650218 พ่อครูตอบปัญหา พุทธาภิเษกฯ#46
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1Uhbj_bYcaq-3EbWMY3K73wQchcWCezyu-P7-NwOyAGU/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1rSE7otNelMTEpntKrV–DSPsSOVNY74D/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/OBvyNO2SZhw และ https://fb.watch/beIkYOLYdD/
พ่อครูว่า…วันนี้ตอบปัญหาพุทธาภิเษก วันนี้วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของงานพุทธาภิเษกสรุปงาน วันนี้ยังมีการย่อยธรรมะตอนบ่าย และมีการสอบตอนเย็น
มีปัญหา(แผ่นปัญหามารออยู่แล้ว) คนมีปัญหาคือคนที่ยังไม่มีปัญญา ส่วนคนมีปัญญาคือคนที่ไม่มีปัญหา เป็นธรรมดาธรรมชาติเช่นนั้นก็ว่ากันไป
นักการเมืองเลวทำร้ายสังคมได้ยิ่งกว่านายทุนใหญ่
_เจี๊ยบ ธีระ : คนทั่วไปส่วนใหญ่แล้ว เป็นต้องมีกิเลสติดตัวมาด้วยกันทั้งสิ้น มากน้อยก็แล้วแต่บุญบารมีของแต่ละคนที่ได้สั่งสมกัน คนที่คิดดีมีปัญญาก็หมั่นศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อชะล้างกิเลสให้หมดสิ้นไป ถึงขั้นเป็นอริยบุคคล หรืออรหันต์ไปเลย ส่วนคนที่คิดชั่วก็หมกมุ่นอยู่กับกิจกรรมที่มีแต่พอกพูนกิเลส โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นความชั่วร้าย แต่กลับคิดว่าเป็นการสร้างสรรค์ความเจริญที่เหมาะสมให้กับโลกที่มีประชากรอาศัยกันอยู่กว่า 7 พันล้านคนนี้
โลกจึงมีทั้งกลุ่มคนดี ที่ปฏิบัติตนเสียสละเพื่อประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ จนเป็นพระอรหันต์ เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายธรรมะ และกลุ่มคนเลวที่มุ่งกอบโกยทรัพยากรบนโลกนี้ไว้ครอบครองเพียงฝ่ายเดียว เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายมาร โลกเป็นแบบนี้มาทุกยุคทุกสมัย
เพียงแต่ว่าในยุคสมัยนี้ มีเทคโนโลยี่ที่คิดค้นประดิษฐ์เครื่องมือสื่อสารขึ้นมา สร้างความสับสนให้กับผู้คนทั้งโลก แยกแยะกันไม่ออกว่า สิ่งใดดีหรือสิ่งใดชั่ว ขบวนการไซออนิสต์จึงใช้วิธีนี้ ด้วยการเข้าซื้อหรือควบคุมกิจการสื่อใหญ่หลักๆของโลก เกือบทั้งหมดก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น บีบีซี สำนักข่าวรอยเตอร์ส หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ วอลล์สตรีทเจอร์นัล หรือสื่อดิจิตอล ทวิทเตอร์ ฯลฯ ร่วมกันเสนอข่าวที่เป็นประโยขน์แก่ตน ไปในทิศทางเดียวกัน สื่อสารมวลชนแขนงต่างๆ ของประเทศทั่วโลก ก็ล้วนแล้วแต่เสนอข่าวที่ได้รับจากสื่อใหญ่เหล่านี้
พูดง่ายๆ ก็คือ ที่โลกวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ เป็นฝีมือของจอมมารร้ายกลุ่มนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามก่อการร้าย ความวุ่นวายทางการเมือง แม้กระทั่งเรื่องโรคระบาดที่แพร่ไปทั่วทั้งโลก เป็นเชื้อชั่วที่ถูกถ่ายทอดกันมาจากเหล่านักล่าอาณานิคม เมื่อหลายร้อยปีก่อน ขนาดเอาฝิ่นไปมอมเมาคนจีน พอถูกต่อต้านจากทางการ ก็ก่อสงครามด้วยอาวุธที่ร้ายแรงกว่า แล้วทำไมจะปล่อยเชื้อโรคใส่คน แล้วทำวัคซีนหลอกๆ ออกมาขายทำกำไรมหาศาลไม่ได้ แถมยังเป็นการจำกัดประชากรโลก ไม่ให้ขยายเพิ่มขึ้นมาแย่งชิงทรัพยากรของพวกเขาในอนาคตอีกด้วย
ในอเมริกามักมีคนเอาปืนออกมากราดยิงเด็กนักเรียน ชาวบ้านร้านถิ่นอยู่เป็นประจำ รัฐบาลไม่สามารถออกกฎหมายมาจำกัดการค้าปืนได้ เพราะจอมมารเป็นเจ้าของโรงงานผลิตอาวุธ สามารถล็อบบี้ผู้แทนฯ ในสภาฯ คอยยับยั้งกฎหมายเหล่านี้
ผมถึงเคยกราบเรียนพ่อท่านว่า อุดมการณ์ของพ่อท่าน น่าจะเอามาปราบพวกทุนนิยมสามานย์พวกนี้ ถึงจะคู่ควรกับระดับของพ่อท่าน ไม่ต้องไปสนใจการเมืองจิ๊บจ๊อย ของบ้านเรา เพราะผู้มีอำนาจของเรา เขาไม่ชอบคนดีมาทำแข่ง พ่อท่านก็เลยถูกบั่นทอนทำลายความน่าศรัทธาด้วยคดีอาญาของบ้านเมืองไปอย่างน่าเสียดาย ขอให้พ่อท่านมุ่งมั่นสร้างชุมชนของชาวอโศกให้เป็นถิ่นพุทธ แดนเกษตรตามอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ โดยไม่ต้องไปเปลืองกำลังปัญญาข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองที่ซับซ้อนของทางโลก(ซึ่งก็ไม่พ้นการเมืองเมืองไทยไปด้วย) และก็จะเป็นการช่วยถนอมสุขภาพร่างกายของพ่อท่านไปในตัว เมื่อถึงเวลาทุกสิ่งทุกอย่างก็จะบรรลุสมหวังไปเองทุกประการ
พ่อครูว่า…เรื่องวัคซีน อาตมาก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มันเก่งถึงขนาดสร้างเชื้อโรคแล้วปล่อยเชื้อโรคเข้าไปทั่วโลกได้ มันไม่กลัวจะเข้าหาตัวเองหรือ ตัวเองก็คน ถ้าปล่อยไปหาคนอื่นมันก็มาหาตัวเราเองได้ หรือมันรู้จักวิธีป้องกัน อันนี้คนจะเก่งขนาดนั้นหรือ อาตมายังไม่ค่อยสนิทใจยังไม่ค่อยเชื่อสนิทใจ ว่าเก่งขนาดนั้นหรือ แต่คิดได้ ถ้าเก่งขนาดนี้คนมันเก่งไม่ใช่เล่น มันอยู่ยาก ต้องมาอยู่หมู่บ้านราชธานีอโศกแล้ว เดี๋ยวอีกหน่อยหมู่บ้านราชธานีอโศกก็ปิดถาวรไม่ให้ใครเข้า เราก็ปลูกกินเองไป กินไปจนแก่ตาย เชื่อไหม เด็กๆ พวกอโศกเรานี่ ราชธานีอโศกไม่ต้องเปิดเลย อยู่ในพวกเราเอง ปลูกกินไปจนแก่ตายเลย อีกกี่ปีอีก 100 ปีก็ได้เชื่อไหม …เชื่อ.. ดินไม่ดีก็ทำปุ๋ยเสริมหมุนเวียนอยู่ที่นี่
จะเห็นได้ว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก จบ ไม่ต้องไปง้องอนใครเลย นอกจากจะไม่ง้องอนใครแล้ว เราสร้างอาหารเป็น อาหาราวุธ อาวุธอาหาร ใช้อาหารเป็นอาวุธ ยิงอาหารใส่เข้าไป ยิงมะเขือเทศไปให้ 500 ตัน ยิงบล็อคโคลี่ไปอีก 20 ตัน ยิงลูกระเบิดใหญ่กะหล่ำปลีไปอีก 20 ตัน ไม่ใช่พิษ แต่วิธีส่งก็ยิงเอา เดี๋ยวนี้ใช้โดรน ใช้พาหนะยิง ยิ่งกว่ารถไฟหัวกระสุน แทนที่จะให้บรรทุกหัวระเบิด เราบรรทุกอาหารนี้ไปให้เขา ไม่ได้ไปทำลาย
ก็ขอบคุณในความเห็นของคุณเจี๊ยบธีระที่ให้ความเห็นมา อาตมารับฟังปฏิบัติตามสมควร จริงๆแล้วอาตมาทำตามอยู่บ้างที่เจี๊ยบว่า ก็ไม่ได้ไปทำเสียเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นยุ่งกับการเมืองยุ่งกับนายทุน อาตมายุ่งกับทั้งนายทุนและการเมืองเพราะร้ายกาจทั้งคู่ นักการเมืองนี่แหละร้ายกาจกว่าทุนนิยมด้วยว่ากันจริงๆ จุ้นจ้านวุ่นวายกว่านายทุน นายทุนนั้นมุ่งหน้ามุ่งตาสร้างให้คนเขาศรัทธาเลื่อมใส แต่นักการเมืองไม่ค่อยสร้างศรัทธาเลื่อมใส เอาแต่อำนาจบาตรใหญ่ใส่ตัวเพื่อจะเป็นข่ม เพราะฉะนั้นถ้าว่าจริงๆแล้ว นักการเมืองร้ายแรงยิ่งกว่านายทุน
จริงๆแล้วก็ทั้งความเป็นนักการเมืองและทุนนิยม ที่อเมริกาเป็นเจ้าของวิธี ทั้งสะสมทุนแล้วก็สร้างอำนาจการเงิน ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทบจะทุกคน มีน้อยคนที่เป็นประธานาธิบดีจนๆไม่ใช้ทุนเป็นอำนาจ แล้วก็เป็นประธานาธิบดีที่ดีเช่น อับราฮัมลินคอล์นเป็นต้น นอกนั้นแล้วเจ้าประคุณเอ๋ย ทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะเพิ่งจะผ่านไปหยกๆ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ทั้งทุนเต็มที่ใช้ทั้งอำนาจบาตรใหญ่ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ร้ายแรง เพราะรวมทั้งสองสภาพเลยกำลังทุนและกำลังอำนาจ มารวมกัน
ซึ่งชาวอโศกเราเข้าใจดีไม่เอาทั้งคู่ มันเป็นบาปมันเป็นอกุศล เป็นเรื่องเลวร้ายที่เราจะไม่สั่งสมกรรมวิบากของเราเป็นอันขาด เรามาสร้างแต่คุณงามความดีและก็เรียนรู้ปรมัตถ์ เรียนรู้ของจิตของเราที่สุขที่ทุกข์ เรียนตัวนี้ให้สำคัญแล้วก็เลิกสุขเลิกทุกข์ให้สมบูรณ์แบบ เป็นอรหันต์ได้ แม้จะเป็นพระอรหันต์แล้วจะอยู่นานต่อไปในโลก อย่างเช่น พระอวโลกิเตศวรก็เชิญ มีปณิธานสอนคน รื้อคนให้เป็นอรหันต์หมดโลกก่อนแล้ว จนกระทั่งคนในโลกบรรลุอรหันต์คนสุดท้าย แล้วท่านจึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่คือพระปณิธานของพระอวโลกิเตศวร หรือเจ้าแม่กวนอิมซึ่งเป็นอวตารปางเดียวกัน
จะต้องสอนคนให้เป็นอรหันต์จนหมดโลกแล้วตัวเองจะปรินิพพานเป็นปริโยสานนี้ก็เป็นนิรันดรนั้นเอง จะอยู่ไปนาน Forever อย่างนี้ไม่ได้นิพพานเป็นปริโยสานหรอก แต่ก็เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ในมนุษยชาติ เป็นความมุ่งมั่นที่จะช่วยคน ทำให้คนประเสริฐ รอดพ้น หลุดพ้นสูงสุดสุดท้ายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สุดยอดอีกเหมือนกัน เก่งขนาดนั้น ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ปณิธานที่ยิ่งใหญ่ฉันเดียวกันดีทำไปเถอะเท่าที่จะมีอายุขัย
_จาก ผู้เข้าร่วมงานพุทธาฯครั้งที่ 46 นี้ : มีคำว่า อนุปคัมมะ คือผู้ที่มีความเป็นกลางในทุกๆเรื่องหรือพระอรหันต์ในข้อนี้ไม่สงสัย แต่โยมขอเรียนถามว่า แล้วคำว่า อุปคัมมะ มีหรือไม่ ถ้ามี กรุณาอธิบายความหมาย?
พ่อครูว่า… อาตมาไม่ได้ไปเจอคำนี้ แต่คิดว่าเป็นได้ภาษามันไม่แปลกอะไร อนะ + อุปคัมมะ ก็เป็น อนุปคัมมะ ถ้า อุปคัมมะก็ตรงกันข้ามกับ อนุปคัมมะ ดังนั้น อุปคัมมะคือ เข้าไปข้างใดข้างหนึ่งเลย แต่อนุปคัมมะคือ ไม่เข้าไปข้างใดข้างหนึ่ง
_แล้วอภิภู หมายถึงบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ระดับ 8 อย่างเดียวหรือรวมระดับ 7 (สยังอภิญญา )ด้วย
พ่อครูว่า… อภิภู หรือ สยังอภิญญา ก็เจริญจาก สยังอภิญญา ไปหาอภิภู แล้วก็จะเลย อภิภู ไปสู่ สยัมภู คือพระพุทธเจ้าระดับ 9 เลย ถ้า อภิภู ก็ถือว่า 8 สยังอภิญญา ก็ถือว่าระดับ 7 ส่วน สยัมภู ระดับ 9 พระพุทธเจ้า
_เดชา อำพร : สิ่งที่ท่านโพธิรักษ์ไม่นิยมพูดถึง..คือ..
-
เรื่องที่พระโมคคัลลานะ และพระพุทธเจ้าเห็นเปรตในที่เดียวกันแล้วส่งยิ้มให้กัน
-
ทำไมพระอรหันต์ยุคพุทธกาลยังมีการฆ่าตัวตาย?
-
ทำไมพระโพธิสัตว์ระดับสูงบางบุคคลจึงยังบริโภคเนื้อสัตว์อยู่เป็นประจำ?
-
พระอนุรุธตามรู้วาระจิตของพระพุทธเจ้าจนเห็นวิญญาณของพระพุทธเจ้าสลายตัวได้จริงหรือ?
-
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงยังเชื่อวังคีสะที่ทำนายวิญญาณที่ไปเกิดใหม่ทั้ง ๆ ที่วังคีสะไม่ใช่คนพุทธ?
ด้วยความเคารพครับ…
ตอบปัญหา พระอรหันต์เห็นเปรต ฆ่าตัวตาย กินเนื้อสัตว์อยู่หรือไม่
_เดชา อัมพร…สิ่งที่พ่อครูไม่ค่อยจะพูดถึงคือ ทำไมพระโมคคัลลานะถึงเห็นเปรต ?
พ่อครูว่า…ก็จะไปพูดทำไมพระโมคคัลลานะเป็นสาย เจโต แน่นอนยังมีอุปาทานในรูป คนอย่างนี้มีอุปาทานในโลกยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่พระโมคคัลลานะเป็นสายนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ยังระริกระรี้ เช่น เห็นงูร้ายเลื้อยมาพ่นควัน ท่านก็ท้วงต่อหน้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลถาม พระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าเห็นหรือไม่ พระพุทธเจ้าท่านก็มีความหยั่งจิตคนได้ก็ตามได้ ท่านก็รู้ว่า เป็นจุดอนุโลมให้พระโมคคัลลานะ สายเจโตจะมีข้อบกพร่องพวกนี้ สายเจโตกับพระโมคคัลลานะก็จะมีสิ่งนี้อยู่ไม่ประหลาดหรอก
_เดชา อัมพร…ทำไมพระอรหันต์ยุคพุทธกาลยังมีฆ่าตัวตาย ?
พ่อครูว่า… มันใหม่ๆ เบื่อหน่ายขันธ์ 5 รูปขันธ์ก็เป็น ภาราหเว ปัญจขันธา มันเป็นภาระต้องหาอาหารให้มันเป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ตั้ง 6 ข้อ ผู้บรรลุอรหันต์แล้วพ้นทุกข์ 4 ข้อเหลืออีกตั้ง 6 ข้อ พระอรหันต์ใหม่ๆ ยังไม่ทันการยังไม่รู้จักปล่อยวางอีกทีนึง ก็เลยรีบฆ่า ไปจ้างคนอื่นฆ่าตัวเองตาย เอาบาตร เอาจีวรไปจ้างให้คนมาฆ่าตัวเอง สมัยนั้นยังไม่มีคนมาอะไรมากเขาก็ฆ่า
_เดชา อัมพร…ทำไมพระอรหันต์ระดับสูงบางคนจึงบริโภคเนื้อสัตว์อยู่เป็นประจำ ?
พ่อครูว่า… โพธิสัตว์ระดับสูงต้องระดับ 7 ระดับ 8 ส่วนโพธิสัตว์ระดับ 5 ก็เลยพระอรหันต์มาเริ่มเป็นอนุโพธิสัตว์ก็ยังไม่นับว่าสูง อนิยตะระดับ 6 ก็ยังไม่ได้นับว่าสูง ต้องเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ระดับ 8 ถึงจะนับว่าขั้นสูง ที่บอกว่า ยังบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ ก็ค่อยๆศึกษาไป คุณไปสงสัยในเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เป็นเรื่องอนุโลมปฏิโลมหรือเป็นเรื่องของวิบากของแต่ละท่านพระโพธิสัตว์ก็ดี
แม้แต่เป็นพระพุทธเจ้าเองในบางที่ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านก็จะต้องมีเมียต้องอนุโลมอะไรหลายๆอย่างในโลก ในยุคแรกๆยังเป็นเหมือนกับโลกๆ มีเมียมีลูกบริหารประเทศไปก่อน พออายุ 29 แล้วค่อยออกมา ออกมาจนกระทั่งบำเพ็ญก็มารับวิบากอยู่ 6 ปี อายุ 35 ปีท่านค่อยฟื้นคืนตัวเองขึ้นมาได้ว่า เราเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้เอง แล้วก็เสวยวิมุตติสุข 49 วันแล้วก็ออกเผยแพร่ สร้างศาสนาจนสำเร็จเป็นศาสนายุคนี้แหละของพระสมณโคดม
มันก็มีวิบากหลายๆอย่างที่อาตมานำมาเทียบเคียง จะเป็นลิงลมอมข้าวพอง ต้องผ่านวิบาก สิ่งเหล่านี้ถ้าจะว่าไปแล้วมันเป็นเรื่องของรายละเอียดที่ละเอียดละออ จะเรียกว่าละเอียดละออแบบ อภิภูท่านมี ต่างๆนานา ในรายละเอียดก็ได้
หรือจะเรียกว่ารายละเอียดของทั้งหมดในกรรมวิบาก เพราะฉะนั้นศึกษาองค์รวมทั้งหมดแล้วเข้าใจกรรมวิบากแล้ว แม้กรรมวิบากที่เป็นชุดๆไม่ใหญ่ไม่โต ก็ไม่ต้องไปคิดมาก ผู้ที่จะเรียนรู้เป็นพระอรหันต์แล้วจะเลิกชีวิตง่ายๆสั้นๆก็ไม่ต้องคิดมาก พระพุทธเจ้าเรียกอันนี้ว่า ใบไม้กำมือเดียว แล้วพระสมณโคดม มายุคปลายภัทรกัป ท่านเป็นโพธิสัตว์มาหนัก จนกระทั่งมาถึงขั้นมนุษยชาติเหลือน้อยที่สุดแล้ว จนพระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้อีกแล้ว เสื่อมจนกระทั่งพระพุทธเจ้าไม่มาเกิดในยุคนั้น ถ้าท่านมาเกิดก็เสียศักดิ์ศรีพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่มาเกิด ก็ปล่อยให้พระโพธิสัตว์อย่างเช่นอาตมา มากรำศึกอยู่นี่ หนักหนาสาหัส ซึ่งอาตมาต้องผ่าน ต้องประสบต้องมีเรื่องปรากฏการณ์จริงต้องได้ประสบจริงต้องประพฤติจริง ต้องใช้สมรรถนะสร้าง สร้างสมรรถนะความสามารถต้องสร้างขึ้นอย่างแท้จริง ไม่งั้นมันก็เป็นเพียงคิดได้แก่ตรรกะเอาคะเนคำนวณเอามันไม่ลงมือจริง มันต้องเผชิญจริงประสบจริงลงมือจริงผ่านจริง มันจึงจะเป็นเลือดโพธิสัตว์แท้
_เดชา อัมพร…พระอนุรุธตามรู้วาระจิตของพระพุทธเจ้าจนเป็นวิญญาณของพระพุทธเจ้าสลายตัวได้จริงหรือ ?
พ่อครูว่า… ได้จริงหรือไม่จริงคุณไปยุ่งอะไรกับท่าน ท่านจะรู้ก็เรื่องของท่านผู้ศึกษาไปเถอะแล้วพากเพียรให้ไปถึงขีดพระอนุรุทธคุณจะรู้ว่าได้ แม้จะไม่มีความสามารถพิเศษเท่าพระอนุรุทธะ ก็เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าคุณมัวแต่คิดเรื่องพวกนี้แล้วคุณจะเสียเวลา แทนที่จะปฏิบัติจิตเจตสิกของคุณเรียนรู้วิญญาณเรียนรู้เวทนา 108 แล้วเลิกกิเลสไปตามลำดับ คุณจะไม่มาเสียเวลาคิด แต่ถ้าคุณเสียเวลาคิดคิดสงสัยนั่งคิดนอนคิด จะเป็นวิตกจริต 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คุณอยากได้อยากเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ถ้าอยากได้อยากเป็นก็จะขึ้นไปเป็นก็แล้วกัน อาตมาขัดไม่ได้หรอก แต่อาตมาไม่อยากให้เป็นมันนานเกิน 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
ไม่มีพ่อครูอยู่แล้วชาวอโศกก็ยังพัฒนาไปได้
_ สติพล : ผมมีความคิดเห็นว่า..ยังมีพ่อครูอยู่เป็นผู้ประสานก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นเป็นส่วนมาก..แต่เมื่อสิ้นพ่อครูก็คงเป็นไปตามธาตุใครธาตุมันใช่ไหมครับ(เข้ากันด้วยธาตุ)..ด้วยจิตคารวะยิ่งในคุณธรรมของทุกๆชีวิต!.
พ่อครูว่า… เพราะว่าเจ้าสำนักที่ไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิทางตรง เหมือนอย่างแบบพระพุทธเจ้าพาไป ว่าให้เรียนรู้ทุกคนพึ่งตนเอง อย่าไปอุ้ม อย่าไปเที่ยวได้ใช้แรงช่วย ให้ได้รับความรู้ความเข้าใจแล้วไปฝึกฝนเกิดวิบากของตนเอง แล้วก็พึ่งวิบากของตนเอง เป็นกุศลวิบากเอง อย่างนี้มันรอด แต่ถ้าเผื่อว่ามีแต่หัวหน้าใหญ่ นอกนั้นถ้าหัวหน้าไม่มี หมดแรงก็แน่นอนเป็นอย่างที่คุณว่า แต่ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าแบบศาสนาพุทธมันน้อยที่จะรู้ละเอียดและทำได้ น้อย
อาตมาเข้าใจตรงนี้ดี และพยายามสุดความสามารถที่จะปลูกฝังให้พึ่งตนเองรอดทำให้เหลือแล้วเกิน ช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างที่มีหลักเกณฑ์อยู่แล้ว
-
อย่าเป็นหนี้
-
พึ่งพาตัวเองให้รอด
-
สั่งให้หรือให้เกินให้มาก
-
ช่วยเหลือผู้อื่นจากใจผู้อื่น
นี่คือหลักการที่เชื่อว่าพวกเราเข้าใจแล้วได้ฝึกฝนอันนี้อยู่ เพราะฉะนั้นอาตมาพูดไปนี้พวกเราเข้าใจแล้วได้ฝึกฝนใส่ตัวเองไปเรื่อยๆจริงๆเท่าไหร่ก็เท่านั้น จริงเท่าไหร่ก็เท่านั้น
อาตมาจะไปบันดาลให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ต้อง ทำได้จริงเป็นจริงตามที่ทำได้ ตามบารมี ตามที่มันเป็น ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ พุทธธรรมสมควรแก่ธรรมที่ใด
_แดงดวงพร : พ่อครูคะ ถ้ามีโรงงานหนึ่งได้จ้างคนให้มาทำงาน คนงานก็พาลูกมาเลี้ยงในที่ทำงานเพราะไม่มีคนช่วยเลี้ยง นายจ้างก็หักค่าแรง อยากถามว่านายจ้างจะบาปไหมที่หักค่าแรงของลูกจ้าง นายจ้างจะบาปไหมที่หักค่าแรงลูกจ้างที่เอาลูกมาเลี้ยงในที่ทำงาน?
พ่อครูว่า… ก็นายทุนเขาเสียผลมันก็ถ่วงๆดึงๆอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นก็ละเว้นเสีย แต่มันจำนนต้องเอาลูกไปเลี้ยงไม่มีใครดูแล ปล่อยไว้ไม่ได้ ลำบากก็ต้องยอม ไม่มีปัญหาถ้าเรายอมเสียอย่าง นายจ้างยอมก็ไม่มีปัญหา คนงานเขายอม ก็ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น ยอม ตัวนี้ตัวจบ เด็กๆฟังไว้นะ ตัวยอม เด็กๆไม่เท่าไหร่ ผู้ใหญ่ก็เถอะ ตัวยอม ตัวสำคัญมาก ยอมได้นี้ลดอัตตา สละอัตตา ทำไมมันรักอัตตานักคนเรา
อย่างทักษิณ woodsome ไปเป็นโทนี่ woodsome อาตมายังแปล woodsome ไม่ได้แปลไม่ออกว่าเขาหมายถึงอะไร ทำไมเอามาเป็นนามสกุล เอาเถอะไม่คิดให้เสียเวลา
_ติ้งดาวตะวัน : พี่ฝั่งบุญ ยังเป็นชาวอโศกอยู่หรือไม่ จากการที่อ้างชาวอโศก ออกจากเถรสมาคมแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่แล้ว เรียกตัวเองว่าเป็นสมณะ เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก กลุ่มของพี่ฝั่งบุญจะมีสถานะอย่างไรในอโศกคะ?
พ่อครูว่า… ดีเหมือนกัน ถ้าคิดจะมามีนานาสังวาสระหว่างฆราวาสกับสมณะ มันคนละฐานะกัน มันตลก คุณจะขอเป็นนานาสังวาส แต่คุณจะขอใช้สตางค์ของส่วนกลางทั้งสงฆ์และฆราวาสเขา คุณนานาสังวาสออกไปจากสังวาสนี้ กลุ่มใหญ่นี้แล้ว คุณยังจะมาขอใช้เงินส่วนกลาง มันก็ผิดสิ อาตมาลาออกมาจากสมาคมแล้ว ไม่ได้หน้าด้านไปขอเงินจากเถรสมาคมมาใช้ จบแค่นี้ดีกว่า ชักแรงแล้ว
_สายอรุณ สิงห์โต : กราบนมัสการท่านแสนดินเจ้าค่ะ ท่านเป็นถึงหมอใหญ่ มาบวชด้วยตั้งใจเพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆเจ้าค่ะ. ดิฉันเคยไปฟังท่านเทศน์โปรดหนุ่ม เมียหนีเจ้าค่ะ ..ท่านก็โปรดดีมากทั้งที่ท่านไม่เคยมีคู่ครอง..สาธุเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า….ไม่จำเป็นจะต้องมี คำสอนพระพุทธเจ้าละเอียดลออครบทุกอย่าง
_พิมพ์เพชรรุ้ง : พวกที่หลงเชื่อข่าวปลอม เป็นพวกพญานาคด้วยไหมคะ เพราะว่าหลับหูหลับตาเชื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วยึดว่าเป็นจริงอย่างนั้น ?
พ่อครูว่า… เป็นได้ทั้งสองอย่าง เป็นได้ทั้งพญาครุฑและพญานาค ที่จริงพญานาคไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ เชื่อไม่เชื่อมันก็เอาแต่ตัวเองมุดเงียบ ไม่ฟังหรอกข่าวคราว จะเป็นพวกพญาครุฑมากกว่าที่มีข่าวมากมาย ฟังข่าวมากมาย ยุ่งกับเขาไปหมด
_สู่แดนธรรม… ครุฑหลงไปกับแสง ส่วนนาคอยู่ในความมืดหลบเข้ารู ส่วนคนที่แชร์อย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะพุทธวจน ไม่รู้ว่าเขาได้อ่านหรือเปล่า
พ่อครูว่า… พวกนี้อวดดีว่าฉันเป็นผู้รู้แล้วฉันก็อยู่กับพระพุทธเจ้า ฉันรู้เรื่องดี จะปฏิบัติได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ ก็เป็นธรรมชาติของเขา
ฐานปฏิบัติอยู่ที่เวทนา ต้องทำให้อุเบกขาไม่สุขไม่ทุกข์
_ดิฉันตั้งความละอาย ศรัทธาเคารพ ตั้งความ ร. ละอาย บ. ที่สุดค่ะ สูงที่สุดค่ะ พ่อครูเป็นพระศาสดาอยู่ในจิตวิญญาณ คำถามคือวิญญาณ 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจ อ่านเวทนาความรู้สึกจิตอุเบกขาทุกข์สุขออกจากจิต ให้จิตสะอาดใช่ไหมคะ?
พ่อครูว่า… ใช่ สำคัญตรงนี้แหละ ขอแทรกตรงนี้เลยเป็นการตอบ ผู้ที่จะทำจิตให้อุเบกขา แปลว่าความบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา บริสุทธิ์อะไรบริสุทธิ์จากกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสที่เป็นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่แหละ ให้ปฏิบัติฐาน กรรมฐานแท้อยู่ที่เวทนาที่ความรู้สึก ตรงนั้นแหละ กรรมฐานมันจะมีทุกข์มีสุข มีกิเลส ไม่มีกิเลส อยู่ที่ตัวเวทนา
จนสามารถทำกิเลสออกได้ สุขทุกข์ก็ออกไปตาม จนไม่มีสุขไม่มีทุกข์เรียกว่า อทุกขมสุข เป็นซินโนนีม (synonym) หรือไวพจน์ของอุเบกขา มันต่างกันนิดหน่อย
ไม่สุขไม่ทุกข์ก็คือ มันไม่มีแล้วนะสุขหรือทุกข์ มันเป็นกลาง คำว่าเป็นกลางก็มาแปลกันว่าอุเบกขา เป็นจิตเป็นกลาง กลางคืออะไร ก็คือไม่สุขไม่ทุกข์ หรือกลางก็คือ รู้สุขรู้ทุกข์ แต่ไม่ได้ไปเข้าข้างไหน ส่วนตัวเองนั้นปลอดสุขปลอดทุกข์ จิตตัวเอง ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว
อาการจิตที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นอาการของจิตกลางๆ จริงๆนี่ เป็นอจินไตย ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ต้องรู้ของตนของตน แล้วไม่ต้องไปเชื่อใคร ไปบอกใครก็บอกได้ แต่เขาต้องเป็นของเขาเอง เหมือนพระพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ที่บอกทางเท่านั้น เราไปทำให้ไม่ได้ ใครจะได้ ต้องทำเอาเอง
_พระศาสดา พ่อครูท่านเมตตา หมดอวิชชาบวกปัญญาเกิด จิตฟังธรรมซ้ำ
_ถาม หมดปัญหา มีปัญญาใช่ไหมคะ?
พ่อครูว่า… พูดไปแล้ว ใช่ หมดปัญหาคือมีปัญญา
หมดกิเลสเรื่องอาหารก็เป็นพระอรหันต์จ้อย
_ “อยาก” เป็น “ตัณหา” ลูกจึงมีเจตนาอย่างแรงกล้าที่จะสำรวมอินทรีย์ตอนตักอาหารให้จงได้
พ่อครูว่า… ดี โภชเนมัตตัญญุตาเรื่องอาหารนี่แหละเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าคุณเข้าใจกิเลสในอาหารได้หมด แล้วทำกิเลสในการกินอาหารได้หมดก็บรรลุอรหันต์เลย เพราะมันละเอียดถึง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทางลิ้น อาหารทางลิ้นนี่ร้ายกาจมากเลย ไม่รู้ได้ง่ายๆหรอกทางลิ้นนี้ ตาก็ตาม เสียงก็ตาม รูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี สัมผัสเสียดสีก็ดี
ลิ้น เป็นตัวภายในอยู่ข้างใน เป็นตัวที่รวม รส อัสสาทะอะไรเอาไว้ เพราะฉะนั้น คนไม่รู้นี่ ไม่รู้เอามากๆ เช่นมหาบัว ญาณสัมปันโน ติดหมากพลู คือกิเลส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางลิ้นนี่เป็นหลักเลย กินเคี้ยวในปาก อันนี้ อดเปรี้ยวไว้กินหวานไม่มีเมียก็ได้ อาตมาไม่เชื่อว่าหมดกิเลส ไม่เชื่อว่ามหาบัวเกิดมาชาติหน้าจะหมดกิเลสกามจะไม่มีเมีย อาตมาไม่เชื่อว่าจะไม่มีเมีย ระดับกามราคะภายนอกสัมผัสเสียดสีทางเพศ ผู้หญิงผู้ชาย อาตมายังไม่เชื่อ แต่มาบวชแล้ว อย่าง 1.มันต้องระมัดระวัง 2.มีปฏิภาณพอรู้ว่า ถ้าอดเปรี้ยวไว้กินหวานไม่ต้องไปมีเมีย เป็นภิกษุสะอาดบริสุทธิ์ โอ้โห! รับรอง ได้เลย แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มหาบัว
นอกนั้นไม่เข้าใจรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ยิ่งทางรูปธรรม อรูปธรรม ที่ละเอียดลึกเข้าไปอีก ยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นรูปธรรม อรูปธรรม ภายในภพ เต็มไปหมด
เสร็จแล้วก็มีนิรมาณกายพวกนี้ขึ้นมาบำเรอตนเอง ฉันเป็นเจ้าของ นึกถึงขั้นฉันเป็นเจ้าของประเทศนะ ประเทศไทยไม่มีฉันแล้วล่ะก็ ไม่มีดอลล่าร์ ไม่มีทองคำมาเลี้ยงไว้นะ ฝีมือฉันนะ ประเทศไทย ทำเป็นเล่นไป อาตมาไม่อยากพูดละเอียดกว่านี้ มันดูไม่ดี เกี่ยวข้องไปอีกอะไรต่อไปอีกถึงใครๆอีก ลวงเพื่อที่จะหลงตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนที่อาตมายิ่งเห็นว่า ประเทศไทยเสื่อม
อาจารย์มั่นก็ยังไม่แสดงบทบาทยังไม่มีลีลา ยังไม่มีกรรมวิบากที่ได้แสดงออกมากมายเหมือนมหาบัว เพราะฉะนั้นอาจารย์มั่นก็ไม่มีวิบากบาปหรืออกุศลติดตัวไปมากเท่ามหาบัว น่าสงสารจริงๆ มหาบัว มีทั้งรู้และไม่รู้อยู่ในตัว รู้แสนรู้แต่ทำ เพราะฉะนั้นคนที่รู้ทั้งรู้ทั้งที่ตัวเองโกหกและจะไม่โกหกในเรื่องอื่นๆ จะไม่ทำร้ายทำเลวอื่นๆไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอันนี้ คนอย่างนี้น่ากลัวมาก
ที่อาตมาต้องพูด ก็ต้องขออภัยลูกศิษย์ลูกหามหาบัว หรือแม้แต่มหาบัวเองก็ต้องขออภัยที่เอามาใช้เป็นตัวอย่าง อธิบายธรรมะ ขอบคุณที่ได้ใช้อาศัยพฤติกรรมพฤติการของท่านทั้งหลายมาเพื่อสาธยายยธรรมะ
การปรับจิตให้ได้ดุจเป็นพืช
_การปรับจิตให้ได้ดุจเป็นพืช เป็นกระบวนการอย่างไรบ้าง ?
พ่อครูว่า… ก็ต้องใช้สูตรพระพุทธเจ้าทั้งนั้นโดยเฉพาะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เจาะเข้าไปที่โภชเนมัตตัญญุตา จิตที่เป็นพืชเป็นอย่างไร จิตที่เป็นพืชคือจิตที่ไม่สุขไม่ทุกข์แล้วไม่มีวิบากบาปวิบากบุญแล้ว พืช พ้นวิบากบาปวิบากบุญ ก็ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องสุขไม่ต้องทุกข์ก็ปลอดภัยในตนเองอีก ไม่มีวิบากบาปวิบากบุญก็ปลอดภัยกับองค์รวมทั้งหมดต่อใครๆ
ไม่สุขไม่ทุกข์ของตนเอง ก็ปลอดภัยของตนเองเลย จบในตัวเลย เพราะฉะนั้น จุดที่เป็นพีชนิยาม มีชีวะแต่ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณมีแต่สังขารกับสัญญา มีการกำหนดรู้แล้วก็เอามาปรุงแต่งกันให้เป็นตัวเอง อย่างเช่น พืชพันธุ์ธัญญาหารเหล่านี้
กะหล่ำปลีก็รู้จักธาตุที่จะเอามาปรุงเป็นตัวเองเขาก็ทำได้ มะเขือเทศก็จะเอาธาตุอะไรเขาก็รู้เขาก็ทำได้ก็เอามา ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่แย่งใคร ดูดเอาธาตุที่ได้ ทั้งนั้นๆแหละ พืชพันธุ์ธัญญาหาร
เพราะฉะนั้นมาทำพลังงานจิตของตัวเองให้เป็นดั่งพืช ทำได้จึงหมดสุขหมดทุกข์ปลอดภัย ถือว่าเป็นฐานนิพพาน ฐานอรหัตตผล ทำได้มากเรื่อง มากราว มากอย่าง จนครบทุกเรื่องก็เป็นอรหันต์บริบูรณ์เต็มที่เลย
สู่แดนธรรม… พืชเวลากินอาหาร มันไม่มีความอยาก มันก็จะไม่มีรสชาติในการย่อยอาหาร
พ่อครูว่า… ก็หมายความว่าไม่มีรสอัสสาทะ รสกิเลส อย่างอาตมาไม่มี ก็เลยต้องฝืดฝืนให้มีรสชาติอัสสาทะขึ้นมาบ้าง มันจะมีแรงกระตุ้นให้ได้กินอาหารได้ดีๆได้ง่ายๆได้เร็วๆมากๆ ช่วย ทุกวันนี้ต้องฝืนกินอาหาร รสชาติมันก็รู้อยู่ครบ จะเค็มจะเปรี้ยวจะหวานจะเผ็ดอะไร รู้หมด รู้ตามความเป็นจริงของคนธรรมดา ลิ้นไม่ได้เสียประสาท แต่เวทนาของเราที่ได้ทำเลยเถิดไป ก็พยายามจะฟื้น ตอนนี้ก็จะมีคนมาช่วยปรุงแต่ง ปลุกให้ฟื้นขึ้นมาบ้าง บางทีก็ไม่ได้กินเพราะว่าปรุงมา บางทีก็จัดจ้านไป ดีไม่ดีก็เอาวัตถุดิบที่ไม่ปลอดภัย ผู้ดูแลก็ไม่ให้กิน คัดออกอะไรอย่างนี้ ก็กินไป ก็ช่วยไป ช่วยกันอย่างนี้แหละ ก็ขอบคุณทุกคน
สู่แดนธรรม… ถ้าแม้ผู้ฟังที่มีปฏิภาณ จะแปลความหมาย กินอาหารโดยปราศจากความอยาก ก็คือ พระอรหันต์จะมีคุณสมบัติเป็นกลางที่ไม่มีความอยากแล้ว หมดความอยากสิ้นความเสพ บอกคุณลักษณะความเป็นอรหันต์ได้ข้อ 1
_การแยกกายแยกจิต ถ้าใช้เล็บเป็นกรรมฐาน พอจะเข้าใจ แต่ตอนนำมาใช้ภาวะคับขัน ผัสสะมีน้ำหนัก เช่นปวดจากริดสีดวงอักเสบ มันทรมานถึงใจ จะแยกกายแยกจิตไม่ออก
สู่แดนธรรม… สิ่งเหล่านี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่ไหมครับ ?
พ่อครูว่า… ใช่ เป็นวิบากของคุณคุณก็รับไป พิจารณาให้มาก มันทุกข์หนอ ทุกข์หนอ ไปสร้างวิบากอะไรมาหนอ อาจจะพอรู้ว่า อ๋อ! ไปตัดก้นไก่มากินตั้งแต่มันยังไม่ตายนะ มันเลยเป็นวิบากเจ็บริดสีดวงตัวเอง ก็ว่าไปนะ อาตมาก็พูดไปให้มันดูคล้ายๆเกี่ยวข้องกัน เหมือนกับคนที่ชอบพูดว่า นี่ต้องถูกวัวมันขวิดตายก็เพราะว่าไปทำร้ายวัวมา อย่างพวกที่ศาสนาพุทธจากฮินดูมาพุทธนี่ เขายกย่องวัว เพราะฉะนั้นใครไปทำวัวนี้มีวิบากบาปมากนะ ส่วนมากตายแล้วก็มาเลยถูกวัวนั่นแหละ มาขวิดตายซะเยอะเลย พระอรหันต์
ทุกข์หมายถึงอะไร อย่างไรจึงเป็นสุข
_1. ยังมีคนเกเรผู้อื่น 2. ยังมีคนพูดคำหยาบอยู่ 3. ยังมีคนชอบอู้งานแล้วว่าคนอื่น 4. พูดมาก ทำอย่างไรถึงจะมีสุขครับ ?
พ่อครูว่า… อย่าไปโทษเขา ดูแลของตัวเอง อย่าไปทำอย่างที่เขาทำที่เราไม่ชอบ ไม่ต้องไปทำอย่างนั้น จบ เราจะไปห้ามเขาได้อย่างไรเขาเป็นอยู่ เขาอาจจะรู้ว่ายังไม่ดีแต่เขาห้ามตัวเองยังไม่ได้ หรือเขาไม่รู้ก็เป็นเรื่องของเขาบอกเขาได้ไหมล่ะ ก็อย่าไปทำอย่างนี้ บอกได้ก็บอกกันดีๆค่อยๆบอก ถ้าบอกไม่ได้ก็ต้องปล่อยเขา
จะมีความสุขก็คือเราอย่าไปยุ่งอะไรเขามาก
_ความทุกข์หมายถึงอะไรครับ?
พ่อครูว่า… คำเดียวนี่แหละตอบไปอีก 20 30 50 ปี ก็ทั้งหมดของศาสนานี่แหละทุกข์ ก็บอกแบบนี้แหละ รู้ทุกข์ แล้วก็ดับเหตุแห่งทุกข์ จบ
ทุกข์ คือ สิ่งที่มันไม่คงที่ จิตของเรามันแปรปรวนแล้วไม่ชอบใจ เพราะฉะนั้นจะชอบหรือไม่ชอบก็เลิก ให้ชอบก็ไม่เอา ไม่ชอบก็ไม่เอา แล้วจิตของเราก็จะหมดทุกข์ มันเป็นอาการอย่างนั้นอย่างนี้ สีแดงมันเกิดแดงอยู่เขียวมันเกิดเขียวอยู่ คนนี้เสียงดังอยู่ คนนี้เสียงเบาอยู่ คนนี้เสียงเขาสมมุติว่าเพราะ คนนี้เสียงฟังแล้วไม่เพราะ เขาก็ว่ากันไป มีสารพัดต่างๆกัน มันก็ต้องมี เราก็ ถ้าจะไม่รับก็ห่างมา ออกห่างมา แต่ถ้าเผื่อว่าชีวิตเราห่างมาอย่างไรมันก็จะต้องมีอยู่ เป็นขีดจำกัดสุดท้าย มันต้องมีอะไรที่จะต้องอยู่ด้วยร่วมกับหมู่กลุ่มที่เรียกโดยภาษาว่าสงบ อบอุ่นที่สุด
เพราะฉะนั้น กลุ่มหมู่ที่มีพฤติกรรมที่ไม่แรงไม่หยาบอะไร สงบอบอุ่นที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเงียบเฉย ไม่ใช่ แต่พฤติกรรมมันร้ายแรงมันไม่มี เป็นสังคมอย่างชาวอโศก
คนที่มาอยู่ในกลุ่มชาวอโศกแล้ว ซึ่งมันพอดีแล้ว แรงที่สุดประมาณนี้ สวยที่สุดแล้ว ขนาดนี้เรายังทนไม่ได้ เราก็ต้องศึกษาตัวเองแล้วว่า เราไปติดยึดอะไร เขาจะแรงขนาดนั้นอย่างนั้น ซึ่งมันไม่แรงแล้วของชาวอโศก ข้างนอกมันแรงกว่านี้เยอะๆทั้งนั้น แต่ชาวอโศกไม่แรงแล้ว
ขณะนี้คุณอยู่กับหมู่นี้ ที่พยายามที่สุดแล้วหมู่ที่จะเป็นไปได้ถือว่าดีที่สุดแล้ว คุณจะไปเลือกหาหมู่ที่องค์รวมดีขนาดนี้ ที่อื่นยาก นี่ไม่ได้พูดคุยตัวอะไร แต่พูดความจริง
วิชชา วิชา ญาณกับปัญญาต่างกันอย่างไร
_คำว่า “วิชชา” และ “วิชา” มีความหมายเหมือนหรือต่างกันคะ ?
พ่อครูว่า… เหมือนก็ได้ไม่เหมือนก็ได้ อยู่ที่เราจะสำคัญ ถ้าจะไปกำหนดหมายว่า “วิชชา” หมายถึงที่เป็นธรรมะ ความรู้ทางธรรม ส่วน “วิชา” มันเป็นความรู้ทั่วไปของชาวโลกเขา ก็ได้ หรือ คุณจะหมายถึงว่าเป็นอันเดียวกันนั่นแหละแล้วก็เข้าใจว่า ระดับของคนโลกของเขาก็มีของเขาตามที่เขาปรุงแต่งกันอยู่หลงใหลกันอยู่ ยังไม่เข้าขั้นโลกุตระ
โลกุตระ คือ มาเรียนรู้สุขทุกข์ มาเรียนรู้กิเลส แต่ถ้ายังไม่เข้าโลกุตระก็เป็นความรู้ทั่วไป มีดีมีชั่ว เขาก็มีสุขมีทุกข์ตามที่เขายึดถือ ที่เขาได้เสพทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เสพ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่เขาสนใจก็มีสุขมี ทุกข์
พอโลกุตระ ก็มาลดในการเสพสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลิกมาทั้ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รวมหมดโลกธรรม มาติดยึดอยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราก็รู้ว่าเราติดยึดรสอย่างนี้เป็นสุข อย่างนี้ไม่เป็นสุข เสียงหรือกลิ่นก็แล้วแต่ อย่างนี้สุข อย่างนี้ไม่สุข คุณก็เรียนรู้แล้วเลิกละอาการจิต เวทนาที่มันมีตัณหาเป็นตัวการ
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม.. มีคนว่า การรู้ข้างนอกคือวิชา รู้ของตนเองได้ไหมครับ?
พ่อครูว่า… ได้
_ปัญญา ญาณ วิชชา เป็นความรู้ที่มีรายละเอียดลึกซึ้งต่างกันอย่างไร ?
พ่อครูว่า… เข้าใจยังไม่ต่างกันก่อนว่าเป็นความรู้ทางโลกุตระอย่างเดียวก็พอแล้ว เมื่อรู้รายละเอียดสูงขึ้นไปจะแยกได้เองว่า ถ้าเราจะใช้ภาษา
ปัญญาก็ขนาดหนึ่ง ถ้าญาณ ก็ถือว่าสูงกว่า มีสามเส้า ถ้าปัญญาก็ขั้นต้น ญาณก็ขั้นกลาง วิชชาก็ขั้นปลาย
_ดิฉันได้พิจารณาคำทั้ง 3 โดยปัญญา ญาณ วิชชา ดูจากหลักธรรมต่างๆที่มีคำทั้ง 3 ปรากฏอยู่แล้ว อยากสรุปว่า ปัญญาเป็นความรู้ในระดับต้น ในภาคมรรคใช่ไหมคะ?
(หมายเหตุ : ปัญญามีในสัมมาทิฏฐิอันเป็น อาสวะ 6 ปัญญา 8 อินทรีย์ 5 พละ 5
ญาณ ใน เจโตปริยญาณ 16 โสฬสญาณ และญาณ 3 วิชชา วิชชาในวิชชา 8)
พ่อครูว่า… ทั้งมรรคทั้งผล คนศึกษาศาสนาพุทธจะเข้าใจว่า วิชชา ความรู้ทางธรรมะ แต่ วิชา ส่วนใหญ่เป็นความรู้ทางโลกีย์ทั่วๆไป เช่น ปลูกผักเก่ง ทำลูกระเบิดเก่ง หกคะเมนตีลังกาเก่ง
ทำอย่างไรเราจะไม่ติดสุข
_ด.ช.เผ่งอัง ป. 5…ถ้าเราติดสุข เราควรจะทำอย่างไร ให้เราไม่ติดสุข ?
พ่อครูว่า… เป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาคำว่าติดสุขนี้เป็นปัญหาใหญ่รอบโลกเลย ใหญ่มาก เทวนิยมนี่คือสุขนิยม คือติดสุขเที่ยงเลย แกะไม่ออก ไม่รู้จักสุขทุกข์ ไม่รู้จักคู่หูคือทุกข์
เพราะฉะนั้นตอบง่ายๆว่า เข้าใจให้ได้ว่าสุขนั้นมันตัวเดียวกับทุกข์ แยกไม่ออก เพราะฉะนั้นแยกให้ออกไปว่า ถ้าเราจะมาพยายามให้เราได้สุขอย่างนี้ มันก็ยังทุกข์อยู่นั่นแหละ พยายามหาเหตุปัจจัยให้มันรวมกันแล้วได้สัมผัส ได้เป็นได้มีอย่างนี้ๆ สัมผัสลวงตามที่เราต้องการ ตามที่เรากำหนดไว้ แล้วเราก็พอใจสุขเพราะมันได้ตามต้องการ ไม่พอใจก็ทุกข์ ยิ่งไม่ตรงกับที่เราต้องการ ตรงกันข้ามเลยก็ยิ่งทุกข์มาก นี่ขยายความให้ฟังแล้ว
เพราะฉะนั้น สุขทุกข์มันจะแยกกันไม่ออกเลย มันหลอก มันเอาหน้าความสุขมาอวดมาโชว์ให้คนหลงติด แต่ถ้าแท้ๆ ตัวบงการหนักก็คือตัวทุกข์ เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงเชื่อความสุข มันมาหลอกเป็นอันขาด ถ้าจะว่าจริงๆแล้ว สุขมันไม่น่าดูเลย ดูหน้ามันเลย พระพุทธเจ้าถึงไม่สอนเรื่องสุข ท่านสอนเรื่องทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป หาเหตุแห่งทุกข์ ดับความทุกข์หมด เจ้าสุขมันก็ดับไปด้วย พูดวนเวียนย้ำอย่างนี้มานานแล้วฟังให้ดีๆ
จะทำอย่างไร เรียนรู้เหตุจัดการเหตุ จริงๆมันไม่ใช่ตัวสุข มันเป็นตัวทุกข์ ต้องเลิกมันให้ได้ หาเหตุที่มันพาให้ติดตรงนี้ให้ได้แล้วเลิกได้ เลิกได้ สุขก็หายไป ไม่มีทางสุข
สู่แดนธรรม… ในทางปฏิบัติเด็กๆ ถ้ามีใครให้ขนมก็เอาไปให้แม่ เอามาให้ลุงแป้งก็ได้ ลุงแป้ง ก็จะเอาไปให้เพื่อนต่อ
โพชฌงค์ 7 ช่วยรักษาโรคได้อย่างไร
_โพชฌงค์ 7 ช่วยรักษาโรคได้อย่างไรคะ? (อ่านหนังสือธรรมะสมัยพุทธกาลว่าพระอาพาธจะได้ทิพย์โอสถจากโพชฌงค์ 7)
พ่อครูว่า… โพชฌงค์ 7 จะช่วยรักษาโรคได้อย่างไร อย่างน้อยที่สุด มันจะช่วยรักษาโรคทางจิตก่อนอื่น มีสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ เป็นสามเส้าแรกของโพชฌงค์ 7 สติและการวิจัยรู้รอบ ฝึกสติรู้รอบพฤติกรรมกาย วาจา ใจ ข้างนอกข้างในหมด ข้างนอกมีพฤติกรรมกิริยาอย่างไร แล้วก็วิจัยทีละคู่ มีความแตกต่างกัน เราก็เลือกเอาสิ่งที่ดีสิ่งที่ควร อย่างนี้แหละเราจะค่อยๆเก่ง ค่อยๆฝึก วิริยะสัมโพชฌงค์ เพียรฝึกอย่างนี้
-
ฝึกรู้ให้ได้ทั้งหมด แล้ววิจัยมันออกมาทีละคู่ แล้วเลือกเอาทีละ 1 อะไรมันควรอะไรมันดีกว่าก็เลือกเอาที่ควรที่ดีกว่า ที่ไม่ควรไม่ดีให้เลิกไป ให้มันเหลือ 1 พอมี 1 มันก็ไม่มีผัสสะไม่มีปรุงแต่ง ถ้า 2 จะมีผัสสะและปรุงแต่งเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือแม้แต่เป็นการเกิด ถ้า 1 ไม่เกิด มันมีอยู่แล้วมันจะมีแต่ความเสื่อม ไม่มีอะไรมันก็หมดอายุขัย สูญไป ดีไม่ดีถ้ามีคู่มันไม่เสื่อมด้วย ร่วมกันสร้างต่อไปเป็น 3 4 5 6 ต่อไป