650221 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1p1Xho3N4FSe-VwzSMQ9s_2JkxmwAPjh0tUf2eFSHFVI/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1dqth9Sm5GMrmzJWNpLW2Ox5QwseKWStv/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/0VGA9mDo4Ec
และ
https://fb.watch/bjh0YMrF3A/
สาธารณโภคีคือสุดยอดความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นจริง
สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ชาวอโศกเราอยู่กันอย่างเป็นระบบสาธารณโภคี และคราวที่แล้ว พ่อครูอธิบายเรื่องพญานาคค้างไว้อยู่ การจะทำให้เกิดระบบสาธารณูปโภคต้องทำลายความเห็นแก่ตัวของตนเองให้ได้ก่อน ความเห็นแก่ตัวก็คือพญานาคที่เอาแต่มุดอยู่ในรูใครรู้มัน
พ่อครูว่า…เอาอะไรก่อนดี จะเอาสาธารณโภคีหรือเอาพญานาคก่อน
คำว่าสาธารณโภคีเป็นสุดยอดของความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้วนะ ไม่ว่าจะเป็นสาธารณโภคีในมุมของเศรษฐกิจ มุมของสังคม มุมของการเมือง มันสุดยอดของมนุษยชาติแล้ว สาธารณโภคีแปลว่า ไม่มีตัวตน ไม่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ของกินของใช้ทุกอย่างเป็นของสาธารณะเป็นของส่วนกลาง ทุกคนกินได้ใช้ได้ร่วมกันหมดเลยโดยไม่ต้องซื้อต้องขายไม่ต้องแย่งชิง ช่วยกันสร้างมีเท่าไหร่ก็กิน แล้วก็มีความรู้มีสิ่งที่ต้องปฏิบัติตน ประกอบกันไป คู่เคียงกันไปด้วย คือจะต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นผู้ที่พอ เป็นผู้ที่เอาแต่น้อยๆ เป็นผู้ที่ไม่แย่งชิง ไม่วิวาท ซึ่งมีอีกหลายประเด็น
คุณธรรมทุกอย่างต้องสมบูรณ์ในคน คนที่จะปฏิบัติสาธารณโภคีได้ ก็จะต้องเป็นคนกลุ่ม สาธารณโภคีคนเดียวทำไม่ได้ และก็ไม่ใช่กลุ่มเล็กๆด้วย สาธารณโภคีต้องกลุ่มใหญ่ ต้องเป็นกลุ่มคนที่มากพอสมควร ไม่ใช่กลุ่มน้อยๆ จริงๆแล้วทุกวันนี้สาธารณโภคีของไทยที่เราทำกันอยู่ ชาวอโศกมีสาธารณโภคี มีชุมชนกระจายอยู่ทั่วประเทศ 20-30 นับอย่างตีกินหน่อยถึง 40 50 ชุมชนอะไรนี่ก็ไปสำรวจ บางชุมชนมีคนอยู่ 2-3 คนเป็นต้น ก็ตีกินได้หลายสิบ
ซึ่งอยู่กันอย่างเป็นคุณสมบัติ เป็นคุณวิเศษอันเยี่ยมยอดที่จิตได้ฝึกดีแล้ว ฝึกไม่เห็นแก่ตัว จนถึงขั้นไม่มีตัวตน แต่สร้างสรรขยันเพียร ไม่สะสม เพราะฉะนั้นอยู่กันอย่างมีพฤติกรรมกายวาจาใจ ปาสาธิกะ เป็นอาการที่น่าเลื่อมใสในโลก โลกใดๆก็ปฏิเสธไม่ได้ พูดกันโดยสามัญสำนึกก็รู้กันแล้ว
ว่าผู้ที่มีพฤติกรรมสร้างสรร ขยันหมั่นเพียร แล้วไม่ยึดเป็นของตัวของตน ไม่สะสมแต่แจกจ่ายเจือจานเผื่อแผ่ผู้อื่น ไม่มีที่ไหนเขาปฏิเสธ คนโง่คนฉลาดรู้หมด นอกจากคนขี้โลภขี้หวง พวกจนไม่เสร็จคือพวกคนรวยนี่แหละ คนรวยคือคนจนไม่เสร็จ พวกคนรวยนี่คือคนจนที่จนไม่เสร็จ ไม่เคยหยุดจน นึกว่าตัวเองจนตลอด ไม่เคยพอไม่เคยหยุดเลย พวกคนรวยนี่
คือเป็นคนที่หน้ามืดตามัว เป็นคนโง่ดักดาน ที่ไปแย่งชิงเขามาได้มากเท่าไหร่ ไม่เคยจบ ไม่เคยหยุด ไม่เคยพอ ไม่เคยนึกเห็นแก่ผู้อื่นเลย จึงเป็นคนที่ชั้นต่ำมากเลยคนรวยนี่ ขออภัยอาตมาพูดชัดๆ ไม่ได้ไปด่าไปว่า ไม่ได้ไปเสียดสีอะไรเลย แต่พูดความจริงตามความเป็นจริง แต่เขาอวิชชากันเอง ไม่รู้ อาตมาก็ไขความจริงที่เป็นสัจจะให้ฟัง
เพราะฉะนั้นคนที่จะมาเป็นสาธารณโภคีถึงขั้นสูงสุด เป็นรูปธรรมให้เห็นสำเร็จด้วยนะเป็น phenomena เป็นปรากฏการณ์ยืนยันให้เห็นจริงเป็นจริงเลย ต้องเป็นคนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจนมีวรรณะ 9 ได้จริงๆ เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
0 ก็พอไม่มีของตนก็พอ สันโดษ คนไม่ถึงจุดสมบูรณ์ก็ขัดเกลากิเลสตนเองออก จนกระทั่งเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติ มีธูตะ มีข้อปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติได้สูงขึ้น คนที่ทำไม่ได้ก็เหมือนเคร่ง แต่ที่จริงผู้ที่ทำได้แล้วไม่เคร่ง มีข้อปฏิบัติเป็นศีลเคร่ง เขาไม่เคร่งหรอก
ยกตัวอย่างง่ายๆศีลข้อที่ไม่ต้องมีเงิน ไม่เห็นจะเคร่งอะไร ผู้ที่เป็นได้แล้ว บรรลุได้แล้ว มันสบาย กินมื้อเดียวอย่างนี้ ไม่เห็นจะยุ่งยากอะไร ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรเลย อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ฟังก็เข้าใจได้ แต่ผู้ที่ยังอวิชชา ผู้ที่มีกิเลสหนา จะไม่ค่อยซาบซึ้ง แต่ผู้ที่กิเลสเบาบางลง เป็นผู้ที่แสวงหา รู้จักบัญญัติภาษาที่มีความหมายดีแล้ว ก็จะซาบซึ้งเข้าใจดี ว่า โอ้โห…โลกนี้มันมีด้วย ปัจจุบันนี้ ธรรมะพระพุทธเจ้าโลกุตรธรรมอย่างนี้มันมีด้วยหรือ จะรู้สึกอย่างนั้นเลย
อาตมาก็ภาคภูมิใจที่ธรรมะพระพุทธเจ้าทำได้ในยุคนี้ เป็นยุคที่คนกิเลสหนาตัณหาจัดแท้ๆ ก็ยังมีคนที่มีธุลีในดวงตาน้อย ขึ้นมาปฏิบัติมาเรียนรู้ได้มรรคได้ผล อย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมอย่างที่ยกตัวอย่างยืนยัน 40-50 ปีมาแล้ว เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของโลก จบ ถึงขั้นสาธารณโภคีได้แล้ว มันไม่มีอะไรสูงยอดกว่านี้แล้ว แม้แต่คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ ทำงานแล้วเอาเข้ากองกลาง ประชาธิปไตยก็ต้องการคนที่ทำงานได้ผลผลิต ได้รายได้แล้วเอาเข้ากองกลางให้มากที่สุด จนกระทั่งให้ได้หมดเลย เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ว่างั้นเถอะ สาธารณโภคีคือมีคนในทำงานกลุ่มชุมชนนี้ เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะฉะนั้นในประเทศไทย มีคนเช่นนี้ คือชาวอโศก ทำได้ เป็นการพิสูจน์ยืนยันถึงผู้ที่มีเศรษฐกิจสุดยอดของมนุษยชาติ ของสังคมมนุษยชาติ ซึ่งผู้ที่ทำได้สุดยอดแล้ว มันก็จะมีขั้นตอน มีขั้นชั้นของคนที่ทำได้อย่างไม่สมบูรณ์ 100% ได้ 90% ได้ 80% ได้ 70% 60% 50% ลดหลั่นลงไปอีก ไม่ได้หมายความว่าสาธารณโภคีคือคนสุดยอดเจ้าเดียว ไม่ใช่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ มันก็จะมีลดหลั่นไปให้เป็นขั้นๆชั้นๆอยู่ สืบสานอยู่
แล้วคนที่เข้าใจแล้วโดยทฤษฎี เขาทำได้เท่าที่ทำได้ ผู้ที่ทำได้ก็ไม่ข่มไม่เบ่ง ผู้ที่ยังทำไม่ได้ก็จะมีคนเห็นใจ ช่วยเหลือกัน อธิบายนำพาให้เป็นไป แล้วก็อยู่ด้วยกันเป็นสังคม นี่คือการสาธารณโภคี ทางด้านเศรษฐกิจคืออธิบายได้สมบูรณ์ และสังคม สาธารณโภคีเป็นสุดยอดสังคม
ด้านการเมืองการบริหารก็ตาม จะเป็นการบริหารการดูแลปกครองกัน ก็ไม่ต้องไปบังคับอะไรกันเลย ทุกคนอิสระเสรีภาพ
มี sms อันหนึ่ง
_หายโง่ : ไหนว่าเป็นอิสระชน ทำไมต้องมาเป็นชาวอโศกที่ต้องมีกฎระเบียบ ฯลฯ ดิฉันตอบไปว่า ดิฉันได้พบจอมยุทธที่ฝึกให้ดิฉันได้รู้จักวิชชา เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ฆ่ากิเลสที่หมักหมมอยู่ในจิต ให้เป็นอิสระชนแท้ นี่แหละจอมยุทธดังกล่าวคือพ่อครูค่ะ กราบขอบพระคุณที่พ่อครูได้แจกแจงธรรมะอันลึกซึ้ง ชัดเจน เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาจิตวิญญาณของดิฉัน
พ่อครูว่า… นี่คือคำตอบของผู้ที่ได้มาเรียนรู้เป็นอิสระชน เขาถูกว่ามาอยู่ในคอกของคนมีชนัก ที่นี่บอกแต่ไหนแต่ไรว่า ไม่เคยไปเรียกร้อง ไม่เคยไปอ้อนวอน ไม่เคยเป็นและเล็ม ใครมา
เคยบอกว่าคุณทุกคนมาที่นี่มาเอง โดยภูมิปัญญาด้วยความสมัครใจของคุณ ไม่เคยไปบังคับ อาจจะเคยพูดเล่น หนูเปล่าหนา เขามาเอง คุณสมัครใจมาถือศีลตามหลักเกณฑ์ที่นี่เขา คุณสมัครใจมาไม่กินเนื้อสัตว์ตามวัฒนธรรมที่นี่เขา มันเป็นอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่า เหมือนอย่างคนที่เข้าใจง่ายๆตื้นๆ เข้าใจบุญไม่ได้ ที่นี่ไม่มีการบังคับ เป็นอิสระชนจริงๆ อย่างที่คุณหายโง่เขาเขียนมา
_กรุณาอธิบายคำว่า เจตสิก โดยสังเขปด้วยค่ะ
สู่แดนธรรม.. ขอพักธรรมะลึกๆก่อนนะครับ ผมฟังพ่อครูพูดมา 10 นาทีนี้ คนในสังคมได้ยินได้ฟังก็คงจะน่าทึ่งว่า เอาอะไรมาพูด พ่อท่านเคยบอกว่า เอาจากของพระพุทธเจ้ามาใช้ แล้วมีที่ไหนให้เห็น ในประเทศไทย
พ่อครูว่า… เอาสิ่งที่มนุษย์ปฏิบัติได้จริงๆ เอาของพระพุทธเจ้าตรัสรู้
ก็มีให้เห็นอยู่นี่ไงชาวอโศก เป็นแต่เพียงว่ามันยาก จึงมีคนได้ประมาณหนึ่ง เป็นยอดพีระมิด ส่วนคนมิจฉาทิฐิเข้าใจไม่ได้ ก็เป็นฐานพีระมิดธรรมดา เป็นคนส่วนใหญ่
สู่แดนธรรม.. ทำงานเสียภาษีให้ส่วนกลางร้อยเปอร์เซ็น แล้วมันเพ้อฝันไปหรือเปล่าเขาอาจจะคิดเช่นนั้น
พ่อครูว่า… ทำได้ จริง ที่มันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะบางคนอาจจะมีไว้ให้ตัวเองนิดหน่อย เป็น Error ที่เป็นธรรมชาติธรรมดามันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจะ 90-95 เปอร์เซ็นต์ก็สุดยอดแล้วนะ 80% ก็สุดยอดแล้ว
สู่แดนธรรม.. ใครที่ฟังความเป็นไปได้อาจจะท้อใจ ว่าทำได้ยาก
พ่อครูว่า… ท้อก็ไม่แท้สิ เราต้องอดทนในสิ่งที่อดทนได้ยาก ทำในสิ่งที่บุคคลอื่นทำได้ยาก
สู่แดนธรรม.. บางทีบ้านราชฯน้ำท่วมที่อื่นก็เอาอาหารมาให้
พ่อครูว่า…สาธารณโภคีเป็นญาติกันทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นน้ำไม่ได้ท่วมประเทศไทยทั้งหมด ที่อื่นไม่ท่วม เขาก็เอามาเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน เป็นสาธารณโภคีนั้นเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน ผู้ที่ไม่เดือดร้อนอุดมสมบูรณ์ ก็เอามาช่วยผู้ที่ขาดแคลนผู้ที่ถูกภัย ทุภิกขภัย วาโยภัย อุทกภัย น้ำท่วมไปหมดปลูกพืชไม่ได้ เขาก็เอามาช่วยมาให้เลย
สู่แดนธรรม.. ทางสายนักการศึกษาพัฒนาสังคม จะดีต่อมนุษยชาติทุกอย่าง
พ่อครูว่า… แล้วการเมืองเกี่ยวอะไรกับสาธารณโภคี การจะมีเศรษฐกิจที่ไม่เห็นแก่ตัว ช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมไปเลย มันได้จริงๆ มันรวมแล้วอันนี้คือการเมือง การเมืองที่ยังเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เห็นแก่พรรคพวก มันไม่ใช่ประชาธิปไตย มันไม่ใช่สมบูรณ์แบบ เรานี่สุดยอดประชาธิปไตย พระพุทธเจ้านี่ สุดยอดประชาธิปไตย ที่มีจิตวิญญาณเป็นประธาน
เพราะฉะนั้นในความหมายของโลก มนุษยชาติต้องมี 2 มีจิตวิญญาณเป็นประธาน แล้วต้องมีสิ่งที่เป็นตัวตนบุคคล จึงเป็นสภาพที่ต้องมีพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินต้องเป็น
อาริยบุคคล โดยเฉพาะอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เรานี้ เป็นพระโพธิสัตว์สาธารณโภคีชัดๆ ท่านประกาศเลย มาเป็นคนจน เราเสียสละให้แก่คนอื่นนั้นแหละเราได้ ถ้าคนไม่มีสาระสัจจะอันนี้พูดออกมาไม่ได้หรอก โดยเฉพาะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พูดออกมาแล้วถ้าทำไม่ได้ แล้วเป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยได้อย่างไร พระพักตร์แตกเลยนะไม่ได้
เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งสุดยอดของโลก พูดไปแล้วอาตมาก็พูดยืนยันความจริงเน้นว่ามันเป็นสุดยอด คนบางคนอาจจะบอกว่าคุยโม้ แล้วสิ่งที่ดีๆไม่ให้คุยโม้ ไปคุยในสิ่งไม่ดีนะมันฉลาดที่ไหน คนที่คุยในสิ่งที่ดีๆ นั่นแหละแม้จะเป็นตัวเขาเองเป็นคนดี ก็ไม่น่าจะไปรังเกียจเขา ก็เขาเอาสิ่งที่ดีมาพูดแล้วยืนยันเป็นตัวยืนยัน ที่เขาพูดนี่มันเป็นจริงได้นะไม่ใช่เป็นจริงไม่ได้ เสร็จแล้วบอกว่าเราอวดตัว เราไม่อวดหรอก ยิ่งคนที่ทำได้จริงและพูดจริงจะว่าเขาอวด ก็อวดความจริงที่ทำได้จริงแล้วไง ไม่ใช่อวดสิ่งที่ทำไม่ได้นั่นแหละเป็นกิเลสอวดตัว ตัวเองพูดสูงพูดดีแต่ตัวเองทำไม่ได้ นั่นต่างหากอวดตัว ที่ทำได้แล้วพูดความจริงตามความเป็นจริงไม่ใช่เป็นคนอวดตัว ฟังให้ชัดๆภาษาสื่อสัจธรรม
สู่แดนธรรม.. ถ้าจะทำให้สาธารณโภคีเจริญแพร่หลายออกไป คงไม่สามารถไปตั้งเองได้ต้องมาศึกษาเอาไป ถ้ามาแล้วก็อาจจะบอกว่ามันไม่อิสระ
พ่อครูว่า… มาสุดยอดที่จะได้ความเป็นอิสระสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่อิสระที่บำรุงกิเลสที่บำเรอตัวตน อย่างนั้นไม่อิสระ อย่างนั้นเป็นทาสอัตตาตัวเอง ทาสติดรสติดชาติ แค่นี้ไม่มีภูมิปัญญาพอ ว่าติดอยู่อย่างนั้น ไม่อิสระ อิสระต้องไม่ติดอะไรเลย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสโลกธรรม
สู่แดนธรรม.. เข้ามาอย่างนี้เหมือนการสอนให้ฝึกบินจะบอกว่าเป็นกฎระเบียบ ไม่ใช่หรอก มันก็เป็นธรรมชาติของนกที่ต้องฝึกขับตามแม่ไป ลูกนกสามารถมีปีกแข็งได้จึงจะบรรลุอิสระ
พ่อครูว่า… ที่จริงแล้วมนุษยชาติ สุดยอดแห่งความเป็นมนุษย์ชาติ สุดยอดแห่งความเป็นสังคมสุดยอดแห่งความเป็นเศรษฐกิจ สุดยอดแห่งความเป็นการเมือง มันสุดยอดแล้ว ใช่
รวมแล้วสามเส้าใหญ่ๆ สังคม เศรษฐกิจ การเมืองก็รู้กันทั่วโลก นักปรัชญานักประชาธิปไตยนักคอมมิวนิสต์รู้กันหมด
เพราะฉะนั้น ปัญหาที่เป็นประเด็นสำคัญก็คือจะทำอย่างไรจะทำสิ่งสุดยอดไปได้ พระพุทธเจ้ามีสุดแล้ว จรณะ 15 วิชชา 8 นี่คือสูตรสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ วิชชาจะระณะสัมปันโน ว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์บรรลุวิชชาจะระณะ เรียกว่าวิชชาจะระณะสมบัติ นี่สุดยอดยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะฉะนั้นถ้าโลกทั้งโลกเข้าใจว่านี่คือ ทฤษฎียิ่งใหญ่ จรณะ 15 วิชชา 8 เกิดทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นักรัฐศาสตร์ก็ดีนักเศรษฐศาสตร์ก็ดีนักสังคมศาสตร์ก็ดี จะต้องรู้ว่า โอ้โห! ไม่มีทฤษฎีไหนที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เป็นผู้หมดตัวตน หมดกิเลสทำเพื่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง จะเป็นประชาธิปไตย จะเป็นสังคมนิยม จะเป็นคอมมิวนิสต์ ต้องการทั้งนั้น นอกจากเผด็จการเท่านั้นที่ไม่ต้องการ เผด็จการนั้นมันคนตรงกันข้ามกันที่สุด แล้วก็แสวงหาความเป็นเผด็จการโดยพรางลวงกลบเกลื่อนว่าตัวเองไม่ได้เผด็จการ เช่น ประชาธิปไตยขาเดียวประชาธิปไตย ประธานาธิบดีของแต่ละชาติแต่ละประเทศ ที่เป็นอยู่นั้น นั่นแหละคือประชาธิปไตยลวงโลก ไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง
คอมมิวนิสต์ก็คือเผด็จการที่เป็นหมู่ เผด็จการที่เป็นกลุ่ม คณาธิปไตย ส่วนผู้ที่ไม่เป็นเผด็จการหมู่ แต่ทุกคนเสมอภาคกัน ทุกคนมีอิสรเสรีภาพ นี่คือประชาธิปไตยแท้ที่พระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ เป็นเจ้าแห่งวิชารัฐศาสตร์ วิชาเศรษฐกิจ วิชาสังคมศาสตร์ สุดยอด
สู่แดนธรรม.. ผู้รู้บางคนอาจจะเถียงว่า พระพุทธเจ้ายังมีศักดินา จะเท่าเทียมกันได้อย่างไร
พ่อครูว่า… เราต้องรู้ กาละ เทศะ ฐานะ สังคมในยุคนั้นทั่วโลกเผด็จการหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งนั้น
เป็นสังคมทาส เป็นสังคมที่มนุษย์ไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชน นั่นคือสังคมยุคนั้นมีบริบทอย่างนั้น ซึ่งในยุคนี้มันไม่ใช่สังคมทาสแล้ว ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ ไม่ใช่สังคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว ถ้าเข้าใจอย่างนี้ไม่ได้ คุณก็จะวนไปวนมาแย้งอยู่นั่นแหละ ถ้าเข้าใจได้แล้วก็จบ (นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ)
สู่แดนธรรม… วันนี้เปิดประเด็นเรื่องสาธารณโภคี เป็นประโยชน์เพื่อมนุษยชาติในทุกประเด็น ด้านสังคมเศรษฐกิจการเมืองการปกครอง ทุกประเทศก็ต้องการแบบนี้ใครๆก็ต้องการ
พ่อครูว่า… สุดยอดวิชาความรู้ สุด ุดยอดศาสตร์ สาธารณโภคีศาสตร์นี่สุดยอดแล้ว
สู่แดนธรรม.. ถ้าหากเศรษฐกิจของโลกเปลี่ยน ทุนนิยมใช้ไม่ได้แล้ว เศรษฐกิจอะไรจะมาแทนในโลก ถ้าหากเราจะอาจเอื้อมเสนอสิ่งนี้ออกไปได้ไหมครับ
พ่อครูว่า… มันเป็นอิสรเสรีภาพ มนุษย์มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน แล้วคุณจะไปบังคับให้คนไม่มีกิเลส มันทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็อยู่ที่ความสามารถของผู้ที่สามารถได้แล้ว เป็นอิสระชนได้จริง เป็นผู้ที่บรรลุธรรมสูงสุดได้จริง แล้วลดลงมาเป็นลำดับๆๆอยู่ อันนี้จะเป็นความจริงเป็นมนุษยชาติที่จริง ที่เป็นตัวอย่างอยู่ในโลก เพราะฉะนั้นก็อธิบายไป ยืนยันทฤษฎีไป ยืนยันว่ามันเป็นได้จริงนะ ไม่ใช่ความสุดโต่งเพ้อฝัน เช่น ยูโทเปียซึ่งทำไม่ได้ ตอนนี้เป็นของจริงทำได้จริงมนุษย์ที่เป็นจริง ก็ยืนยันอยู่ เมื่อยืนยันอยู่ คนที่ได้แล้ว สังคมที่เป็นไปได้แล้ว เขาก็เป็นอยู่ของเขาอยู่ในโลก ส่วนคนที่แสวงหา ไม่มีอคติ เป็นคนที่มีภูมิปัญญา มีปฏิภาณว่าอันไหนจริง อันนี้ดี เขาก็จะเปลี่ยนมารับทฤษฎีนี้
แต่คนที่เทวนิยมไม่มีภูมิปัญญาไม่เชื่อว่าเป็นไม่ได้จริงๆ เป็นยอดของศาสดาเทวนิยม ยิ่งใหญ่อยู่นั่นแหละ มันก็เป็นลักษณะของผู้ไม่อิสระ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นทาสของพระเจ้า เป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไปด้วย หลงใหลหน้ามืดอวิชชา พระเจ้าครอบงำทุกอย่าง เข้าใจเทวะ สภาพสสองเป็นหนึ่งเดียว
อันนี้เป็นเรื่องรู้ได้ยากเข้าใจได้ยาก ถ้าไม่มีภูมิปัญญาจริงๆจะเข้าใจเทวนิยม เทวะ แปลว่า 2 เป็น 2 นะ ไม่ใช่ 1 นะ
สู่แดนธรรม… ถ้าเข้าใจว่าเป็น 2 แล้วจะดีกับเขาอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…เข้าใจเป็น 2 แล้วก็รู้ว่า เป็น 2 นี้ยิ่งใหญ่ที่จะเรียนรู้ คนติดสุข คุณต้องมี 2 มีทุกข์ นี่แหละยิ่งใหญ่ คุณมีดี เดี๋ยวก็วนไปหาชั่ว กลับไปกลับมา เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีคือคู่ทั้งนั้น สิ่งที่ 0 ไม่มีทั้ง 1 และ 2
สู่แดนธรรม… ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่มี นอกจาก 2 แล้ว เหลือ 1 ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า… ได้ นั้นเป็นผู้ที่มี วสวัตตี มีอภิภุยยะ
สู่แดนธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ที่พ่อท่านพร่ำสอนพวกเราอยู่ พ่อครูสอนให้เราลด 2 ให้เหลือ 1 แล้วทำไมใช้ 1 ได้
พ่อครูว่า… (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 1 ที่ใช้ได้เก่งก็เพราะว่า ข้อ 1 เป็นอิสระสมบูรณ์เต็มที่ไม่มีใครเป็นเจ้านายหนึ่งนี้ได้อีกแล้ว เพื่อคนทุกๆคน
นอกจากจะเป็น 1 เดียวอิสรเสรีภาพแล้ว 1 นี้มี 0 ด้วยไม่มีตัวตน แต่โดยสมมติต้องมี 2 คนที่เกิดมามีชีวะ ต้องมีวิญญาณด้วยและร่างกายอาศัยกันอยู่เป็นคู่ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป อยากจิตวิญญาณ แยกธาตุรู้หมดสิ้นเลย 0 เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย นี่เป็นตัวที่พิสูจน์ความจริงว่า จิตวิญญาณนั้นไม่ได้อนันตัง จิตวิญญาณไม่ได้อยู่นิรันดร จิตวิญญาณนั้นคือตัวประกอบ
รู้ความจริง แยกได้สูงสุดจึงมีอรหันต์มีนิพพาน ไม่ต้องไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้า สลายจิตตัวเองสลายเป็นอุตุนิยาม หายไปเลยเป็นดินน้ำไฟลมหมดตัวหมดต้นหมดอัตภาพไปเลย
สู่แดนธรรม… บุคคลที่เป็นหมายเลข 1 ในความหมายของพ่อท่านคือ คนอิสรเสรีภาพคือเป็น 1 เป็น 0 ได้แต่ยังไม่เป็น 0 ดำรงความเป็น 1 เพื่อช่วยความเป็น 2
พ่อครูว่า… มีอัชฌาสัยทนไม่ได้ต่อความกรุณา ตัวเองได้สุดยอดความเป็นอัตภาพที่เกิดมาแล้วจะเป็น 0 ก็ได้ จะเป็น 1 ก็ได้ จะปรุงแต่งอนุโลมเป็น 2 เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 ตามฐานะของโพธิสัตว์ ที่จะสามารถ
สู่แดนธรรม… เหมือนต้นไม้ ใช่ไหมครับ ตัวเขาเองไม่มีความเห็นแก่ตัวเอง จะเห็นแก่ตัวบ้างก็ต้องการอาหารเพื่อทำให้ตัวเองอยู่ได้เท่านั้น มีหน้าที่สร้างดอกผลอากาศสารพัดอย่างให้อย่างอื่น สร้างความหลากหลายออกมา แสดงว่าบุคคลหมายเลข 1 จึงเลียนแบบ พีชะ
พ่อครูว่า… สุดท้ายก็มีแก่น กระพี้ เปลือก สะเก็ด มีใบ ดอก กิ่งก้าน ผล
สู่แดนธรรม… นกหนูปีกได้อาศัย
พ่อครูว่า… ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ครบ เพราะฉะนั้นสุดยอดก็คือ แก่นคือวิมุติ กระพี้คือปัญญา สมาธิคือเปลือก ศีลคือสะเก็ด ส่วนลาภยศสรรเสริญคือ ดอก ผล ใบ เขียวชะอุ่มงามเลย
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธทุกวันนี้เหมือนต้นไม้ที่มีแต่ดอกใบผล กิ่งก้านสาขางดงาม ไม่มีแม้แต่แค่สะเก็ดคือศีล ได้แค่วินัย 227 ฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเลยว่า สมาธิที่เป็นเปลือก ไม่เป็นสมาธิ เป็นสมาธิเก๊สมาธิสะกดจิต ซึ่งสมาธินั้นไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆสำหรับสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า
ยิ่งปัญญา ไกลลิบเลย เพราะฉะนั้น วิมุติที่เป็นแก่นสาระของแท้ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ไม่มีทางที่จะเป็นได้ อย่างที่เห็นๆกันไม่ได้ไปใส่ความ เขาเถระสมาคมก็อยู่กับใบดอกผลกิ่งก้านงามชมชื่นอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไชโยโห่หิ้วกันอยู่นั่นแหละ
สู่แดนธรรม.. ท่านเองก็คงจะ ภาษาอีสานเรียก สิ่งตาน่อย
พ่อครูว่า… มาชำเลืองดูว่า อโศกมันทำได้จริงหรือเปล่า มันพูดตรงๆบรรยายถูกต้องยืนยันตามธรรมะพระพุทธเจ้าตรงๆ
สู่แดนธรรม… เขาอาจจะคิดว่าไปได้สักกี่น้ำ
พ่อครูว่า… พูดถึงอันนี้แล้วมันภาคภูมิใจ เอาน่า ดี กาลเวลาพิสูจน์คน อาตมาจึงอยากจะอยู่ยืนยาวให้เพื่อพิสูจน์ ถ้าหากตามอายุได้ถึง 120 ปีคุณต้องยอมรับเลย ระยะทางพิสูจน์
พวกที่มีอคติกับไม่เชื่อ ระยะทางยาวนานไปจนคนอื่นที่เขาไม่เชื่อนั้นตายไปหมดแล้ว คนที่อยู่เขาก็จะจำนนว่าเราอยู่ได้ถึง100 ปี 120 ปี มันเป็นอย่างนี้เพราะเป็นอย่างนี้ Born To Be เป็นตถตา มันเป็นเช่นนี้ของมัน ในตัวมันเอง
สู่แดนธรรม… พ่อท่านต้องทำตามสัจจะพระพุทธเจ้าที่ท่านไปโปรดชฎิล 3 พี่น้อง ได้หัวหน้ามา 3 คนแล้วลูกน้องก็ตามมาหมดเลย ทุกวันนี้พ่อท่านเลยพยายามโปรด ความหมายของผมคือชฏิลที่เป็นพญานาคหัวหน้าสำนักทั้งหลาย
พ่อครูว่า… หัวหน้าเขาดื้อด้านหลงตัวหลงตนยิ่งยากมาก แต่ก็ต้องทำ จะได้น้อยได้คนหมู่น้อย คณะน้อยๆมาเรื่อยๆ เป็นคณะก็เอา เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไปเรื่อยๆก็ไม่เป็นไรซึ่งมันไม่เก่งนี่ เก่งสุดความสามารถพยายามได้เท่านี้ก็เท่านี้
สู่แดนธรรม… มีคนเอาวิชาการทางโลกบอกว่าทำอย่างนี้สิ ถึงจะได้จำนวนสมาชิกเยอะ
พ่อครูว่า… ประเด็นดีๆ เขาบอกว่าอนุโลมอย่างนี้สิ อาตมาว่า ขนาดไม่ได้อนุโลมไม่ได้และเล็ม ให้เอามาด้วยภูมิปัญญาอิสรภาพของคุณเองยังยากเลย แล้วอาตมาจะโง่เอาคนที่มีแต่ขี้สนิมเลอะเทอะอย่างนั้นมาทำไม คนที่เอาตัวสะอาดๆมานี่ยังยาก อาตมาไม่โง่ซ้ำซ้อนหรอก
สู่แดนธรรม… บวช สมณะตอนนี้ยังไม่ถึง 100 รูปใช่ไหมครับทุกวันนี้
พ่อครูว่า… สมณะ ก็ไม่ถึง 100 รูป แต่ไม่มีปัญหาหรอกสมณะ ไม่ถึง 100 รูปก็ไม่เป็นไร พวกที่มีกิเลสเป็นนกรู้ เป็นฆราวาสดีกว่าเพราะปฏิบัติเป็นอรหันต์ได้อยู่ คือเลี่ยง แทนที่จะรู้ว่าอันนี้เป็นทางโปร่ง สะอาดบริสุทธิ์ดุจสังข์ขัด จะพาให้ไปได้เร็ว เขาก็ว่า มันต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ในพระวินัย เขาก็ขออยู่อย่างนี้แหละ ให้อาหารกิเลสมันหน่อย ก็ไม่ผิดไม่อะไร แต่ผิดนะผิดตรงที่คุณอ่อยกิเลส ด้วยสัจจะ ถ้ามาอยู่ในกรอบคุณจะดี แต่ความคิดมันไม่เอาจริง ไม่อาจหาญกล้าเขาก็ไม่มาบวช แต่คนที่แกล้วกล้าอาจหาญ รู้จริง จะมาบวช
ทุกวันนี้ชาวอโศก ผู้ชาย มันไม่กล้าเหมือนผู้หญิง ผู้หญิงมีการเข้าคิวบวชเป็นสิกขมาตุเยอะเลย แต่ผู้ชายไม่ได้ปิดกั้นอะไรเลย ให้มาได้เลย ก็ไม่มา แล้วก็กติกาของเราต้องมีสมณะเท่านี้รูป เป็นตัวกำหนดว่าจะมี สิกขมาตุได้เท่าไหร่
เพราะว่าผู้หญิงมีปฏิภาณปัญญาดี รู้ทุกข์ยิ่งกว่าผู้ชาย ผู้ชายเห็นทุกข์น้อย นี่ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง บังคับไม่ได้ มันก็เป็นสัจจะ
สู่แดนธรรม.. รายการนี้ รู้สึกว่าพ่อท่านมีอิทธิบาทในการตอบได้หลายเรื่องเลยนะครับ
พ่อครูว่า… อาตมาเคยนึกอยู่ว่า เอ๊ ทำไมเรารู้ไปหมด ใครจะถามมุมไหน เรื่องอะไรต่ออะไร นอกจากเรื่องโลกอาตมาตอบไม่ได้ วิธีที่จะไปทำการโดยแบบนี้ไปทำการโกงแบบนี้ไปทำการเอาเปรียบเอารัดคนแบบนี้ อาตมาไม่เก่ง ไม่รู้เรื่อง ตอบไม่ได้ แต่มาทางธรรมะ อาตมาว่าอาตมาตอบได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะยิ่งเข้าไปหาปรมัตถ์ เข้าไปหาจิตไปหากิเลส
สู่แดนธรรม… ก็แสดงว่า วิชาโลกุตรธรรม ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่วิชาอะไรที่อยู่เหนือมนุษย์จนกระทั่งต้องยกไว้ใส่พานใส่หิ้งไว้บูชาอย่างเดียว แต่เป็นวิชาที่คนเอามาใช้ในชีวิตได้อย่างนั้นด้วยใช่ไหมครับ แสดงว่าถ้าคนรุ่นใหม่ศึกษาจริงๆ ถ้ากำลังแสวงหาสังคมที่มีอุดมการณ์อย่างไร วัฒนธรรมที่ดีควรเจริญแบบไหน ถ้าเปิดใจได้มาศึกษาโลกุตรธรรมที่พ่อท่านอธิบายสร้างสังคมสาธารณโภคี มีการทำอย่างไร เจริญอย่างไร ในขณะที่พ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ โอกาสที่คนรุ่นใหม่จะได้เข้าถึงผมว่าดีมากเลยนะครับ
สู่แดนธรรม… ถ้าผมจะพาเข้าเรื่องที่ สาธารณโภคีจะเกิดได้ คนต้องลดความเห็นแก่ตัว ไม่หลบไม่คุ้ดคู้อยู่ในรู เหมือนพญานาค
โจรปล้นศาสนาที่เป็นพญานาค
พ่อครูว่า… พญานาค เปรียบเหมือนงู โดยอธิบายไปแล้วว่า นาค นาคา แปลว่างู โยงใยมาเลย ตั้งแต่ข้อ 1 มา
สู่แดนธรรม.. คือ คนรุ่นใหม่ที่ฟังแล้ว ตรวจดูเถิดว่าเรามีความเป็นนาคอยู่ในตัวมั้ย
พ่อครูว่า… นาคคือ งูใหญ่ขึ้นมาๆ จนกระทั่งศิลปินบอกว่าเป็นพญา ต้องตกแต่งให้อลังการ มีหงอน มีลายกนก ใส่หัว ใส่เขี้ยว ใส่จมูก ใส่ปาก ใส่หู ใส่ตา จนกระทั่งใส่เกล็ดข้างหลัง ครีบหลัง ไปกระทั่งถึงหางเลยกลายเป็นพญานาคทรงเครื่อง แล้วแต่ศิลปินจะมีความรู้ ลายประกอบต่างๆ สำมะปี๋ ที่จะใส่เข้าไป
นาคคือลักษณะติดหลับตา ติดหลับติดนอน หรือเข้าเป้าคือผู้ปฏิบัติหลับตานี่คือพญานาค พวกเดียรถีย์พวกเป็นโจรปล้นศาสนา เอาชัดๆไม่ใช่อาตมาไปใส่ความ แต่เป็นเรื่องจริงๆ ผู้ที่ทำลายศาสนาพุทธ เป็นโจรที่พระพุทธเจ้ามีอุทาหรณ์ บอกให้เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้า กลางวันก็ให้ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม ก็ไม่ตาย ตอนเย็นก็ไม่ตาย นี่แหละคือพญานาค นาคเป็นอมตะ ไม่รู้จักตื่น คือโง่เป็นอมตะนิรันดร นาคคือตัวโง่ อมตะนิรันดร
จะพอรู้มีความรู้ทางพระพุทธศาสนาก็เพียงแต่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา 1 องค์จะมีการลอยถาดลงไป ถูกถาดของพระเจ้าองค์ก่อนมีเสียงดัง พญานาคนั้นเฝ้าถาดทองมาตั้งแต่องค์ที่ 1 ใบที่ 1 พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา 1 องค์ ลอยถาดไปกระทบกันจึงจะตื่นขึ้นมา รู้สึกตัวว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาอีก 1 พระองค์แล้วหรือเท่านั้นแล้วก็หลับต่อไปอีก หลับต่อไม่มีรู้สึกตัวขึ้นมาได้อีกเลย ก็เอาแต่หลับตา พูดอย่างไร ใครจะพูดอย่างไร ใครจะมากระตุกอย่างไร ใครจะมาแทงด้วยหอกร้อยเล่ม 300 เล่มอย่างไร กูก็เป็นพญานาคของกูอยู่อย่างนี้ หลับตาปฏิบัติ
ทุกวันนี้อย่าว่าแต่ 300เล่ม เลย 30 เล่ม คุณก็หลับตาเป็นพญานาคอยู่อย่างนั้น คุณฟังเข้าหูที่ไหน คุณก็มืดบอดเป็นพญานาคอยู่อย่างนั้น นี่มันสุดยอดเป็นอุทาหรณ์ ไม่ได้ไปใส่ความนะแต่เป็นเรื่องจริง
พวกพญานาคที่โง่ดักดาน หลับตาปฏิบัติอยู่ทั้งหมด คือพญานาค พวกดักดาน ไม่ได้ไปว่าไปด่าแต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฟังที่อาตมาอ้างอิงพระไตรปิฎก หลักฐาน แล้วปฏิบัติให้เห็นเป็นอยู่ ผู้บรรลุอรหันต์จริงๆเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่หลับตาแล้วหลงเป็นอรหันต์ มันคนละเรื่องกันเลย
สู่แดนธรรม… นาคนอนอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร มันก็คืออนุสัยที่มันรู้ยาก
พ่อครูว่า… รู้ยากมาก แต่ไม่รู้จะทำยังไง บังคับไม่ได้
เมื่อทำผิด เมื่อสอนผิด แล้วมันก็ต้องได้นรก ขออภัยไม่ได้ใส่ความ อาจารย์ที่พานั่งหลับตาไปนรกกันทั้งนั้น เขาเป็นโจรปล้นศาสนา โจรปล้นศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าให้แทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า กลางวัน เย็น ถ้าดื้อดึงดันอยู่ เป็นผู้ที่แทงด้วยหอกไม่ตายก็คือเป็นพญานาค ถ้านาคตาย ก็ไม่เป็นงูเอาแต่หลับ ก็ตื่น
ที่นี้พวกตื่นก็ตรงกันข้ามกันเป็นพวกพญาครุฑ เตลิดไปทางปริยัติตลอดไปทางความรู้ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักหยุด แต่ก็จะต้องหลงใหลอยู่กับความรู้นั่นแหละ เป็น ปทปรมะก็แล้ว ปทปรมะคือใคร คือคนที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามามากท่องจำได้มาก สั่งสอนคนอยู่ก็มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรม ยังไม่พอนะ ปทปรมะ แล้วไปสะสมของอาจารย์ต่างๆ ไม่ใช่แต่ของธรรมะพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไปเอาของอาจาริยวาท ของใครต่อใครเอามาเรียน มาสะสม มาเก็บไว้หมดเลย มากๆๆๆ สะสมทำเล่มกี่เล่มใหญ่ๆ
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ พุทธธรรมอะไรต่างๆที่สะสม ก็จะไปอย่างนั้นเป็นพญาครุฑ เหินหาว ใครจะพูดอย่างไร ฉันพญาครุฑ ฉันอยู่สูงกว่าคุณนะ ปัดโถ่..พวกชั้นต่ำ ไม่รู้จักอะไร มันเป็นอย่างนั้น อาตมาก็สุดสงสารพญานาคพญาครุฑทั้งหลาย จริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็ช่วย ก็ทำอย่างที่ทำได้ สุดวิสัยก็ทำได้ขนาดนี้
ที่นี้ก็ตีเข้าเป้าหน่อย ถ้าพญานาคก็ดีพญาครุฑก็ดี ยอมรับว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นพญาทั้งครุฑทั้งนาค คือโพธิรักษ์ ผู้นี้คือลูกพระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ที่เอาธรรมะพุทธเจ้ามาต่อยอด ถ้าหากพญานาคกับพญาครุฑนี้ เกิดดวงตาอันนี้ นั่นแหละคือผู้ตื่น ตื่นจากความเป็นครุฑ ตื่นจากความเป็นนาคด้วย เพราะว่าเป็นผู้ที่มืดบอดทั้งคู่ทั้งพญาครุฑพญานาค ไม่มีแสงสว่าง
สู่แดนธรรม… มืดเพราะว่าแสงมันจ้า พญาครุฑ ส่วนพญานาคหลบซ่อนในที่มืด แสดงว่าตรงกลางคือพื้นดินธรรมดา พ่อท่านเป็นเทวดาเดินดิน
พ่อครูว่า… ใช่ เทวดาเดินดิน
สู่แดนธรรม… ถ้าหากว่า พ่อท่านสามารถช่วยพญานาคพญาครุฑได้…
พ่อครูว่า… ก็นี่แหละเป็นเจตนาที่ยิ่งใหญ่ ที่ต้องการช่วยนาค ครุฑ ช่วยถึงขั้น พญานาคกับพญาครุฑ แต่นี่ก็ได้ตัวนาคน้อย ครุฑน้อย ไปเรื่อยๆ เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไปเรื่อยๆ นาคก็ได้บ้าง ครุฑก็ได้บ้าง ก็เป็นรูปเป็นร่าง เป็นรูปธรรม
ถามว่า พญานาคมีจริงไหม พญาครุฑมีจริงไหม …มี แต่ไม่มีจริงๆหรอก ผู้ที่บรรลุหลุดพ้นความเป็นนาคความเป็นครุฑแล้วก็ไม่มี ผู้ที่ยังจมอยู่ในความเป็นนาค ความเป็นครุฑ จนกระทั่งไปเป็นพญานาค พญาครุฑ ก็มีอยู่จริงๆ
สู่แดนธรรม… ผมถามแทนคนฟุ้งซ่าน อนาคตถ้าเกิดท่านพญาครุฑ ท่านพญานาคมาช่วยพ่อท่านแล้ว มีความจำเป็นไหมว่า เขาไม่ถนัดทำเรื่องสาธารณโภคี
พ่อครูว่า… ก็ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ถึงขนาดเล็งผลเลิศถึงขนาดจะต้องเป็นสาธารณโภคีกันหมด มันมีขั้นตอน เราพูดไปหมดแล้ว ขั้นหยวนๆ หยาบๆ ได้แค่ 5% 10% 20% 30% 50% ก็ได้ไปตามฐาน
สู่แดนธรรม… ท่านมีความถนัดอะไร ท่านรับผิดชอบอันนั้นไป ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้ว
พ่อครูว่า… ถ้าเริ่มมีสัมมาทิฏฐิ คุณก็เริ่มปฏิบัติได้ คนที่มีทิฏฐิสัมมาคุณก็จะไปปฏิบัติตัวเองได้มรรคผลไปตามลำดับ เป็นสัจจะอย่างนั้น หากว่าได้แต่รู้ ไม่ปฏิบัติ ก็ไป สีลพตุปาทาน
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… ท่านทั้งหลายฟังแล้วแม้ไม่เป็นสาธารณโภคีทั้งหมดก็ปฏิบัติได้ ระบบสาธารณโภคีซึ่งต่อไปในอนาคต ไม่ว่านักปราชญ์ทั้งหลายจะตาสว่าง ผมว่านะ ไอเดีย ที่ท่านมีความสามารถทั้งหลายจะไปทำให้แตกต่างไปจากสาธารณโภคีนั้น ผมว่า ถ้าเป็นคนที่เห็นว่ามาร่วมกันสร้าง ช่วยอโศกทำสาธารณโภคี จะดีกว่า ลูกศิษย์ท่านก็ศรัทธา รับนโยบายสาธารณโภคีไปทำ… ผมลืมบอกไปว่า วันนี้ที่ต้องมานั่งทำรายการในห้องเพราะว่าอากาศข้างนอกเย็นมาก เราจึงต้องเซฟพ่อท่านไว้
พ่อครูว่า… ไปบังคับเขาไม่ได้หรอก คนเราจะเห็นเข้าใจว่า อย่างอาตมาเป็นเนื้อแท้ เป็นความถูกต้องที่แท้จริง เขาไม่เชื่อ เขาไม่เข้าใจ เขารู้ไม่ได้ ไปบังคับความรู้ไม่ได้ เขารู้ไม่ได้จริงๆ ที่ภาษาบาลีท่านว่า อวิชชา เขายังโง่อยู่ บังคับไม่ได้ เป็นสุดยอดแห่งความเป็นเช่นนั้น ตถาตา มันต้องเป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้นคนที่แสวงหา ที่ไม่มีอคติ เขาก็จะเห็นมีดวงตา คือ มีธุลีในดวงตาน้อยไม่มีอคติ อ้อ… พระโพธิรักษ์ พระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่มาสืบทอดสัจธรรมพระพุทธเจ้าจริงๆนะ คนที่รู้จริงๆอย่างพวกคุณนี้ พวกคุณจะหมดกังขาหมด วิจิกิจฉา คุณได้มรรคได้ผลก็จบของคุณ ไม่มีใครไปบังคับความเชื่อของคุณหรอก คุณเชื่อของคุณเอง พวกคุณเข้าใจแล้วมาทำจริงๆมันก็จริงได้จริง บรรลุผลจริง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ อันนี้ไม่จำเป็นต้องบังคับใคร
อาตมาก็พูดย้อนพูดวน ไม่ได้บังคับและเล็มเลียบเคียง เพราะอาตมาต้องการคัดเลือกด้วย เลือกคนที่ยังไม่มีปัญญาปฏิภาณพอยังไม่ต้องมาเลย ยังเป็นภาระอาตมาสอนไม่ไหว ขนาดพวกคุณมีปฏิภาณปัญญาพอเข้าใจ คุณยังแบกกิเลสมาให้อาตมาขัดเกลากันขนาดนี้เลย แค่นี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว ได้มากก็ดี แต่มันสุดวิสัยมันได้แค่นี้ จนอายุ 88 แล้ว จะลากขันธ์ไปได้อีกกี่ปียังไม่รู้เลย
สู่แดนธรรม.. หากลูกๆดื้อๆ มากๆก็บังคับไม่ได้อยู่ดี จนพ่อท่านมีโศลกว่า “ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ”
พ่อครูว่า… sms
SMS วันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2565
_ตุ๊ก อัศวิน ขอโอกาสเจ้าค่ะ..กราบขออภัยลุงจำลองที่เคารพที่จะขออนุญาต
ยกเป็นกรณีศึกษานะเจ้าคะ../ ได้ฟังคุณลุงจำลองเปิดโอกาสให้ถามปัญหาฯ
คุณลุงได้ปรารภว่า เพลานี้ท่านทานผลไม้ ได้แต่กล้วย เพราะผลไม้อื่นๆมีรส
..ที่ลุงจำลองงดผลไม้อื่น นอกจากกล้วย นี้ ลุงเป็น สาย’เจโตฯ’ ใช่ไหมเจ้าคะ
ขอได้โปรด วิสัชณา ด้วยเจ้าค่ะ/น้อมกราบสาาาธุ เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ใช่เลย วิสัชนาขนาดนี้ก็ชัดแล้ว เป็นสายเจโตที่ตรง ก็อย่างนี้แหละ ก็เป็นคุณจำลอง คุณจำลองนี่นะ หากมีอนุโลมปฏิโลมเท่านั้นเป็นนายกไปนานแล้ว หลายสมัยเหมือนลุงตู่ แต่เขาไม่อนุโลมเลย คนที่ยิ่งปฏิบัติไม่ดีก็ยิ่งเดินทางไม่เข้าใกล้เลย มันก็เลยมีพลเมืองน้อย
ที่จริงโดยกว้างเป็นสิริมหามายา คนเคารพคุณจำลองเยอะ แต่คนจะเอาคุณจำลองมาบริหารนี้น้อย แต่คนชอบคุณจำลองเยอะ แต่รู้ไหมว่าถ้าเอาคุณจำลองมา ข้อจำกัดเยอะเลยจะถูกจำกัด เราซวยเลย ดีมาก เอาแต่ดีๆแต่ทำไม่ไหวก็เลยได้แค่นี้ ถ้าอนุโลมปฏิโลมลงหน่อยจะได้ดีกว่านี้ แต่นี่คุณจำลองไม่เอา จะเอาแต่เข้มข้น แข็งๆ เอาเต็มที่ จะเอาแต่สุดยอดสุดยอด สุดยอด เอาแต่แก่นๆ ไม่อนุโลมเอาเนื้อกระพี้หรือเปลือก สะเก็ดไม่เอาเลย ไม่ต้องไปพูดเลยดอกไปไหมฝนไม่เอาเลย
_วิเชียร เรืองศรี ปฐมอโศก : กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไรกับ คำว่าอาจาระและโคจรครับ
พ่อครูว่า… วิญญัติ แปลว่าการเคลื่อนไป การเคลื่อนทั้งภายนอกภายใน มีภายในเป็นประธาน แล้วมีการเคลื่อนทางกาย เช่นกายกรรม มี นัจจะ ท่าทาง คีตะ สุ้มเสียงสำเนียง วาทิตะ คำพูดภาษาเอามาประกอบ
วจีวิญญัติ ลดลง มีแต่สุ้มเสียง สำเนียงและภาษา ต่างกับกายที่รวมเอาองค์ประกอบทั้งหมด กายวาจา
อาจาระ ระบุลงไปถึงลักษณะการประพฤติ โคจระคืออารมณ์ต่างๆ ที่ควรเป็น ควรเปลี่ยน ควรดำเนินไป เรียกโคจระ คือเข้าไปหาภายใน
สู่แดนธรรม… สองเรื่องนี้คล้ายกัน กายวิญญัติ วจีวิญญัติให้รู้รูป ก็จะไปรู้นามด้วย
อาจาระ โคจระ ให้สังวรระวังในการเคลื่อนไหว ของพฤติและอารมณ์
ปัญญาคือไม่เข้าไปยึดทั้งความมีและไม่มี กุศลคือสมบัติ บุญคือวิบัติ
_หนึ่งนาใจ : ความมีคือเจโต ความไม่มีคือปัญญา เข้าใจผิดหรือถูกครับ / กุศลคือสมบัติ บุญคือวิบัติ เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานหรือพระอรหันต์ตั้งจิตไม่เกิดเมื่อตายแล้วกุศลหรือสมบัติไปอยู่ที่ไหนครับ
พ่อครูว่า…จะตอบก็ได้ จะจับคู่แค่ว่า ความมีกับความไม่มี
ถ้าปัญญาหรือเข้าใจในความไม่มี ไม่เข้าใจความมีมันก็ไม่ใช่ปัญญา ปัญญาต้องเข้าใจทั้งสองอย่าง
กุศลและสมบัติ อรหันต์ตั้งจิตไม่เกิดอีก คนอื่นจะไปรับก็ไม่ได้ มันก็สลายหายไปตามผู้ที่สูญไปแล้ว เจ้าของกุศลอกุศลที่เป็นสมบัติ ก็ไม่อยู่แล้ว จะบอกว่าไปไหน มันก็คือความรู้ กุศลคือสัจธรรม คือความดี อกุศลคือความชั่ว ส่วนบุญคือเครื่องมือชำระกิเลส บาปคือกิเลส ก็เอาไว้ใช้พยัญชนะเหล่านี้สื่อสภาวะธรรม เป็นสภาวะ 2 ให้ปฏิบัติเท่านั้นเอง
ตายไปแล้วเหลือแต่ความรู้ ให้ปฏิบัติตาม ความรู้ก็ยังอยู่ นอกจากจากความรู้เพี้ยนผิดไปเยอะ ทุกวันนี้มันเพี้ยนผิดไปเยอะ อาตมาก็นำความถูกกลับมาให้แก้ไขความผิดเสียให้ได้ก็เป็นเช่นนั้น คนที่รู้จริงๆเห็นจริงๆว่าอาตมานำพาความถูก มาแก้ไขความผิดได้ก็มาเอา เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็งมงายอย่างนั้น อยู่เป็นพญานาคไป สุดท้ายก็จะได้เป็นพญานาค หรือไม่เชื่อตามที่อาตมาบรรยายสอน ที่บอกเอาเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้ามาอธิบายถูกแล้ว เขาก็แสวงหาความรู้อะไรอีกเยอะแยะ เป็นพญาครุฑมากมายไปไม่รู้จักจบจักหยุด ทั้งๆที่เนื้อแท้พระพุทธเจ้าก็สอนให้เรียนรู้หมดแล้ว แต่ก็ยังไปเก็บความรู้มีอีกเยอะที่จะต้องเก็บมา สะสมมา แล้วเมื่อไหร่จะปฏิบัติทำให้ตัวเองบรรลุสักที พญาครุฑเอ๋ย หมายถึงใครบ้างก็คิดเอาเอง
สู่แดนธรรม… สรุปว่าพระอรหันต์ ที่เป็นเจ้าของกุศล เมื่อท่านปรินิพพาน ไม่กลับมาเกิดอีก
พ่อครูว่า… ก็เป็นพยัญชนะบัญญัติในโลก ที่ผิดเพี้ยนไปก็ได้อย่างเพี้ยนๆ ที่ถูกก็ได้ถูก ที่ผิดอย่างตรงกันข้ามก็เป็นอย่างนั้นมันเป็นสัจจะ
_จากน.ร.สัมมาสิกขาชายขอบ
วันก่อนหลวงปู่สอนเรื่อง “ทุกข์ 10” อย่าง หนูพอจะเข้าใจได้บ้าง แต่ยังสงสัยว่าความต่างของทุกข์ที่เลี่ยงได้ ๒ อย่าง ที่หนูยังแยกแยะไม่ได้ชัดเจนว่าคืออะไรระหว่าง
-ปกิณณกทุกข์(ทุกข์จร) -กับ สันตาปทุกข์(ทุกข์จากราคะโทสะโมหะ) เพื่อนกับหนูลองนั่งไล่ๆกันดูตามข้างล่างนี้ หลวงปู่ว่าถูกต้องมั้ยค่ะ
ปกิณณกทุกข์ เช่น -เครียดจากการประชุมของพี่ๆน้องๆ
-ทุกข์ที่กลัวว่าจะต้องไปลอกท้องร่อง
-ทุกข์ที่ทำงานตามเพื่อนไม่ทัน
-ทุกข์ที่แก้ตัวง่วงขณะฟังธรรมไม่ได้
-ทุกข์ที่อึดอัดขัดเคืองใจกับเพื่อน
-ทุกข์ที่เหนื่อยไม่มีเวลาพักผ่อนเลย
-ทุกข์ที่ถูกมีดบาด
-ทุกข์ที่พูดคุยกับเพื่อนแล้วเขาไม่เข้าใจเรา
-ทุกข์ที่หิวนอกมื้อ
หรือถ้าหนูจะใช้คำที่ได้ยินมา คือคำว่า”สักกายะ(ตัวตนของเรา” ) มาสรุปว่า
ปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์ที่ไม่ได้เกิดจากสักกายะของเรา เช่นทุกข์เพราะหิวนอกมื้อ
-ซึ่งตรงกันข้ามกับสันตาปทุกข์ (ทุกข์จากกิเลสที่เรากำลังสู้กับมันอยู่ทุกเมี่อเชื่อวัน) จะได้มั้ยค่ะ
กราบขอบพระคุณหลวงปู่ค่ะ
พ่อครูว่า… ได้ ไม่เสียแรงอาตมา เด็กๆของเรานี่ยิ่งกว่าเปรียญ 9 เลย
_กราบนมัสการ ช่วยอธิบายจาก..บทพาหุง ๘ ข้อที่กล่าวถึง…ท้าวพกาพรหม ผู้มีฤทธิ์ คิดสำคัญตนว่า ตนเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ ประดุจผู้ถูกอสรพิษ คือ ทิฏฐิที่ตนถือผิดรึงรัดไว้ ..และที่ว่า ทรงชำระด้วย..วิธีแสดงญาณ คือความรู้ยิ่ง เป็นการโปรด ท้าวพกาพรหม คือ ทำอย่างไร ครับ
พ่อครูว่า… พรหม คือ ผู้หลงตนเป็นพญาครุฑอยู่ชั้นสูงมาก ชื่อว่า พกา ผู้อาศัยอยู่ในพรหมโลก หลงตน
อาตมากำลังแสดงญาณต่างๆคือความรู้ยิ่ง เป็นการโปรดท้าวพกาพรหม ทำอย่างไร ทำอย่างอาตมาสุดความสามารถ ไม่ออมมือเลยแต่ เขาก็บินไปอย่างมีฤทธิ์ไม่เหลือบแลลงมาอาตมาเลย รู้แต่อวกาศเมฆฟ้าอยู่ข้างบน นี่แหละคือพญาครุฑ
_ใบแพร…เวลาฟังพ่อท่านเทศน์ พ่อท่านจะพูดอย่างลื่นไหลไม่ติดขัดไม่สะดุด เพราะท่านพูดจากสิ่งที่ท่านมีในตน ผู้มีสยังอภิญญา แต่เวลาอ่าน SMS พ่อจะอ่านด้วยความยากเพราะพยายามเพ่งจ้องตัวหนังสือมาก เป็นเพราะตัวหนังสือเล็กมากหรืออย่างไร แต่ที่ฟังแล้วสะดุดหลายครั้งต้องที่สะกดตัวอักษรผิดตกหล่นบ้าง ผู้เขียนSMSตัวหนังสือมาควรจะนึกถึงว่าตัวเองส่งถึงผู้ใหญ่ผู้สูงวัย พ่อท่านใช้สายตามาตั้งแต่ยังหนุ่ม จนตอนนี้สูงวัยแล้ว ที่ไอมากเพราะว่าเทศน์มามากและนาน
เพราะอัชฌาสัยที่ทนไม่ได้ต่อความกรุณา ขอเสนอให้กูรูแป้ง อ่าน sms แทน
พ่อครูว่า… อาตมาไม่ถนัด อาตมาถนัดอ่านเอง มันเห็นพยัญชนะต่างๆ อ่านไปแล้วก็มีมุทุภูตธาตุเห็นแล้ว อาตมาอ่านเองอาตมารู้ก่อน สู่แดนธรรมอ่านเองสู่แดนธรรมรู้ก่อน อาตมารู้ทีหลัง กว่าจะอธิบายก็เสียเวลา อาตมาเซฟเวลาดีกว่า อาตมาถนัดอ่านเอง เหมือนซดแกง จะให้คนอื่นซดก็ไม่รู้รสเองสิ
ก็ขอบคุณ มีคนแนะมาเยอะ อย่างนี้มานาน อาตมาก็ยังเห็นว่ามันน่าจะเป็นอย่างนี้ อาตมาก็ยังพอทำได้ ถ้าทำไม่ไหวจริงๆ ตอนนั้นก็จะเปลี่ยนอย่างที่คุณว่าแน่นอน
พ่อครูว่า… มาต่อที่พญานาค
-
นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ
-
นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่
เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ ๑๕ วิชชา ๘ ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา ๓”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ
ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา ๓”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสานพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้
หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด(อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ
พ่อครูว่า… อาตมามายุคนี้ต้องพูดตรงๆหนักแรงๆ เพราะอาตมาเป็นพี่ในยุคนี้เป็นไก่ตัวพี่ ต้องพูดให้น้องที่หลับตาทั้งหลายตื่น
อาตมามีจุดด้อย แต่ใช้จุดด้อยเพื่อทำงานก็ได้ผลอยู่
หมากพลูนั้นไม่ใช่อาหารด้วยซ้ำ ไปแต่ก็ไปติดยึดกัน อย่างมหาบัวแล้วหลงยึดถือกันว่าเป็นอรหันต์ โจรปล้นศาสนาหลอกชาวบ้านกันอยู่ สงสารแต่อย่างไรก็ต้องว่าสิ่งที่ผิด จะไปยกสิ่งที่ผิด มันจะไปถูกอย่างไร มันไม่มีทางเลี่ยง ต้องพูด จำเป็นต้องพูด ต้องทำความเข้าใจอย่างนี้
“อปัณณกปฏิปทา ๓ (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ ๖-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ ๓ ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ ๙”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ
พ่อครูว่า..ถ้าใครไม่มี 3 อย่างนี้ไม่ใช่พุทธ ไปหลับตา ไม่มี 3 ข้อนี้ก็ไม่ใช่พุทธแล้ว ศาสนาพุทธต้องตื่นขึ้นมา แต่อย่างนั้นหลับตาแล้วจะมีอะไร มันก็นอกรีต100%อยู่แล้ว นี่คือนาคที่เป็นขั้นพญา
อปัณณกปฏิปทาข้อ[๑] “สำรวมอินทรีย์ ๖” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ ๒”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[๒] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[๓] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด
แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา ๓”
มันผิด“วิธีปฏบิติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณปปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้ ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้
-
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ