650302 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1tlVsTxMIisVmsHUkhC46sYDEAV-Y2zd4L45hMPfny-w/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1pvaAEWhwKAnBNCMl-ffKcVYEVTCEwTr8/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/684322819676308
และ
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ในหนังอโศกมหาราช การแก้ไขปัญหาคือการห้ำหั่นกันด้วยกำลัง แต่ในยุคสมัยนี้คนใช้คำพูดเป็นหลัก ข่าวที่ออกมา จนไม่รู้ว่าอะไรคือจริงอะไรคือหลอก คนจึงต้องมาฟังธรรมจากพ่อครูเพื่อเปลี่ยนแปลงจากโลกิยะเป็นโลกุตระ ถ้าคนสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นคนโลกุตระได้โลกนี้ก็ดีขึ้นแน่นอน พ่อครูให้คนมาอยู่ที่นี่ 777 คน ซึ่งเกิดขึ้นไม่ง่ายเลย แต่ถ้าประกาศให้คนมาเอาเงิน คนมาหนาแน่นแน่เลย แต่ถ้าจะให้คนมาเอาโลกุตระนั้น เป็นเรื่องที่ยากกว่ามากเลย แต่ถ้าคนมาเอาได้จริงๆแล้วก็จะดีมากเลย
พ่อครูว่า…บนโต๊ะนี้จะเห็นว่ามีแตงโมอยู่มากเลย วันนี้ก็ได้ฉันลงไปด้วย มาจากอำเภอเขมราฐ จากคุณหวาน นามสกุลเบิกบานใจ มีกะหล่ำปลี มาทั้งกอ จากสวนอาจารย์ข้าดิน ขึ้นเครื่องบินมาเลย
SMS วันที่ 26-27 กุมภาพันธ์ 2565
พญานาคใต้ก้นบาดาลตื่นตอนไหน
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบขอบพระคุณพ่อท่าน และท่านสมณะที่ให้ความกระจ่าง เรื่องพญานาคได้ให้ได้เข้าใจ ถ้าไม่เข่นนั้นก็จะแยกแยะไม่ออก พญานาค พญาครุฑ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า..อาตมาก็ยังไม่เต็มที่ยังไม่เต็มใจตัวเองในการอธิบาย ยังจะแยกแยะและอธิบายไปอีก วันนี้มีของเก่าเขียนมาก็เลยยังไม่อยากอ่าน พญาครุฑยังไม่ได้ขยายความเท่าไหร่ แต่พญานาค พยายามทำความเข้าใจกันก่อน ว่าพญานาคมันเป็นสมมติสัจจะ แต่ว่ามีไหมมันเป็นสัจจะคือสมมุติ มันไม่ใช่เรื่องของภายในจิตวิญญาณ
คำว่าพญานาคไม่ใช่คำยกย่อง แต่เป็นคำดูถูกดูแคลน โดยเฉพาะพญานาคสำหรับคนที่ไม่เข้าใจเลยก็ติดยึดกันทำให้จมอยู่ในพญานาค จนมีอยู่ข้อหนึ่งบอกไว้ชัดด้วย ว่าเป็นพญานาคชนิดที่นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่พระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 อุบัติขึ้นมาในโลก ก็มีถาดทองคำที่ลอยทวนกระแส ก็เป็นความหมายบุคลาธิษฐาน ลอยมาซ้อนตั้งแต่ถาดใบที่ 1 จนกระทั่งมีพระพุทธเจ้าองค์ที่ล้านๆ แล้วพญานาคมีหน้าที่เฝ้าถาดทองคำใต้ก้นบึ้งมหาสมุทร แล้วจะรู้สึกเพียงแต่แค่เสียงของถาดทองคำ ที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแต่ละองค์ ลอยมาถึงที่นี่ก็จะตกลงมาที่เดียวกันหมด แล้วก็มากระทบกับถาดทองคำใบที่อยู่บนสุด องค์ใหม่มาก็ลอยถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ก็ลงมากระทบกับองค์ก่อนที่พึ่งจบไป
ได้กระทบกันเสียงดังจะเรียกว่า กริ๊กไม่ได้ เสียงนี้ต้องเป็นเสียงพิเศษ ที่พญานาคได้ยิน ปกติแล้วพญานาคนอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นไม่ได้ยินเสียงอื่นเลย ได้ยินแต่เสียงพระพุทธเจ้า เป็นธรรมาธิษฐานว่า โลกนี้มีศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้า นอกนั้นข้าไม่รู้อะไรเลย ตัวข้านี้มืดบอดสนิท หลับตลอดหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น หอกแทง 300 เล่มเช้า 100 กลางวัน 100 เย็น 100 ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่รู้เรื่อง ข้าก็จะหลับของข้าหลับตา หลับตาปฏิบัติเป็นโจรปล้นศาสนา
ผู้หลับตาปฏิบัติเป็นโจรปล้นศาสนา ความหมายอันนี้ลึกซึ้งมาก การหลับตาปฏิบัติมันเป็นโมฆะ มันทำลายศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติ ตื่น รู้รอบ ตาหูจมูกลิ้นกายใจสำรวมอินทรีย์ ตื่นอยู่ไม่มีหลับ ปฏิบัติลืมตาบรรลุธรรมก็ลืมตา หลับก็เป็นแต่เพียงนอนหลับพักเท่านั้นเอง ธรรมดาก็มีสติเต็มร้อยลืมตา
อาตมาเขียนข้อต่างๆเกี่ยวกับพญานาคไว้เป็น 10 ข้อแล้ว ก็ฝากไว้ก่อน
_แดง ลานกราบ · ท่านคะจริงๆแล้วพญานาคมีจริงไหม เคยได้ยินว่าทศชาติของพระพุทธเจ้ามีอยู่หนึ่งชาติที่เป็นพญานาค และพระพุทธเจ้าก็บอกให้พระโมคคลานะปราบพญานาคไม่ใช่หรือคะ
พ่อครูว่า.. เป็นตำนานเล่ากันมาก็ผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆ เหมือนตำนานกาเช็ดศพ คนพูดเป็นคนอีสานมาเล่าให้เพื่อนฟัง ก็บอก เห็นปลาเจ็ดศพ หรือกาเจ็ดสบ คือ กาเจ็ดปาก (สบคือปาก) กลายเป็นของประหลาด
_Ka Por ข้าพอ · ชื่นชมทีมปัจฉา
ตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค
_บรรจง ทะเลธรรม . กราบนมัสการพ่อครูโปรดวินิจฉัยข้อเขียนของป้าหมอดังนี้ครับ ศีล เป็นข้อปฏิบัติของปุถุชนเพื่อความเป็นปกติ หนักไปทางการปฏิบัติภาคกาย แต่ยังไปไม่ถึง การประจักษ์ในจิตญาณที่เป็น จิตเดิมแท้ อัน บริสุทธ์ สว่าง เปี่ยมด้วยปัญญาที่จะพาตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งแปดในความเป็นปุถุชน เป็นบุคคลที่มี ทวิภาวะ
เมื่อศีลสมบูรณ์ และบริสุทธิ์แล้ว บ่มเพาะคุณธรรม ในตวามรักที่ไม่หวังผล ความเมตตาที่ไม่มีขีดจำกัด เป็นมหาเมตตา ต่อสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ จะพาให้ ประจักษ์ในตัวตนที่ว่านั้น
กาลเวลานี้ เป็นกลียุค ภัยจากจิตใจคนที่ตกตำมืด ก่อเกิดพลังที่เป็นไอธาตุอัปมงคลกระจายไปทั่ว ส่งผลร้ายต่อมวลมนุษย์ที่อยู่ห่างไกลไม่เลือกว่าตนดีหรือไม่
อะไร จะข่วยยับยั้งให้พลังร้าย พลังทำลายจิตใจคน เข้ามาควบคุมจิตใจคนให้ห่างจากจิตที่ดีงาม
มีแต่พลังบวก พลังที่เกิดจาก จิตที่ดีงาม ซึ่งเริ่มต้นที่ความคิดดี คิดช่วยเหลือ คิดเป็นประโยชน์มวลชนไม่เลือกเขา เรา จากความคิด ดี ก็นำไปสู่วาจาที่ดี และท้ายที่สุดก็ต้องมีการกระทำที่ดี เกิดเป็นรูปธรรม มิใช่เพียงคิดและพูด
นี้คือสิ่งที่มนุษย์ต้องเข้าใจและยกระดับการมีศีล ขึ้นให้สูงถึง จิตวิญญาณที่จะต้องสูงขึ้นๆในกาลเวลานี้
นี้คือความหมายของสิ่งจริงแท้ในตัวตนค่ะ
เมื่อ กายและใจ เป็นเหตุปัจจัยที่พึ่งพาอาศัยกัน การปฎิบัติระดับกายพอเพียงที่จะดำรงชีวิตบนโลกในปัจจุบันไหม ถ้าไม่รู้จักส่วนจริงแท้ของความมีขีวิต คือใจ อีกใจหนึ่งที่แท้จริงคือจิตวิญญาน ที่จะช่วยให้ตื่นรู้ด้วยปัญญา พาตนให้พ้นทุกข์ในวงกว้าง มิใช่จำกัดอยู่ในคนหมู่น้อยที่จะเข้าถึงด้วยศีลเป็นสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว คนส่วนใหญ่ต้องหลุดพ้นให้ได้ในกาลเวลากัลป์สุดท้ายนี้
ถ้าเรายังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงที่ไม่มีรูปลักษณ์ เพราะเป็นเพียงพลังงาน ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เรียนรู้ด้วย ตา หู ลิ้น กาย ใจ (ใจตัวนี้ก็ยังเป็น สังขตะธรรม) ยังไม่รู้จัก ซึ่งเมื่อไม่รู้จักก็ย่อมเข้าไม่ถึง “ใจ” ที่ไม่มีเหตุปัจจัยเป็นตัวก่อเกิด ก็คือใจที่เป็น อสังขตธรรม หรือ จิตเดิมแท้ , จิตพุทธะ หรือธรรมแท้ที่มีในทุกคน นั้นเอง ธรรมแห่งการการหลุดพ้นจากวัฏฏสังสาร
พ่อครูว่า..รู้มากจะยากนานคนนี้ อธิบายเหตุผลเหตุปัจจัยวนกันไปยาวๆ ก็เข้าใจว่าคุณ แต่ถ้าเป็นอย่างคุณบรรจงไม่ได้ข้อสรุป ศีล คือข้อกำหนดให้ปฏิบัติ อย่างนั้นๆ คุณจะต้องสรุปลงให้ได้ แต่นี่คุณไปอธิบายศีลกับจิต อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มันหมุนวน เป็นความเคลื่อนอิทัปปัจจยาการ เหตุปัจจัยแก่กันและกันไปตลอด ไม่เคยจบ ไม่มีข้อสรุป มันมีแต่ความเข้าใจ ไอ้นี่แหละ เป็นพิษเป็นภัยอย่างยิ่ง ที่มนุษย์ไปเพลินกับเหตุผล เหตุและผลที่เป็นตรรกะที่ยิ่งใหญ่ ที่หลอกคนให้หลงอย่างมากเลย
แล้วมันจะมากเหตุและผลต่างๆไป จนกระทั่งไปหน้าลืมหลัง แล้วก็วนมาหาหลังไปอีกว่างไปเรื่อยๆ ไม่มีจบ ขออภัยยกตัวอย่างชัดๆ
นี่แหละคือพญาครุฑตัวอย่างในประเทศไทย คือพระมหาประยุทธ์พระพุทธโฆษาจารย์นี่แหละ ท่านมีลักษณะอย่างนี้จบไม่ลง จนอาตมานี่ ขออภัยที่พูดความรู้สึกจริงว่าน่าสงสารท่าน ตรงนี้ท่านไปยึดอย่างนี้ ก็เลยกลายเป็น ปทปรมบุคคล รู้พระพุทธพจน์ก็มาก สอนคนอื่นก็มักทรงจำได้มากแต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้ โอ้โห เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆ ไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะช่วยไม่ได้เพราะท่านไม่ได้ศรัทธาอาตมา ท่านไม่ได้เชื่ออาตมา มันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่
เพราะจริงๆขออภัย ต้องพูดอีก เพราะอาตมาเป็นคนที่ถูกต้องจริงๆท่านเข้าใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านยังไม่มีความเข้าใจ ไม่มีศรัทธาตัวต้นกับอาตมา มันจึงทำให้ท่านต้องเป็นอยู่เช่นนี้ ท่านจึงได้จมอยู่กับความรู้อย่างนี้ ท่านจึงตายไม่ลงที่จะต้องอยู่กับความรู้และเอามาบันทึกบรรยายให้คนอื่นได้รู้ ท่านจมอยู่ในตรรกศาสตร์
อาตมาว่า ขยายความยังไม่ละเอียดพอ ยังไม่เก่งแต่คงพอเข้าใจอย่างนี้เป็นต้น น่าสงสารท่านจริงๆ ท่านรู้มาก จึงยากนานจริงๆ เจาะเข้าไปสู่ปรมัตถ์
ศีลแต่ละข้อ ที่จะรู้ว่าผู้ปฏิบัติศีลแล้วจิตจะเกิดอธิจิต แล้วจะมีปัญญาชัดเจน เข้าใจๆทำให้เกิดวิมุติ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ จนเป็นวิมุตติญาณทัสสนะ แต่ไม่มีคุณลักษณะพวกนี้ไปด้วยกันไม่เป็นลำดับ ไม่มีอย่างนี้ ท่านก็ไปกับความรู้ที่เป็นเหตุผลตรรกศาสตร์ ก็ได้ตรรกศาสตร์กับปรัชญา อย่างนี้เป็นต้น ไป มากมายก่ายกอง
ท่านเป็นภันเตอาตมา เพราะท่านบวชก่อน แต่ท่านอายุน้อยกว่าอาตมา เท่านั้นเองมันก็สลับกันบ้าง นี่แหละมันถึงว่ายาก มันก็มีมานะอัตตาหลายๆอย่าง เช่นท่านเองท่านได้ศึกษามามีผู้รับรองมีปัญญามีบัณฑิตต่างๆนานา ท่านได้ดุษฎีบัณฑิต ได้รับการยอมรับจากใครต่อใครต่างๆกว่า 10 ใบนะ ดุษฎีบัณฑิตของท่าน อาตมานี่ อย่าว่าแต่ดุษฎีเลย ปริญญาจัตวา ปริญญาตรีก็ไม่ได้แม้แต่ใบเดียว มันหลายอย่าง มันทำให้คนไม่เข้าใจในรายละเอียดพวกนี้เพราะฉะนั้นท่านก็ออกมาไม่ได้หรอก
ท่านอาจจะไม่ได้เด่นในการที่ท่านจะลาภมากมาย แต่ท่านเองก็สบายท่านต้องการเท่าไหร่ก็ได้ ลาภมีคน Support แล้วท่านก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายอะไร ท่านมีแต่จะเอามาพิมพ์หนังสือ มีแต่เรื่องการศึกษาพวกนี้ทั้งนั้นแหละ ที่ท่านจะใช้จ่ายเอามาช่วยทำเพื่อเผยแพร่ไปให้ผู้อื่น แต่ยศ สรรเสริญ ท่านไม่รู้ตัวหรอก ยศสรรเสริญนี่แหละ อันตรายอันแสบเผ็ด
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ลึกเป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้แต่พระขีณาสพ ท่านว่าถึงขนาดนี้ ซึ่งอธิบายซับซ้อนเป็นสิริมหามายา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่รู้จะทำอย่างไร มันเป็นวิบากของท่านจริงๆ ท่านมีวิบากนั้นก็เลยต้องเป็นอย่างนั้น ก็เป็นไป จนกว่าท่านจะหมดวิบากและถอนทิฏฐิและจะฟังอาตมา มี ปรโตโฆษะ ฟังอย่างเข้าใจ มีมนสิการ
ท่านก็เข้าใจมนสิการแบบของท่านว่าเป็นพิจารณาเท่านั้นเอง แต่อาตมาเน้นไปในทางมนสิการไม่ได้เน้นโยนิโส
โยนิโสเป็นเรื่องของความรู้ แต่มนสิการเป็นการทำใจเป็นฐานจิต ท่านไม่เข้าหามนสิการท่านทำมนสิการไม่เป็น เพราะฉะนั้นในมูลสูตร มนสิการ เป็นตัวที่ 2 มนสิการ จึงเป็นตัวที่ยิ่งใหญ่มาก
มูลสูตร มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ มีวิมุติเป็นสาระ มีอมตะเป็นที่หยั่งลง จากอมตะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน
เป็นรากของความรู้ทั้ง 10 นี้สุดยอดจริงๆ ถ้าอาตมาเขียนเรื่องมูลสูตร 10 ก็ได้อีกหลายพันหน้า
ท่านลงไม่ถึงมนสิการ ท่านเข้าใจผิวเผินแค่เหตุและผล แทนที่จะไปโยนิโส คือเป็นความรู้ประกอบเหตุและผลนั่นแหละ แต่มันจะต้องไม่ทิ้งมนะ ไม่ทิ้งจิตแล้วต้องทำจิตมันต้องไปด้วยกัน ไม่ เพราะท่านอยู่ที่ท่านอธิบาย ท่านแปล โยนิโส ว่าเป็นการพิจารณาอย่างแยบคาย ก็เลยได้แต่พิจารณาแยบคายๆ แต่ไม่เข้าไปถึงจิต ไม่ได้ทำใจในใจเลย มีแต่พิจารณาแยบคายก็ได้แต่เหตุและผลเหตุ ปัจจัย เห็นไหม ขออภัยนะ อาตมาก็ไม่ได้ไปใส่ความ อาตมาวิจัยวิจารณ์ด้วยความจริงใจบริสุทธิ์ใจ ที่เห็นใจท่านจริงๆสงสาร
ถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ได้ ซึ่งมันก็ยาก เพราะว่าท่านไม่เชื่อที่อาตมาอธิบายบรรยาย มีแต่ท่านอ่านหนังสืออาตมาเพื่อจับผิด ไม่ได้อ่านหนังสือเพื่อให้เกิดปัญญา ให้เกิดความเข้าใจ อ่านเพื่อจับผิดมันก็เลยไม่ได้อะไรหรือฟังอาตมาบ้าง ฟังอย่างผิวเผิน ไม่ได้ฟังอย่างตั้งใจไม่ได้ฟังอย่างมีปัญญาข้อที่ 1 และ 2
อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่อาตมาก็เป็นสัตบุรุษ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะฟังธรรมเกิดปัญญาก็จะต้องฟังแล้วฟังอีกตามข้อที่ 2 ไม่ใช่คุณฟังธรรมะพุทธเจ้าแล้ว คุณก็เอาแต่รู้อะไรไม่ต้องฟังอีกแล้ว ทะลุทะลวงไปได้หมดเลย ถ้าคุณมีพื้นฐานเป็นโพธิสัตว์ที่รู้อยู่แล้ว ได้แต่เพียงหัวข้อเป็น อุคฏิตัญญูก็ได้ แต่คุณเป็นอุคฏิตัญญูจริงหรือเปล่า หรือเป็นวิปัญจิตัญญู ได้มานิดหน่อย ต้องฟังซ้ำ ฟังเพียงไม่เท่าไหร่ก็บรรลุแล้ว
สู่แดนธรรม… พวกสายที่ตักกะ ก็คือ บอกว่าปฏิบัติทำไมเพราะมันจะเกิดอัตตา แค่เข้าใจให้เกิดสมาธิ มันก็เข้าถึงธรรมะแล้ว จะไปปฏิบัติทำไม
ส่วนมากสายปัญญาแบบนั้น จะคิดอย่างนี้
พ่อครูว่า… ก็มีแต่ปริยัติไม่มีปฏิบัติ ก็ไม่มีทางมีปฏิเวธ ก็เป็นความรู้ที่ขาดพร่อง
แหม่มสวิส..ชาวสวิสโดยส่วนมากไม่บริโภคนิยม ไม่วัตถุนิยม รักความสงบ รัฐมนตรีระดับสูง ไม่มีบริวารติดตาม ขี่จักรยานไปทำงาน หิ้วกระเป๋าหนังเก่าๆขึ้นรถไฟไปทำงาน
ซึ่งก็พบเห็นได้บ่อยๆถึงปัจจุบัน
พ่อครูว่า… อาตมากำลังนึกอยู่ว่า ประเทศไทยเปรียบเทียบกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศไทยนั้นเป็นการให้น้ำหนักของ kama and time of continuum
ไอน์สไตน์เขาสรุปมาแล้วว่าเป็น space and time of continuum มันต่างกับอาตมา อาตมาเข้าถึงจิตเจตสิกรูปนิพพาน แต่ไอสไตน์ยังอยู่กับรูปธรรมเท่านั้น
เพราะฉะนั้นสูตรของไอน์สไตน์คือ E=MC2 ส่วนสูตรของอาตมาคือ E=C(mc2 + A) นี่คือสูตรเต็มของอาตมา
ลูกของไอน์สไตน์บอกว่า คนยังเข้าใจไม่ได้หรอก ซึ่งเอาไปเป็นพลังงานสันติยังไม่ได้ สันติคือต้องมาปฏิบัติทางจิต เอาพลังงาน E=MC2 มาปฏิบัติทางจิต ก็ยังเข้าใจไม่ได้หรอกก็เลยสารภาพกับลูกสาวว่าไม่สามารถอธิบายได้มากกว่านี้ แล้วก็ขอให้ดูไป ว่าจะมีคนมาทำได้ จนกระทั่งคนเข้าใจแล้วรู้ว่าอันนี้เป็นเช่นนี้หรือ พลังงานวิเศษที่เป็นพลังงานทางจิตที่ยิ่งใหญ่มันเป็นอย่างนี้หรือ คนก็จะเข้าใจ แล้วก็จะ ฮือฮา เป็นระเบิด Bomb of Love
ไอน์สไตน์ใช้คำว่า Bomb of Love เป็นระเบิดแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ช่วยมวลมนุษยชาติ
ก็มาเกิดในประเทศไทย เมื่อรัชกาลที่ 9 สิ้นพระชนม์ก็เกิด Bomb of Love ก็มีคนท้วงว่าไม่น่าจะใช้คำว่า Bomb น่าจะใช้คำว่า Explosion of Love
เกิดเป็นรูปธรรม อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเปิดเผยในส่วนของรูปธรรม ส่วนอาตมามาเปิดเผยธรรมะโลกุตรธรรมในส่วนที่เป็นนามธรรม ซึ่งมันลึกละเอียดยิ่งกว่ากันมาก ยากมากกว่ารูปธรรม เพราะรูปธรรมนั้นใครเห็นใครเข้าใจได้ง่าย ยอมรับนับถือบูชาในหลวง ร.9 อย่าว่าแต่ในประเทศไทยเลยในต่างประเทศก็เข้าใจ
แต่ว่าของอาตมานั้นไม่ต้องพูดถึงต่างประเทศเลยเอาแต่ประเทศไทย ยังได้แค่กะติ๊ดหนึ่งเท่านี้ 50 กว่าปีแล้วทำงานมา ถ้าหากอาตมาทำงานถึง 70 กว่าปีเท่ากับในหลวง จะขยับ ขึ้นไปกว่านี้ไหม ก็คงจะขยับไปบ้าง
SMS วันที่ 28 ก.พ. 65
SMS วันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2565
_สติพล จนพัฒนา · ข่าวด่วนวันนี้ 24 ก.พ. 2565 ปูตินเริ่มรบกับยูเครนระเบิดสนั่นหลายเมืองแล้ว.
_แก้วตะวัน พวงบุบผา · กราบนมัสการท่านสมณะท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ..
ยามหนุ่มสาวอย่าเอาแต่ใจไร้ประโยชน์ อย่ามักโกรธเป็นโทษภัยใหญ่นักหนา
ยามเมื่อเราเฒ่าชะแลแก่ชรา คนจะพากันละทิ้งยิ่งเศร้าใจ
จงฝึกหัดดัดตนจนเลี้ยงง่าย เร่งขวนขวายเป็นอาจิณสิ้นสงสัย
ยามเฒ่าแก่ยักแย่ยักยันไม่น่าห่วงใย มีคนให้การเลี้ยงดูน่าบูชา
_Kittima Ekmapaisarn กิตติมา เอกมาไพศาล · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง, กราบนมัสการ สมณะและสิกขมาตุทุกท่านค่ะ ถ้าโยมมีคุณสมบัติแบบสิกขมาตุพูดเลย โยมจะสมัครไปอยู่กับท่านเจ้าค่ะ…
_คอยใคร · ชอบพ่อครูเล่าอดีต สนุกดีครับ
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ในวันศุกร์ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ลูกไม่เห็นพ่อครูมาเทศน์ ลูกเข้าใจว่าพ่อครูป่วยค่ะ ลูกก็ได้ทำใจ เป็นอนุปคัมมะ และตั้งจิตว่า จะตั้งใจปฏิบัติธรรมตามพ่อครูสอน ชีวิตของลูกคลายทุกข์ได้เพราะมาปฏิบัติธรรมตามพ่อครูค่ะ ลูกฝึกปลูกผัก ฝึกทำปุ๋ย และเอาผักไปแจกเพื่อนบ้าน เมื่อลูกได้ให้คนอื่น จิตใจก็คลายทุกข์ค่ะ ธรรมะที่พ่อครูสอนช่วยลูกให้หายจากอาการเศร้า หายจากโรคประสาท ลูกจะมุ่งมั่นพากเพียรต่อไปค่ะ น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียร สุดเกล้า คือผมปฏิบัติศีล ๘ อยู่ครับ ผมทานอาหารวันละ ๑ มื้อ และเสาร์ อาทิตย์ ๒ มื้อ ผมเดินตาม โพชฌงค์ ๗ และมรรค ๘ อยู่ครับ ผมยังทานอาหาร ปรุงแต่งอยู่ครับ และ สั่งอาหารที่ข้างสันติอโศก เป็นอาหาร(เจ)มาทานอยู่ครับ ผมมี อายุ ๖๘ ปี แล้ว กลางวันมีการเอนกายบ้าง อยากถามพ่อท่านว่าผมเป็นอาริยะหรือยังครับ และบรรลุระดับไหนครับ ขอ อาราธนาให้พ่อท่านจงอยู่เกิน ๑๐๐ ปี กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า… ตอบไม่ได้ ปัจจัยที่คุณบอกมามันไม่พอที่จะตอบได้เลย อาตมายังไม่เก่งพอที่จะตอบได้ว่าคุณ คุณก็บอกแค่ว่าทานอาหารแค่ 1-2 มื้อปฏิบัติศีล 8 ก็เอาเถอะ อายุ 68 ปี บรรลุระดับไหน รู้ด้วยตนเองดีกว่า ฟังธรรมะให้ดีแล้วรู้ไปจริงๆ อาตมาก็พยายามเจตนา อธิบายให้ชัดเจนจะได้รู้ตัว ไม่ใช่รู้จากใครบอก แต่เรารู้ตัวเองโดยเอาตัวเองเป็นที่ตัดสินเองมันสุดยอด น่าจะเป็นเช่นนั้นมากกว่า
ทานอย่างผู้ให้ไหว้ผู้รับ ไม่ต้องหวังต่อ
_ใบแพร : พ่อสอนว่า การให้ไม่ว่าจะด้วยกาย วจี มโนเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ ประเสริฐสูงสุด การให้ที่เกิดจากจิตวิญญาณไม่มี สาเปกโข เป็นการให้ที่ลึกซึ้งสุดที่จะพรรณนา ยิ่งให้ไปก็ยิ่งได้มายิ่งลึกซึ้งซับซ้อนขึ้นไปอีก เพราะสิ่งที่เราได้กลับมาไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นนามธรรม
สมัยก่อนเราจะขายอาหารเผยแพร่อาหารมังสวิรัติเป็นหลัก พ่อจะสอนเน้นย้ำเสมอว่า เราเป็นแม่ให้ ไม่ใช่แม่ค้า ได้ยินคำสองคำนี้เหมือนหงายของที่คว่ำ รู้สึกเกิดปัญญา คำว่า ให้นี้ลึกซึ้งนัก ทุกครั้งที่ทำอาหารขายของจิตสำนึกจะขึ้นมาเตือนสติเสมอว่า เราเป็นผู้ให้ๆ ที่ไม่ชอบคำว่า แม่ค้า พอได้ยินคนที่พูดจากระทบกระเทียบเปรียบเปรยเป็นคนปากตลาด บอกว่าแม่ค้าปากคลองตลาด
เมื่อครั้งวันที่ 5 ธันวาคมเราจะตั้งโรงบุญ ทั่วประเทศ เราจะได้รับคำสอนว่า ผู้ให้ไหว้ผู้รับ
พ่อครูว่า ทุกวันนี้เราก็ทำกันอยู่แต่ไม่ได้พูดเปรยให้ทำกันทั่วประเทศ เป็นเพียงรู้กันว่าให้ทำกันเป็นปกติ อาตมาอธิบายว่าต้องขอบคุณเขา เขามารับของเรา ถ้าไม่มีผู้มารับของเรา เราไม่มีการได้ให้ใครนะ เราได้ให้เพราะมีผู้มารับ เป็นบุญคุณมากที่คุณมาเป็นผู้รับ ไม่งั้นเราไม่ได้เป็นผู้ให้นะ เนื่องจากไม่มีผู้รับ ให้โดยไม่มีสาเปกโข คือ ให้โดยไม่มีจิตหวังจะมีอะไรต่อ ให้แล้วก็ตัดไม่มีภพชาติเลย ไม่หวังที่จะได้อะไรตอบแทน หรือไม่หวังไม่มีภพชาติอะไรต่อไป
_ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว
-
ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
-
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
-
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
-
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
ถ้าเป็นนามธรรม คุณจะไม่ขาดจากการยึดถือเป็นของข้า ตลอดกาลนานไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ภพชาติก็เป็นของข้าๆ เอาของข้าคืนมา หรือ ต้องเอามาใช้หนี้ข้า สุดยอด ปริภุญฺชิสฺสามีติ จะเป็นภพชาติเป็นแดนอะไรอื่นต่อไปหมดเลย
เทวดา 6 ชั้นก็คือสมมุติ เป็นเมืองหลอก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
_ใบแพร : ความมหัศจรรย์ของนักปฏิบัติธรรม การปล่อยวางได้มากเท่าไหร่ ความสุขสงบเบาก็เข้ามาแทน
เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. เป็นวันที่ลูกๆรอจะได้มาฟังธรรม แต่ได้ยินเสียงประกาศว่าวันนี้งด พ่อครูไม่ได้แสดงธรรม เป็นอะไรฉุกเฉิน ลูกๆหลายคนอาจสงสัยว่าพ่อเป็นอะไร เมื่อก่อนเราก็ทุกข์มาก แต่ปัจจุบันก็วางได้มากขึ้น
พ่อครูว่า…ฝากไว้ก่อนเรื่องพญานาค แล้วก็พ่วงพญาครุฑไปด้วย เพราะ 2 คำนี้ยิ่งใหญ่ คือ คนติดยึดสองทิศ ดับสุด กับสว่างสุด สว่างจนพร่ากระจาย อุทธัจจะกุกกุจจะ กับ ถีนมิทธะ ยิ่งใหญ่มาก ไว้ค่อยอธิบายกันก็แล้วกัน
ยุคนี้คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ
สำหรับวันนี้ก็เอาปฏิภาณปัจจุบันขณะนี้ โลกทั้งโลก เราก็จะเห็นตัวอย่าง อาตมาก็ดูจากข่าวคราวของโลก ตัวอย่างที่เป็นไปตอนนี้ก็มาออกบทบาทสูงมาก ตัวละครสำคัญขณะนี้ มีอยู่ 3 ตัวคือ 1. ที่ยูเครน 2. รัสเซีย 3. อเมริกา นี่คือตัวปฏิกิริยาที่เกิดอยู่ตอนนี้ ที่เขามะรุมมะตุ้มอะไรกัน ความฉิบหายมันก็ตกอยู่ที่ยูเครน
ยูเครนเป็นประเทศที่มันเกี่ยวเนื่องกับรัสเซียเขา เคยเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ก็แยกตัวออกไป เสร็จแล้วเกิดกลียุคอะไรกันขึ้นมา ดาราตลกได้มาเป็นประธานาธิบดี ข้างในประเทศก็เละกันใหญ่ รบกันยิงกันต่างๆนานาสารพัด รัสเซียก็ยื่นมือเข้าไป สหรัฐก็ยื่นมือเข้าไป ต่างบอกว่า ถ้ารัสเซียเข้า สหรัฐจะเข้านะ อะไรอย่างนี้ ซึ่งฟังๆแล้ว ต่างคนต่างจะเบ่งอำนาจกัน ดูแล้ว อาตมาว่าเหมือนเด็กๆเหลือเกิน ก็จะเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ ก็ควรจะว่ากันไปตามลำดับ จะส่งสารส่งข่าว จะมีการติดต่อเชื่อมโยงกัน ก็ปล่อยให้มันฆ่าแกงกันแล้วเขาก็จะได้ขายอาวุธ ซึ่งเป็นความซับซ้อนของมนุษยชาติในโลก รัสเซียก็ขายอาวุธ อเมริกาก็ขายอาวุธ ยูเครนก็สร้างอาวุธเขาได้ พอได้เหมือนกัน แต่ว่าเมื่อฆ่ากันแล้วก็ต้องสั่งมา ผู้ใดมีอำนาจมากก็ยึดอาวุธของประเทศอื่นมาเป็นของตน ฝ่ายรัฐบาลก็ได้เปรียบ มันก็ต้องพึ่งพาอาวุธอีกฝ่าย นี่เป็นรายละเอียดต่างๆนานา
สรุปรวมแล้วก็คือ มันทะเลาะกัน ทะเลาะกันจนกระทั่งถึงฆ่ากัน ยุคนี้ ไม่ใช่ยุคที่จะทะเลาะกันด้วยกันฆ่ากันแล้ว คนนะ มนุสโส จิตสูงแล้ว เพราะฉะนั้นเป็นเศษของความดิบเถื่อน เศษกิเลสของความดิบเถื่อนยังจะฆ่ากันอยู่ โดยเฉพาะคนฆ่ากัน มันน่าจะหมดไปแล้วจากยุคสมัยนี้ เพราะเจริญกันมากแล้ว แต่มันหมดไปไม่ได้ เพราะมันยังสร้างอาวุธ
อาตมาออกโศลกมาว่า “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” แรงนะ ไม่ใช่เบา อันนี้ แรง
ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงๆเลย ถ้าเผื่อว่าคนเจริญเพียงพอ ไม่ต้องเสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอน ไปสร้างอาวุธมาฆ่ากันทำไม มันไม่สร้างอาวุธมาเพื่อล่าสัตว์หรอก อาวุธที่มันสร้างราคาแพงๆ ประสิทธิภาพสูงส่งนี่ มันเอามาฆ่าคน ลงทุนใช้พลังงานสูงสุด ประกอบทุกอย่างให้วิจิตรพิสดาร มีประสิทธิภาพสูงขนาดไหนๆ ที่มันแข่งสร้างกันอยู่นี้ มันสร้างกันมาเพื่อฆ่าคน
เพราะฉะนั้นจิตของคน นอกจากจะฆ่าคนแล้วจะต้องให้มีประสิทธิภาพที่ฆ่าได้อย่างแรง ฆ่าได้อย่างมาก ลูกเดียว ตูม หมดประเทศเลยมันยิ่งชอบ มันจะต้องให้ได้ ใช่ไหม ซึ่งเห็นความอำมหิต โหด ของคนที่มีน้ำหนักของความอำมหิตโหดนี้ ขนาดไหน ยุคนี้แล้ว มันยังไม่หมดไปจากโลกเลย
เพราะฉะนั้นเราจะต้องทวนกระแส เอาเรื่องรักกันเมตตากัน เกื้อกูลกัน ไม่ใช่เอาแต่เรื่องเบียดเบียนทำร้ายฆ่าแกงกัน อันนั้นมันหมดยุคแล้ว มันเป็นยุคของสัตว์เดรัจฉาน เป็นยุคของคนมิลักขะ คนเถื่อนคนป่าไม่ใช่ มันไม่ใช่ …มันเป็นยุคของ อาริยกะ
เพราะฉะนั้นอาตมาก็จำเป็นต้องพูด แล้วพวกเราชาวอโศก ต้องปฏิบัติประพฤติให้มันสอดคล้องกับที่อาตมาพูดหน่อยนะ แต่ไม่มีหรอก ชาวอโศกเราตั้งแต่ตั้งมา 50 กว่าปี ไม่ได้มีความอำมหิตอะไรมากมายเลย ไม่เกิดความอำมหิต แม้แต่เรื่องที่ชาวอโศกจะทะเลาะวิวาทกัน ตามคุณภาพของพุทธพจน์ 7 ของพระพุทธเจ้า
สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
พวกเราชาวอโศกประพฤติได้จริง ในสาราณียธรรม 6 มีพุทธพจน์ 7 เป็นตัวฐานรากของจิต มีพฤติกรรมแกนรากของจิต 7 ประการ
สาราณียะ คือ ระลึกถึงกัน ไม่ใช่ระลึกถึงด้วยกันเพื่อไปแก้แค้น แต่เป็นการระลึกถึงกันอย่างเมตตา เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพอทรงตื่นขึ้นมาก็ระลึกถึงว่าจะไปโปรดให้ช่วยเหลือใคร เราก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้น ก็ระลึกถึงคนนั้นคนนี้ พูดถึง ถามถึงกัน เป็นอย่างไรอยู่สบายดี หรือเกิดลำบากลำบน ควรจะช่วยเหลือกันไหม
เป็น ปิยกรณะ เป็นความรัก ความรักที่ยิ่งกว่าญาติ ยิ่งกว่ามิตร รักกันด้วยเนื้อลึกๆว่า จะต้องหวังดีต่อกัน ปรารถนาดีต่อกัน ช่วยเหลือกัน หรือ ผู้ที่เราเคารพนับถือ
คุรุกรณะ ก็ระลึกถึงท่าน ท่านเป็นผู้ที่ทำงานหนักหรือเคยเป็นครูของเรา ครุก็คือหนักทำงานหนักหรือเป็นครูเรา ระลึกถึงท่าน เราจะช่วยเหลืออะไรท่านได้ไหมหนอ
สังคหะ ก็คือช่วย ได้ช่วย ได้เกื้อกูลช่วยเหลือ สงเคราะห์กัน อนุเคราะห์กันไป
อวิวาทะ ไม่วิวาทกัน แค่วิวาท ก็คือ วาทะคำพูด วิวาทแรง วิวาทมาก วิวาทหนัก ก็ลงมือทำร้ายกันด้วยกายกรรม วิวาทกันอย่างแรง ก็แค่ปากหอก มุขสตี แค่ว่ากันไปว่ากันมา อย่างอาตมายังทำอยู่ มันไม่ดีหรอกมันเป็นข้อด้อย แต่มันจำเป็น อาตมาว่ายังหยุดไม่ได้ คนจะต้องใช้ขนาดนี้ มันเป็นปากหอก อย่าว่าแต่ปากหอกเลย แทงแล้วแทงอีก เช้ากลางวันเย็นอย่างละ 100 เล่ม เป็นคำเปรียบเทียบเรื่องหอกแทง เพื่อจะให้รู้จักสภาพจริงของสังคมมนุษยชาติที่มันยังมีอย่างนี้อยู่ อย่างผู้ที่ไม่รู้ตัวเลย หลับไม่ตื่น ยังหลับตาปฏิบัติอยู่นั่นแหละ
พระพุทธเจ้าก็ทรงอธิบายเป็นอุทาหรณ์เป็นนิทานเป็นเรื่องว่า พระราชารู้ว่านี่เป็นโจรปล้นศาสนา คนนอนหลับ เอาลัทธิหลับตามาปฏิบัติอยู่ในสังคมประเทศชาติ อยู่ในศาสนาเรา มันผิด มันเป็นโจรปล้นศาสนา เป็นเดียรถีย์ เป็นคนนอกรีต
อาตมาพูดชัดนะ มันแรงแน่นอน พวกที่ติดหลับตามันมีอยู่เยอะ เยอะจริงๆ ไม่ง่ายหรอก แต่มันต้องทำ ถ้าจะต้องนำขึ้นไปสู่ที่สุดที่สูงให้ได้ เพราะอาตมาจึงจำเป็น รู้ว่าเป็นข้อด้อยแต่ก็ต้องทำอยู่ หยุดไม่ได้ แต่ก็แค่ปากหอกนะ เรียกว่าปฏิกโกสนา คัดค้านอย่างแรง ท่านพุทธโฆษาจารย์ท่านแปลว่า คัดค้านอย่างจัง
อาตมานี่ ใช้รูปธรรมเลย พูด ต่อว่า ระบุเลยว่าผิดอย่างนี้ๆ ว่าอย่างแรง ข่มเลย แต่ก็ไม่ถึงกับไปด่า ไม่ถึงอักโกสะ ไม่ใช่ไปด่าทอ แต่ติเตียนว่า ไม่ถึงด่าหรอก
ปฏิกโกสนา = การกล่าวคัดค้านจังๆ ไม่เห็นด้วย กล่าวด้วยเหตุผลข่มขี่ที่มีน้ำหนักมากกว่า เท่านั้น แต่ไม่ถึงขั้น อักโกสะ = การด่า, การติเตียนด่าว่า
ขอบเขตของการกล่าวคัดค้านและเห็นแย้งได้เต็มที่นั้น จะไม่ก้าวล่วงไปเอาผิดกันทางอธิกรณ์ หรือไม่ข้ามเขตไปลงโทษกัน จนกลายเป็น อุกโกฏนา = การที่ไม่เป็นธรรม, ไม่สามารถยุติธรรมได้
อาตมาเกิดมาในยุคนี้ในขณะที่มันเสื่อมมาก ศาสนาโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้นเสื่อมหมดไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้พยากรณ์เอาไว้ ในอาณิสูตร กลองอานกะหรือตะโพนอานกะ มันได้เสื่อม มันถูกเปลี่ยนแปลง มันถูกปฏิรูปกลายเป็น กลองปลอม กลองเก๊ อาตมาต้องกลับมายืนยันเอาเนื้อเก่าของกลองแท้ เนื้อทุกส่วนของกลองแท้ ของตะโพนแท้ กลับคืนมา อาตมาพูดออกไป เอาตัวเองเต็มตัวออกไปเลยยืนยัน ไม่ได้ยับยั้ง ไม่ได้อมพะนำ ไม่ได้ปิดบังอำพรางอะไรเลย เรียกว่าล่อนจ้อน พูดอย่างเปิดเผยทั้งหมด เป็นใครเนื้อหาอะไรอย่างไร จะหาว่าบังอาจก็ได้ แต่มาพูดยืนยันความจริง แต่ขอยืนยันว่าเป็นความจริงใจ พูดอย่างมีน้ำหนักแรงน้ำหนักเน้นอะไรมากมาย เพราะว่าดื้อด้านดึงดันเหลือเกิน เดี๋ยวเหลือเกิน แทงจนหอกหักหมดเลย เข้ายาก มันก็เลยจำเป็นต้องใช้ลักษณะพวกนี้อยู่
ถ้าไม่ใช้ซะได้ก็ดี อาตมาเมื่อยน้อยลง แต่มันจำเป็น ก็เสียพลังงานนะเหนื่อยก็เหนื่อย แต่ก็จำเป็น ถ้าทำได้มันก็สวยสภาพกว่านี้เยอะก็รู้ว่าเป็นข้อด้อย อาตมาได้เรียบเรียงข้อด้อยของอาตมา 10 ข้อ ซึ่งในยุคนี้ต้องทำอย่างนี้ เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อน
ยุคนี้อาตมาเองอายุปูนนี้แล้ว สรีระร่างกายก็ฝืนมา อายุขัยของอาตมาเคยบอกแล้วว่า 72 ตอนนี้ได้มา 1 นักษัตร เป็น 84 ถ้าไปอีก 2 นักษัตร จากนั้นเป็น 96 เป็น 3 นักษัตร ไปอีกถึงเป็นร้อยแปด เขาอยากจะถึงนะ
เคยตั้งตัวเลขไว้โก้ๆตั้งแต่ตำนานตอนเจอหมออารีย์ แกบอกว่าจะอายุ 120 อาตมาก็บลัฟว่า จะเอา 121 แล้วแกก็ว่างั้นจะเอา 150 ปี อาตมาก็บลัฟต่ออีกเป็น 151 ปี ก็บลัฟกันเท่านั้น
ทุกวันนี้อาตมามี Routine ก็คือ 1. นอน 2. ตื่น 3. กิน 4. ก็ดูงานนั่นนี่ไป เสร็จแล้วก็วนเวียนมานอน มากิน หรือมีอย่างอื่นก็เขียนหรือเทศน์ Routine มีอยู่ประมาณนี้
การกินนั้นแต่ก่อนใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ถึงหรอกชั่วโมงกว่า ก็ต้องกินเพื่อให้ได้ปริมาณเพียงพอ มันรีบกินไม่ได้ ไม่ใช่ว่าฝันไม่ดีไม่ใช่ว่ากำลังเคี้ยวไม่ดี ดี ฟันอาตมาต้องขอบคุณหมอกิตติโชติ เป็นหมอดูแลทางฟันให้อาตมา ก็ทำให้หมด
(144) “พญานาค”นั้น มีจริง? หรือไม่มีจริง?
ทีนี้มาสาธยายเรื่อง“พญานาค”ให้สิ้นสงสัยกันดูทีรึ!
พญานาค“มีจริง” หรือพญานาค“ไม่มีจริง”ก็จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของความเป็น“พญานาค” หรือ“นาค”ที่เกี่ยวข้องในศาสนาพุทธกันชัดๆ แจ้งๆกันได้บ้าง
ติดตาม ไตร่ตรองไปให้แตกฉานกันดีๆ
“นาค”นี้คำบาลีหมายถึง “งู” หรือ“งูใหญ่” หรืออื่นๆอีก
แต่เราหมายเอา“งู”เป็นสำคัญมาใช้เทียบเคียงสาธยาย
“งู”คือ สัตว์ที่อยู่ในท่า“นอน” จึงมีสัญญลักษณ์“การนอน-การหลับ”
นี่แหละ นั่นก็คือ พุ่งเข้าไปที่“ลัทธิหลับตา” หรือหมายถึงคนที่มี“มิจฉาทิฏฐิ”เอาแต่“หลับตา”ปฏิบัติกันนั้นแล
บาลีคือ “นาค” ไทยก็คือ “งู” ผู้หลงผิดที่เอาแต่“หลับตาปฏิบัติ”จึงยกให้เป็น“พญางู” ในภาษาไทย ทับศัพท์บาลีก็คือ “พญานาค” ซึ่งหมายถึงเดียรถีย์หรือเทฺวนิยม ที่เขายังหลงใหลการปฏิบัติ“หลับตา” อันเป็นวิธี ที่ไม่ใช่วิธีปฏิบัติแบบพุทธ
หรือแม้“วิธีปฏิบิติ”ที่แค่“หลับตาปฏิบัติ”นี้ก็เถอะ ก็ยังมี“ความรู้”กันแบบเดียรถีย์หรือเป็น“เทฺวนิยม”กันอยู่ ยังห่างไกล“วิธีปฏิบัติแบบพุทธ”ที่“สัมมาทิฏฐิ”กันอยู่หลาย“ปีแสง” “วิธีแบบพุทธ”นั้น ต้องเป็น“จรณะ 15 วิชชา 8”
ซึ่งมันตรงกันข้ามกัน 180 องศากับ“วิธีปฏิบัติ”ที่เป็น “จรณะ 15 วิชชา 8”เลยทีเดียว
ดังนั้น คนผู้เอาวิธี“หลับตา”มาใส่ในศาสนาพุทธจึงเป็น
“ของปลอม” คนที่เอา“ของปลอม”มาใช้ในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด ถ้ายังขืนยืนยันใช้“ของปลอม”อยู่ก็เป็น“โจร”อยู่
“พญานาค”จึงคือ“โจร” ผู้เข้ามาปล้นศาสนาพุทธที่แท้
ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธก็ยังพากันหลงยึดมั่นถือมั่น“หลับตาปฏิบัติ”กันว่า เป็น“วิธีสำคัญ” เป็นวิธีหลักในการปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน บรรลุสมาธิ บรรลุนิพพานกันทีเดียว
ซึ่งมัน“ผิด”อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ
แต่ก็ยังหลงยืนยันยืนหยัดการปฏิบัติ“หลับตา”เป็นหลักที่จะทำให้เกิดบรรลุมรรคผลกันจริงๆจังๆกันอยู่ จึงยังเป็น“โจร”
กัน เป็น“พญานาค”แท้ๆ
เมื่อยึดมั่นถือมั่นกันอยู่ เป็นกันมีกันเอาจริงเอาจังกันอยู่ ยังไม่เกิด“ปัญญา”เลิกละได้ ฉะนี้คนพวกนี้คือ “พญานาค”
“พญานาค”จึงชื่อว่า “มีจริง”
แต่“พญานาค”คือ ผู้ปฏิบัติไม่ถูกไม่จริงในศาสนาพุทธ
ใครว่า “พญานาค”นั้น“มีจริง”หรือ“ไม่มีจริง”กันบ้างเอ่ย?
มันก็เหมือน“คำโกหก”และ“คนโกหก”นั่นแหละ
“คำโกหก”นั้น“ไม่จริง” แต่“คนโกหก”ก็“มีจริง” ชัดมั้ย?
พ่อครูว่า… จบที่ข้อ 144
สมณะฟ้าไท… สรุปจบ
(๑๔๕) ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้
มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ 1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ ยังมีมาก ครองโลกอยู๋ด้วยซ้ำ
-
นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่
เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ ๑๕ วิชชา ๘ ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา ๓”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ
ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา ๓”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสานพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้
หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด(อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ
“อปัณณกปฏิปทา ๓ (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ ๖-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ ๓ ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ ๙”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[๑] “สำรวมอินทรีย์ ๖” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ ๒”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[๒] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[๓] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด
แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา ๓”
มันผิด“วิธีปฏบิติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณปปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้ ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้
-
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ
เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายาม
ที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมา
นอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป
แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์
จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ
จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็น
มูลกา”(ข้อที่ ๑ ของ“มูลสูตร ๑๐” พระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ ข้อ ๕๘)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ“ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จผล
ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”
ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว
ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”
(๑๔๕) ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาค”
เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ”
หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล
ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤฏ์ษปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ
เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้ใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ
ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้
-
เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก ๗ เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังแน่แท้ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาต ๗ ตัว ๗ หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ
นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะ
ออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้น
เป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็น
ทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่
“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่
ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ ๒”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ ๑” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด
-
ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”เก่งยอดบุกรุก จนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู จอมนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค”
ดังที่เห็นๆ และเป็นกันอยู่ทั่วไปในสังคมไทยนั่นเอง
-
“ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆๆไปอีก
-
สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็นอน“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย
(๑๔๖) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ ๑ใน“สังโยชน์ ๑๐”
แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ”หรือ“ทวกระแสสามัญโลกียะ”นะ! ก็ไม่รู้ว่า“ทวนกระแส”คือออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึงหยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ
ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็ิ่งมองไม่เห็น!
ด่ำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ
คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น
รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน? ตนเอง“ไหลลิ่ว แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีก ด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง“การทวนกระแส”หรอก
ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย
ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าทืิิ่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง“ด้วยเสียงของถาดทองคำ”นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า”ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น“ไม่รู้”อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น
เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว
ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน?
จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ ๑ ก็
“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น มืดบอด
สนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน
ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(๒๕๐๐ ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ
แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกรทุ้งกระแทกด้วยปากหอก
(มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้
“พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ
เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม”
เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป๋็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ไได้
เมื่อ“หูหนวกตาบอด’กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตตบุรูษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้
กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิิ”กันหนักหาสาหัสจนได้ชือว่า “พญานาค”กันดังที่เห็นและเป็นอยู่
แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน
(๑๔๗) ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนผู้“อวิชชา”นั้นมีมาก
๕๐ กว่าปีแล้ว”ที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย
ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญา นาค” นอนเฝ้า“ถาดทองคำ”ของพระพุทธเจ้ากันอยู่
ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คน“อวิชชานั้นมีมาก
แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะ“กรรม”นั้นเจริญด้วย“ความพยายาม”แท้จริง จะท้อถอย“หยุดทำกรรม”ไม่ได้
โดยเฉพาะ“กรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ”
ที่ต้องพูดว่า เขายังเป็น“พญานาค”กันอยู่นั้น
ก็เพราะ“เขา”ได้ยินเสียงวิเศษจริงๆ(เสียงของ“โลกุตระ” แท้ๆนี่เอง) แต่เพราะความ“อวิชชา”สนิท ก็“หูผึ่ง”ขึ้นมาแวบหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชาต่อไปตลอดระยะยาวนานที่เป็น“กาล” ว่า อ้อ! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก อีกพระองค์หนึ่งแล้วเหรอ? ว่าแล้วก็“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” นั่นคือ อวิชชาต่อไป ทับถมให้“อวิชชา”หนาหนักเพิ่มขึ้นยิ่งขึ้นๆ ด้วยการหลงใหลหลับไหลอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด
ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆพระองค์แล้ว และก็จะมีพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นๆไปกับกาลของโลกนี้แหละ “พญานาค”ก็จะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นตัวจริง ยิ่งใหญ่ นอนเฝ้า“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปลึกลงไปอีกๆๆๆ ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะในโลกจะมีคน“อวิชชา”จำนวนมากครองโลกเป็นปกติสามัญ
ที่ไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย” ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ยัง“พ้นสักกายทิฏฐิ”ไม่ได้ง่ายๆ ดังที่เป็นที่เห็นจริงกัน
-
“พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี“หลับตา”หรือ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็เป็น“โจรปล้นพุทธศาสนา”อยู่นั่นเอง ที่พระราชาให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย
-
ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่“โจร”ก็ไม่ตาย ยังทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็สั่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาพบเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตายอยู่ๆ
(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๔๔) ใครเห็น“พญานาค”กันได้บ้างเอ่ย?
-
ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา -อาโลก”กันอยู่ เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง