650223 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความมหัศจรรย์ของศีลที่พ่อครูเอามาสถาปนา
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/16Khf3mMChXqNCSIHiXiiIlh4xnT0l54gUH97oH2-0to/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/16W1jWOlosAPHzR5WmJAYBO6t9F3OXtn4/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/blVdVzeqFt/
และ https://youtu.be/dKR6F9fg21k
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำเดือน 3 ปีฉลู ช่วงสัปดาห์นี้อุณหภูมิจะลดลง ควรจะเตรียมเสื้อกันหนาวกันไว้ โควิดตอนนี้ติดกับเพียบ ที่อุบลฯติดกันเยอะ ทั่วประเทศก็ 2-3 หมื่นคน ชาวอโศกควรจะสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง คนที่ไม่ฉีดวัคซีนก็ควรจะระวังตัวเองหน่อย โลกนี้เขาก็ฉีดกันทั่วไปแล้ว แม้แต่ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี เขาก็ฉีดวัคซีน พ่อครูยังไม่ฉีดวัคซีน พวกเราก็ต้องระวังป้องกันให้มาก
พ่อครูผู้หมดภพหมดชาติ เพื่อต่อพุทธภูมิ
พวกเราก็มีข้อขัดแย้งกัน บางคนก็อยากให้ฉีด หรือบางคนก็ไม่อยากให้ฉีด พ่อครูก็จะยอมให้กับคนยึดมากกว่าคนไม่ยึด เพราะคนไม่ยึดเขาก็ไม่ทุกข์
พ่อครูว่า… มันก็ทำให้เห็นความสำคัญ เมื่อกี้นี้ภาษาที่อาตมาขึ้นมามันบอกว่า เอ้อ เรานี่นะ จะทำอะไรไม่ทำอะไร มันเป็นคำหยาบ อาตมาจะทำอะไรไม่ทำอะไร มาใช้ตาชั่งอาตมา แต่เขาจะเห็นว่าไม่ได้ จะทำอะไรไม่ทำอะไร ต้องช่วยคิดต้องช่วยรักษาต้องช่วยดูแล ต้องช่วยระมัดระวัง เพราะว่าทำเป็นเล่นไปไม่ได้ เดี๋ยวตายง่ายๆเขายังไม่อยากให้ตาย สรุปเข้าเป้าเขายังไม่อยากให้ตาย เรื่องนี้มันเอาตายนะ ทำเป็นเล่นไป เขาก็มีส่วน เขาก็พยายามออกความเห็นก็ต้องขอบคุณทุกคน
อาตมาก็จะว่าไปแล้ว ภาคภูมิใจอยู่ว่าในชาตินี้ เกิดมาแล้วคนก็ยังเห็นว่าเราเป็นคนมีประโยชน์ เป็นคนมีความสำคัญอะไรอยู่บ้าง ที่ยังมีคนมองว่า อย่าเพิ่งตายนะให้อยู่นะ ต้องทำอะไรต่ออะไรให้ เขายังอยากได้อะไรจากอาตมาอยู่ อาตมาไม่มีเงินเขาไม่ได้อยากได้เงินจากอาตมา อาตมาไม่มีการปูนบำเหน็จรางวัลให้ใคร เขาก็ไม่อยากได้ จะให้ยศศักดิ์ตำแหน่งก็ไม่ได้ เพราะอาตมาไม่มีสิทธิ์จะให้ได้ แม้แต่ จะให้ความสุขความทุกข์แก่ใครก็ให้ไม่ได้ เป็นแต่เพียง บอก บอกการศึกษา บอกให้ศึกษาเรื่องสุขเรื่องทุกข์
ศาสนาพุทธนี้ต่างจากศาสนาเทวนิยม ก็คือเรื่องสุขเรื่องทุกข์ ศาสนาเทวนิยมเขาเรียนแต่ดีแต่ชั่ว เรื่องสุขเรื่องทุกข์เขาไม่ประสีประสาเขาไม่ได้เรียน และยิ่งหลงความสุขด้วย ติดสุข อยากได้สุข ยึดสุข แล้วก็สะสมสุข มาเสพ เป็นสุขนิยม จะได้สุข จากอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่จากอบายมุขเขาก็เอา เขาก็ไม่รู้ สุขจากอบายมุข สุขจากกาม นั่นแหละทั้งนั้น สุขจากกามสุขจาก ปฏิฆะ ไม่ชอบใจ แล้วอยากให้คนที่เราไม่ชอบใจ ได้รับอะไรตอบอะไรที่มันน่าสมใจเขา เขาก็สุข ไปจนกระทั่งถึง รูปจิต อรูปตจิต กามปฏิฆะข้างนอก รูปจิต อรูปจิตไป
ความรู้ของพระพุทธเจ้าสอนเรื่องจิตเจตสิกต่างๆ ละเอียดลออครบหมด เรียนรู้แล้วปฏิบัติตาม เข้าใจได้ อ๋อ! ชีวิตคือสังขาร ปรุงแต่งกันขึ้นมาแล้วรวมเรียกว่าวิญญาณ แยกไปศึกษาได้คือ นามรูป เป็น 2 สภาพ นี่แหละทำปฏิกิริยากันตลอด เมื่อมากระทบสัมผัสกันเข้าก็เป็นอายตนะเกิดเวทนา สุขทุกข์ก็เกิดอยู่ตรงนั้น จะสุขเพราะมีตัณหาอุปาทานเป็นตัวตั้ง
จึงได้จมอยู่ในภพชาติ ไม่รู้เรื่อง วนเวียนอยู่ในภพ เป็นชาติเกิดแล้วเกิดอีก แล้วหลงตนว่าตนไม่ต้องเกิด ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า จบ ความรู้ถูกตัดขาดตรงนี้ เทวนิยมตายแล้วอยู่กับพระเจ้าพระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน จะให้ลงนรกหรือจะอยู่กับพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ เป็นสวรรค์ สวรรค์อัตตา นิรันดร
ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นเป็นสังขารปรุงแต่งกันเฉยๆ ถ้าเข้าใจแล้วแยกสังขาร แยกนามรูป แยกวิญญาณไม่ให้ปรุงแต่งกันเป็นเรื่องเป็นราวเป็นภพเป็นชาติ ยิ่งไปมีตัวตัณหาอุปาทานยิ่งชัดเจนเลยว่า ตัวนี้เป็นตัวการทำให้เราแปรปรวนในเวทนา ในความรู้สึก
เมื่อเข้าใจปฏิจจสมุปบาทดีแล้ว จะชัดเจนว่า แค่ความรู้ว่ามี วิชชา รู้จักสังขาร เท่านั้น นี่คือความจบของพระอรหันต์ รู้เท่าทันสังขาร จบ สังขารก็อยู่กับความปรุงแต่งด้วยอวิชชา เสื่อมไปเป็นธรรมดาแต่คนไม่อยากให้เสื่อม จะเสื่อมด้วยอะไรก็แล้วแต่ จะเสื่อมด้วยโลกธรรมเสื่อมด้วยความยึดถือ ติดยึดจากเป็นนั่นเป็นนี่ แม้ที่สุดเสื่อมไปสู่ความตาย ก็ไม่อยากให้ตาย แต่ก็ต้องตาย แล้วไม่ต้องกลัวหรอก คุณตายแล้วคุณต้องเกิดอีก แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอีก เทวนิยมตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า จบเลยไม่มีอะไรต่อ ความรู้ก็อั้นตู้ อยู่แค่นั้นแหละ ไม่มีความจบ
พูดไปแล้วก็น่าสงสารคนที่เขายังไม่รู้ สายเทวนิยมนี้มีจำนวนมากกว่าศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธรู้จักความจบ รู้จักวิญญาณที่แท้จริง ทำให้วิญญาณนี้หมดกิเลส กิเลสสาสวะ พ้นทุกข์พ้นสุขสมบูรณ์เป็นโพธิสัตว์ จนเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ระดับ 9 เลย จะประกาศศาสนาขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ประกาศศาสนาก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ อย่างเช่น พระอวโลกิเตศวรยังไม่ประกาศศาสนาขึ้นมาในโลกสักที ท่านก็เลยยังไม่ได้เป็นเจ้าของศาสนาสักที แต่ก็เป็นโพธิสัตว์มหาสัตว์ เป็นพี่ตัวเบ้ง เป็นตัวอย่างของโพธิสัตว์อยู่
อาตมาก็อธิบายลักษณะโพธิสัตว์ ลักษณะของอรหันต์ ลักษณะของจิตวิญญาณที่มันเป็นไปต่างๆนานาก็ดี แยกแยะสู่กันฟังจนให้พวกเราเข้าใจแล้วทำได้ตั้งแต่ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย บรรลุเป็นพระอรหันต์ทำได้ในยุคนี้ แต่ผู้ที่เขาไม่ศรัทธายังยึดถือตามทฤษฎีนั่งหลับตา เดี๋ยวก็จะได้พูดต่อ
SMS วันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ 2565
น้ำตาไหลบอกลักษณะ 2 อย่าง
_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ ช่วงงานพุทธาภิเษกผมได้ดูรายการ รำลึกถึง..คนดีที่จากไป โดยมีท่านบินบนกับท่านโพธิสิทธิ์ดำเนินรายการ พอดูรายการไปสักพัก น้ำตาผมก็ไหลออกมาเองและไหลไปจนจบรายการ จึงอยากถามพ่อครูว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ครับ ทั้ง ๆ ที่ผมใม่เคยคบคุ้นกับท่านเหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่ทำไมถึงน้ำตาไหลออกมาเองทั้ง ๆ ที่ยิ้มและปลื้มใจในงานของท่านๆที่ทำไว้ให้ชาวอโศกครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูงครับ
พ่อครูว่า… เป็นธรรมดาของผู้ที่เกิดปิติยินดี เกิดฉันทะในพฤติกรรมของคนที่เราเข้าใจ ว่ามันเป็นความดีงามที่น่าเอาอย่างน่าซาบซึ้งใจ
น้ำตาไหลบอกลักษณะอย่างหนึ่ง ถึงความซาบซึ้งใจ ปลื้มใจ
น้ำตาไหลอีกลักษณะหนึ่ง คือความเสียใจโกรธแค้น มันก็มี 2 ลักษณะเท่านั้นเอง
เป็นธรรมดาธรรมชาติของมนุษยชาติ
สู่แดนธรรม.. คือ เป็นเรื่องของ อนุสัยอาสวะ ที่สติของเราไม่สามารถเข้าไประงับมันได้ สติกำลังของการหักห้ามใจ ไม่สามารถระงับ ธรรมชาติอันนี้ได้ คนที่แข็งแรงแล้วทำให้น้ำตาแห้งได้
พ่อครูว่า… ถึงแม้จะแข็งแรง พวกเรานี่ ชาวนักบวชแท้ๆพวกเรา สิกขมาตุก็ดี สมณะก็ดี ก็ยังเกิดเลย ยังน้ำตาไหลไหลได้ แข็งแรงไม่ใช่ไม่แข็งแรง แต่ว่ามันเป็นสำนึกอย่างที่อาตมาอธิบายไปก่อน แข็งแรง เราก็เห็นว่า มันเป็นปฏิกิริยาของจิตสำนึก มันยินดี มันปิติ มันฉันทะ มันซาบซึ้ง มันก็แสดงออก บอกแล้วว่าน้ำตามันออกได้ทั้งซาบซึ้ง ปิติ ดีใจกับเสียใจโกรธแค้น
_มุ่ง ตรงธรรม · ลูกยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขาลังเลสงสัยแม้เล็กแม้น้อยเลย เชื่อมั่นปักมั่นเลยว่าพ่อครูคือสัตบุรุษผู้มาประกาศโลกนี้โลกหน้า (โลกียะ โลกุตระ) พ่อครูคือผู้ยังมีชีวิตเป็นๆที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 คือบุคคลผู้นั้นเนื้อแท้พุทธบุตร บุตรพระพุทธเจ้า
_Paruhus Sae พฤหัส แซ่ · วันนี้ผมอ่านประวัติท่านอนาคาริกธรรมปาละ ซึ่งท่านทำงานอย่างหนักในการฟื้นฟูส่งเสริมศาสนาพุทธในศรีลังกาและอินเดีย ท่านปรารถนาจะเกิดมาอีก 25 ชาติ เพื่อส่งเสริมศาสนาพุทธ(คง เพื่อให้ศาสนาอยู่อีก 2,500 ปี) ท่านมรณะภาพเมื่อปี พ.ศ. 2476 ก่อนปีเกิดพ่อท่านหนึ่งปีต้องกราบขออภัยพ่อท่าน แต่ทำให้อดนึกไม่ได้ว่า บางทีปางที่แล้วพ่อท่านอาจเป็นท่านธรรมปาละ ส่วนปางนี้เปลี่ยนมาฟื้นฟูศาสนาพุทธที่ไทยกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
พ่อครูว่า… ปณิธานเดียวกันเลยกับอาตมา ก็จริงๆแล้วอาตมา ให้พูดด้วยใจจริงเลย ท่านธรรมปาละกับอาตมามันคนละคน เท่าที่เป็นเซ้นส์ของอาตมา ไม่ใช่หรอก ท่านธรรมปาละกับอาตมาไม่ใช่คนคนเดียวกัน ท่านก็เป็นโพธิสัตว์ทำหน้าที่ของท่านไป อาตมาก็ทำหน้าที่ของอาตมา แต่แน่นอน สัจธรรมมันอันเดียวกันเหมือนกันคล้ายกัน แม้จะเกิดในระยะใกล้กันโพธิสัตว์ก็ทำได้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเกิดในระยะใกล้กันไม่ได้ โพธิสัตว์ก็มีเยอะบำเพ็ญไป ดี ก็สังเกต จะได้รู้ๆกันไป
_ตุ๊ก อัศวิน · น้อมกราบ._/\_. สมณ สขม ด้วยความเคารพยิ่งเจ้าค่ะ จะรู้เท่า และ ทัน ‘กิเลส’..ได้ ต้องมีสติตามรู้จิต ดุจ เงาตามติดตัว ครั้น กิเลส เกิดปุ๊บ จิตตามรู้ปั๊บ..ในขณะจิตเดียวนั้นนั่นเทียว เข้าใจตามนี้ ถูกต้องไหม..เจ้าคะ / กราบสาธุ..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… จริง เพราะกิเลสมันเกิดเร็ว เข้าใจตามนี้ถูกต้อง พวกเราเข้าใจกิเลสนั้นดีแล้ว ถูกต้อง ดีมาก
_Sarayut Bunyago ศรายุทธ บุญญโก · คำว่า รู้เท่าทันกิเลส เราไม่มีทางรู้ก่อนกิเลสได้ ใช่ไหมครับ ตามรู้ให้ทันเสมอ
สู่แดนธรรม… รู้ก่อนได้ครับ คือการที่เราสังวร เราไม่ใช่สังวรหลังกิเลสนะ เราสังวรก่อนกิเลสขึ้น ในข้อแรกของสัมมัปปธาน ใครมีคุณภาพดี คุณจะเป็นยามรักษาประตู คุณจะตาไวมาก ถ้าหากกิเลสเข้าในประตูแล้วจะสู้ได้ยาก ต้องสู้ตั้งแต่มันไม่เข้ามา ต้องสังวรไม่ให้กิเลสเกิดมา
พ่อครูว่า… นั่นเป็นรายละเอียดที่ สู่แดนธรรมขยายสู่ฟัง
_เยาวลักษณ์ วัฒนเสรีกุล · กราบนมัสการพ่อท่านเจ้าค่ะมีพระที่หนูรู้จักได้บวชเป็นพระของวัดธรรมกายบวชแล้วได้อยู่ที่บ้านตัวเอง ไม่ได้อยู่วัดธรรมกาย แต่พระองค์นี้อายุ 83 ปีแล้ว แก่แล้วและป่วยเป็นโรคเบาหวานและเหนื่อยง่าย อยากถามว่าอยู่บ้านตัวเองจะเป็นพระที่ถูกต้องตามพระพุทธเจ้ากำหนดไหมค่ะ
พ่อครูว่า… ไม่ใช่พระ
-
บวชเป็นพระแล้วต้องทิ้งบ้านช่องเรือนชานไม่มีบ้านช่องเรือนชานไม่มี ญาติปริ
วัตตังปหายะ
-
ต้องอยู่ตามประสาของตน แม้ที่สุดจะมีกุฏิ คนสร้างกุฏิให้ก็ได้อาศัย กุฏิของ
พระพุทธเจ้าใหญ่โตไม่ใช่เล่นเลยนะก่ออิฐถือปูน ซึ่งเป็นธรรมดาธรรมชาติของคนที่จะอุดหนุนส่งเสริมอุปการะต่างๆ เมื่อเราทำดี ตามประสาคนเขาก็จะสนับสนุนช่วยทุกอย่างนั่นแหละ อย่างอาตมานี่ หน้าหนาว ไม่รู้อะไรต่ออะไรมา ใส่คอ ใส่หัว ใส่เสื้อ ใส่มือ ใส่เท้า ทั้งนั้นแหละ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… เขาบอกว่า ให้ประชาสัมพันธ์เข้าค่ายอุโบสถศีลชาวอโศก
ขอเชิญท่านผู้สนใจ เข้าร่วม ค่ายอุโบสถศีลชาวอโศก ออนไลน์ ครั้งที่ 3 “มาเป็นคนมหัศจรรย์กันเถอะ” วันที่ศุกร์ที่ 25 – อาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 เรายกวัดมาไว้ที่บ้านของทุกท่านแล้ว มาร่วมกิจกรรมผ่าน Zoom ได้ง่ายๆ โดยการสแกน QR Code จากหน้าจอเพื่อเข้าร่วมกลุ่มไลน์ Open Chat จะมีการส่งรายละเอียดการเข้ากิจกรรมให้ในกลุ่ม หมดเขตรับสมัคร 24 กุมภาพันธ์ 2565 รีบสมัครเลย!
ศีลข้อ 1 หลุดพ้นโทสะแล้วสบาย
พ่อครูว่า…ก่อนเข้าสู่เนื้อหาสาระธรรมะ ก็ขอพูดถึงชีวิตพวกเราก่อน ชีวิตพวกเรา (พ่อครูยกมะปรางมาให้ดู) คนที่ยังชอบกินมะปราง มันมีเปรี้ยวอมหวาน ภาษาอีสานเรียกว่ามะผาง แต่ถ้ามะผู จะไม่มีรสเปรี้ยวเลย ของภาคกลางไม่เคยเห็นมีนะ ก็มีที่สวน
มะเขือ นี่เขาเรียก มะเขือ ภาษาอังกฤษว่า egg plant มีมะเขือยาวสีม่วงมะเขือยาวสีเขียว บนหน้าฉากนี้มีแต่อาหาร นี่กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ มะเขือเทศน์แทนอาตมายังได้เลย มะขาม, มันก็เทศน์แทนอาตมาได้ ตอนนี้อาตมาชิงเทศน์แทน
พวกเราเข้าใจจุดสำคัญของมนุษยชาติคืออาหารและเอาชีวิตมาลงสู่ตรงนี้ เอาชีวิตเอาเรี่ยวแรงเอากำลังวังชาเวลา เอามาทำอันนี้กัน แต่ก่อนนี้เราไปทำอะไรสารพัด ไปทำกรรมกิริยาที่ไปช่วยเขาปรุงแต่งอบายมุข ปรุงแต่งเรื่องประดับประดา ประดิษฐ์ประดอยเรื่องกาม ไปประดับประดาประดิษฐ์ประดอยเรื่องเครื่องฆ่าคนอะไรพวกนี้
ซึ่งมันเมื่อมารู้มาเห็นจริงแล้วว่า หลุดพ้นออกมาได้เข้าใจเลย แต่ก่อนนี้เรายินดีเหลือเกินที่ได้ช่วยกันสร้างเครื่องมือฆ่าคน สร้างอาวุธ โอ้โห ทำไมเรามันมีจิตใจอย่างนั้น ไปเห็นดีเห็นงามไปสร้างอาวุธสำหรับฆ่าคน ร่วมมือร่วมไม้เข้าทำ อย่างยินดีในผลตอบแทน เป็นลาภยศสรรเสริญ ความเก่ง ความสามารถอีก ยิ่งสร้างอาวุธ ได้มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพร้ายแรงได้เท่าไหร่ คนชมเชยให้ราคาสูงอะไรพวกนี้ หลงไป
เมื่อมาเข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆทีเดียวนะ พูดไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่คนจะเข้าใจ เขายังหลงทำอยู่ เขายังถอดถอนตัวเองเลิกทำไม่ได้ ยิ่งไปบอกพวกคิม จอง อึน หรือบอกพวกสหรัฐอเมริกา แม้แต่รัสเซียก็ตาม ส่วนจีนเขาก็ไม่อวดศักดาเท่าไหร่ อินเดียไม่เลย ถ้าขืนอินเดียกับจีนแข่งกันสร้างอาวุธกันอย่างเต็มที่เหมือนอย่างเกาหลีเหนือ เหมือนอย่างสหรัฐ คนเป็นพันล้าน มันสร้างขึ้นมาก็หาเรื่องใช้ หาเรื่องขาย หาเรื่องให้คนทะเลาะกันจะได้ขายอาวุธ คิดดูสิ มันเป็นเหตุให้มนุษย์จะต้องฆ่ากัน อาวุธเมื่อไม่ได้เอามาใช้จะขายออกได้อย่างไร ซึ่งมันเป็นเหตุเป็นผลกันทั้งนั้นเลยมนุษย์ชาติ
เพราะฉะนั้นสังคมใดที่เข้าใจและเลิกมาได้อย่างสังคมพวกเรา ชัดเจน ไม่ต้องเสียเวลาแรงงานความรู้ความสามารถที่จะต้องไปสร้างอาวุธพวกนี้เลย สร้างแค่มีดมาปลูกผักปลูกพืช ใช้มีดพร้ากระทะขวานสำหรับทำงานเป็นเครื่องใช้กินใช้ เท่านั้นก็หนักหนาสาหัส ยังเอามีดพร้ากระทะขวานไปฆ่ากันตายเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ไปสร้างให้เอาไว้ฆ่ากันนะ มันก็เอาไปฆ่ากันแทนไม้หน้าสามบ้าง แทนหลาวแหลน
เพราะฉะนั้นจุดสำคัญก็คือจิตมนุษย์นี้ หยุดฆ่า ศีลข้อที่ 1 เห็นไหม ยิ่งใหญ่ไหม คนที่หยุดฆ่าได้ในศีลข้อที่ 1 ยิ่งใหญ่ในโลก เป็นคนมหัศจรรย์ คนที่หยุดฆ่ามนุษย์ หยุดฆ่าสัตว์ ไม่ต้องใช้อาวุธ วางศาสตราวางอาวุธ วางทัณฑะ จิตใจมีเมตตากรุณาเอ็นดู หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ สุดยอด คนมหัศจรรย์ เห็นความมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติไหม
นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คนที่เกิดจิตอย่างที่อาตมาพูดถึงนี้เป็นคนมีศีล คนที่ไม่เข้าใจและไม่เป็นอย่างนี้เลยคือคนยังไม่มีศีล ชาวพุทธเรา ฆ่าแกงกัน ไม่ใช้อาวุธ ก็ใช้หมัดใช้มือใช้อะไรต่ออะไรกันอยู่นั่น สนมันไม่มีศีลเลย ยิ่งละเอียดไปจนกระทั่งจิตเมตตา
ถ้าอยากไปถึง ยังไม่มีเมตตายังไม่มีศีลยังไม่เอ็นดู ยังไปทำร้ายผู้อื่นเลย ยังไม่มีศีล ต้องไม่ทำร้ายผู้อื่นให้ได้ คนอื่นจะมาทำร้ายเราเขาไม่มีศีล ถ้าเราทำร้ายตอบ เราเป็นคนไม่มีศีล
หินไท โดนผู้หญิงตบหน้าเปรี้ยง กลางศาลาที่วัดมหาธาตุ หินไทก็เฉยๆ ไม่ทำอะไรตอบ นี่คือคนพวกเรา มันเป็นคนมหัศจรรย์ ใครเห็นเหตุการณ์นี้บ้าง เจ้าตัวก็คงจำไม่ลืม
นี่ คนพวกเรา คนมหัศจรรย์เป็นอย่างนี้ คนในโลกเก่งฆ่ากัน นั่นไม่ใช่คนมหัศจรรย์หรอกมันคนละเรื่องเลย ซึ่งเป็นความเข้าใจของมนุษย์มันคนละมุม คนละด้าน คนละเหลี่ยม
ตั้งแต่โหดร้ายฆ่าสัตว์ จนกระทั่งถึงการโลภ การเห็นแก่ตัว ไม่ฆ่าสัตว์แต่กินเนื้อสัตว์เอาเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามากิน ฉันไม่ได้ฆ่า เขาก็ตีความพระพุทธเจ้าว่า เราไม่ได้เห็นกะตา เราไม่ได้รู้ข่าว เราไม่ได้สงสัย แล้วเขาก็ตีความว่า ไม่เห็นกับตาไม่รู้ข่าวไม่สงสัย ว่าเนื้อสัตว์นี้เขาฆ่าจำเพาะระบุชื่อ เช่น ระบุชื่อคุณเข่ง คุณเข่ง เท่านั้นกินไม่ได้ ระบุชื่อผู้ที่ฆ่าให้กิน ผู้นั้นจะกินไม่ได้ ตีความแปลงสารพระพุทธเจ้าไป
ทั้งๆที่มันหมายความว่า สัตว์นี้ถูกฆ่าด้วยจิตเจตนาของคน คนไหนก็ตามแต่ มีจิตใจมุ่งหมายจะฆ่าสัตว์มีให้ตายเท่านั้นแหละระบุ อุทิส แต่เขาไปตีความเสียให้ไกลตัวเองเพื่อให้ตัวเองจะได้กินเนื้อสัตว์ นี่เห็นไหม ความฉลาดขี้โกง เฉโก ของคนแทนที่จะตีความให้ตนเองจะได้ไม่ต้องมีวิบากใดๆในการไปกินเนื้อสัตว์
สัตว์แต่ละตัวมันจะรู้ไหมว่าเนื้อนี้ไม่ใช่เนื้อของข้า ทั้งๆที่เนื้อของมัน มันตาย โดยเฉพาะมันถูกฆ่า คนฆ่า แล้วเอาเนื้อมันไปกิน มันรู้ไหม ถ้าวิญญาณอย่างที่คุณเข้าใจ ปัดโธ่ มันฆ่าคุณได้มันฆ่าแล้ว แต่มันตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง มันก็ว่า เอ็งกินเนื้อข้าๆ มันก็จองเวรจองกรรม นี่เล่า พูดภาษาให้ฟังชัดๆ
มันจะรู้หรือ มันก็รู้แต่ว่าเอ็งมาฆ่าข้าแล้วก็กินเนื้อข้าหน้าตาเฉยเลย มันจะยินดีหรือ กินเนื้อฉันอร่อยไหมจ๊ะ สัตว์แต่ละตัวมันจะคิดอย่างนี้เหรอ ก็ไม่ใช่สิ พูดให้มันหนำใจ
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจ 5 ข้อใน ชีวกสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส อาตมาอธิบายอย่างลึกซึ้ง ละเอียดมาก
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส ทำให้สัตว์หมดอิสรภาพนั้นบาปแล้ว จะดูวิธีเลี้ยงมันหรือผูกมันไว้ ให้มันหลงก็ตาม เหมือนเลี้ยงปลาเลี้ยงหมู วันร้ายคืนร้ายก็ฆ่าเฉยเลยไม่บอกไม่กล่าวมันหรอก นั่นแหละอันเดียวกัน ทั้งโหดร้ายทั้งโกหก หลอกลวงสัตว์ให้สัตว์หลงลม เสร็จแล้วก็ฆ่า ฆ่า เมื่อไหร่จะมีภูมิปัญญาปฏิภาณรู้ว่า สัตว์เขาก็เป็น ชีวะ
ก็ท่องนะ สัตว์ทั้งหลายเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เอ็งตายฉันกิน แค่นี้มันก็ชัดเจนว่า ทำไมคนถึงได้ตลบตะแลงตอแหลถึงขนาดนี้ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเอ็งตายฉันกิน จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย แล้วใครเบียดเบียนใคร
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
มันก็บาปไม่รู้จะบาปอย่างไรทั้งผู้สั่งทั้งผู้ฆ่าทั้งผู้กิน เสร็จแล้วยังไม่พอ ทำเป็น อาหารอันประณีต เอาไปถวายผู้ที่ท่านไม่เกี่ยวข้องแล้วกับเนื้อสัตว์คือพระพุทธเจ้าก็ดีสาวกพระเจ้าก็ดีท่านไม่เกี่ยวข้องแล้วก็เอาไป ว่า นี่ของดีนะจ๊ะ สาวกผู้โง่งมงาย แต่พระพุทธเจ้าไม่งมงายหรอก สาวกโง่งมงายก็ฉัน
พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์แน่นอนเพราะท่านไม่โง่งมงาย แต่สาวกก็มีบ้าง ที่โง่งมงายก็ไปหลงคนที่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวาย ซึ่งไม่เป็นการสมควร อกัปปิยะ อาตมาอธิบายซ้ำซากมานาน แต่อกัปปิยะคำเดียว มันไม่เป็นการสมควรที่จะเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุไปถวายพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นคนที่โง่ไม่เป็นการสมควรแล้วที่จะเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวาย แค่นี้ก็สุดยอดเข้าใจได้แล้วว่าอย่าเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้า อย่าเอาไปถวายสงฆ์สาวกพระพุทธเจ้า ในชีวกสูตร5 ข้อนี้
เห็นได้ว่า 5 ข้อนี้มันละเอียดสุดแล้ว คนก็เข้าใจไม่ได้ ตีความเข้าข้างตัวเองหมด คนก็ไปตีความ 5 ข้อนี้เข้าข้างตัวเอง เขาตีความได้ยังไง เขาทำได้หรือตีความได้หรือว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามเนื้อสัตว์ จะตีความว่าพระเจ้าไม่ได้ห้ามฉันเนื้อสัตว์ เอาตรงไหนมาเป็นช่องเปิด
สู่แดนธรรม.. เขาไปเอา 3 ข้อที่พระพุทธเจ้าให้ฉันได้
พ่อครูว่า… คือ มันตายเอง กับเดนสัตว์กิน ที่พระพุทธเจ้าให้กินได้
สัตว์ที่มันตายเอง กับเป็นเดนสัตว์กิน (คือสัตว์มันฆ่ากันมันทิ้งแล้ว เป็นเนื้อบังสุกุล) ก็กินได้ แต่คนติดเนื้อสัตว์ถึงไปเก็บมากิน สัตว์ตัวเองเขาก็กลัวเป็นโรคอีกไม่เอามากิน
พูดอธิบายไปหมด ทำไมต้องอธิบาย
-
เพราะมันเป็นวิบาก เรื่องนี้ ประเด็นนี้แหละยิ่งใหญ่เพราะว่ามันเป็นวิบาก
-
ติด เป็นกิเลสคุณนะ จะไปบำเรอมันทำไมกิเลส มันติดแล้วควรเลิกสิ ติดแล้วไปบำเรอมันอยู่แล้วจะไปเลิกเมื่อไหร่ ฝืนอย่างไรต้องฝืนเพราะมันติด ฝืนสิ เลิกมา มันติด แต่ไม่ให้มันติดหรอก เข้าใจไปตีความว่าไม่ติดแต่เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ควรกิน พระพุทธเจ้าตรัสที่ไหนว่ามัน กัปปิยะ ควรเอาไปถวายพระพุทธเจ้า
มีหรือที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า กัปปิยะ ของที่ควรกินของที่เอาถวายสงฆ์ถวายพระพุทธเจ้านะ ใครสอนเอ็ง ที่จริงแล้วมันเป็นของไม่ควรเลย นี่เป็นรายละเอียดต่างๆที่อาตมาที่เจาะลึกให้ฟัง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… จะเห็นได้ว่าแต่ก่อนเราทำบาปเป็นนิจในการกินเนื้อสัตว์ทำบาปได้ทุกวันเลย วันหนึ่งไม่รู้บาปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แค่พูดก็เป็นบาปแล้ว
สาวกพระพุทธเจ้านั่นแหละที่ไปสอนให้เขาเข้าใจผิดโยมก็ต้องถามว่า อาหารเนื้อสัตว์เอาไปถวายนี้บาปไหม พระก็ว่าไม่บาปโยมก็ทำให้สิ ก็หาทางเลี่ยงไปเรื่อยๆจนคนติดมากมาย แต่ถ้าพระบอก โยมจะเชื่อ พระว่าบาปโยมก็จะได้เลิก
พ่อครูว่า… แค่เรื่องไม่กินเนื้อสัตว์ อาตมาพยายามทำงานศาสนามาเปิดเรื่องนี้ เปิดเรื่องไม่กินเนื้อสัตว์นี่มายังหนักตั้งแต่ต้น จนเดี๋ยวนี้ก็ยังต้องพูดเรื่องไม่กินเนื้อสัตว์อยู่บ้าง แต่คนก็เข้าใจ อาตมาก็แสนเบื่อต้องพูดซ้ำซาก แต่มันเป็นความสำคัญมันเป็นสิ่งที่
อย่างชาวอินเดีย พลเมืองกว่าพันล้าน พูดเรื่องนี้กันทั้งชนชาติเลยเขาไม่มีปัญหา เขาบอกว่าถูก ที่กินอยู่นั้นก็ยอมรับว่ามันเป็นวิบากเป็นบาป ชาวอินเดียไม่มีใครแย้งเลย แต่ในเรื่องความรู้แล้วเขารู้กันหมดทั้งอินเดียเขาไม่แย้งไม่เถียงไม่อะไรเลย คนตั้งพันกว่าล้าน แต่คนไทยนี้เถียงเพื่อจะได้กินเนื้อสัตว์ เถียงว่ามันไม่บาปหรอก กินเนื้อสัตว์ธรรมดามาก
มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องวิบากเป็นเรื่องที่ติดตัวเองไปเลย อาตมาก็พยายามให้คนไม่มีวิบากใส่ตัวเอง แค่ไม่กินเนื้อสัตว์อย่างเดียวนี้ เท่านี้ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เท่านี้ก็เป็นเรื่องพ้นบาปไปอย่างมหาศาล
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในความรู้อันยิ่งใหญ่ ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ ดีที่ได้ขั้นหนึ่งไม่ฆ่าสัตว์ก็ดี อย่างฮิตเลอร์ ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์แต่ฆ่าคน เห็นความโง่ซับซ้อนไหมฮิตเลอร์ ไม่ฆ่าสัตว์แต่สัตว์ขนาดคนฆ่าเป็นเบือเลย นี่คือความโง่สลับซับซ้อนโดยที่ตัวเองยังไม่รู้เรื่อง อำนาจบาตรใหญ่อะไรต่ออะไรมันอยู่ข้างหน้า
ศีลข้อ 1 เป็นการสร้างสันติภาพที่ยิ่งใหญ่ ถ้าคนเข้าใจแล้วเห็นว่าสัตว์เป็นชีวิตเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งหลายอยู่ ขนาดระดับคน คนไม่ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนไม่ลงแต่เขายังฆ่าสัตว์อยู่ เพราะเขายังติดในเนื้อสัตว์ ยังไม่มีปัญญารู้ว่าสัตว์ทั้งหลายก็เป็นชีวิตเหมือนกัน เขาก็ไม่รู้เรื่องเหมือนคน มันจะสู้คุณได้หรือ สู้ไม่ได้หรอกขนาดช้างยังสู้ไม่ได้เลย เสือยังสู้ไม่ได้เลย
สู่แดนธรรม… เขาอ้างว่าสัตว์มันมีจำนวนมาก เดี๋ยวสัตว์มันจะล้นโลกต้องช่วยกันฆ่า
พ่อครูว่า… ให้มันจัดการกันเอง อย่างแมลงวันแมลงหวี่มันก็มีเยอะแยะ ธรรมชาติจัดการของมันเอง
สมณะฟ้าไท… มนุษย์ไปยุ่งทำให้สัตว์บางพวกเพิ่มโดยอัตโนมัติ แต่โดยธรรมชาติมันจะจัดการกันเอง
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนที่เป็นปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ศีลข้อ 1 ก็เป็นเรื่องปาฏิหาริย์แล้ว พระพุทธเจ้าสอนเรื่องสัตว์ อย่าฆ่ากัน อย่าไปกินกัน แต่ท่านได้ละเว้นไว้ตรงนั้น วางศาตรา วางอาวุธ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่
เป็นคำสอนที่ผู้ที่ไม่มีปัญญาจะอธิบายอย่างนี้ไม่ได้ ผู้มีปัญญาจะชัดเจนความลึกซึ้งอย่างที่อาตมาอธิบาย คำสอนอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าเป็นปาฏิหาริย์
พวกเราชาวอโศกเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ เป็นมนุษย์ปาฏิหาริย์ เห็นไหม ชัดเจนด้วยปัญญา เราไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ทั้งๆที่หลายคนยังติดยังอยากกิน แต่ปัญญาเข้าใจ เข้าใจแล้วว่ามันไม่ใช่ของควรกิน อกัปปิยะ เลิก สัตว์ไม่ใช่ของควรกิน นอกจากตัวเองกินบาปตัวเองแล้วไม่พอ ยังเอาไปถวายพระภิกษุพระพุทธเจ้าให้ติดยึดอีก ไปขายขี้เท่อ
เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพระสงฆ์จริงก็จะบอกว่าเอ็งเอามาทำไมเนื้อสัตว์ มันเป็นสิ่งไม่ควร อกัปปิยะ ไม่ควรกิน
แหม.. วันนี้ไปบิณฑบาตไม่ได้ปิ้งไก่เลย อะไรอย่างนี้
สู่แดนธรรม… เคยมีพระอาจารย์รูปหนึ่งที่เคร่งครัดดี ตอนแรกสมาทานกินมังสวิรัติ แต่พอมาสอนลูกศิษย์เรื่องละความยึดมั่นถือมั่น ก็เลยกลับมากินเนื้อสัตว์เพราะถ้าขืนกินเนื้อสัตว์ลูกศิษย์จะบอกว่าอาจารย์ยึดมั่นถือมั่น
พ่อครูว่า… สมควรแล้วอาจารย์โง่ๆ อย่างนั้น
ศีลข้อ 2 ให้หมดความโลภเกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืช
ศีลข้อที่ 2 อาตมาสอนมา 50 ปี ยังไม่เห็นพ้นศีลเลย ยังเอาศีลมาอธิบาย แล้วก็ยังทำกันได้ไม่เท่าไหร่เลย จำนวนมากก็ยังฟังไม่ขึ้นไม่เข้าใจไม่โน้มน้อมไม่นำไปปฏิบัติตาม ยังเป็นอยู่เฉยอยู่อย่างนั้น
ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของกับพืช ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อ 2 เกี่ยวกับของกับพืชซึ่งพืชเป็นชีวะ ที่ไม่มีบาปไม่มีบุญ เป็นชีวะที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ
ในพระไตรปิฎกไม่มีอย่างที่อาตมาอธิบายทีเดียวแต่อาตมายืนยันว่าไม่ได้อธิบายผิดอธิบายถูกต้อง พืชนี้ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญญาสังขารมีรูปเป็นพืช เวทนาก็ไม่มีไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ ชอบชังไม่มี เพราะฉะนั้นจะไปเป็นวิญญาณเป็นองค์รวมของจิตเจตสิกต่างๆไม่มี
เพราะฉะนั้นจึงเป็นอาหารคนได้ เป็นสังขาร เป็นของปรุงแต่งกลางๆ ถ้าจะให้คุณกินดินทีเดียว มันก็กินได้บางอย่าง เป็นวัตถุ ดิน วัตถุธาตุดินเช่น เกลือหรือดินบางอย่าง ดินโป่ง ดินแป้ง คนจีนกินของร้อนเก่ง เอาตะเกียบคีบ
คนเราเกี่ยวกับการกิน อาหารเป็นหนึ่งในโลก ที่พูดไปนี้อยู่ในหลักการของศาสนา โภชเนมัตตัญญุตา อาหารคือคำข้าว กวฬิงการาหาร ต้องสอนกันซ้ำซาก
กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณหาร เป็นอาหาร 4
อาหารอันที่ 1 คือคำข้าวที่กินนี่แหละ เลิกเนื้อสัตว์เลย เหลือแต่พืชกับดินกับธาตุวัตถุ กินเท่านี้แหละ ไม่ตายๆ ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ สบาย ซึ่งยกตัวอย่างพูดแวดล้อมสิ่งที่เป็นจริงเอามายกอ้างยืนยัน
คนอยู่ขั้วโลกเหนือ มันไม่มีพืชพันธุ์ธัญญาหารให้กิน มันต้องกินเนื้อสัตว์กินเนื้อปลา ดีไม่ดีต้องกินเนื้อหมี อายุสั้น คนอยู่บนป่าบนภูเขา เขาไม่ไปจับสัตว์มากินหรอก มันมีเนื้อมีสัตว์ต่างๆเขาก็กินพืชอย่างง่ายๆ เพราะว่ากินพืชที่ปลูกหรือไม่ปลูกก็ตามเดินไปเด็ดมากิน มันไม่วิ่งหนีเหมือนเนื้อสัตว์หรอก ง่ายดี มีสารพัดพืชผลหมากรากไม้กินดอกก็ยังได้ กินทั้งดอกมันกินทั้งใบมัน กินทั้งกิ่งก้านมัน กินหัวมัน ใต้ดินบนดินกินหมด ก็เหลือแหล่แล้วที่จะเป็นอาหารเลี้ยงชีพ
เท่านี้ก็เป็นความเจริญ ไม่เป็นคนเสื่อมคนต่ำคนอำมหิต คนที่ยังกินเนื้อสัตว์ยังไม่พ้นความเถื่อน ไม่พ้นความต่ำความอำมหิต
ไม่ได้พูดยกตัวอย่างตนข่มผู้อื่นนะ ไม่ใช่ คนอินเดียเข้าใจหมดไม่มีแย้งเรื่องนี้ คนอีก 1,000 กว่าล้านชาวจีนก็เข้าใจอันนี้ได้ไม่เลว แต่ชาวจีนนั้นฉลาดแกมโกงเยอะกว่าอินเดีย อินเดียนั้นฉลาดซื่อๆ กว่าเยอะ พลเมืองส่วนมากของโลก พลเมืองเกิน 1 พันล้านก็มี 2 ประเทศนี้แหละ นอกนั้นไม่มีประเทศไหนเกิน 1 พันล้าน มี 2 ประเทศนี้แหละที่ที่มีประชากรเกินพัน ล้านคนละ character คนละรสนิยม คนละพฤติกรรม คนละขั้ว ขั้นหนึ่งเจโต ขั้วหนึ่งปฏิภาณปัญญา แต่ไม่ใช่ปัญญาแท้แต่เป็น เฉโก ที่ฉลาด
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าความซื่อสัตย์กับความฉลาดเอามารวมกัน จึงเป็นปัญญา ฉลาดไม่โกง ฉลาดซื่อสัตย์ ฉลาดจริงใจ ฉลาดเข้าใจลึกซึ้ง
เป็นความฉลาดที่พระพุทธเจ้าชาวพุทธเป็นผู้รู้ความฉลาดสุดยอด คนเอาความฉลาดของพระพุทธเจ้าไว้ได้ แรกเริ่มมาประกาศคนก็เห็นตามเยอะ ผ่านไป 2,000 กว่าปีก็เสื่อมๆๆ
จนกระทั่งความฉลาดที่มันถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าหายไป อาตมาอุบัติมาในชาตินี้ โอ้โห! ต้องมางมเอาความฉลาดที่คนโง่ทับถมจมมหาสมุทรเอาขึ้นมา เอามาพูดใหม่
แต่ของพระพุทธเจ้าเก่านั่นแหละ เอามาขยายความให้เห็นความจริงใหม่ ซึ่งอาตมาไม่มีเครดิตไม่มีบารมีเท่าพระพุทธเจ้า แล้วมาในปางนี้ นอกจากบารมีไม่เท่าแล้ว ไม่มีผู้พี่ที่เป็นอาจารย์ มาแล้วมาประกาศตัวเองว่าเป็นอาจารย์ตัวเอง ตัวเองรู้มาเองมาแต่ชาติก่อนๆ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าชาติก่อนๆ อาตมาเป็นใคร บอกเป็นใครเขาก็ไม่เชื่อไปเชื่อง่ายๆได้อย่างไรก็ไม่มีหลักฐาน หลักฐานก็มีบ้างแต่ว่าอ้างอิงอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ
สู่แดนธรรม… พ่อท่านก็ไม่ได้ต้องการให้คนมาเป็นบริวารอีกด้วย
พ่อครูว่า… ใช่ อันนั้นก็ด้วยอาตมาไม่ได้ต้องการให้คนมาเป็นบริวาร
บริวารหมายความอย่างไร บริวารหมายความว่ามาเป็นลูกไม้ลูกมือ เป็นผู้รับใช้ พวกคุณไม่ได้มาเป็นคนรับใช้อาตมา พวกคุณมาเป็นนักศึกษา พวกคุณไม่ได้เป็นคนรับใช้อาตมาแต่พวกคุณเป็นนักศึกษา อาตมาก็เป็นครูที่ให้ความรู้ พวกคุณก็ช่วยเลี้ยงอาตมาไว้
ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา พวกคุณก็เลี้ยงอาตมาไว้ อาตมาก็เอาเวลาแรงงานมาสอนมาให้ความรู้ อาตมาเลี้ยงง่ายๆไม่ยากหรอก ไม่ต้องฆ่าสัตว์มาเลี้ยง พืชพันธุ์ธัญญาหารพอสมควรก็อยู่ได้แล้วง่ายๆไม่ยากอะไร เลี้ยงง่าย สุภระ สุโปสะ มักน้อย เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า
พูดถึงอันนี้ อาตมาสอนตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้านี่ ทำไมชาวพุทธทั้งหลายแหล่ ไม่สะดุดตรงนี้ อาตมาอ้างอิงตั้งแต่ศีลจนถึงคำสอนต่างๆซึ่งเป็น ถึงขั้นเป็นสูตรรวมวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 หรือสูตรต่างๆนานาที่อาตมาเอามาไล่อธิบายก็ตาม นอกจากจะอธิบายได้แล้ว เรายังปฏิบัติได้ด้วย ยืนยันว่าเป็นความจริงแม้แต่ในยุคนี้ด้วย
ทำไมคนไม่มีปฏิภาณรู้ว่า ทำไมเข้าใจไม่ได้ เขาก็ไม่ใช่คนโง่เท่าไหร่ แต่เขามีอคติ เป็นตัวสำคัญ อคติ ไปเชื่อผู้รู้ในคณะของตนว่า โพธิรักษ์ผิด ยังไงก็ผิดเอ็งไม่ผิด พ่อเอ็งก็ผิด พ่อเอ็งไม่ผิดปู่เอ็งก็ผิด เป็นหมาป่า
เขาก็ไปหลงคำครูบาอาจารย์ ทำไมไม่เป็นตัวของตัวเองว่า โพธิรักษ์นั้นสอนอย่างไร ก็เอาพระไตรปิฎกมากางยืนยันอ้างอิงว่าผิดตรงไหน มาทุกวันนี้อาตมากล้าพูดคำนี้อย่างมั่นคงแน่นอนอย่างหนัก อย่างหนักแน่นเลย มายืนยันกับพระไตรปิฎกเลย
ดีนะ จะมีโชคดีมากที่มีพระไตรปิฎกยังมีอยู่ ในวงการศาสนาพุทธยุคนี้ ถ้าไม่มีพระไตรปิฎกอย่างเดียวเท่านั้นแหละ อาตมาตายอย่างเขียดถูกกระทืบตายแน่ แต่นี่ยังดีอยู่ที่มีพระไตรปิฎกปฏิบัติมีผล
สัมมาทิฏฐิ 10 โดยย่อ
แค่อธิบายทิฏฐิ 10 ทาน มีผลหรือไม่มีผลปฏิบัติ ศีลพรตหรือยัญพิธี มีผลหรือไม่มีผล
สัมมาทิฏฐิ
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) . . . .
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
-
สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
-
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ .
(อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) . .
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ .
-
มารดา มี (อัตถิ มาตา) . . .
-
บิดา มี (อัตถิ ปิตา) . .
9 . สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) . . .
-
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .