ ที่สุดยอดฉลาด ในยุคห้าพันปี ของพุทธศักราช ผ่านมาถึงสองพันห้าร้อยหกสิบห้าปี เลยกึ่งพุทธกาล ติดตามพุทธทำนายให้ได้ครับ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…คนนี้เข้าใจดีเข้าใจถูกต้อง เรื่องที่อาตมายืนยันว่าในยุคนี้อาตมาต่อเชื้อศาสนาพระพุทธเจ้าซึ่งมันได้เสื่อมไปแล้วตามที่พระพุทธเจ้าได้ทำนายไว้ เหมือนกลองอานกะ เหลือแต่ของปลอมมาต้องทำคืนหาของเก่าของเดิมใส่เข้าไปให้เป็นของเดิมของแท้ ได้เท่าไหร่ก็พยายามที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันเป็นเรื่องจริงที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้
เป็นเรื่องจริง ถ้าใครยืนยันว่าเป็นผู้ที่จะมาเป็นผู้ต่อเชื้อดังกล่าวนี้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ ก็มายืนยันสิ ถ้าตัวเองแน่ใจว่าเป็นผู้นั้น เห็นมีแต่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ไม่ได้เป็นพูดต่อหรอกจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหนเห็นมีแต่อย่างนั้น เป็นพระศรีอริยเมตไตรย
ซึ่งจริงๆแล้วคำว่าศรีอริยเมตไตรย เป็นตำแหน่งไม่ใช่ชื่อพระพุทธเจ้า ก็เป็นชื่อพระพุทธเจ้าแต่เป็นตำแหน่งของพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปตลอดกาล ตรงไหนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็คือศรีอาริยเมตไตร หมดตรงนั้นอีกต่อไปก็จะมีศรีอาริยเมตไตรต่อไปอีกตลอดกาล ซึ่งคนไม่เข้าใจก็ติดยึดไปเห็นได้ชัดว่าพวกนี้ไม่มีความรู้ในเรื่องศาสนาพุทธ
ปลงภาระอย่างไรในชีวิตให้ดี
_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ · น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง สุดเศียร สุดเกล้า ลูกอยากทราบว่า “ปลงภาระ” มีความหมายว่าอย่างไร สำคัญต่อการปฏิบัติหรือไม่ และมีวิธีวางภาระอย่างไร เพื่อเกิดสันติสุขกับจิตวิญญาณของผู้เกี่ยวข้อง
พ่อครูว่า…คนที่ไม่รู้ไม่ชี้ก็หนีไป.. มันต้องค่อยๆลดละเป็นภาระในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบของตน อย่าไปแส่หาเรื่องไอ้ที่ไม่ใช่เรื่องของตนและเอามารับผิดชอบ ก็เป็นเรื่องสมน้ำหน้าตัวเอง โง่เองไปเที่ยวได้ไปยึดไปดึงอะไร มาเป็นหน้าที่ของตน ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่เข้าอีกอย่าง
แต่สิ่งที่เป็นหน้าที่แน่นอนโดยเฉพาะครอบครัว ก็จะต้องจัดการให้มันเรียบร้อยอย่าให้มันเป็นสิ่งที่ดูน่าเกลียดน่าชัง ดูกลายเป็นเสียหาย เป็นเหมือนเดรัจฉาน เหมือนเต่า ไข่ออกมาก็ทิ้งขว้างไปเลย จะเกิดไม่เกิดก็แล้วแต่ หรือเหมือนจระเข้ไข่แล้วก็ทิ้งไปเลยไม่ดูแลไม่ฟัก ลูกจะเกิดมาตายหรือไม่ตายก็ช่าง ไม่ได้ มันไม่เหมือนกัน มนุษย์ต้องรับผิดชอบต้องดูแลสิ่งที่ตัวเองจำเป็นต้องรับภาระ แล้วก็ต้องหัดปลดปล่อยปลงวาง ให้เรียบร้อยไปตามลำดับ อย่าไปหาเรื่องเป็นภาระมาใส่ตัวเอง
ธรรมดาธรรมชาติชีวิตก็มีสัมภาระวิบากอยู่แล้วของมนุษยชาติ มันเป็นธรรมชาติของสิ่งที่จะเป็นสัมภาระวิบาก หมายถึงวิบากมันเป็นสัมภาระของมนุษย์ที่จะต้องเป็นภาระสะสมเป็นวิบากไปอยู่แล้ว นี่ก็หนักแล้วสัมภาระวิบาก อย่าไปวิ่งหาภาระมาแบกอีกมากมายโดยเฉพาะตัวเองเป็นเตี้ยอุ้มค่อม ไม่ได้มีสมรรถภาพอะไรมากมายพอที่จะเป็นเหตุดูแลรับผิดชอบ แล้วก็ไร้สาระด้วยมันก็โง่
สู่แดนธรรม… ปัญญานี้ที่ถามมา ถามปลงภาระ ไม่ทราบเขาจะหมายถึงปัญหาของธรรมะหรือเปล่าที่จิตใจจะต้องหมดภาระในเรื่องกิเลส เอานิวรณ์ออกให้หมดแล้วจึงจะเป็นภาระว่างเบาแล้ว
พ่อครูว่า… ก็บอกอยู่แล้วเพื่อสันติสุขแก่คนที่เกี่ยวข้องไม่ได้เกี่ยวกับจิตวิญญาณตน เขาก็วงเล็บไว้อยู่
_นายกิตติ จุลกิจ · สาธุ…นะโมโพธิรักษ์สัตยโต…ครับ ..นาคทำไมบูชาองค์สัมมาพุทธเจ้าและมาเฝ้าพระบรมสารีริกธาตุ…เมืองไทยทางปักษ์ใต้พบโครงกระดูกของงูใหญ่มีงอนด้วยสู้กับยักษ์รัดกันและตายพร้อมกันในถ้ำและถูกค้นพบ
ท่านฯลองอธิบายสิว่ามันจริงหรือปลอม แล้วพญานาคทำไมถึงศรัทธาและบูชาพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงพญานาค ตกลงมีจริงหรือไม่ การปฏิบัติดีกว่ามนุษย์เสียอีก มีศีลและสัจจะธรรมมากกว่ามนุษย์…
พ่อครูว่า…มันปลอม เรื่องนี้อาตมาก็กำลังเขียน แยกออกเป็น 10 ข้อในเรื่องของพญานาค
ทำไมพญานาคถึงศรัทธาพระพุทธเจ้านัก อันนี้เป็นธรรมาธิษฐานที่ลึกซึ้ง
พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องหมายของผู้ตื่นผู้เบิกบาน แต่นาคหรืองูเป็นความหมายของผู้ที่หลับหรี่ ซึ่งตรงกันข้ามกัน
เพราะฉะนั้นใดชีวิตของสัตว์โลกที่ควรเป็นผู้ตื่นไม่ควรเป็นผู้หลับ ปฏิภาณสามัญของคนก็เข้าใจอยู่แล้ว คนเอาแต่หลับ คนเอาแต่ตื่นคนตื่นก็ดีกว่าคนหลับ มีประโยชน์คุณค่ารู้โลกรู้อะไร สังคมเขาอยู่ แต่หลับนี้มันหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น มืดบอด ไม่เข้าท่า อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นยิ่งเป็นความสูงส่ง มันก็ยิ่งผู้ที่มีปฏิภาณรู้แล้ว ธรรมดาสามัญเขาก็รู้แล้ว ยิ่งเป็นปัญญาปฏิภาณที่สูงส่งก็ยิ่งต้องเคารพนับถือผู้ตื่น มากกว่าผู้ที่หลับใหล ดังนั้นจอมนาคหรือจอมพญานาค พญานาคใหญ่ก็มีปฏิภาณว่าจึงยิ่งนับถือพระพุทธเจ้ามากเป็นธรรมดา
_ยายทอง ตาเซียน · ท่านฟ้าไทเทศน์องค์รวมธรรมะความรู้ทั่วไป.ลาดลุ่มลึก ลึกซึ้งมากครับ ละเอียดดีมากๆๆครับ กราบสาธุสาธุสาธุครับ
_0015 ขอบเขตของ “ปัจจุบัน” คืออย่างไร และคำว่า “อยู่กับปัจจุบัน” นั้นคืออยู่อย่างไร ระยะเวลาที่กำหนดหมายเช่น “วันนี้ เดือนนี้ ปีนี้”ถือเป็นปัจจุบันด้วยหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า… ที่จริงคำอธิบายนี้สำคัญมาก คำว่าปัจจุบันหรืออยู่กับปัจจุบัน อาตมาเคยพูดว่า ความจริงในโลกนี้ มีปัจจุบันเท่านั้นที่จริง อดีตไม่จริงอนาคตไม่จริง จริงอยู่ที่ปัจจุบันจุดเล็กที่สุด น้อยที่สุด เร็วที่สุดด้วย ก็เคยพูดผ่านอธิบายไปหลายทีแล้ว
สรุปแล้วเรามีอยู่ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง พอเลยเวลาปัจจุบันไปแล้ว มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราแล้ว มันผ่านแล้ว ยังไม่มาถึง มันก็ยังไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราหรอก ลึกซึ้ง และปัจจุบันก็ไม่เที่ยง ปัจจุบันมีกรอบขอบเขตเท่าไหร่ นับเป็นวินาทีนับเป็นเดือนเป็นปี โอ้โห
ถ้าจะบอกว่า นับปัจจุบันตามความเป็นนาที วินาที ก็ต้องต่อเนื่องกันไป ขณะนี้อันนี้ ต่อเนื่องกันอยู่ก็เรียกว่าปัจจุบัน ขาดจากนี้ไป มันก็หมดปัจจุบันนั้นเป็นอันใหม่ ก็เท่านั้นเอง
ก็คงจะไม่ต้องอธิบายกันมาก
….
ผู้ที่ยังติดยึดอาศัย สิ่งนั้นเป็นชีวิตก็ต้องอาศัย ส่วนคนที่รู้จักรู้จริงรู้แจ้งแล้ว เราก็ต้องเข้าใจเห็นใจผู้ที่ยังติดอยู่ ส่วนประเภทที่ไม่อนุโลมปฏิโลมเลยตีทิ้ง ก็เลยไม่มีเพื่อน ไม่มีผู้จะเชื่อมจะต่อเชื้อเพิ่มต่ออะไรกับเราเลย เราก็เลยเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ อยู่ไหนตัวเองก็เป็นสังคมที่แคบ ตัวเองก็แคบไปในอวิชชาของตัวเอง อย่าทำตัวเองเช่นนั้น เราเองเราไม่ติดไม่ยึดเราเข้าใจดีแล้วมีสาระหรือไม่มีสาระมากหรือน้อย เราก็รู้ขั้นตอนลำดับของมันทุกอย่างแล้ว คนอื่นเขาก็ติดยึดไปตามความติดยึดของเขา มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติก็ต้องเข้าใจ เขายังไม่เดียงสา เขายังอ่อนเยาว์ เขายังเป็นคนพาลคนโง่ ก็ต้องช่วยกัน เราเจริญแล้วเราหลุดพ้นแล้วก็ดีแล้ว ก็อย่าไปตัดทิ้งเขาหมดเลย เดี๋ยวจะเหลือตัวเองคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบไม่มีใครเลย แบบนี้ก็อยู่ในโลกที่ไม่มีใครยอมรับ มันไม่เจริญ พัฒนาอะไรให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ เพราะตีเขาทิ้ง จะเอาให้ได้อย่างเรา อย่างเรา คนอื่นอนุโลมไม่ได้ มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร
พ่อครูพูดถึงพืชผักผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะเทศน์ พ่อครูว่า สักวันก็ให้มะเขือเทศแทน มันมาเทศน์แทน …
SMS วันที่ 5-6 มีนาคม 2565
_ใบฟ้า ธัมทะมาลา · เป็นมงคลอย่างยิ่งที่ได้เห็น ได้ฟังธรรมจากท่าน อ.2 ผืนฟ้า ในรายการพุทธศาสนาตามภูมิเมื่อวันเสาร์ที่ 5 มีนาคม ที่กรุณามาโปรดญาติโยม กราบขอบพระคุณ กราบนมัสการด้วยเคารพศรัทธาเป็นอย่างสูงค่ะ
สู่แดนธรรม…อ่านความเห็นเรื่องสุขภาพของคนหนึ่ง สรุปว่า..พวกเรากินมังสวิรัติแต่ป่วย และเสียชีวิตหลายคน เพราะขาดถั่ว…
พ่อครูว่า… ต่างคนก็ต่างความเห็นกันต่างกันไป คนที่รู้มากก็ยากนาน เพราะเขาก็ไปอยู่ในตระกูลคนรู้มาก คนรู้น้อยก็พลอยรำคาญ ก็ให้รู้พอสมควรแล้วทำให้เสร็จไปเป็นลำดับลำดับ เป็นลำดับลำดาไปเรื่อย ต้องชัดเจนอย่างนี้
ตำนานพญานาค โดยพ่อครู ตอนที่ 1
(165) “พญานาค”นั้น มีจริง? หรือไม่มีจริง?
ทีนี้มาสาธยายเรื่อง“พญานาค”ให้สิ้นสงสัยกันดูทีรึ!
พญานาค“มีจริง” หรือพญานาค“ไม่มีจริง”ก็จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของความเป็น“พญานาค” หรือ“นาค”ที่เกี่ยวข้องในศาสนาพุทธกันชัดๆ แจ้งๆกันได้บ้าง
ติดตาม ไตร่ตรองไปให้แตกฉานกันดีๆ
“นาค”นี้คำบาลีหมายถึง “งู” หรือ“งูใหญ่” หรืออื่นๆอีก
แต่เราหมายเอา“งู”เป็นสำคัญมาใช้เทียบเคียงสาธยาย
“งู”คือ สัตว์ที่อยู่ในท่า“นอน” จึงมีสัญญลักษณ์“การนอน-การหลับ”นี่แหละ นั่นก็คือ พุ่งเข้าไปที่“ลัทธิหลับตา” หรือหมายถึงคนที่มี“มิจฉาทิฏฐิ”เอาแต่“หลับตา”ปฏิบัติกันนั้นแล
บาลีคือ “นาค” ไทยก็คือ “งู” ผู้หลงผิดที่เอาแต่“หลับตาปฏิบัติ”จึงยกให้เป็น“พญางู”ในภาษาไทย ทับศัพท์บาลีก็คือ “พญานาค” ซึ่งหมายถึงเดียรถีย์ หรือเทฺวนิยม ที่เขายังหลงใหลการปฏิบัติ“หลับตา” อันไม่ใช่วิธีปฏิบัติแบบพุทธ
พ่อครูว่า…อาตมาย้ำยืนยัน ถ้าชาวพุทธมาปฏิบัติธรรมแบบลืมตา ตื่นขึ้นมาศาสนาพุทธเจริญ แต่นี่เป็นโง่ดักดานยึดถือการหลับตาโพธิรักษ์พูดกันไปเถอะ..คอจะแตก จนกระทั่งเกิดสภาพพยาธิ เป็นกะเปาะงอกจากหลอดลม จนไอไม่หยุด
หรือแม้“วิธีปฏิบิติ”ที่แค่“หลับตาปฏิบัติ”นี้ก็เถอะ ก็ยังมี“ความรู้”กันแบบเดียรถีย์หรือเป็น“เทฺวนิยม”กันอยู่ ยังห่างไกล“วิธีปฏิบัติแบบพุทธ”ที่“สัมมาทิฏฐิ”กันอยู่หลาย“ปีแสง” “วิธีแบบพุทธ”นั้น ต้องเป็น“จรณะ 15 วิชชา 8”
ซึ่งมันตรงกันข้ามกัน 180 องศากับ“วิธีปฏิบัติ”ที่เป็น “จรณะ 15 วิชชา 8”เลยทีเดียว
ดังนั้น คนผู้เอาวิธี“หลับตา”มาใส่ในศาสนาพุทธจึงเป็น“ของปลอม” คนที่เอา“ของปลอม”มาใช้ในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด ถ้ายังขืนยืนยันใช้“ของปลอม”อยู่ก็เป็น“โจร”อยู่
“พญานาค”จึงคือ“โจร” ผู้เข้ามาปล้นศาสนาพุทธที่แท้
ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธก็ยังพากันหลงยึดมั่นถือมั่น“หลับตาปฏิบัติ”กันว่า เป็น“วิธีสำคัญ” เป็นวิธีหลักในการปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน บรรลุสมาธิ บรรลุนิพพานกันทีเดียว
ซึ่งมัน“ผิด”อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ
พ่อครูว่า…เหมือนอย่างมหาบัว อธิบายว่านั่งหลับตาไปแล้วจะบรรลุธรรม ปึ๊งเลย ไม่ได้อธิบายให้ลดกิเลสในจิต เจตสิก รูป นิพพาน เลย มีแต่อธิบายน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง มันผิดอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ
แต่ก็ยังหลงยืนยันยืนหยัดการปฏิบัติ“หลับตา”เป็นหลักที่จะทำให้เกิดบรรลุมรรคผลกันจริงๆจังๆกันอยู่ จึงยังเป็น“โจร”กัน เป็น“พญานาค”แท้ๆ
เมื่อยึดมั่นถือมั่นกันอยู่ เป็นกันมีกันเอาจริงเอาจังกันอยู่ ยังไม่เกิด“ปัญญา”เลิกละได้ ฉะนี้แหละคือ “พญานาค”
“พญานาค”จึงชื่อว่า “มีจริง” คือ “โจรที่หลับตาปฏิบัติเป็นพญานาคในพุทธ” ซึ่งอวิชชาซับซ้อน“หมุนรอบเชิงซ้อน”อยู่มาก
ซึ่ง“พญานาค”คือ โจรผู้ปฏิบัติผิด กบฏอยู่ในศาสนาพุทธ
ใครว่า “พญานาค”นั้น“มีจริง”หรือ“ไม่มีจริง”กันบ้างเอ่ย?
มันก็เหมือน“คำโกหก”และ“คนโกหก”นั่นแหละ
“คำโกหก”นั้น“ไม่จริง” แต่“คนโกหก”ก็“มีจริง” ชัดมั้ย?
(166) ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้
มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ
-
นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ
-
นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่ บุญเขาทำไม่ได้แน่ เขาสร้างพลังงาน บุญไม่เป็น
เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี “อปัณณกปฏิปทา 3” ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ
ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสนาพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้
หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด (อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ
“อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ 6-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ 3 ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ 9”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ เช่น ยกตัวอย่าง ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ทำร้ายสัตว์เมตตาเอ็นดูสัตว์ คุณก็จะต้องเป็นผู้ที่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 เกี่ยวข้องกับสัตว์ สัมผัสกับสัตว์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกี่ยวข้องสัมผัสต้องสังวรระวัง อย่าได้ไปเบียดเบียนทำร้ายจนถึงขั้นฆ่ากัน เป็นอันขาด
อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ
เช่น เนื้อสัตว์เป็นของที่ไม่ควรจะรับมากินเลย มันเป็นอกัปปิยะ คือของไม่ควร ต้องมีปฏิภาณปัญญาแท้ๆ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด
แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3”
มันผิด“วิธีปฏิบัติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณกปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้ ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้
สู่แดนธรรม.. ส่วนมาก พูดนั่งหลับตาปฏิบัติเขาจะบอกว่า ศีล ก็ผ่านมาแล้วขั้นตอนต่อไปคือสมาธินั่งสมาธิศีลก็บริสุทธิ์แล้ว
พ่อครูว่า… คือโมเมนต์ทั้งนั้น อวิชชาตลอด ก็คือโง่สิ โง่หนักโง่หนาโง่ซับโง่ซ้อนตลอดกาล คนที่จะตื่นมีสติรู้ทำกายวาจาใจตื่นรู้โลกรู้แสงอาทิตย์มีจักษุปัญญาญาณวิชชาแสงสว่างรับรู้สัมผัสเกี่ยวข้อง
เกี่ยวกับสัตว์ก็คือสัตว์ก็รู้ นี่ยังไม่ถึง ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืชนะ
อาตมาอธิบายศีลละเอียดละออแยกชัดเจนเลยศีล 3 ข้อนี้ในศีล 5
ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวของกับพืช นัยยะต่างกัน สัตว์มันก็เป็นจิตนิยามส่วนคล้องกับพืชก็เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม อธิบายละเอียดละออหมดแล้ว
ฟังดีๆ จะมีคนมาอธิบายอย่างอาตมาอธิบายนี้ นานกว่านานเหมือนกันจะมีคนอย่างอาตมามาอธิบาย ฟังเถอะ จะเรียกเป็นภาษาสำนวนไทยง่ายๆว่า บุญหูแล้วที่ได้ฟังได้ยิน บุญหูจริงๆ
สู่แดนธรรม… แทรกปัญหา จากลูกตัวเล็กๆ วันนี้มีข่าวพระครูที่อยู่ข้างนอก ถูกลอตเตอรี่ 3 ใบ ส่วนหนึ่งเอาเข้าวัด อีกส่วนหนึ่งน้อยกว่าเอาเข้าวัดแจกประชาชน ก็เลยรายงานมา พระก็ยืนแจกเงิน มือต่อมือ ให้ญาติโยมทั้งชายและหญิง ไม่ทราบว่า พระวินัยและศีลจะเหลืออยู่หรือไม่ ในเถรสมาคม พระก็ซื้อหวยได้อย่างไม่ละอายใจอย่างนี้ผิดวินัยด้วยหรือไม่คะ
พ่อครูว่า… ผิดหมดทุกอย่างเลย ไปแจกก็ไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ของภิกษุที่จะทำ พูดไปแล้วก็ไม่อยากจะพูดมาก พูดมากแล้วด้วย คือ มันเสื่อมจนไม่รู้สิรู้สายิ่งกว่าเด็กไม่เดียงสาเลยศาสนาพุทธทุกวันนี้ ในวงการศาสนาหลัก
ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ดูถูก ไปหาเรื่องหาความมาใส่ มันเพี้ยนมันเสื่อมเสียจนตามที่พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์เอาไว้แล้ว แต่มันก็เป็นไป
เพราะฉะนั้นใครมีปฏิภาณปัญญา มีดวงตารู้ว่า ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ เป็นอาริยธรรม เป็นอย่างที่โพธิรักษ์ นำมาเสนอนี้ รู้ แล้วก็เข้าใจว่าใช่ ก็มาเอา คือได้ยินได้ฟังเหมือนกันแต่ไม่เชื่อ เชื่อกระแสหลัก เชื่อเถรสมาคมมันก็เป็นธรรมดา คนก็ไปเอาทางโน้น
อาตมาไม่ได้มีปัญหากับคนที่ไม่เชื่อหรือเชื่ออาตมา อาตมาเองมีหน้าที่มาเปิดเผยความจริงเท่านั้น อาตมาขอยืนยันว่า
ศาสนาพุทธที่พูดนี้ตามหลักธรรม ยังดีที่มีพระไตรปิฎก เป็นหลักฐานยืนยันอ้างอิงได้ตลอดเวลา จรณะ 15 วิชชา 8 ก็อ้างอิงได้อยู่ในตำรา อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ยืนยันได้เป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อ ยืนยันอยู่ในพุทธคุณ 9 ของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครจะบังอาจปฏิเสธ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… พ่อท่านจะเน้นเรื่องกาย คือ ความหมายเป็นหมวดหมู่กอง เป็นพหูพจน์ มีส่วนหลักและส่วนแวดล้อมประกอบ สองส่วนเสมอ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) แต่คนไม่รู้ก็เอาแต่จิต ดูที่จิต
พ่อครูว่า… กายหมายถึงภายนอกหรือภายในอย่างเดียวก็มิจฉาทิฏฐิทั้งคู่ กายต้องสองเสมอ กายเป็นหนึ่งไม่ได้ กายมีภายนอกอย่างเดียวไม่ได้มีภายในอย่างเดียวไม่ได้ต้องมี 2 เสมอ ลึกซึ้งละเอียดในคำว่ากาย อาตมาอธิบายกายไปอีกนาน
อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ
พ่อครูว่า…จะกินจะใช้ก็อย่าให้เกิดกิเลส คุณไปนั่งนึกเอาว่ามันเกิดกิเลสไม่ใช่กิเลสจริงมันเป็นการนึกคิด ปั้นกิเลสขึ้นมาเอง ความจำไม่ใช่ความจริง
ถ้าสัมผัสแล้วมันเป็นความจริง สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นความจริง กิเลสเกิดทางใจเราจริง ไม่ว่าจะสัมผัสของกินหรือสัมผัสของใช้ ถ้าเกิดกิเลสก็เห็นกิเลสไปจัดการกิเลส ถึงจะเป็นจริง คนไปนั่งหลับตาจะถือเป็นหลักปฏิบัตินั้นไม่เป็นความจริงเลยไปปฏิบัติก็สูญเปล่าไม่ได้มีอะไร เล่นกับแต่ความจำลมลมแล้งๆไป เมื่อไหร่จะเกิดปฏิภานสักที อาตมาไม่เชื่อว่าท่านโง่นะ อย่าให้อาตมาเห็นว่าท่านโง่เลย อาตมายังเห็นว่าท่านไม่โง่
สู่แดนธรรม… ท่านคงไม่ได้คิดว่าตัวเองโง่แต่ท่านหลงผิดไปใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… จะเรียกว่าทั้งนั้นแหละพูดภาษาก็เป็นไวพจน์กัน
สู่แดนธรรม… นั่งแล้ว ได้สภาวะจิตใส เหมือนกิเลสไม่เกิดเลย มันก็เลยนึกว่าเป็นจริง
พ่อครูว่า… มันทำได้ทำอารมณ์ให้ว่างจากสิ่งที่เกี่ยวข้องก็ฝึกเอา ทำพลังงานขจัดเอาออก ในสภาวะนั้นทำได้ อาฬารดาบส อุทกดาบส ธรรมะก่อนซึ่งไม่ใช่วิชาของพระพุทธเจ้า
สู่แดนธรรม… สงบโดยไม่มีอะไรกวนมันง่ายใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ง่าย อาตมาทำมาหนักหนาแล้วเคยทำมา ไม่ใช่พูดไปเหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยวไม่ได้กินองุ่นกับเขาแล้วเอามาพูด ไม่ใช่ แต่ทำมาหนักหนาแล้วรู้ทั้ง 2 ด้านอย่างนั้นก็รู้อย่างนี้ก็รู้
อาตมาจึงเปรียบเทียบได้ว่าอย่างนั้นมันไม่ถูกอย่างนี้มันถูก ถึงพูดความจริงเพราะเรารู้ 2 ด้าน อย่างที่อาตมารู้เขาไม่ได้รู้ไม่ได้ฝึกกัน ก็มาลองฝึกอย่างนี้ดูสิ จะได้รู้ว่าอย่างไรถูก อย่างไรไม่ถูก อย่างไรควร อย่างไรไม่ควร มันจะเข้าใจเห็นจริง
อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด
พ่อครูว่า…ผู้ปฏิบัติสมาธิก็จะรู้ว่าความสงบแบบสมถะกับความสงบแบบปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้นเป็นอย่างไร ต่างกันอย่างไร
แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3”
มันผิด“วิธีปฏิบัติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณปปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้ ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้
-
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ
เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายาม ที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป
แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์
จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ
จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็นมูลกา”(ข้อที่ ๑ ของ“มูลสูตร 10” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ “ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น “โลกุตระ” ได้สำเร็จผล
ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”
พ่อครูว่า…ชาวเทวนิยมที่จบดร. เป็นนักศึกษาทางศาสนา จะเป็นคริสต์ก็ตาม (อิสลามไม่ค่อยแสวงหาเท่าไหร่ ) จะจบปริญญาเอกทางศาสนาพุทธ (ชาวคริสต์ ) เขาก็ไม่ได้ซาบซึ้งอะไรเพราะจิตเขายังเป็นคริสต์
ถ้าจิตรากเหง้าเขาเปลี่ยนมาศึกษาศาสนาพุทธ เขาจะไม่เอาแล้วศาสนาคริสต์เขาจะเปลี่ยนมาเป็นศาสนาพุทธเลย แต่ศึกษาปริญญาเอกแล้วเขาก็เป็นใหญ่เป็นโตในศาสนาคริสต์ของเขาอยู่ มันส่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีจิตฉันทะจริงเลยในศาสนาพุทธ
ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว
ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”
พ่อครูว่า…ก็ขนาดคนมีฉันทะแล้วยังยากเลย ที่จะบรรลุธรรมแม้แต่เป็นชาวพุทธเอง จะปฏิบัติบรรลุโลกุตรธรรมก็ไม่ได้ง่ายๆ
(167) ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาค”
เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ”
หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล
ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤษฏ์ปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ
เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้าใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ
ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้
-
เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ “ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังเต็มที่ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาค 7 ตัว 7 หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ
นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็นทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ
“ภาวะ 2”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ 1” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด
-
ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”จอมยึดเก่งยอดจนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู ยอดนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค” มีรูปโฉมดังที่เห็นกันอยู่ตามจินตนาการศิลปะไทยนั่นเอง
สู่แดนธรรม… ผมเองตอนเป็นเด็กเคยอ่านพระมาลัยท่องนรก
-
“ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“ หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆไปอีก
-
สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็นอน“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย
สู่แดนธรรม… สรุปจบ
(146) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1ใน“สังโยชน์ 10”
แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ”หรือ“ทวกระแสสามัญโลกียะ”นะ! ก็ไม่รู้ว่า“ทวนกระแส”คือออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึงหยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ
ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็มองไม่เห็น!
ดำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ
คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น
รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน?ตนเอง“ไหลลิ่ว แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีก ด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง“การทวนกระแส”หรอก
ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย
ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง“ด้วยเสียงของถาดทองคำ”นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า”ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น“ไม่รู้”อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น
เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว
ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน?
จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ ๑ ก็
“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น มืดบอด
สนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน
ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(๒๕๐๐ ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ
แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกรทุ้งกระแทกด้วยปากหอก
(มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้
“พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ
เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม”
เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป๋็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ไได้
เมื่อ“หูหนวกตาบอด’กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตตบุรูษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้
กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิิ”กันหนักหาสาหัสจนได้ชือว่า “พญานาค”กันดังที่เห็นและเป็นอยู่
แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน
(๑๔๗) ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนผู้“อวิชชา”นั้นมีมาก
๕๐ กว่าปีแล้ว”ที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย
ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญา นาค” นอนเฝ้า“ถาดทองคำ”ของพระพุทธเจ้ากันอยู่
ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คน“อวิชชานั้นมีมาก
แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะ“กรรม”นั้นเจริญด้วย“ความพยายาม”แท้จริง จะท้อถอย“หยุดทำกรรม”ไม่ได้
โดยเฉพาะ“กรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ”
ที่ต้องพูดว่า เขายังเป็น“พญานาค”กันอยู่นั้น
ก็เพราะ“เขา”ได้ยินเสียงวิเศษจริงๆ(เสียงของ“โลกุตระ” แท้ๆนี่เอง) แต่เพราะความ“อวิชชา”สนิท ก็“หูผึ่ง”ขึ้นมาแวบหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชาต่อไปตลอดระยะยาวนานที่เป็น“กาล” ว่า อ้อ! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก อีกพระองค์หนึ่งแล้วเหรอ? ว่าแล้วก็“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” นั่นคือ อวิชชาต่อไป ทับถมให้“อวิชชา”หนาหนักเพิ่มขึ้นยิ่งขึ้นๆ ด้วยการหลงใหลหลับไหลอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด
ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆพระองค์แล้ว และก็จะมีพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นๆไปกับกาลของโลกนี้แหละ “พญานาค”ก็จะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นตัวจริง ยิ่งใหญ่ นอนเฝ้า“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปลึกลงไปอีกๆๆๆ ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะในโลกจะมีคน“อวิชชา”จำนวนมากครองโลกเป็นปกติสามัญ
ที่ไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย” ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ยัง“พ้นสักกายทิฏฐิ”ไม่ได้ง่ายๆ ดังที่เป็นที่เห็นจริงกัน
-
“พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี“หลับตา”หรือ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็เป็น“โจรปล้นพุทธศาสนา”อยู่นั่นเอง ที่พระราชาให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย
-
ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่“โจร”ก็ไม่ตาย ยังทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็สั่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาพบเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตายอยู่ๆ
(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๔๔) ใครเห็น“พญานาค”กันได้บ้างเอ่ย?
-
ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา -อาโลก”กันอยู่ เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง
นี่ปอกเปลือก“พญานาค”ให้ฟัง พญานาคมีจริงหรือพญานาคไม่มีจริงเป็นความรู้ระดับ“สิริมหามายา”กันทีเดียว!
แต่ชาวพุทธที่ยังไม่เห็น“พญานาค” เพราะ “อวิชชา”นั้นมีอยู่มากจริงๆ ทั้งๆที่ตนเป็น“พญานาค”อยู่เองแท้ๆ
(๑๔๘) “ศาสนาพุทธ”ไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก
“พญานาค”นี้คือ ลัทธิ“หลับตา”หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นของศาสนาเดียรถีย์เขา เขาก็“หลับตา”ปฏิบัติของเขาไปยืนยันความเป็นเดียรถีย์ของเขา ก็เป็นธรรมดาสามัญของเขาที่เดียรถีย์“มี”อยู่ประจำโลก
“พุทธที่เป็นโลกุตระ”ต่างหากที่“ไม่มีอยู่ประจำโลก”
ศาสนาพุทธจึง“มี”ขึ้นในโลกเป็นคราวๆ แล้วก็จะ “ไม่มีศาสนาพุทธ”ไปช่วงหนึ่งเรียกว่า“พุทธันดร(ช่วงที่โลกไม่มีึศาสนาพุทธในกาลช่วงนั้น)” แล้วจึงจะ“มี”พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา“มี”ศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่อีก” เรียกว่า “ภัทรกัปป์(คือในช่วงที่มีศาสนาพุทธมีพระพุทเจ้าอุบัติขึ้นมาประกาศศาสนาต่อกันหลายพระองค์ บางภัทรกัปป์ก็มีมากเกิน ๕ พระองค์เป็น ๑๐ เป็น ๑๐๐ กัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาน้อยที่สุด เช่น ใน“ภัทรกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม”นี้แล ก็มีเพียง ๕ พระองค์ จากนี้ก็เป็นกลียุค เป็นยุคโหดเหี้ยมเลวร้าย ฆ่ากันตายมากมาย ทั้งเลือดร้อน เลือดเย็น มนุษย์ในโลกก็เหลือน้อยลงๆ ก็จำต้องหยุดพักการฆ่ากัน)” สิ้น“ภัทรกัปป์”ก็เป็น“พุทธันดร”คือช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ จะเว้นระยะเวลาโลกว่างจากศาสนาพุทธไปช่วงหนึ่ง จะสั้นจะยาว ก็ตามแต่“กาละ-เทศะ-ฐานะ”ที่จะมีเหตุมีปัจจัยเป็นสัดส่วนปรุงแต่งกันให้“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป”ได้นั้นๆเท่าที่มันจะมีจะเป็น
“การหลับตาปฏิบัติ”นั้นมัน“มี”อยู่ประจำโลก มันเป็น “หลักปฏิบัติของเดียรถีย์”แท้ ไม่มีขาดหายไปหมดโลกหรอก การ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“โลกียธรรม” เป็นของ“เทฺวนิยม”
เขาก็“มี”ของเขาไป มันก็เป็นปดติธรรมดาของโลกียะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย“ความมี”กับ“ความไม่มี”นี้แหละในโลกที่ใช้“สื่อ”แสดงต่อกันให้รู้ ไม่มีอื่นหรอก “ความมี-ความไม่มี”จึงเป็น“เทฺว”หรือ“ภาวะ ๒”คู่ยิ่งใหญ่ อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันทำกันได้ครบ ที่ทำให้คนผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงก็จะ“รู้จบ”ทุกสรรพสิ่งได้ (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ ๔๓)
สรุปแล้ว ในโลกนี้มี“ความมีกับความไม่มี” แม้แต่พญานาค ก็คือ สิ่งที่“มี”หรือสิ่งที่“ไม่มี” เป็น“ภาวะ ๒” แต่อาตมาเป็น“อนุปคัมมะ” เป็นผู้มัชฌิมา คือเป็นคนกลางๆ ก็เห็นอยู่ว่า“พญานา”มันก็มีสำหรับคนผู้“มี” และมัน“ไม่มี”สำหรับคนผู้“ไม่มี” เพราะเป็น“ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานแล้ว” ชื่อว่า “พุทธ” จึงไม่ต้องใช้วิธี“หลับตา”ปฏิบัติหรอก
แต่คนในโลกมันมี“ผู้ไม่รู้(อวิชชา)”เทียบ“ฐานปีรามิด” นั้นย่อมมากกว่า “ผู้รู้(วิชชา)”ที่เป็นส่วน“ยอดของปีรามิด” มัน ก็เป็นธรรมดาสามัญแท้ๆตามสัจจะ ไม่เห็นจะผิดปกติอะไร
ผู้มี“อภิภุยฺย”เป๋็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด
มันเป็นเรื่อง“อจินไตย” เป็นเรื่องนิรันดร ทั้งความมี-ทั้งความไม่มี โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน“ความมี“ ส่วนพุทธที่เป็น“โลกุตระ ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี”
ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้“ไม่มี”ได้แล้วจริง ก็เป็น “ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มีนิรันดร”ได้จริง
ศาสนาพุทธเป็น“อเทฺวนิยม” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของไตรลักษณ์ มี“อนัตตา” มี“สุญญตา” มี“นิพพาน” และที่สำคัญมี“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”
“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”คือ คนผู็เป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองสามารถจัดการกับ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น “อุตุนิยาม” นั่นคือ “จิตวิญญาณ”ของคนผู้นั้นสูญสลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป หมดสิ้น“อัตตา”ของตนไปนิรันดรเลย
จึงไมใ่ช่“ศาสนา”ที่จะมีอยู่ใน“กาลของโลก”ประจำโลกนิรันดร มีบางช่วงที่เป็น“พุทธันดร” หมายความว่า “ระหว่างกาลเวลาช่วงใดที่ไม่มีศาสนาพุทธอยู่เลย ช่วงนี้แหละคือ “พุทธันดร” เป็น“ข่วงที่โลกกาละนั้น“ไม่มีศาสนาพุทธ”
ในโลกกาละนั้นมีแต่ศาสนาที่ไม่ใช่พุทธ คือ มีแต่ศาสนา“เทฺวนิยม”ที่เป็น“โลกียธรรมทั้งหลาย มากมายหลายศาสนาที่จะมีอยู่ในโลก ในโลกจึงมี“เทฺวนิยม”ประจำโลก ไม่ขาดหายไปจากโลกในกาละไหนเลย
ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาเดียวที่มี“โลกุตรธรรม” แต่ก็มีบางช่วง“โลกุตรธรรม”ขาดหายไปจาก“โลก”ในบางกาละ แม้ในวงการ“พุทะศษสนา” หรือที่สุด“โลกในกาละนั้นๆไม่มี“พุทธศาสนา”เลยในโลกก็เป็น“พุทธันดร”แท้ๆ
“พุทธศาสนา”จึงไม่ใช่ศาสนาที่มีประจำโลก
แม้แต่ในวงการ“พุทธศาสนา”เองแท้ๆ ก็ยังมีบางกาละ บางยุคที่ชาวพุทธเสื่อมหนักมี“โลกุตรธรรม”ไม่ได้ เช่น ในยุค พ.ศ. ๒๕๐๐ นั่นเอง ไม่มี“โลกุตรธรรม”ในขาวพุทธ ชาวพุทธเองแท้ๆในโลกช่วงนี้ไม่มี“โลกุตรธรรม”กันอยู่ในช่วงหนึ่ง
อาตมาเกิดมาในยุคพ.ศ. ๒๕๐๐ นี้ จึงต้องนำ“โลกตรธรรม”ฟื้นคืนกลับขึ้นมาให้แก่ชาวพุทธ ตามสัจจะที่ต้องเป็นไป
ขออภัยที่พูด“ความจริงซื่อๆ ตรงๆ เหมือนอวดตัวอวดตน แต่แท้จริงในจิตใจของอาตมาไม่มี“สาเถยฺยจิต”เลยจริงๆ
(๑๔๐) ศาสนาพุทธมี“จรณะ ๑๕ วิชชา ๘”ที่ประจักษ์สิทธิ์
“ศาสนาพุทธ”เป็นศาสนาที่มี“จรณะ ๑๕ วิชชา ๘ เป็น “พุทธคุณ”แท้ๆที่ประจักษ์สิทธิ์ สำเร็จผลได้เป็นที่ประจักษ์จริง
สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตาม“จรณะ ๑๕ วิชชา ๘”สัมมาทิฏฐิก็เป็นคนมี“ศีล”เป็นที่ประจักษ์ มี“การสำรววมอินทรีย์ ๖”เป็นที่ประจักษ์ มีการศึกษาปฏิบัติลดละกิเลสในขณะกินอาหารในขณะใช้วัตถุข้าวของ มีการพากเพียรเป็น“ผู้ตื่นอยู่”เสมอมี“วิญญาณฐีติ ๗”ในขณะ“ลืมตา”ปฏิบัติกับ“กาย”กับ“สัญญา”
ถ้าขืน“หลับตา”ปฏิบัติ ก็ไม่มี“กาย”ให้ปฏิบัติ
ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นผู้“มิจฉาทิฏฐิ”
เพราะไม่่มี“สำรวมอินทรีบ์ ๖” มีแต่นั่ง“หลับตา” นั่นคือ ไม่ได้มีการปฏิบัติระมัดระวังขณะที่“ตากระทบรูป”อยู่นั้น “กาย-วาจา-ใจ”ของเราจะมี“ทุจริตกรรม”ใดเกิดขึ้นบ้าง
เช่น “กาย”ภายนอกจะผิด“ศีลข้อ ๑-๒-๓”อะไร? ไฉน? ก็จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
หรือขณะเรามี“กรรมกิริยา”ทุกอิริยาบถ เราก็ต้องสำรวมอินทรย์เรียนรู้เพื่อปฏิบัติกำจัดกิเลสเสมอ
เพราะ“กรรม”เป็น“ความจริง” ถ้าเราทำลงไปแล้ว เป็น “บาปอกุศล” กรรมนั้นก็สั่งสมเป็น“วิบากติดตัวเราไปเป็นของเรา”จริงๆ ไม่เอาก็ไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้
“วาจา”ภายนอกจะผิดศีลข้อ ๔ อะไร? ไฉน? ก็จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
ใน“มรรคองค์ ๘”ผู้สัมมาทิฏฐิจึงชัดเจนในการปฏิบัติควบคุม“สังกัปปะ ๗” ตามหลัก“ศีล”แต่ละข้อ มี“อปัณณกปฏิปทา ๓-สัทธรรม ๗”ที่พาให้เกิด“ฌาน ๔”ด้วย“วิชชา ๘” เป็นผู้“ลืมตา”ปฏิบัติ ไม่“วิจิกิจฉา”เลยว่า “ฌาน”ของพุทธคือ “ฌานลืมตา” ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นผู้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ในพุทธ
พระพุทธเจ้าเปรียบเปรยผู้มิจฉาทิฏฐิออกนอกรีตนั้น เป็นโจรปล้นศาสนา เช่น คนที่“หลับตา”ปฏิบัติเป็นต้น.
พระพุทะเจ้าทรงสมมุติว่า มีพระราชาคือ ผู้เป็นใหญ่ที่รักษาสมบัติอย่าให้โจรมาปล้นเอาสมบัติไปได้ หากมี“โจร”เกิดขึ้นก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม แม้ในตอนเช้า ถ้ายังไม่ตายก็ให้ไปประหารอีกในตอนกลางวัน และหากยังไม่ตายอีกก็ให้เอาไปฆ่าอีกตอนเย็น แล้วท่านก็จบไว้แค่นั้น
เพราะลัทธิ“เดียรถีย์เป็นลัทธิประจำโลก จะในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต และทุกวันนี้ก็ยัง“มี”เดียรถีย์ หรือในโลกคนผู้“อวิชชา”นั่นแหละที่ยังงมงายอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติ มันไม่หนีหายไปจากโลกหรอก มันก็ยังเป็น“โจร”แทรกเข้ามาปล้นศาสนาอยู่จนได้นั่นแหละ
ผู้“หลับตา”ปฏิบัติ ที่เข้าใจ“กาย”ยังไม่“สัมมาทิฏฐิ”นั้น มันปฏิบัติเป็น“เดียรถีย์”จริงๆ เพราะมันไม่มี“ภายนอก” ไม่มี “วืิญญาณฐีติ”ให้ปฏิบัติ มันมีแต่“วิญญาณสัมภเวสี”
“หลับตา”ปฏิบัตินั้นมันเป็น“การปฏิบัติของเดียรถีย์” ซึ่งมันไม่ใช่ลัทธิของศาสนาพุทธ ไม่ใช่วิธีปฏิบัติของพุทธที่ “สัมมาทิฏฐิ”เลย
ดังที่คนไทยชาวพุทธในยุคปัจจุบันนี้ยังหลงเชื่อกันว่า การปฏิบัติที่จะเกิด“ฌาน”ก็ดี เกิด“สมาธิ”ก็ดี แม้ที่สุดเกิด“นิพพาน”นั้นต้อง“หลับตา”ทำสมาธิเข้าไปๆ จึงจะได้
ซึ่งมันผิด นั่นไม่ใช่แบบของพุทธเลยสักนิด
ดังเรื่องเกี่ยวกับคำว่า“พญานาค”อันคือ “งู”ที่ภาษาบาลีคือ “นาค”ตามที่เล่าให้ฟังนั้นแล
ชาวพุทธได้พากันหลงผิด“หลับตา”ปฏิบัติเป็นเดียรถีย์กันไป หลงมืดสนิทสนมเชื่อถือ“เดียรถีย์”กัน กระตุกกันยังไง กระแทกกระทุ้งแรงจัดขนาดไหน ก็ไม่ฉุกคิดกัน “ไม่ตื่น”ได้ง่ายๆ
ก็เปรียบได้เช่นเดียวกันกับ“พญานาค”ที่นอนหลับไม่รู้คู้
ไม่เห็นดับมืดมนอนธกาลอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึก เฝ้า
“ถาดทองของพระพุทธเจ้า”ทุกพระองค์ที่เคยอุบัติขึ้นมาในโลกแล้วล้านๆพระองค์
-
••••[จบ“ปัญญา ๘”ของพุทธศาสนา เล่ม ๑]•••••