650217 พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกฯ#46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1nwDEd2-_ks9NPxgy1UWa6aLkgQ-fPmabURZErEM3r3A/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Ow-rSosALjAxFHPJBYeCHrQE6Jc3S5HH/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bdi9erTPbp/
และ
สลายอุปาทานปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ด้วยจรณะ 15 วิชชา 8
พ่อครูว่า..วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
วันนี้เราก็มาโอภาปราศรัยกันต่อเนื่องจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งก็เป็นพุทธคุณของศาสนา ทุกวันนี้ไม่รู้เรื่องกันแล้วในศาสนาวงการใหญ่วงการพุทธ กระแสหลักไม่แล้ว กลายเป็น เดียรถีย์ 100% นั่งหลับนอนหลับ ถ้านั่งหลับได้ตลอดไม่นอนเลยก็ยิ่งนับถือกันเก่ง เนสัชชิ สุดท้ายแม้แต่ตายก็นั่งตายเก่งมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องเป็นธรรมชาติ
ศาสนาพุทธเป็นเรื่องธรรมชาติแต่เรียนรู้กิเลสที่เกิดจากทุกอิริยาบถ อ่านอาการของกิเลสให้ออกเมื่อเราเกี่ยวข้องกับอะไร ผัสสะ กับอะไรต่างๆนานา ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ กับอะไรก็แล้วแต่ ตั้งแต่รูปธรรมถึงนามธรรม ตั้งแต่รูป อรูป รู้กิเลสมันเกิดเพราะเหตุตัวนี้สัมผัสตัวนี้ เกี่ยวข้องกับตัวนี้ กิเลสเกิด
แม่ครัว ทำครัวอยู่ก็ทำไป เสร็จแล้วสัมผัสกับตะหลิว โกรธตะหลิว ขว้างตะหลิว ก็ให้มันรู้ไป ไปโกรธตะหลิว ใช้ตะหลิวแล้วไปโกรธมัน ใครเคยบ้าง โอ้! หลายคนโกรธตะหลิว เอ้า!จริงนะ ใช้มีดโกรธมีด จะบ้าเหรอนี่มันรู้เรื่องอะไรแล้วไปโกรธมีด ใช้ชามโกรธชาม ขว้างชาม อะไรอย่างนี้ ตลก คนเราไม่รู้ตัวเองว่าวิปลาสวิปริตอะไร
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่จับธรรมชาติของชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเป็นคน มีทวารทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็บ้าๆบอๆไปกลับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บ้าๆบอๆไปสารพัด จนกว่าจะมาเรียนรู้แล้วก็รู้ว่า โอ้ ตัวโง่ตัวกิเลสมันพาให้เป็นไปได้บ้าบ้าบอๆ จนจบเป็นอรหันต์ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง เห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ยินเสียงจริงตามความเป็นจริง ได้กลิ่นจริงตามความเป็นจริง ได้กระทบรสทางลิ้นตามความเป็นจริงสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตามความเป็นจริง
จิตใจ เป็นตัวกลาง ตัวหลักใหญ่ เป็นไปตามอุปาทาน เป็นไปตามตัณหา อุปาทาน เป็นตัวฝังรากของความยึดมั่นถือมั่นว่าต้องอย่างนี้ๆ เป็นอย่างนี้ แล้วมันก็จำปักหลักอยู่ตรงนั้น เสร็จแล้วก็เป็นตัวตั้ง เฮ้ย! อยากแล้วนะ ตามอุปาทานมันสั่ง อยากอย่างนี้แล้วนะ
ตัวอยาก ก็เป็นขี้ข้า ไปตามแสวงหามาให้ (ภาษาอีสาน ขี้ข้า คือขี้ข่อย) กว่าจะมาเรียนรู้สัจธรรมพวกนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้และก็รู้จนกระทั่ง ล้างตัวกิเลส ตัวโง่ออกไปหมด
ถึงจะรู้ว่าโธ่เอ๋ยชีวิตเราเกิดมา ได้อัตภาพมา พัฒนามาจาก พีชนิยาม มาเป็นจิตนิยามแล้ว โง่ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวจนเป็นสัตว์ไม่รู้กี่เซลล์จนกระทั่งมาเป็นคน มีเป็นล้านๆเซลล์เป็นคนแล้วก็ยังโง่อยู่นั่นแหละ ก็ต้องพยายามฉลาด
ศาสดาเทวนิยมทั้งหลายแหล่ทั้งนั้นเลย นอกจากพุทธ ที่เป็นโลกุตระ แม้แต่ชาวพุทธที่ไม่เป็นโลกุตระก็ยังเป็นเทวนิยมอยู่นั่นเอง เทวนิยม ต่างกับโลกุตระอย่างไร
โลกุตระนั้น คือ มีอัญญธาตุ มีธาตุรู้ที่รู้ทางออก จากความเป็นจิตเจตสิกรูปนิพพาน รู้จักจิตเจตสิก รู้และมีทางออกของจิตให้รูปนาม พ้น เป็นนิพพาน
นิพพานคืออะไร นิพพานคือรู้จักต้นเหตุที่มันถ้าเกิด ถ้าเป็น มีภพ มีชาติๆๆ แล้วมันเดือดร้อนวุ่นวายอยู่กับอวิชชาจนกระทั่งถึงอุปาทาน
อวิชชา ไม่รู้สังขาร ไม่รู้นามรูป ไม่รู้อายตนะ ไม่รู้ผัสสะ ไม่รู้เวทนา ไม่รู้ตัณหา ไม่รู้อุปาทาน ก็อยู่วนอยู่ตรงนี้ เสร็จแล้วก็ฝังรากเป็นภพเป็นชาติๆๆๆ วนเวียนเกิดเกิดแล้วตายไปตามวิบากสั่งสมวิบากไป รักกัน พยาบาทกัน ไปไม่รู้กี่นิยายต่อนิยาย แต่ละคนแต่ละคนมีนิยายแต่ละชาติ แต่ละชาติ นับไม่ถ้วน เมื่อยจริงๆ มารู้แล้วมันเมื่อย
เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเกิดขึ้นมา ก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์นั้นที่ดับไป
ศาสนาเทวนิยมไม่รู้สุขรู้ทุกข์แต่หลงสุขเป็นสุขนิยม ติดสุข แล้วไม่เรียนรู้ทุกข์ ไม่ฉุกคิดไม่ระแวงว่า สุขมันมีคู่หูคือทุกข์ แยกกันไม่ออกหรอก มันเป็นเทวะ เป็นคู่ คู่ที่แยกกันไม่ได้ ถ้าจะดับเทวะ ถ้าจะไม่มีสุขทุกข์ก็ต้องรู้จักเทวะอย่างดี รู้จักอารมณ์หรืออาการของสุข รู้จักอาการของทุกข์อย่างดี จนกระทั่งดับเหตุได้แล้ว ก็หมดสุขหมดทุกข์ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์
ทำกิเลสออกจากจิต สะอาดบริสุทธิ์จนจิตเป็นอุเบกขา จิตบริสุทธิ์ไม่มีเหตุคือกิเลสอีกเลย ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตนี้ จึงเป็นจิตที่เป็นปัญญาล้วนๆ ซึ่งเป็น อัญญธาตุ บริบูรณ์ เป็นปัญญาเป็นโลกุตระที่รู้จักสุข รู้จักทุกข์ รู้จักการออกจากสุข จากทุกข์ รู้แจ้งในจิตนิยามหรือว่า อัตตา อาตมัน หรือ ปรมาตมัน มันเป็นอย่างนี้เองมันเป็นเหตุปัจจัยสังขารกันอยู่
ถ้าเราไม่ อุปาทาน ไม่ยึดมันไว้ มันก็สลายกันไป ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้เลย
อาตมาว่าอาตมารู้ธรรมะพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบอย่างนี้ แล้วก็ได้ฝึก ได้เรียน ได้ปฏิบัติมาจนทำได้ แล้วก็เลยมาเป็นโพธิสัตว์ต่อ อรหันต์ทำได้ทุกองค์
เพราะอรหันต์จะเป็นอรหันต์ต้องชัดเจนที่ว่า เราสามารถทำอุเบกขา ทำจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสได้จริงๆ แม้จะไม่เข้าใจพยัญชนะอย่างที่อาตมาพูด ไม่เข้าใจถึงธรรมนิยาม 5 ไม่เข้าใจอุตุพีชะ ก็แล้วแต่ ไม่เป็นไร แต่ทำจิตอุเบกขาได้จริงๆเลย ไม่มีกิเลสในจิตได้จริงๆเลย รู้แล้วก็อ่านจิตอ่านเวทนา อ่านการปรุงแต่ง สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้การปรุงแต่ง อ่านฃรู้เมื่อสัมผัสมันปรุงแต่งกัน กิเลสเกิดๆ จากหยาบ เราก็เรียนรู้ด้วยปัญญา
ปัญญานี้ไม่ต้องไปรบราฆ่าฟัน หรือจะใช้ภาษาว่า ฆ่า จะใช้ภาษาว่า เผา ด้วยฌานอะไรก็แล้วแต่ แต่มันเป็นพลังฤทธิ์ของปัญญา ซึ่งเป็นพลังงานไฟต่อจากฌาน หรือเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย
ที่อาตมาพูดไปนี้เป็นภาษาของอาตมา ไม่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกหรอก เพชฌฆาตมือสุดท้ายก็ไม่มี แต่อาตมายืนยันว่าอาตมาไม่ได้พูดผิด ขอยืนยันว่าไม่ได้พูดผิด ถูกต้องยืนยันว่าเป็นของจริง ที่พูดนี้เพราะมีสภาวะ ทำได้ จึงเอามาพูด
คนหมดกิเลสเป็นอย่างไร อาตมาว่าอาตมาเป็นอรหันต์อาตมารู้ จึงเอามาพูดสาธยายอย่างสะดวกและเปิดเผยทุกอย่าง บอกตัวเองเป็นพระอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ ทุกอย่างก็เลยสบาย ทุกวันนี้บรรยายธรรมะ ไม่ต้องไปยึกยัก ไม่ต้องไปมังกุ ไม่ต้องไปเก้อยากเลย สบายคล่อง สะดวกทุกอย่างเลย
เพราะฉะนั้นการที่ไม่เปิดเผยตัวเองไม่เปิดเผยความจริง มันไม่โล่งโปร่ง มันไม่มีอะไรติดขัด มันไม่เป็น มันจะมีอะไรติดขัดอยู่ แต่นี่มันไม่มีอะไรติดขัดเลย สบม ธมด ปกต หห จจ มชยลล ไม่ต้องงงไม่แปลให้ฟังหรอก รู้คนเดียว
ศาสนามันเสื่อมมากจริงๆในพุทธ ไม่ใช่แกล้งว่าแกล้งด่า แต่พูดความจริง จริงๆ ว่าท่านทั้งหลายเอ๋ย ชาวพุทธที่ท่านมีหน้าที่รักษาศาสนา มีหน้าที่ประกาศสอนอธิบาย มีหน้าที่จะสืบสานอะไรต่างๆ ฟังอาตมาบ้าง แล้วพยายามติดตามเรียนรู้ ว่าท่านยังผิดทาง ยังไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นพระป่าหรือพระบ้าน
พระป่าก็กลายเป็นพญานาค พระบ้านก็กลายเป็นพญาครุฑ บินเหินหาวสูงลิ่วเลย ยิ่งสอนอภิธรรมนี้ เจ้าประคุณเอ้ย! แจกพระอภิธรรมไป เจตสิก 52 จิตอีก 121 ดวง อะไรอย่างนี้ อย่างละเอียด ท่องแค่ตัวหนังสือ พยัญชนะ จิต 121 ดวง ก็หัวผุแล้ว มันต้องโอ้โห! อุงๆอังๆยาวๆ แต่ละตัวนะต่อกันยาว โอ้โห! เก่งจริงๆ เรียนพญาครุฑนี่ เรียนอย่างพญาครุฑ เรียนนอกจากจะเรียนแต่พระอภิธรรมยังไม่พอ เรียนพระสูตรพระวินัยอีก ผู้เรียนพร้อมทั้งพระสูตรพระวินัย พระอภิธรรม อีก อย่างท่านมหาประยุทธ์นี้ยอดพญาครุฑเลย มองไม่เห็นส้นเล็บเลย ท่านบินสูงมาก โอ้ ไม่เห็นส้นเล็บพญาครุฑเลย บินสูงมาก
มันก็เลยไม่มีใครจับติด มันมากเกิน มันไม่ลงมาตามลำดับ เอ้า..จะสอนโสดาบันขนาดไหน รู้จักโลกอย่างนี้นะ โลกหมายความว่าอะไร โลกหมายความว่าชีวิตของเราไปเกี่ยวเกาะ ไปเกี่ยวเกาะกับร้านเหล้า ไปเกี่ยวเกาะกับร้านบาร์ ไปเกี่ยวเกาะกับร้านอาหาร ไปเกี่ยวเกาะกับโรงน้ำชา ไปเกี่ยวเกาะกับสถานบันเทิง ไปเกี่ยวกับโรงเล่นพนันเล่นไพ่เล่นโป ไปเกี่ยวเกาะกับอะไรต่างๆ นานา ถ้าอย่างนั้นมันเสียเวลาไม่ได้เรื่องอะไร ไปเกี่ยวเกาะกับการแต่งหน้าแต่งตาประดิดประดอย โอ้ย! อะไรต่างๆนานา บางทีก็หวีผม สางแล้วสางอีก อะไรกันนักกันหนา
ก็มาเรียนรู้ความจริงว่า ธรรมชาติที่เราจะอาศัยมันก็มีให้อาศัยพอสมควร ไม่ต้องไปหลงใหลอะไรมันมาก คนที่รู้จักสาระ ไล่ เก็บกวาดสิ่งไร้สาระที่มันพาไปปรุงแต่ง ไปหลงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หลง นัจจะ คีตะ วาทิตะ เลอะเทอะมากมาย เลิก หยุดได้ เข้าหาสาระแก่นสาร ชีวิตก็มีสาระแก่นสาร
อย่างพวกเรานี่ ไม่ต้องสะสมอะไรมากมาย สาระแก่นสารเพียงพอชีวิตเบาง่ายๆ พวกนั้นที่เราเรียกว่าหมาหอบแดดยังน้อยไป พวกที่อยู่ในโลกวิ่งตะลอนๆ หมาหอบแดดยังน้อยไป นอกจากหมาหอบแดด มีบ้าหอบฟาง นั่นแหละ คนหนักกว่าหมาหอบแดด บ้าหอบฟาง สะสมไปเถอะ บ้าหอบฟางสะสม
พอเราไม่สะสมแล้วมาอยู่กันอย่างสาธารณโภคีมันสุดยอดจริงๆ เป็นยอดเศรษฐกิจ สาธารณโภคีนั้นยังอีกช้าอีกนานมากที่โลกจะกระเตื้อง มันต้องคน คนต้องมีคุณธรรมทางจิตจริงๆ มีวรรณะ 9 จึงจะสามารถมาเป็น สาราณียธรรม6 ได้มาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสาธารณโภคีได้
ถ้าไม่มี วรรณะ 9 แล้วจิตเป็นพระพุทธพจน์ 7 ไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าไม่เป็นจริงเป็นไปไม่ได้ พวกเราเป็นไปได้ 40-50 ปีอาตมาพาทำเป็นไปได้เป็นไปโดยสงบอย่างเรียบร้อยสบาย ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาดีๆ โอ้โห! สังคมนี้สุดยอดเลย พอรู้ปั๊บ มันซาบซึ้งใจแล้วไม่ไปไหนเลย เป็นตายร้ายดีฝากผีฝากไข้ฝากชีวิตกันได้ พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย กันได้จริง
นี่เป็นสุดยอดที่อาตมาว่า ยุคนี้เป็นยุคที่มันเสื่อมหนัก แต่อาตมาก็พามารู้สัจจะ สัจธรรมพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระนี้ได้ จนกระทั่งสามารถที่จะเอาตัวเข้ามา ประพฤติปฏิบัติ เด็กๆที่ได้มาอยู่มีกุศลมาก เขาเรียกด้วยภาษาโลกว่ามีบุญมากที่ได้มา รู้ตัวให้ดีเลย ว่าเราได้มาอยู่ที่นี่ได้ฝึกฝนเรียนรู้สัจธรรมจากที่นี่ ที่เป็นของพระพุทธเจ้าได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ถ้าพวกเราหนูๆทั้งหลายนี้ รู้ได้มากแล้วจะไม่ไปไหนหรอก เห็นรุ่นพี่บางคนจบแล้วไม่ไปไหน อยู่ที่นี่เลย สบายมากชีวิต ดีไม่ดีจะต้องแต่งงานก็อยู่ในนี้แหละ มีลูกมีเต้าอย่างเจ้าปุณย์ เขาเอ็นดูกัน รู้กันทั้งหมู่บ้านเลย เป็นเด็กสาธารณะ รู้จักกันดีอะไรอย่างนี้
ซึ่งมันเป็นวิญญาณที่สัมพันธ์กันสนิทมากเลย มันหาที่ไหนไม่ได้ แต่คนยังเข้าไม่ถึงมองยังไม่ค่อยออก ซึ่งมันบังคับความรู้กันไม่ได้หรอกภูมิธรรมของคน นี่คือสุดยอดความประเสริฐของมนุษย์อาริยะ ถึงขั้นมีโพธิสัตว์ มีอรหันต์ มีอนาคามี มีสกิทาคามี มีโสดาบันจริงๆได้เหรอ?
เขาไม่ค่อยเชื่อหรอกคนข้างนอก เพราะเขาไม่มีภูมิธรรมถึง คนที่มีภูมิธรรมเพราะรู้แล้วก็จะ อ๋อ.. แล้วมันจำกัดเหมือนกันนะ ผ่านมา 50 ปีแล้วเดี๋ยวนี้ก็ประกาศไปทั่ว ออกไปทางสื่อสาร ผ่านๆรู้ๆเหมือนกัน แต่ไม่สะดุดอะไรหรอก ไม่เห็นว่าสำคัญ ว่า พระรูปนี้มาพูดอะไรวะ เปิดๆ ฟังๆ ไม่รู้เรื่องก็ทิ้งเป็นอย่างนั้นเยอะ เขาไม่รู้หรอก เขาก็จะไปเอานี่แหละ โทรทัศน์ช่อง เดรัจฉานวิชชา น่าสงสาร หลอกกันดื้อๆ ซื่อๆ เสร็จแล้วก็เขียน subtitle เอาไว้ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม แต่ก็ปล่อยให้หลอกกันไป ก็รู้นะว่ามันชอบกลอยู่ แต่ก็ปล่อยให้ออกไปอยู่ฝึกอย่างนั้น มันก็มอมเมากันไป เขาไม่กล้าตัดสิน
ถ้าอาตมาอยู่ในวงการตัดสิน พวกนี้ไม่ได้ออกหรอก เพราะมันไปมอมเมาคน แต่นี่เขาไม่กล้าตัดสิน เขาไม่มีความรู้พอที่จะบอกว่า ห้ามเขาทำไม ก็เพราะมันมามอมเมาให้คนงมงาย
โยมเมฆทิพย์ว่า…ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เขาน่าสงสารจริงๆ
พ่อครูว่า… ตีเข้าหาสาระเลย เรากำลังพูดพวกมอมเมา ที่พูดไม่ได้พูดด้วยปากเปล่า น่าสงสารจริงๆ เขาจะจมอยู่ในสังสารวัฏอีกนานเท่าไหร่ หมายความว่าอย่างนั้นน่าสงสาร น่าสงสารหมายความว่า เขาจะจมอยู่ในสังสารวัฏอีกนานเท่านาน เราก็มองเห็นว่าคนพวกนี้จะจมอยู่ในสังสารวัฏวนเวียนอยู่อีก กว่าเขาจะเกิดมีปฏิภาณปัญญาหรือว่า เฮ้ย! เราโง่อยู่นานเท่าไหร่นี่ โพธิรักษ์มาเทศน์อยู่เท่าไหร่ ไม่รู้จัก พอรู้จักแล้ว ตายๆๆ ละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า นับถืออย่างแรงกล้าเลย มันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเลยตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส นี่ เขายังไม่มีหิริ โอตตัปปะ ดีไม่ดียังลบหลู่โพธิรักษ์เฉยเลย ก็ลบหลู่เฉยอยู่อย่างนั้น ก็เขายังไม่มีภูมิปัญญาพอที่จะรู้ความจริง
พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ
มาสาธยายเรื่องพญานาคกันให้สิ้นสงสัยกันที แค่พญานาคหรือไม่ใช่พญานาค ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้มาพร้อมบวชอยู่ในศาสนาพุทธ จริงๆนะไม่ได้ไปใส่ความ เขาไม่รู้ว่าเขามาปลอมบวชแล้วมาทำลายศาสนาเป็นโจรร้าย
(144) “พญานาค”นั้น มีจริง? หรือไม่มีจริง?
ทีนี้มาสาธยายเรื่อง“พญานาค”ให้สิ้นสงสัยกันดูทีรึ!
พญานาค“มีจริง” หรือพญานาค“ไม่มีจริง”ก็จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของความเป็น“พญานาค” หรือ“นาค”ที่เกี่ยวข้องในศาสนาพุทธกันชัดๆ แจ้งๆกันได้บ้าง
ติดตาม ไตร่ตรองไปให้แตกฉานกันดีๆ
“นาค”นี้คำบาลีหมายถึง “งู” หรือ“งูใหญ่” หรืออื่นๆอีก
แต่เราหมายเอา“งู”เป็นสำคัญมาใช้เทียบเคียงสาธยาย
“งู”คือ สัตว์ที่อยู่ในท่า“นอน” จึงมีสัญญลักษณ์“การนอน-การหลับ”นี่แหละ นั่นก็คือ พุ่งเข้าไปที่“ลัทธิหลับตา” หรือหมายถึงคนที่มี“มิจฉาทิฏฐิ”เอาแต่“หลับตา”ปฏิบัติกันนั้นแล
บาลีคือ “นาค” ไทยก็คือ “งู” ผู้หลงผิดที่เอาแต่“หลับตาปฏิบัติ”จึงยกให้เป็น“พญางู”ในภาษาไทย ทับศัพท์บาลีก็คือ “พญานาค” ซึ่งหมายถึงเดียรถีย์ หรือเทฺวนิยม ที่เขายังหลงใหลการปฏิบัติ“หลับตา” อันไม่ใช่วิธีปฏิบัติแบบพุทธ
หรือแม้“วิธีปฏิบิติ”ที่แค่“หลับตาปฏิบัติ”นี้ก็เถอะ ก็ยังมี“ความรู้”กันแบบเดียรถีย์หรือเป็น“เทฺวนิยม”กันอยู่ ยังห่างไกล“วิธีปฏิบัติแบบพุทธ”ที่“สัมมาทิฏฐิ”กันอยู่หลาย“ปีแสง” พ่อครูว่า…ฌานของพุทธ เป็นสิ่งที่พูดกันรู้เรื่องตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่ แต่พวกหลับตาปฏิบัติฌาน พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง พูดมา 50 ปีก็กระเตื้องขึ้นได้มานิดนึง พูดกันแล้วเขาก็หาว่ามาทำลายศาสนาพุทธ ทั้งๆที่เขาเป็นตัวทำลายศาสนาพุทธเป็นโจรร้ายทำลายศาสนา ได้นรกอเวจีอยู่เขาก็ไม่รู้เรื่อง มันสุดสงสารจริงๆ มันสุดสาครสินสมุทรจริงๆ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม.. อุปมาของงูกับนกเหยี่ยวหรืออินทรีย์ นาคชอบหลบซ่อนในรูไม่สู้ในที่สว่าง ความสามารถของงูมันมองได้แต่ข้างหน้า ไม่สามารถมองข้างหลังได้ แปลว่า ถ้าผู้ปฏิบัติที่ดิ่งเพ่งอะไรสักอย่างจะมองไม่รอบ แต่ถ้าเป็นนกอินทรีย์ จะมองได้รอบถ้วนและมองได้ไกลมาก นกกะปูด จะกินงู มันฉลาดจะเอาปีกบังตาไว้ งูมองไม่เห็นตานก ก็นึกว่านกไม่อยู่ก็เลยเลื้อยหนีไป งูก็เลยตามไปจิกงูได้ นกเปรียบเสมือนแสงสว่าง งูเปรียบเสมือนความมืด
พ่อครูว่า… ใช่ ปฏิบัติหลับตานั้นก็มีแต่ความมืด ซึ่งมันจะเกิดความมีแสงสว่าง เกิดความรู้ มันจะรู้โลกรู้อัตตา ไม่ได้เลยจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาจะมิจฉาทิฏฐิ กว่าจะได้สัมมาทิฏฐิก็คงจะอยู่ไปอีกหลายปีแสง เป็นล้านปีแสงก็ไม่รู้ ใช้เวลานานในการเดินทาง
“วิธีแบบพุทธ”นั้น ต้องเป็น“จรณะ 15 วิชชา 8” พุทธคุณข้อ 1 มีวิชชา มีความรู้มีปัญญาเข้าร่วมในการปฏิบัติตั้งแต่มีปัญญาไปกับศีล มีปัญญาไปกับ อปัณณกปฏิปทา 3 มีปัญญาไปกับ สัทธรรม 7 ตัวปัญญาคือฌาน ตัวฌานก็คือปัญญา มีฌานที่ไหนปัญญาที่นั่น ฌานที่ไม่มีปัญญาไม่มี และปัญญาที่ไม่มีฌานก็ไม่มี
ปัญญาที่ไม่มีฌานนี่แหละ จะเข้าใจยากกว่า ฌานที่ไม่มีปัญญา ปัญญาความรู้อีกชนิดหนึ่ง ที่จะต้องเป็น ฌาน
ฌาน คือการเผากิเลสได้ ฌาน ไม่ใช่การเพ่งเข้าไปให้นิ่งให้ดับให้สนิทให้ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ คนละโลกเลยคนละฟากโลกเลย ดาวคนละดวงเลย คนละข้างเลย ข้างหนึ่งอยู่ประเทศไทยอีกข้างหนึ่งอยู่อเมริกาเลยคนละโลกเลย เมืองไทยเจอพระอาทิตย์สว่างจ้า อเมริกามืดตึ๊ดตื๋อเลย ตรงกันข้ามกัน เที่ยงคืนเลย เมืองไทยเที่ยงวัน
เพราะฉะนั้นเราคนไทยเจอแสงสว่าง อเมริกานี้สุดมืดเลย ไทยสว่างจ้า แต่อเมริกามืดสนิท สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเลย มืด เขาจะยังไม่โผล่ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ จะยังสร้างอำนาจบาตรใหญ่ จะต้องหรูหรา จะต้องเบ่งทุกอย่างเลย แม้แต่ราคาของธนบัตรเขาจะต้องยิ่งใหญ่ ทั้งๆที่เป็นเศษกระดาษเต็มไปหมด ถ้าเอาดอลลาร์ทั้งหมดในโลกไปคืน แล้วเอาค่าราคาตามที่คุณตีราคาให้ (เมืองไทยก็ 30 บาท)มาคืน ก็ว่าไปตามเขา แล้วให้เอาสมบัติที่อเมริกามี เอามาแลกคืนเอากระดาษขึ้นไป เอาอะไรมาตีราคาเท่าที่ควรจะเป็นคืน นี้ หมดประเทศอเมริกาหมดไม่เหลือ ดอลลาร์ที่เขาพิมพ์กระดาษเปื้อนสีออกมาทั่วโลกขณะนี้
อาตมาพูดนี้ไม่ใช่พูดเล่นแต่เป็นเรื่องจริงเป็นจริง แล้วเขาต้องสร้างตรงนี้เป็นอำนาจใหญ่ในโลก เศษกระดาษนี้เป็นฤทธิ์แรง เพราะฉะนั้นเรื่องสมบัติต่างๆนานาก็คือการลวงหลอกด้วยการเอากระดาษมาตีราคาแล้วไปแลกออกมาเป็นสมบัติของตัว ทำได้เขาทำได้ เป็นผู้ที่เก่งชิบหายเลย เอาเปรียบเอารัดคน ใช้อำนาจบาตรใหญ่เอาเปรียบเอารัดคน ชั้นหนึ่งเลย
ตะวันออกกลางยังเอาน้ำมันมาแลกธนบัตรไป แล้วเงินเขาก็ไม่ต้องอะไรมากเหมือนอเมริกา ที่ปั่นสร้างให้มันมีตัวลวง อัตราราคาลวงๆๆ ขึ้นมา แล้วคนก็จำนน เพราะเขามีอำนาจบาตรใหญ่ในเรื่องการสร้างอาวุธ แล้วก็เก่งในทางสร้างวิศวกรรม แม้แต่เครื่องมือเทคโนโลยี เขาก็ได้คนชนิดนั้นไป ตระกูลของเขาก็ได้คนชนิดที่สร้างเทคโนโลยีเก่ง ก็เลยยิ่งใช้เทคโนโลยีนี้เป็นเครื่องมือในการเอาเปรียบเอารัดมนุษยชาติทั้งโลก
การเอาเปรียบเอารัดเป็นความเลว การเอาเปรียบเอารัดได้มากๆแล้วก็หลงว่าตัวเองเฉลียวฉลาดยิ่งใหญ่ มันก็งมงายไม่รู้เรื่องว่าตัวเองนี้กลายเป็นคนไร้ราคา เป็นคนไม่มีคุณค่าเป็นคนที่ได้แต่เอาเปรียบคนอื่นอยู่ ข่มคนอื่นเขา ซึ่งเขาจะเข้าใจยากในเรื่องโลกุตรธรรมเหล่านี้ เขาจะหลงโลกีย์ทั้งนั้นว่าเขายอดเลิศจริงๆ ฟังไม่รู้เรื่องหรอกที่อาตมาพูด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมาแวะมาแว้งอาตมา เพราะเขาไม่รู้เรื่องหรอก มันพูดพาดพิงถึงเรา มันด่าเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาไม่รู้หรอกว่าเราด่าเขา จริง จะว่าโง่ก็สุดโง่เลย
เพราะฉะนั้นลัทธิเลียนแบบ เกาหลีเหนือเลียนแบบ นึกว่าอำนาจนี้คืออาวุธ เกาหลีเหนือก็เลยสร้างอาวุธไว้สำหรับป้องกันตัว เพราะว่าประเทศเขาเป็นประเทศเล็ก เป็นประเทศหัวเดียวกระเทียมลีบ ก็เลยสร้างอาวุธสร้างเขี้ยวเล็บ ที่อื่นๆก็พลอยตามไป เมืองไทยไม่ต้องสร้างอาวุธเลย เจริญมาก
“คนดีสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ”
ตอบตีหัวเข้าบ้านเลย
จรณะ 15 วิชชา 8 มันไขทุกอย่างเลย ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิได้มรรคได้ผล ล้างอาสวะสิ้น หมดสิ้นอาสวะนั้น เป็นเรื่องของจิตนิยาม เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของพระเจ้า เป็นเรื่องของการล้มล้างพระเจ้า เลิกเลย สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย
พระเจ้าคือพระจิตวิญญาณ แล้วของเขาไม่รู้เรื่องพระเจ้า พระเจ้าของเขาก็เลยหลงเป็นอำนาจเหมือนกับลัทธิที่มีอำนาจในโลก ยกให้เลยทั้งๆที่ไม่รู้จักเลยว่าพระเจ้าอยู่ไหน ไหนพระเจ้า ไม่เคยรู้จักอัตภาพของพระเจ้า สมมุติไปอย่างนั้นแหละ ซึ่งมันต้องมาศึกษา พระเจ้าก็ต้องอยู่ในตัวจิตวิญญาณ แล้วในคนมีวิญญาณไหม ก็มี ก็ศึกษาวิญญาณในตัวคนศึกษาให้ทะลุเลยว่า แล้ววิญญาณจริงๆมันเป็นอย่างไร อ๋อ! วิญญาณจริงๆเป็นธาตุสังขาร เป็นธาตุที่มีรูปนาม ศึกษาได้อย่างนี้เองหรือ แยกรูปแยกนาม ศึกษาในอายตนะ ผัสสะ เวทนา รู้ตัวเหตุคือตัณหา อุปทาน โอ้โห! ปัญญามันรู้ไอ้ 2 ตัวนี้มันมานั่งมายึดมาถืออยู่ พระพุทธเจ้าบอกว่าเรารู้หน้าเธอแล้วมาร หักยอดเรือนที่เธอสร้างไว้ในจิตวิญญาณหมดแล้ว หักยอดเรือนเธอได้แล้ว มาร มารรู้ว่าพระพุทธเจ้ารู้จักหน้าตา รู้จักรูปร่าง รู้จักตัวจริงของไอ้เจ้าตัวปลอม มารมันคือตัวปลอม มันตัวหลอก ไอ้ตัวหลอก ก็เลยจำนนหายไปเลย เหลือแต่ความจริง
พระพุทธเจ้าก็เลยเป็นผู้ที่ยืนหยัดความจริง ความหลอกหมดเลย ความปลอมหายไปหมดเลย เพราะพระพุทธเจ้าเห็นหน้าความหลอกความปลอมหมดเลย ความหลอกความปลอมถูกพระพุทธเจ้ารู้พวกมัน พวกที่หลอกพวกปลอมเหล่านี้ พระพุทธเจ้าเห็นแล้วมันหายไปเลย
ปัญญาจะมีพลังมีฤทธิ์อำนาจขจัดความหลอกขจัดความเท็จขจัดความไม่จริงหายไปหมดเลย เหลือแต่ความจริง
เพราะฉะนั้นอาตมาถึงยืนยันพูดว่าอาตมาพูดความจริงไม่เป็น คุณฟังขึ้นไหม ฟังเข้าใจไหม อาตมาพูดไม่เป็นพูดความไม่จริงไม่เป็น พูดออกมามีแต่ความจริง ซึ่งยากเหมือนกันที่คนจะเข้าใจเพราะว่าคนจะเข้าใจว่าคนมันก็ต้องมีหลอกมีเท็จ แต่นี่ พูดเท็จไม่เป็นเลย มันจะมากไปไหมนะ ซึ่งมันก็น่าเห็นใจคนเขาเหมือนกัน
สู่แดนธรรม.. เป็นคนมีวาจาสิทธิ์พูดอย่างไรก็มีความศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น แม้จะพูดเล่นๆแต่ที่สุดก็ดึงกลับเข้ามาสู่สาระที่เป็นความศักดิ์สิทธิ์อีก
พ่อครูว่า… ซึ่ง ที่อาตมากำลังพูดกันกำลังสาธยายมันตรงกันข้ามกับที่เขารู้กัน 180องศาเลย
“วิธีแบบพุทธ”นั้น ต้องเป็น“จรณะ 15 วิชชา 8” ซึ่งมันตรงกันข้ามกัน 180 องศากับ“วิธีปฏิบัติ”ที่เป็น “จรณะ 15 วิชชา 8”เลยทีเดียว
แม้แต่ผู้ที่มาเรียนรู้ทางด้านพยายามรู้ความรู้ให้กว้าง พวกหลับตานั้นแคบสนิท แต่นี่เขาก็พยายามมารู้ความกว้างเขาก็ ฟ่ามกระจาย พวกสายปริยัติสายพระบ้านสายดร.สายเปรียญรู้พวกนี้ ซึ่ง อาตมาน่าสังเวชใจน่าสงสาร ไปเรียนพุทธศาสนาจากมหาวิทยาลัยของเทวนิยม โอ้ย! มันน่าละอายจริงๆ น่าละอายอย่างไม่รู้จะน่าละอาย เป็นพุทธศาสนิกชน แต่ไปเรียนรู้กับสำนักของเทวนิยม แล้วผู้ที่รู้ เป็นผู้รู้จักเทวนิยม เป็นอเทวะแล้ว
อเทวะไม่มีนิยมนะเพราะว่านิยมแปลว่าความเที่ยง เทวนิยม อเทวนิยม ไม่มี มีแต่ อเทวะจะแปลว่าไม่มีเทวะแล้ว ไม่เอาเทวะแล้ว หรือไม่หลงเทวะ เราไม่มีแล้ว แล้วก็รู้กลางๆเลยว่าทั้งมีและไม่มี เราก็ไม่หลงเข้าไปติดยึดเป้
นอนุปคัมมะ เป็นผู้ที่มีพลังสูงเป็น อภิภุยยะ
รู้จักสภาพที่มี 2 พอสัมผัสกันก็เป็นอายตนะ แล้วก็สูงส่งถึง อภิภายตนะ 8 รู้การแจก อภิภายตนะถึง 8 ประการ
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม.. พ่อท่าน สู้ สู้
พ่อครูว่า… ทุกวันนี้เขาไอที แต่อาตมานี่ไอถี่ เขาแค่ไอที จะไปสู้อาตมาได้อย่างไร อาตมาสู้ไอถี่ เขาไอคนละทีสองที แต่อาตมาไอถี่
สู่แดนธรรม.. เล่าเรื่องจงอางหวงไข่ เขามีวิธีล่อจับงู คืองูไม่กล้าสู้แสงสว่างแจ้ง เครื่องมือจับงูจงอางไม่ยากหรอก เขาทำเครื่องมือเหมือนถุงกาแฟยาวๆ สีดำๆ ยาวสักเมตร ไปเคาะให้งูเห็น งูมันก็วิ่งเข้าไปเลย งูจงอาง
พ่อครูว่า… พวกสัตว์หลับชอบที่มืด คนเราฉลาดนะ จับงูจงอางเอาถุงกาแฟไปถุงเดียว
พญานาคคือพวกหลับตา พวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น และก็เป็นพวกที่อวิชชา
ดังนั้น คนผู้เอาวิธี“หลับตา”มาใส่ในศาสนาพุทธจึงเป็น“ของปลอม” คนที่เอา“ของปลอม”มาใช้ในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด ถ้ายังขืนยืนยันใช้“ของปลอม”อยู่ก็เป็น“โจร”อยู่
“พญานาค”จึงคือ“โจร” ผู้เข้ามาปล้นศาสนาพุทธที่แท้
ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธก็ยังพากันหลงยึดมั่นถือมั่น“หลับตาปฏิบัติ”กันว่า เป็น“วิธีสำคัญ” เป็นวิธีหลักในการปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน บรรลุสมาธิ บรรลุนิพพานกันทีเดียว
ซึ่งมัน“ผิด”อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ
แต่ก็ยังหลงยืนยันยืนหยัดการปฏิบัติ“หลับตา”เป็นหลักที่จะทำให้เกิดบรรลุมรรคผลกันจริงๆจังๆกันอยู่ จึงยังเป็น“โจร”กัน เป็น“พญานาค”แท้ๆ
เมื่อยึดมั่นถือมั่นกันอยู่ เป็นกันมีกันเอาจริงเอาจังกันอยู่ ยังไม่เกิด“ปัญญา”เลิกละได้ ฉะนี้แหละคือ “พญานาค”
พ่อครูว่า…พญานาคมีจริงไหม ก็มีจริง แล้วลัทธินอนลัทธิหลับมีจริงไหม ก็มีจริง ไม่โงไม่เงย จมอยู่อย่างนั้น
ถามเด็กๆว่า พญานาคมีจริงไหม?
ด.ช.ป่องเอี้ยมว่า…มีจริง
พ่อครูว่า… แล้วพญานาคคืออะไร?
ด.ช.ป่องเอี้ยมว่า…คือนั่งหลับตา
“พญานาค”จึงชื่อว่า “มีจริง”
แต่“พญานาค”คือ ผู้ปฏิบัติไม่ถูกไม่จริงในศาสนาพุทธ
ใครว่า “พญานาค”นั้น“มีจริง”หรือ“ไม่มีจริง”กันบ้างเอ่ย?
มันก็เหมือน“คำโกหก”และ“คนโกหก”นั่นแหละ
“คำโกหก”นั้น“ไม่จริง” แต่“คนโกหก”ก็“มีจริง” ชัดมั้ย?
พ่อครูว่า…คนก็ต้องอยู่กับความจริง ส่วนคนจะปฏิเสธไม่รับ มันไม่จริงเราก็ไม่รับ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้ความจริงสูงสุดแล้ว ก็จะรู้ความจริงว่า วิญญาณ ตกลงที่สุดแห่งที่สุดของวิญญาณมีจริงหรือไม่มีจริง …
สู่แดนธรรม.. ถ้าตอบว่าที่สุดก็ต้องตอบว่าไม่มีครับ
พ่อครูว่า… ไม่มี เพราะทำให้เป็นดินน้ำไฟลมไปได้ ศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วค้นพบว่ามันไม่มีจริง มันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ตัวตนจริง มันเป็นตัวหลอก
เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความจริงก็รู้ แต่เราจำนนตรงที่ว่า เรายังมีตัวนี้แล้ว เรายังไม่ตรัสรู้ทยังไม่รู้ว่าเราจะทำให้มันไม่มีจริงได้อย่างไร วิญญาณหรือ อัตตาของเรา ทำให้มันสลายก็ต้องมาเรียนรู้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรียนรู้ตามแล้วก็ทำให้หลุดออกไปจากโลก จากอัตตา
ตั้งแต่โลกหยาบ โอฬาริกอัตตา หยาบๆ มาถึง มโนมยอัตตา โลกกลางๆ จนกระทั่งถึง อรูปอัตตา ก็ดับหมดโลกกับอัตตา
จบมีแต่ความรู้ที่เรียกว่าธรรมะ เป็นธรรมาธิปไตย รู้จักโลก โลกาธิปไตย รู้จักอัตตา อัตตาธิปไตย รู้จักอำนาจทางโลกทางประชาธิปไตย รู้จักธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมสมบูรณ์แบบ ก็จัดการโลก จัดการอัตตตาได้หมดเลย เป็นอธิปไตยของธรรมะยิ่งใหญ่ ความรู้ของธรรมะขั้นโลกุตรธรรม ก็ดับโลก ดับอัตตาได้
รู้จักโลกสมุทัย ทำโลกนิโรธได้ อัตตาก็ทำอนัตตาได้
ผู้ที่ตรัสรู้ ผู้ที่รู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นไป โดยเฉพาะอรหันต์ขั้นโพธิสัตว์ก็รู้แตกฉาน โดยเฉพาะอาตมานี้ รู้แตกฉาน ก็พูดชัดๆ ที่อาตมาพูดไปเมื่อกี้นี้อาตมาพูดความจริงนะ อาตมาพูดความจริง อาตมาบอกว่าตนเองเป็นผู้รู้แตกฉานนี้อาตมาพูดจริง พวกที่หมั่นไส้คงจะอาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก
สู่แดนธรรม..พ่อท่านมาทำผิดจากที่เขายึดถือกัน
พ่อครู…อาตมาไม่ได้คุยตัว อาตมาบอกความจริง ไม่ได้คุยโม้พูดความจริงของการพูด
พูดความจริงในสิ่งที่เป็นความจริง จริงๆ ไม่ได้คุยโม้คุยอวดอะไรอย่างนั้น อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น ที่พูดไปนี่ไม่ได้แก้ตัว มีแต่ความจริงทั้งนั้นเลย แก้ตัวไม่เป็นหรอก อาตมาพูดอย่างไรก็มีแต่ความจริง คนไม่รู้ความจริงก็หาว่าอาตมาพูดแก้ตัว
(145) ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้
มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ
-
นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า
หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ
-
นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่
เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา ๓”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ
ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสนาาพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้
หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด (อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ
“อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ 6-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ ๓ ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ 9”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ
พ่อครู…ผู้ที่มาศึกษาก็ไม่กระไร แต่ผู้ที่ศึกษาศาสนาพุทธที่สุด แม้แต่ผู้ที่ศึกษาพุทธ
ศาสนาจากมหาวิทยาลัยเทวนิยม ฟังแล้วน่าอายไหม จบด็อกเตอร์ศาสนาพุทธจากมหาวิทยาลัยทางเทวนิยม ให้ Doctor ฝรั่งเขาสอน แล้วแบกปริญญาเอกมา ปริญญาเอกทางพุทธศาสนานะจ๊ะ ดูแล้วก็น่าสังเวชใจ
มันหลงกลับ เอาฝามาเป็นก้น เอาก้นมาเป็นฝา เอาฝาหม้อไปปิดก้นหม้อ ฟังแล้วตลกไหม พูดแล้วมันก็สุด
มันมีภาวะสองเสมอ คนเกิดมาจะต้องอยู่กับสิ่งอื่น มีตัวคุณกับสิ่งอื่น แม้ว่าคุณนอนหลับหลับตาอยู่ในภพชาติ พอลืมตาก็เต็มสภาพ สติเต็มร้อย คุณก็รู้ตาหูจมูกลิ้นกายใจถึงจะเต็มคนเต็มครบ หลับตามันไม่ใช่เต็มคนเต็มครบ มันครึ่งผีครึ่งคน เป็นสัมภเวสี เป็นจิตวิญญาณไม่เต็มเต็ง นอนหลับก็เหมือนกัน นอนหลับก็คือวิญญาณไม่เต็มเต็ง ต้องลืมตาถึงจะมีวิญญาณฐีติวิญญาณเต็มๆ วิญญาณบริบูรณ์ ถ้าไม่เช่นนั้นมันไม่เป็นวิญญาณสมบูรณ์แบบ นอนหลับฝันเป็นสัมภเวสี
รู้จักสัมภเวสีกับวิญญาณไหม ต่างกัน เด็กๆฟังชัดไหม วิญญาณกับสัมภเวสีนี่มันต่างกัน นอนหลับนี้วิญญาณก็อยู่ในภพ เป็นสัมภเวสีล่องลอยไม่รู้เรื่องเต็ม มันมีแต่สัญญาความจำฟุ้งไป จากความจำเก่าบ้างคิดใหม่บ้างผสมไป พระพุทธเจ้าก็พยายามรวบรวมสิ่งที่เป็นสัญญาในอดีตมีได้ 18 ฟุ้งซ่านคิดอะไรบ้าๆบอๆอีก 44 ซึ่งเป็นรายละเอียดที่อาตมายังไม่บังอาจจะเอามาอธิบายได้เท่าไหร่ มันละเอียดสุดเลย ถ้ารู้จักทิฏฐิ 62 จะค่อยๆกระจายความเข้าใจเป็นฐานให้ก่อน ทีหลังก็จะอธิบายได้
เพราะฉะนั้นถ้าไม่ลืมตาไม่ตื่นขึ้นมา ชาคริยา แล้วก็ปฏิบัติให้ตื่นรู้ ไม่ใช่ไปรู้หลับ รู้ในตื่น
อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด
แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3”
มันผิด“วิธีปฏิบัติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณกปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้ ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้
สู่แดนธรรม.. พวกเพื่อนๆสายหลับตาเขาบอกว่า มันเยอะแยะมากมาย เมื่อยรู้มาก สู้ไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่ได้
พ่อครูว่า… รู้ให้น้อยลงอย่าไปรับรู้ให้มากนั่นแหละคือโง่ นี่พูดตรงๆ ไม่ได้เบี้ยวบาลีไม่ได้เบี้ยวไทย พูดตรงๆ ภาวะเป็นอย่างนั้น
สู่แดนธรรม… เขาบอกว่ารู้มากก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกัน
พ่อครูว่า… มันก็ต้องรู้มากจนเราเลือกเอาสาระได้ ไม่ใช่รู้สะเปะสะปะ แต่ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงไม่สะเปะสะปะหรอก
-
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ
พ่อครู…มีปฏิภาณรู้เหมือนกันว่าไม่ต้องไม่พยายามนอนหลับ ก็เลยไปนั่ง ไปนั่งหลับ ก็คือเนสัชชิ เป็นการปฏิบัติของสายพระป่า เจ้าของลัทธิเนสัชชิคือ พระมหากัสสปะ
เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายามที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป
แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์
จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ
จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็นมูลกา”(ข้อที่ 1 ของ“มูลสูตร 10” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ“ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จผล
ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”
ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว
ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”
สู่แดนธรรม… สรุปจบ
ผนวกเหลือจากเทศน์
(146) ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาค”
เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ”
หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล
ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤฏ์ษปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ
เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้าใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ
ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้
-
เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังแน่แท้ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาต 7 ตัว 7 หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ
นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะ
ออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้น
เป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็น
ทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่
“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่
ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ 2”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ 1” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด
-
ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”เก่งยอดบุกรุก จนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู จอมนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค”
ดังที่เห็นๆ และเป็นกันอยู่ทั่วไปในสังคมไทยนั่นเอง
-
“ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆๆไปอีก
-
สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็นอน“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย
(๑๔๖) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ ๑ใน“สังโยชน์ ๑๐”
แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ”หรือ“ทวกระแสสามัญโลกียะ”นะ! ก็ไม่รู้ว่า“ทวนกระแส”คือออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึงหยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ
ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็ิ่งมองไม่เห็น!
ด่ำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ
คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น
รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน? ตนเอง“ไหลลิ่ว แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีก ด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง“การทวนกระแส”หรอก
ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย
ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าทืิิ่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง“ด้วยเสียงของถาดทองคำ”นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า”ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น“ไม่รู้”อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น
เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว
ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน?
จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ ๑ ก็
“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น มืดบอด
สนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน
ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(๒๕๐๐ ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ
แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกรทุ้งกระแทกด้วยปากหอก
(มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้
“พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ
เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม”
เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป๋็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ไได้
เมื่อ“หูหนวกตาบอด’กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตตบุรูษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้
กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิิ”กันหนักหาสาหัสจนได้ชือว่า “พญานาค”กันดังที่เห็นและเป็นอยู่
แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน
(๑๔๗) ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนผู้“อวิชชา”นั้นมีมาก
๕๐ กว่าปีแล้ว”ที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย
ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญา นาค” นอนเฝ้า“ถาดทองคำ”ของพระพุทธเจ้ากันอยู่
ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คน“อวิชชานั้นมีมาก
แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะ“กรรม”นั้นเจริญด้วย“ความพยายาม”แท้จริง จะท้อถอย“หยุดทำกรรม”ไม่ได้
โดยเฉพาะ“กรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ”
ที่ต้องพูดว่า เขายังเป็น“พญานาค”กันอยู่นั้น
ก็เพราะ“เขา”ได้ยินเสียงวิเศษจริงๆ(เสียงของ“โลกุตระ” แท้ๆนี่เอง) แต่เพราะความ“อวิชชา”สนิท ก็“หูผึ่ง”ขึ้นมาแวบหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชาต่อไปตลอดระยะยาวนานที่เป็น“กาล” ว่า อ้อ! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก อีกพระองค์หนึ่งแล้วเหรอ? ว่าแล้วก็“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” นั่นคือ อวิชชาต่อไป ทับถมให้“อวิชชา”หนาหนักเพิ่มขึ้นยิ่งขึ้นๆ ด้วยการหลงใหลหลับไหลอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด
ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆพระองค์แล้ว และก็จะมีพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นๆไปกับกาลของโลกนี้แหละ “พญานาค”ก็จะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นตัวจริง ยิ่งใหญ่ นอนเฝ้า“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปลึกลงไปอีกๆๆๆ ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะในโลกจะมีคน“อวิชชา”จำนวนมากครองโลกเป็นปกติสามัญ
ที่ไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย” ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ยัง“พ้นสักกายทิฏฐิ”ไม่ได้ง่ายๆ ดังที่เป็นที่เห็นจริงกัน
-
“พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี“หลับตา”หรือ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็เป็น“โจรปล้นพุทธศาสนา”อยู่นั่นเอง ที่พระราชาให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย
-
ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่“โจร”ก็ไม่ตาย ยังทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็สั่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาพบเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตายอยู่ๆ
(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๔๔) ใครเห็น“พญานาค”กันได้บ้างเอ่ย?
-
ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา -อาโลก”กันอยู่ เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง