650213 พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 พาปฏิญาณศีล 8 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1oAS4LaSgRVuheHneY3eqPaUKPQPIJc0sGIgPl6nBQC4/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/10XJld2L0KZNeYRcRfGJUbukLv1bStzki/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/b8bljTKgiy/ และ https://youtu.be/UzGtI_6k1bs ใบพ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นวันที่อาตมามีอายุครบ 87 ปี 8 เดือน 8 วัน อาตมาเกิดวันที่ 5 วันนี้วันที่ 13 ตัวเลขก็เป็นสิ่งที่บอกเป็นสิ่งชี้บ่งถึงอะไรที่ควรจะได้รู้ นี่เป็นความสามารถของมนุษยชาติที่ใช้เลขสังขยาเลขต่างๆพวกนี้มาจัดการเรียนรู้ได้ ก่อนจะเข้าสู่สาระสัจจะ อาตมาก็มีความสำคัญที่จะต้องประกาศให้แก่ชาวอโศก หรือคนทั่วไปได้รับทราบถึงสิ่งสำคัญนี้ก่อน กรณีปาราชิกและนานาสังวาสในชาวอโศก วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 เมื่อเวลา 09.10น. กรณีสมณะหินกลั่นต้องปาราชิก เมื่ออดีตสมณะหินกลั่น ได้แยกตัวออกจากหมู่คณะของชาวอโศกแล้ว ก็ได้นำเอาเครื่องมือมากชิ้น (ราคาหลายหมื่นบาท) อันเป็นสมบัติส่วนกลางของชุมชน ไปเป็นของตนด้วย โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ซึ่งกรรมการชุมชน เป็นผู้ดูแลอยู่ ต่อมา ส่วนกลางได้ให้ผู้ร่วมงานประสานขอ เครื่องมือเหล่านั้นคืน ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะคืนให้ แถมหาเรื่องหาราวว่ากล่าวกรรมการต่างๆ นานา จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อไปเลย จนสุดท้ายเมื่อได้รับแจ้งว่าจะถูกพิจารณาโทษความผิดขั้น ปาราชิก จึงยอมคืนของมาให้ส่วนหนึ่ง มูลค่าประมาณ ๒ แสนบาท คณะเอาภาระสงฆ์ของชาวอโศก (คภส.) ได้นำเรื่องนี้ เข้าที่ประชุมพิจารณากันหลายครั้ง รวมทั้งได้ฟังความเห็น จากอดีตสมณะหินกลั่น โดยตรงอีกด้วย แล้วจึงได้ตัดสิน ตามวินัยบัญญัติว่า ” ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์ (สิ่งของ) ที่เจ้าของมิได้ให้ ต้องอาบัติปาราชิก (ความผิดหนักขั้นขาดจาก ความเป็นภิกษุ) ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ ๑. ทรัพย์(สิ่งของ)นั้น มีผู้ครอบครองอยู่ (เป็นเจ้าของ) ๒.สำคัญว่า เป็นทรัพย์(สิ่งของ) ที่มีผู้ครอบครองอยู่ ๓. ทรัพย์(สิ่งของ)นั้น มีค่าราคาตั้งแต่ ๕ มาสก (ปัจจุบัน ตีราคาประมาณ ๕๐๐บาท) ขึ้นไป ๔. มีไถยจิต (มีจิตนำเอาของนั้นไป เยี่ยงอย่างขโมย คือกระทำโดยที่เจ้าของไม่ได้ให้) ๕. ภิกษุได้เอาของนั้นไปแล้ว (คือภิกษุได้ทำให้ทรัพย์สิ่งของนั้น เคลื่อนที่ไปแล้ว ย่อมต้องอาบัติปาราชิก) นั่นคือ สมณะหินกลั่น ได้กระทำความผิดหนัก ถึงขั้นขาดจาก ความเป็นภิกษุแล้ว พ่อครูว่า… นั่นคือสิ่งที่ได้ เหมือนกับผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาให้เป็นที่รับรู้กันชัดเจน ไม่ใช่เรื่องที่อมพนำหรือจะมาประจาน แต่เป็นเรื่องต้องบอกความจริงต่อสังคมที่ประชุม หมู่กลุ่มให้รับทราบความจริงนี้เพราะ นี่คือความมหัศจรรย์ของมหาสมุทรข้อที่ 3 คือมหาสมุทรย่อมไม่เกลื่อนด้วยซากศพ คลื่นย่อมซัดซากศพขึ้นสู่ฝั่งโดยพลัน นี่เป็นความมหัศจรรย์เป็นจริง อย่างแต่ก่อนนี้อาตมาอยู่บวชกับมหาเถรสมาคม ก็พยายามทำไป ก็พอรู้แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็ต้องทำตามพระธรรมวินัยคือประกาศนานาสังวาสแยกตนเองออกมาตามหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เถรสมาคมก็ตามความรู้ของกระแสหลักก็ตามไม่รู้หลักนานาสังวาส อาตมาทำอย่างถูกต้องก็มีผู้รู้อยู่บ้างมันจนสำเร็จผล ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 วันที่ 6 สิงหาคม เราก็ประกาศยืนยันตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า เข้าไปตรวจสอบตามหลักธรรมพระวินัยแล้วก็ต้องเห็นว่าถูกต้อง แต่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองใหญ่ จนกระทั่งมีผู้ที่เป็นปราชญ์เป็นผู้รู้รื้อฟื้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ของเถรสมาคมแล้วก็มาเอาเรื่องกับเราอีก ทั้งๆที่ วันที่ 6 สิงหาคม 2518 เราประกาศแล้วสำเร็จไปแล้ว วันที่ 7 เราก็เป็นอิสรเสรีมา จนกระทั่งมาถึงปี 2532 ผ่านมา 14 ปี เราก็อยู่สุขสบาย ทำกิจการของเรามาได้เรื่อยๆ วันร้ายคืนร้าย เถรสมาคม รวมกันทั้งธรรมยุตและมหานิกาย รวมตัวกันขึ้นมาเอาเรื่องเรา คณะธรรมยุตและมหานิกายเป็นฝ่าย แม้ว่าเป็นนานาสังวาสก็รวมกันทำสังฆกรรมไม่ได้เลยแล้ว ก็ไปผิดหลักธรรมวินัย ผิดหลักคณปูรกะ รวมกันทำสังฆกรรมไม่ได้ เข้าไปรวมกันประกาศนีย กรรมสมณะโพธิรักษ์ ดูแล้วมันก็ตลกเหมือนเด็กเล่นลิเกละครไม่ถูกต้องตามหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเลย เขาก็ทำไปได้อย่างไม่อายผู้รู้ ก็ทำจริงๆ แล้วชาวประชาชนไม่รู้เรื่องพระธรรมวินัย ก็ไม่ถนัดไม่รู้เรื่องดีในเรื่องธรรมวินัย ก็เชื่อตามมหาเถรสมาคม ก็มาเล่นงานเรามาว่าเรา เขาต้องเชื่อมหาเถรสมาคมเป็นหลักก็เข้าใจ เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเขาก็เข้าใจอย่างนั้นไปห้ามเขาไม่ได้ เราก็ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยมาเล่นงานเรา ดีไม่ดีไปฟ้องศาลทางฆราวาสให้มาจับเราสึก ให้มาสั่งการไปทางอำนาจรัฐ ฟ้องไปโดยบัญญัติ กฎหมายสงฆ์ 2505 ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า บัญญัติว่าให้สมเด็จพระสังฆราชสั่งให้สึกได้ ทั้งๆที่ผู้ที่ผิดหรือไม่ผิด โดยเฉพาะอย่างเรานี่ไม่ผิด มันมีหลักเกณฑ์ในพระธรรมวินัยว่าถ้าผิดใน 11 ข้อ หรือปาราชิก ถ้าหากปาราชิกก็ไม่ต้องสั่งสึกเพราะมันขาดไปแล้ว ถ้าผิดใน 11ข้อก็สั่งให้สึกได้ แต่นี่เราไม่ได้ผิดใน 11 ข้อ ปาราชิกเราก็ไม่ได้เป็น เขาก็พยายามจะใส่ความเราว่าเป็นปาราชิก บอกว่าอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ก็เขาว่า ก็เรามีในตนแต่คุณไม่รู้ว่าเรามีคุณธรรมคุณวิเศษอันนี้ คุณไม่มีปัญญาพอจะรู้เลย แล้วจะไปบังคับให้คุณรู้มันก็ไม่ได้ เราก็ยืนยันว่าเรามีอุตตริมนุสสธรรมนี้ จริงพิสูจน์ยืนยันมาจนถึงทุกวันนี้ สรุปแล้ว ทางเถรสมาคม ก็ฟ้องศาล ศาลก็ทำตามหลักเกณฑ์โลกๆ ตามกฎหมายสงฆ์พ.ศ 2505 สังฆราชสามารถสั่งให้สึกได้ ภายใน 7 วันถ้าไม่สึกถือว่าผิดกฎหมาย เราก็ผิดกฎหมายสิ เพราะเป็นกฎหมายที่ออกกันมาเอง ไม่ใช่ออกมาจากพระบัญญัติพระพุทธเจ้า เขาก็ใช้อันนั้นกัน ตกลงสุดท้ายตกลงกันว่า จะอยู่เป็นภิกษุนักพรตนักบวชเป็นพระไม่ได้ หลักกฎหมายเขา มีคุณจรวย หนูคง เป็นนักกฎหมายเปรียญ 9 มาเจรจากับเรา ตอนนั้นก็มีสมเด็จมีคณะของเถรสมาคมต่อโทรศัพท์กันอยู่เลย ให้จรวยมาเผชิญหน้ากับอาตมาตกลงกัน จนสุดท้ายก็ตกลงกันได้ว่า เราก็ผิดตามกฎหมายของคุณ ไม่ให้เราเป็นภิกษุ ไม่ให้เราเป็นพระ ไม่ให้เราเป็นนักพรตนักบวช ในคำที่อยู่ในกฎหมายแล้วจะให้เราเป็นอะไร เราปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธ ก็ต้องเป็นคนพุทธสิ พูดกันไปพูดกันมาก็ตกลงกันว่า สมณพราหมณ์มันไม่มีในกฎหมาย เราก็บอกว่าเราเป็นสมณะพราหมณ์ก็ได้ เราไม่เป็นพระ ไม่เป็นภิกษุไม่เป็นนักพรต นักบวช ตามกฎหมายของฝ่ายคุณ เรามาเป็นสมณะ ก็ตกลงกันได้ตรงนี้ ตั้งแต่บัดนั้นเราก็กลายมาเป็นสมณะ ฝั่งบุญ…ถามว่า พ่อครูกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว พ่อครู อนุญาตให้มีนานาสังวาสในชาวอโศก หลวงพ่อเดินดินไปถามพ่อครูว่า 30 กว่าปีที่ผ่านมา โครงการของพี่หนึ่งฟ้า โครงการต่างๆนานา อธิบายพ่อครู หลวงพ่อก็เห็นต่างกัน หลวงพ่อเดินดินไปถามพ่อครูว่า ถ้าความเห็นต่างอย่างนี้ให้ทำอย่างไร พ่อครูก็ตอบว่า ในเมื่อคนหนึ่งดำคนหนึ่งขาว จะให้ตอบอย่างไร ถ้าอย่างนั้นคุณก็นานาสังวาสกันกับหนึ่งฟ้า พอต่อมา ที่พวกเราก็ได้รับอนุญาตให้ไปจองพื้นที่นาโม พอไปจองแล้วพวกเราก็ทำกิจกรรมกระบวนการกลุ่ม จากที่ฟังพ่อครูตอนเช้า พ่อครูว่า…ตกลงอาตมาตอบ คุณจะถือว่าจบด้วยการต้องเป็นนานาสังวาส ก็ได้ คุณก็เป็นนานาสังวาสกลุ่มน้อย ทางนี้ เขาเป็นนานาสังวาสกลุ่มใหญ่ คุณก็อยู่ของคุณ เขาไม่ว่าอะไรเขาก็แบ่งที่ให้คนที่จะเป็นนานาสังวาส คุณก็อยู่แล้วนี่คุณจะต้องการอะไรอีก ฝั่งบุญ…อย่างพ่อท่านแยกออกจากมหาเถรสมาคมยังทำได้ อันนี้ก็ไม่ต่างกัน พ่อครูว่า… ไม่ต่าง เราก็ทำของเรา ฟังเถรสมาคมท่านกระทำของท่านอยู่ ทางเราหมู่ใหญ่ก็ทำอยู่ ตั้งหมู่กลุ่มก็ทำไปสิ ไม่ได้ไปบังคับใครจะเข้ากับหมู่คุณก็ทำสิ ฝั่งบุญ…ขอเบิกตังค์ก็ไม่ให้ พ่อครูว่า… ก็นานาสังวาส คุณก็เบิกตังค์ของคณะคุณสิ ทางนี้ก็เบิกตังค์ทางนี้สิ ฝั่งบุญ…นึกว่า เป็นสาธารณโภคี พ่อครูว่า… อย่างเราประกาศออกมาแล้วก็เป็นนานาสังวาส คุณจะไปเอาเงินทางเถรสมาคมมาใช้ได้ไหม เขาให้ไหม ก็ไม่ได้ ฝั่งบุญ…ก็อยู่มา 30 ปีตั้งหลักตั้งฐานขอช่วยเหลือเกื้อกูลบ้าง พ่อครูว่า… ก็ชัดๆ ควรจะเบิกตังค์ ของเถรสมาคมได้ไหม ก็ไม่ได้ เราจะไปขึ้นรถไฟเขาก็ยังเก็บเงินเราเต็มราคาเลย ไม่ให้เรามีสิทธิ์เหมือนทางโน้นเลย แล้วคุณจะมาเรียกร้องเอาทรัพย์ได้อย่างไร คุณถือว่าคุณเป็นนานาสังวาส ถ้าคุณล้มเลิกนานาสังวาสมาอยู่ทางนี้ ก็จบ แต่คุณจะดันอยากเป็นนานาสังวาสคุณก็ต้องรับ ถ้าจะอวดดี นานาสังวาสจะแยกไปก็ต้องช่วยตัวเองให้รอด ช่วยไม่รอดคุณก็ตายอย่างเขียดเหยียดขาตาย เอาให้ชัด ดี ที่จริง มันก็ไม่น่าจะมีประเด็นอันนี้แถมขึ้นมาก็ดีเหมือนกัน แถมขึ้นมาก็ได้รับเพิ่มเติมชัดเจนขึ้นอีก อีกหลายสิบปีกว่าคนในโลกจะรู้เรื่องโลกุตระ พ่อครูว่า… ทีนี้มาเข้าเรื่อง วันนี้เป็นวันที่อาตมา อายุครบ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน ปีหน้า 88 ปี 8 เดือน 8 วันเลย โฟร์เอดเลย ปีหน้า จะมี 8888 แล้วมี 66(พ.ศ.2566) คู่ 6 อีก ก็ สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบให้เราใช้ คำพูดก็ดีภาษาก็ดีตัวเลขก็ดี อะไรต่างๆนานา มนุษยชาตินี้เก่ง ใช้พวกนี้ในการสื่อความหมายสื่อความรู้อยู่กันอย่าง ภาษาในโลกมีเป็นหมื่นเป็นแสนภาษา ใช้กัน แล้วก็อยู่กันได้มาในมนุษยชาติ สื่อเข้าไปสู่สาระสัจจะที่แท้ ซึ่ง สาระสัจจะชาวพุทธก็พยายามมุ่งให้ถึงจุดแท้เนื้อแท้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู็ ต่างคนต่างมีภูมิธรรมที่เข้าใจแค่ไหนอย่างไรก็ทำเต็มที่ของแต่ละบุคคล ผลออกมา ก็เป็นตามจริงของแต่ละหมู่ที่เข้าใจและปฏิบัติประพฤติจริง แล้วสำเร็จผล การสำเร็จผลงเป็นเครื่องชี้บ่งสุดท้าย อย่างชาวอโศกเรา สำเร็จผลถึงขั้นสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม 6 สามารถยืนยันได้ว่ามีวรรณะ 9 มีจรณะ 15 วิชชา 8 มีอะไรอื่นๆอีกเยอะแยะเลย หลักธรรมพระพุทธเจ้าเอามายืนยันอธิบายได้ทั้งนั้นว่าเราเป็นจริง ลงตัว เพราะเอาตัวมาลง สำนวนท่านเพาะพุทธ เอาตัวมาลงได้แนบเนียนสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันแล้วทั้งนั้นเลย ยืนยันความจริงที่สุดกันเถอะ ยืนยันได้ อาตมายังมั่นใจว่าชาวอโศก มีคุณวิเศษ เป็นคุณธรรมขั้นวิเศษของมนุษยชาติ ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นที่มี มนุษย์ในโลกกำลังศึกษา ค้นหาสิ่งที่วิเศษประเสริฐสูงจริงเป็นจริง อาตมายังมั่นใจว่าสักวันหนึ่งคนในโลกที่กำลังแสวงหาเหมือนกัน เขาจะเกิดภูมิความรู้ความฉลาด ขึ้นมารู้จักปัญญา ขึ้นมารู้จักความรู้ความฉลาด และที่เป็นจริง อย่างพวกชาวอโศกเป็น เขาจะค่อยๆรู้ ถ้าเขาไม่รู้เขาก็จะไม่เข้าใจว่ามันมีค่ามีความประเสริฐอย่างไร เราไปบังคับให้เขารู้มันบังคับไม่ได้ จนกว่าเขาจะมีภูมิเจริญงอกงามไพบูลย์ขึ้นมา อาตมาเชื่ออยู่ลึกๆว่า ช่วงที่อาตมายังมีชีวิตอยู่นี้ สากลหรือหลักใหญ่ๆ องค์กรใหญ่ๆของโลกที่มีอิทธิพลที่จะชี้บอก ที่จะชี้ประกาศรับรอง คณะนี้คนผู้นี้ เจริญจริง ดีจริงรับรอง หรือภาษาทางโลกบอกว่าให้รางวัล มีสิ่งที่ประกาศรับรองต่อโลกเขา ให้เป็นที่รู้ขึ้นไป เขาก็ต้องมีภูมิรู้ แล้วก็ต้องมั่นใจว่าใช่ ซึ่งผิดพลาดเขาเสียหมดผิดไม่ได้ มั่นใจว่าของแท้ของจริงอย่างนี้นะได้อย่างนี้ดีจริง และไม่เปลี่ยนแปลง มั่นคงตั้งมั่นยืนยัน เมื่อมีองค์กรอย่างนี้รับรองประกาศ มันก็จะเป็นชื่อผู้รับรองการเป็นที่ยอมรับ สำหรับองค์กรที่เป็นที่ยอมรับแล้ว อย่างกลุ่มหมู่ในโลกนี้ยกตัวอย่างง่ายๆ ผู้ที่กำหนดให้รางวัล nobel prize คนนี้เป็นจริงเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ยังเมืองไทยยังไม่มีใครได้รับรางวัล nobel prize จะมีกลุ่มทางยุโรปที่เขาเข้าใจได้ง่าย ภูมิธรรมใกล้กันรู้ได้ง่าย ยิ่งมาเป็นภูมิธรรมทางโลกุตระ ช่วงเวลาที่อาตมายังมีชีวิตอยู่เขาจะรู้ได้หรือ อาตมาก็ไม่รู้ว่าอาตมาจะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ เอาสัก 10 ปี อาตมาอายุ 98 หรือ 100 ปี เขาจะพอรู้หรือ เราก็ไปดูถูกไปประมาทเขาไม่ได้หรอก เขาอาจจะรู้ได้ ถ้าเขาไม่แน่ใจเขาไม่รู้จริงเขาไม่เชื่อถือโดยตัวเขาเอง แล้วเขาต้องมีภูมิรับรู้ เขาก็ไม่กล้าที่จะมารับรองเราใช่ไหม เขาก็ต้องมีภูมิรู้ สามารถเข้าใจว่าจริงนะ เขาจึงจะรับรอง จะต้องมั่นใจด้วยนะ ไม่มั่นใจจะรับรองได้อย่างไร หน้าแตกตายเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งจริงๆแล้วเราก็ไม่มีปัญหาอะไร เขารับรองเราก็ดีแหละ เราก็ไม่ได้ไปลบหลู่อะไรเขาหรอก ก็ดี แต่เขาไม่รับรองเราก็มั่นใจของเราอยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไร เราก็ดำเนินของเราไป สร้างคุณธรรมอันนี้ไปให้มันมากให้มันมีคุณสมบัติหรือคุณภาพ ที่เต็มรูปร่างเต็มมิติเต็มเหลี่ยมมุม จนกระทั่ง ชนตา เตะตา คนตาบอดเห็นได้ เอาสำนวนวาทกรรมโก้ๆ คนตาบอดเห็นได้ เอาปานนั้นเลย เราก็ไม่ได้ไปพยายามผลักดันขับดันอะไรหรอก เรามีหน้าที่ทำความจริงขึ้นไปเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปหาวิธี propaganda โฆษณาหว่านล้อม แต่เรามีหน้าที่ทำความจริง จนกระทั่งผู้ที่มีอะไรใหญ่มีเหลี่ยมมุมที่คนรับได้เห็นได้เขาก็รับรองเอง เขาจะรับรองหรือไม่รับรองพวกคุณจะเลิกไหม สิ่งจริงแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลง มัน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เอาบาลี ของพระพุทธเจ้ามายืนยัน ไม่ใช่พูดเล่นนะ ก็พิสูจน์ตัวเองไป อาตมา อยากจะรู้เหมือนกันอีก 10 ปีอีก 20 ปี พวกคุณก็ไม่เที่ยงแท้ไม่อยู่แล้ว ไม่ตลอดกาล ไม่มั่นคงเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ให้อาตมาหน้าแตกก็ยอมแตก ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันก็จริง อาตมาจะไปยืนหยัดยืนยันสิ่งที่ไม่จริงอยู่ทำไม แต่ถ้ามันจริงมันก็ต้องเป็นจริงไม่เปลี่ยนแปลง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มันเป็นความจริงทั้งนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆนะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงที่คงทนที่สุดได้ยืนยาว ใหม่ตลอดกาลไม่มีเก่าเลย ทันสมัยใหม่เสมออยู่ตลอดกาลไม่มีเก่า อันนี้ก็จริงอีก ไม่ใช่เป็นคำพูด โก้ๆเท่ๆ ฟังแล้วไพเราะเฉยๆ คำไพเราะที่คนมาปลอมแปลงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณิสูตร กลองอานกะ คนที่เข้าใจภาษาพื้นๆง่ายๆก็ถูกทำให้เชื่อถือตาม จนออกนอกสัจธรรมของพระพุทธเจ้าหมดสัจจะ กลายเป็นกลองหรือตะโพนปลอม เหลือแต่ชื่อว่าพุทธ หรือชื่อว่าอานกะ อย่างเดิม แต่เนื้อเปลี่ยนแปลงไปหมด นี่เป็นความซับซ้อนที่รู้กันไม่ง่าย รู้กันยาก อาตมาก็ได้พูดได้ชี้เรื่องนี้ให้สะดุด ให้มาตรวจสอบกัน ถ้ามีภูมิปัญญาตรวจสอบจะรู้จริงเห็นจริงเลย นี่เป็นสัจจะที่อาตมามั่นใจว่า อาตมาไม่ได้มีความหลอกไม่ได้มีความเหลาะแหละ ไม่ได้มีความไม่จริงอะไร อาตมามีแต่ความจริงความตรงความซื่อสัตย์ แล้วก็ยืนยันว่ามนุษย์ควรได้สิ่งนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้นี่แหละเป็นสุดยอดของความเป็นมนุษย์แล้ว เริ่มเป็นตั้งแต่โสดาบัน ยืนยันไปเลย กายของสาธารณโภคีที่มีผลจริง เข้าสู่เรื่องเลย ยืนยันไปตั้งแต่ความเป็น กาย กายคือ ภาวะ 2 ซึ่งมีไวพจน์ว่า เทวฺ แปลว่า 2 กาย นอกจากจะแปลว่ามีความเป็น 2 แล้ว อย่างมีนัยยะมากอธิบายได้ไปอีก เป็นกายนอกกายใน เป็นกายอย่างนั้นอย่างนี้ กายแปลว่า องค์รวมของ 2 องค์ประชุมของกิเลส องค์ประชุมของอุตตริมนุสสธรรม องค์ประชุมของอะไรอีกสารพัด ขยายความไปได้อีกมากมาย เพราะฉะนั้นความวิจิตรพิสดารของคำว่า กาย จึงเยอะมาก ผู้ที่จะเข้าใจคำว่า กาย ได้สัมมาทิฏฐิ บัญญัติของพระพุทธเจ้าจึงให้รู้ กาย ที่สัมมาทิฏฐิให้ได้เป็นข้อต้นของการจัดศึกษาธรรมะที่เป็นอารยธรรมของพระพุทธเจ้าคือ สักกายทิฏฐิ ถ้ารู้ความเป็นกายแล้วอ่านสภาวะจริงในตนคือสักกะ แยกออกได้ว่า สอง นอกในอย่างนี้ ผู้ที่นั่งหลับตามันมีแต่ภายใน มันไม่มีภายนอก ถ้าเข้าใจภายนอกหมายถึงตา หู จมูก ลิ้นกายเป็น โผฏฐัพพะ ภายนอก พาไปหลงนั่งหลับตาก็ไม่มีภายนอกมีแต่ภายในจิต ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็แยกแบ่งให้เรียกเป็นว่า จิตในจิตเป็นจิตไม่มีที่ตั้ง ไม่มีฐานไม่มีฐีติ ภาษาบาลีว่า ฐีติ มันก็ไม่ใช่วิญญาณที่จะรู้ร่วมกันทั้งโลกคือธาตุรู้ที่เป็นภาษากลางๆ วิญญาณคือธาตุรู้ ศาสนาเทวนิยมก็เรียกว่าวิญญาณ บาลีก็มีคำว่าวิญญาณไทยก็ใช้คำนี้เหมือนกัน เทวนิยมก็เรียกวิญญาณ พระเจ้าก็คือพระวิญญาณคือธาตุรู้ แล้วธาตุรู้ของพระเจ้านั้นมันลึกลับ ไม่มีอธิบายรายละเอียดมีแต่พระเจ้าประกาศเอาไว้ ของศาสนาเทวนิยมศาสดา ปกาศก คือผู้นำคำของพระเจ้ามาประกาศ ในโลกนี้จะมีเยอะแยะแยกศาสนาเทวนิยม แต่ทางพุทธนี้ยุคไหนก็ยุคนั้นจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ต่างไปนั้นมันไม่ใช่ ต่างไปก็หลงว่าใช่เท่านั้นเอง เป็นศาสดาไม่ได้ ศาสดาไม่ได้หมายถึงพระเจ้า ไม่ได้หมายถึงหัวหน้าศาสนาหรือหัวหน้าผู้นำแต่ละยุคๆ เป็นไก่ตัวพี่ ในแต่ละยุคๆ เป็นผู้รู้อยู่รู้เองรู้ผู้เดียวรู้โดยที่ไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีใครบอกใครสอน มาจากแต่ก่อนเลยเป็น สยังอภิญญา แล้วก็มาประกาศว่านี่เป็นของตน สยังอภิญญา รู้เอง เองอันนี้ก็ไม่ได้อวดดีว่า ไม่ได้มาจากพระพุทธเจ้าแต่ก็ได้มาจากผู้ที่เป็น สยัมภู ได้มาเป็น อภิภู ได้มาเป็น สยังอภิญญา ก็ค่อยๆ อธิบายขยายความไปตามหลักฐานที่มีในพระไตรปิฎก ก็จะค่อยๆได้รู้ โดยเฉพาะพวกคุณแต่ละคนมาปฏิบัติจนเกิดมรรคผล เกิดจิตบรรลุจริง ได้มรรคได้ผลจริง ต่างจากโลกียะมาเป็นโลกุตระ เริ่มต้นรู้ กาย ภาวะ สอง แม้จะรู้ภาษาไม่ค่อยดีแต่สภาวะจริงคุณมีมาได้เรื่อยๆ แล้วจนกระทั่ง เอาตัวเองมาลง จนลงตัว สำนวนท่านเพาะพุทธ ก็อยู่อย่างนี้จนรวมเป็นหมู่กลุ่มชุมชน มีพฤติกรรมหนึ่งเดียว เอกีภาวะ รวมกันอยู่อย่างสอดคล้องสามัคคียะ ไม่ขัดแย้งไม่ทะเลาะวิวาทไม่มี วิวาทะ อวิวาทะ แล้วก็อยู่อย่างพิสูจน์ยืนยันว่ามี สังคหะ มีคุรุกรณะ มีสาราณียะ จริง รวมกันอยู่ ระลึกถึงกัน สาราณียะ ปิยกรณะ รักกัน รักกันอย่างญาติธรรม รักกันอย่าง มีความรักมิติที่ 7 -8 -9 ขึ้นไป ไม่ใช่มีมิติต่ำๆ แต่ยังมีเชื้ออยู่บางคนยังติดในระดับ พัวพันกันอยู่กับญาติบ้างอยู่กับสังคมบ้างก็มีอยู่ตามลำดับความรัก 10 มิติ อาตมาก็อธิบายไว้หมด ซึ่งยืนยันพิสูจน์ความจริงเหล่านี้ได้ ฉะนั้นพวกเราเข้าถึงยอด ยอดสาธารณโภคี ยอดเสียภาษี100% คนเขาฟังแล้วก็บอกว่ามันพูดไปอวดดิบอวดดีมันจะเป็นจริงเหรอ มันเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ คือทำงานแล้วก็เอาเข้าส่วนกลาง เราก็มีสิทธิ์ที่จะเบิกแบ่งกินแบ่งใช้ ขอเบิกเอาไปใช้ส่วนนั้นส่วนนี้ ถ้ากรรมการเขามพิจารณาแล้วว่าเป็นการสุรุ่ยสุร่ายเกินเขาก็ไม่ให้ เขาให้เราก็ให้ ไม่มีปัญหาเชื่อมั่นในกรรมการ ให้ก็ใช้ไม่ให้ก็ไม่ใช้เท่าที่อยู่ได้ไป ถ้าไม่ให้ แล้วเราก็ไม่พอใจ เราก็ออกไป ถ้ายังบอกว่าไม่ให้ เราก็ยังพอใจจะอยู่อย่างไรก็อยู่ที่นี่แหละดีที่สุดแล้วคุณก็ไม่ไป บางทีมันแย่ยิ่งกว่า จนกระทั่งหมู่เขาไม่อยากให้อยู่ อยากให้ไป ไม่ไป ตกลงเขาไล่ ก็ไม่ไป ต้องเอาตำรวจมาเชิญออก แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดนั้นนะ พวกเรายังไม่เคยถึงขั้นต้องให้เชิญตำรวจมาไล่ออก ซึ่งมันเป็นสัจจะจากจิตวิญญาณของแต่ละคนพวกเรานี้ มันมีภูมิธรรมที่มีความจริง มาเป็นสามัคคียะ มารวมกันด้วยสัจจะเป็นหมู่กลุ่มสามัคคีอย่างเป็นสัจจะ มันจึงอยู่กันอย่างสงบอบอุ่นเรียบร้อย แล้วความจริงอันนี้อาตมามั่นใจ เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลักำเริบ) เป็นสัจจะที่จะยั่งยืนถาวร เศรษฐกิจอย่างนี้ รัฐกิจอย่างนี้ สังคมกิจอย่างนี้ ก็เรื่องของสังคมอย่างพวกเราเป็น มีวิธีบริหารกันเรียกว่า รัฐกิจ อยู่กันอย่างนี้ อยู่สบาย ไม่ต้องทะเลาะกันแย่งกัน ไม่เหมือนมนุษย์บางกลุ่มอยู่กันในคณะกรรมการ อยู่ในสภาก็ทะเลาะกันตีกันวางแผนล่มสภากัน พวกเราไม่เป็นอย่างนั้น อยู่กันอย่างสงบเรียบร้อย ซึ่งรัฐสภาหรือคณะบริหารประเทศควรจะเหล่ตามาดูบ้าง จริง..ไม่ใช่คณะใหญ่หรอก แต่คณะนี้มีเนื้อหลักการหลักเกณฑ์ตามพระพุทธเจ้าสอนมานะ ถ้าเห็นดีเห็นงามช่วยขยายผล ว่าคนกลุ่มนี้ ประกาศกันอย่างไร อธิบายกันอย่างไร เนื้อหาสาระสัจจะมันเป็นอย่างไรแท้ๆ เข้ามาถึงจุดนี้แล้วนำไปเผยแพร่ต่อ คุณเองแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้ากรมเจ้ากองตามหน้าที่ฐานะทั้งหลายแหล่ มาศึกษาสัจจะอันนี้สิ เป็นคนไทยเมืองไทยเกิดกลุ่มหมู่ในประเทศไทยมีชุมชนมีวัฒนธรรมมีพฤติการณ์ ที่เป็นจริง ซึ่งยืนยันว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เชื่อไหมคุณเชื่อไหม …เชื่อ เพราะฉะนั้นพิสูจน์กันด้วยระยะเวลาได้เลย อย่ารีบตาย ดูซิว่ากลุ่มหมู่นี้ มีคนคิด โพธิรักษ์ตายพวกนี้ก็แตกสลายแข่งดีแข่งเด่นกันหมดแล้ว เขาเชื่อว่าอย่างนั้น ที่จริงเราไม่ได้อยู่ด้วยบุคคล เราอยู่ด้วยหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า อยู่ด้วยพฤติการณ์พฤติกรรมจริงที่แต่ละคนปฏิบัติได้ ประพฤติได้ แล้วก็ประพฤติออกมาด้วยความจริงใจไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้ฝืนไม่ได้ลำบากได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 ฌาน 4 สู่อภิภุยยะ เข้ามาถึง อยู่ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 เข้าสู่จรณะ 15 ฌาน ทั้ง 4 ของศาสนาพุทธไม่ได้ด้วยการนั่งหลับตา ซึ่งสากลทั่วไปในโลกเข้าใจว่า ฌาน ได้จากการหลับตา แต่ของพระพุทธเจ้านั้นได้จากการลืมตา ปฏิบัติศีลเป็นหลักแล้วก็เข้าหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 จึงจะเกิดสำนึกในสัทธรรม 7 เกิดสำนึกศรัทธา ปัญญา อยู่ในนี้ เมื่อสำนึกในศรัทธา ในปัญญาพาให้สำนึกได้ ก็แก้ไขปรับปรุง เป็นผู้ได้ดี พหูสูต เป็นผู้เจริญจริงได้ดีจริง สั่งสมความจริงนี้ขึ้นมา เมื่อได้เป็นพหูสูต ผู้ที่ได้ดีจริงมีความรู้จริงดีจริง ขึ้นมา ก็ขยายผล ตัวเองก็งอกงามไพบูลย์เจริญต่อ ขยายผลด้วย วิริยะ สติ ปัญญา สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตตระ พากเพียรที่จะให้มีสภาพ 2 คือสติและปัญญา สติปัญญาเราจะเรียกคู่กันเสมอ จริงๆแล้วก็ไม่แยกกันสติกับปัญญาไม่แยกกัน แยกกันไปก็เสื่อมแล้ว เป็นคู่ที่ไม่เสื่อมต้องไปด้วยกันช่วยกัน เป็นพลังงานเหมือนกับ Static และ Dynamic คุณจะเข้าใจ Static ว่าเป็นสติ เข้าใจปัญญาว่าเป็น Dynamic หรือเข้าใจสติว่าเป็น Dynamic ปัญญาเป็น Static ก็ได้ไขว้กัน แต่รู้สภาวะจริงของสติคืออย่างไร ปัญญาคืออะไร สติคือการตื่นรู้ ตื่นรู้ให้เต็มร้อย ที่จริงสติมีจากรากศัพท์ว่า สตะ แปลว่า ร้อย ถ้าหลับอยู่มันก็ไม่ได้ตื่นอยู่แล้วแค่นี้ก็ต้องเข้าใจว่ามันแตกต่างกัน ตื่นนี้คือตามันเปิดกว้างเห็นรู้ทั่วกัน เหมือนกันกับทุกคนเห็นหู จมูก ลิ้น กาย กระทบสัมผัสก็รู้เหมือนกับคนอื่นเขารู้เหมือนกัน แต่คุณหลับตานั้นไม่รู้เลยห้าอย่าง ตา หู จมูก ลิ้นกาย คุณไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นคุณอยู่ในภพแคบในกะลาครอบ มันก็รู้น้อยกว่าแน่นอน รู้ 5 อย่างไม่ได้หมายความว่าข้างในจิตไม่รู้มันรู้พร้อมกับภายนอก 5 อย่างด้วย มันไม่ได้แยกกัน แต่คุณต่างหากแยก 5 อย่างออกจากกัน คุณเอาเดี่ยว คุณจำกัดจำเขี่ยตัวเองไปมุดเข้ารูไปเอง อันนี้สิมันเป็นความโง่ของตนเอง เพราะฉะนั้นก็ขอตีหัวเข้าบ้านพวกหลับตาอีกที เลิกได้เลยหลับตามันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า พูดมาไม่รู้กี่ทีก็ยังเป็นพญานาคเป็นโจรปล้นศาสนา ที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวัน เย็น ก็ยัง บื้อ อยู่อย่างนั้น ข้าจะเป็นโจร ข้าก็ไม่รู้ไม่ชี้ ข้าก็เป็นพญานาคหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น ข้าจะรู้ก็จะเกรงว่าพระพุทธเจ้าเกิด 1 องค์อีกแล้วเหรอรู้แค่นี้แล้วก็หลับไม่รู้อะไรต่อไปอีก พญานาคที่เฝ้าถาดทองของพระพุทธเจ้านี้ อาตมาขยายความพวกนี้ละเอียดลออชัดเจนนี้ชัดขึ้นใหม่ พญานาคมีจริงหรือไม่มีจริง ไม่มีจริง มีคนตอบว่าจริงก็คือคนที่ง่วงนั่นแหละ นี่เป็นสิริมหามายาจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ได้ ชัดเจนเราก็ไม่แย้ง เรารู้แล้ว ก็เข้าใจแล้ว ใครยังมีอยู่ เลยเถิดไปบอกว่าไม่มีจริงๆเป็นอุจเฉททิฏฐิก็ได้ หรือใครบอกว่าไม่มีจริงก็ได้ หรือมี นี่คือ 2 ที่แยกเป็นหนึ่งไม่ได้เลยอาศัย 2 อันนี้ เพราะฉะนั้นเลิกกันจริงๆก็คือศูนย์ไปเลย ก็หมดธาตุรู้ไม่มีธาตุรู้ที่จะรู้อะไรอีกแล้วแยกเป็นดินน้ำไฟลมไปหมดเลยจบ แต่ขณะที่ยังเป็นๆอยู่แยกได้ เป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้อยู่กลางๆไม่สงสัยว่ามีหรือไม่มี ผู้ที่เขายึดอยู่ก็มี แล้วเราก็รู้ว่า มี คืออย่างนั้น ไม่มี คืออย่างนี้ คุณทะเลาะกัน ก็คือทะเลาะกันแย่งกัน เราไม่ทะเลาะเราไม่แย่ง คุณจะมีมากมีน้อยเราก็รู้รายละเอียดอีก นั่นคือเป็น อภิภู รู้รายละเอียดว่าใครยึดน้อยใครยึดมาก เป็นอภิภู ผู้ที่รู้รายละเอียดมีมิติมีมุมเหลี่ยมมีนัยยะสำคัญต่างๆที่แตกต่างกันอีกหลากหลาย เออ คุณก็ยึดไป เราเข้าใจได้เรื่อยๆเท่าที่เรามีภูมิเราก็อยู่กับคนอื่นๆ เป็นอภิภูสบาย อาตมากำลังดำเนินจาก สยังอภิญญา ไปสู่ อภิภู พยายามอธิบายอภิภายตนะ ผู้ครอบงำสิ่งต่างๆเรียกว่า อภิภุยะ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม.. วันนี้ผมไม่กล้าบอกพ่อท่านจิบน้ำเลยครับ พ่อครูว่า… กาย หมายความว่า 2 คำสำคัญคือภายนอกกับภายใน เป็นรูปกับนาม สิ่งที่ถูกรู้คือรูป โดยผู้รู้คือนาม แยกกันไม่ได้วิญญาณต้องมีรูปนาม มีตัวรู้ รู้ภายนอกหรือภายในก็เป็นอภิภูขึ้นเรื่อยๆ อภิภูหรืออภิภายตนะข้อที่ 1 ไม่มีคำว่ากายเลยนะ แต่ความหมายหมายถึง ใจและรู้รูปภายนอก เริ่มต้นตั้งแต่ข้อหนึ่งคือรูป ข้อ 3 ถึงจะเป็นอรูป ข้อต่อไปแยก ปริตตัง อปริตตัง สุพรรณะ ทุพรรณะ สุพรรณะ ทุพรรณะ คือนัยยะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผิวภายนอกจนกระทั่งลึกถึงภายใน ที่มีสุขมีทุกข์ มีดีกับไม่ดี เรียกว่าขั้นชั้น อาตมาแปลวรรณะว่า ขั้นชั้น มีมากมายหลากหลายละเอียดลออไปอีก อธิบายกันไม่จบง่ายๆ ตามภูมิ ก็จะรู้ละเอียดขึ้นไปตามจริง เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจึงสุดวิศิษฐ์ สุดวิจิตร สุดวิเศษ จริงๆเลย เราได้ศึกษาตามอาตมาออซึ่งอาตมาก็ยืนยันว่าไม่ได้พูดอวดตัวอวดตนอะไรว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ในยุคนี้ ที่จะแสดงธรรมได้วิจิตรพิสดาร แสดงธรรมได้ครบถ้วนกระบวนความต่างๆ ได้มากกว่าใครๆ พูดไปก็น่าสงสารคนที่เขาไม่เชื่อถือเขาจะอ้วกแตก ก็ต้องขออภัยอาตมาขอพูดความจริงอาตมาพูดความจริงไม่เป็น ก็จะบอกว่าคนอะไรขี้คุยจังเลย อาตมาก็ว่าอาตมามีแต่เนื้อไม่มีขี้ ขี้นั้นเป็นของคุณอาตมาไม่มีเนื้อใครขี้ใคร ขี้นั้นมันของคุณไม่ต้องไปถาม แต่เนื้อนั้นของอาตมา นี่ก็พูดความจริงนะพูดความจริงไม่เป็นอีกนั่นแหละ พูดความจริงไม่น่าหมั่นไส้ไม่ใช่เล่นวาทกรรม แต่เป็นความจริง ปฏิบัติศีล 3 ข้อจนพ้นสัตตาวาส 9 มาเข้าสู่หลักต้นเลยคือศีล ศีลข้อ 1 อาตมาก็ขยายความตรงนี้ ข้อ 2 ข้อ 3 มันก็เป็นศีล 3 ข้อนี้แหละขยายความไปจนจบเท่าไหร่ก็ได้ เป็น อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ พระพุทธเจ้าให้ศึกษาเป็นลำดับมหัศจรรย์ ให้รู้ละเอียดลออถึงเรื่องคนที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ โดยเฉพาะกับสัตว์คน สัตว์เดรัจฉานมันพูดกันไม่รู้เรื่อง จัดการกับมันก็ยาก ให้มาช่วยคนก่อน แค่คนได้รู้เรื่องให้คนไปจัดการกับตัวเอง แก้ไขปรับปรุงให้เจริญบรรลุธรรมงอกงามไพบูลย์ขึ้นมา จะได้ช่วยสัตว์อื่น ช่วยกันจนกระทั่งถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารหมดครบช่วยกระทั่งแม้กระทั่งวัตถุดินน้ำไฟลม อย่างอาตมาในชาตินี้ต้องช่วยแม้แต่ดินน้ำไฟลม ที่ว่าช่วยนี้ก็ไม่ได้ช่วยแต่ไม่ไปแย่งชิงดินน้ำไฟลมใคร ไม่ไปเบียดเบียนดินน้ำไฟลมใคร เพราะฉะนั้นเหมือนกับสร้างดินน้ำไฟลมเอง ซึ่งมันเป็นสมบัติของมหาจักรวาลเอกภพ อาตมาก็เอามารวบรวม ซื้อแผ่นดิน บ้านราชฯนี้ซื้อทุกแผ่นเลย ขนาดมีที่สาธารณะอยู่ คนที่เคยอยู่เขายึดมั่นถือมั่น ว่าฉันจะอยู่ ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนถิ่นนี้ สังกัดเขาก็อยู่หมู่บ้านอื่น แต่ฉันจะอยู่ สาธารณะฉันจะอยู่.. เราก็ไม่ว่าอะไรจะอยู่ก็อยู่ไปเราก็พอมีพอใช้อยู่ที่ดิน อย่างนี้เป็นต้นนี้ก็มีตัวอย่าง เดี๋ยวนี้ก็เหลือน้อยแล้วพวกที่ยืนหยัดยืนยันว่า ตัวเอง คือเราเป็นคนเมตตาไม่ได้เป็นคนรุนแรง จะอยู่ก็อยู่ไปไม่ว่ากัน แต่มันก็มีหลักเกณฑ์เท่านั้นเอง ศีลแล้วก็มีหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 ขาดไม่ได้ หากขาดก็ไม่เป็นผล มีศีลข้อที่ 1 ก็ต้องมาปฏิบัติหลัก 3 นี้ มีศีลข้อที่ 2 ก็ปฏิบัติหลัก 3 มีศีลข้อ 3 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ต้องมาปฏิบัติหลัก 3 เพราะฉะนั้นศีลคือหลักกำหนด กำหนดข้อ 2 คือสัตว์ ข้อที่ 3 คือวัตถุกับพืช ก็แยกมา เพราะวัตถุกับพืชมันต่างกับสัตว์ สัตว์เป็นจิตนิยาม วัตถุกับพืชเป็นพืชนิยามกับอุตุนิยาม ก็ขยายความไปละเอียดลออหมดแล้ว ขออภัยที่จะพูดว่าไม่มีใครจะมาขยายรายละเอียดอย่างที่อาตมาอธิบายหรอก แล้วพวกคุณรู้เรื่องไหม ปฏิบัติกับสิ่งที่อาตมาอธิบายนี้ไหม ไม่ใช่สิ่งเปล่าดายเพ้อเจ้อ จะเอาไปทำกับอะไรก็ทำกับวัตถุกับพืชกับสัตว์ทำกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี่แหละ นี่คือหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็ตีหัวกบาลพวกหลับตาได้อีกที เมื่อไปนั่งหลับตาแล้วรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันไม่มี มันไม่มีให้คุณได้ศึกษาเลยคุณก็จมอยู่ในกะลาครอบอยู่อย่างเดิม มันไม่งอกงามอะไรขึ้นมาอีกหรอกพวกหลับตาเอ๋ย เมื่อยจริงๆ กับคนพวกนี้ จะบอกว่าเขาไม่มีปัญญาพอฟังรู้เรื่องมันก็ไม่ใช่แต่มันยึด เอ็งเป็นใครนะ รูปก็ไม่หล่อพ่อก็ไม่รวย ยศศักดิ์ฐานะอะไรก็ไม่มี ปริญญาจัตวาปริญญาตรีโทเอกก็ไม่มี เปรียญ 1 เปรียญ 2 เปรียญ 3 ก็ไม่มี นักธรรมตรี โท เอก ก็ไม่มี มันก็น่าเห็นใจเขาเหมือนกันไม่มีหลักฐานให้ยืนยันเลย อาตมามีหลักฐานอธิบายธรรมะพวกนี้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน นั่นคือคุณเข้าใจไม่ได้ 2. คนอื่นที่เข้าใจแล้วเอามาปฏิบัติมีผลธรรมปรากฏสำเร็จนี่ไง เขาก็ยังไม่เชื่อว่าสำเร็จก็ไม่ว่า ก็ใช่สิคุณจะเป็นแบบของคุณ บรรลุอรหันต์หลับตา ของเราอรหันต์ลืมตาจะไปเหมือนผกันได้อย่างไร เป็นอรหันต์หลับตา กล้วยๆ หยุดนิ่งเฉย ไม่มีอะไร คุณจะหยุดนิ่งเฉยคุณระงับสัญญาเครื่องกำหนดอาการกำหนด หน้าที่กำหนดเองรู้ไหม คุณดับไม่ให้มันทำหน้าที่ไปเลย คุณดับแล้วก็ไม่รู้มีแต่ความรู้สึกเวทนาก็ไม่รู้สึก คุณก็เรียกรวมว่าดับทั้งเวทนาสัญญา อสัญญีสัตว์พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้หมด ผู้ที่ไม่รู้ไปดับ คำว่าดับคือไปดับเวทนาดับสัญญา คุณก็เป็นอสัญญีสัตว์ คุณมิจฉาทิฐิอยู่ไปปฏิบัติเพื่อที่จะให้ทิ้งความเป็นสัตว์ 4 ประการ สัตตาวาส 1 2 3 4 คุณปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ตรงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า คุณได้ผลเหมือนกัน ได้ผลเป็นสัตว์อยู่นั่นแหละ สัตว์ประเภทที่ 1 คุณก็เห็นต่างกันไปหมด กายต่างกันสัญญาก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง พวกนี้พูดกันไปเดี๋ยวก็ทะเลาะกันง่ายๆ เพราะพวกคุณไม่มีความรู้เรื่องกาย เรื่องสัญญาเลย ในสัตตาวาสข้อที่ 1 พูดไปก็แย้งกันไกล ต่างกัน สัญญาต่างกัน มันแทบจะไม่ลงกันเลย เห็นความเป็นมนุษย์เห็นความเป็นเทวดาเห็นความเป็นพรหมต่างกันหมด จนกระทั่งเริ่มมีจุดที่ร่วมกันได้ คือทำความหยุด เรียกว่า ปฐมฌาน ทำความหยุด ในความหยุดก็ต่างกัน สัตตาวาส ก็คือ เป็นสัตว์ เลิกความเป็นสัตว์ก็เป็นเทวดาเป็นอุบัติเทพวิสุทธิเทพ แต่คุณก็ยังมีทิฏฐิมีความต่าง แม้จะได้ปฐมฌาน ในข้อที่ 2 คุณก็ได้อย่างหลับตา ลืมตาออกมาคุณไม่ได้ กายที่มีความรู้ต่างๆหูจมูกลิ้นกายคุณหยุดอย่างนั้นให้นานๆ ถาวร ลืมตาแล้วไม่มีกิเลสเกิดเลยคุณทำไม่ได้ คุณได้แต่หลับตามันก็ต่าง ทิฏฐิต่างกัน เพราะฉะนั้นสัญญาก็ต่างกัน อาจจะได้กายอย่างเดียวกันคือ ไม่รู้เรื่องเป็นหนึ่ง จิตเป็นหนึ่ง ไม่รู้อะไรมากก็หนึ่ง 2 3 4 5 6 7 ไม่รู้คุณก็ได้ตำแหน่งและบอกว่านี่เป็นเอกัคคตารมณ์ หนึ่งยิ่งใหญ่แต่ยิ่งใหญ่แบบที่หลับตาอยู่ในภวังค์ ลืมตามาคุณไม่ได้แล้ว กำหนดไม่ได้ ถูกกระทบกระแทกกระเทือนไปไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จนกระทั่งคุณหลงไปกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หลงไปในลาภยศสรรเสริญสุข คุณก็ไม่รู้เรื่องว่าคุณเองคนหลงงมงายติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ ก็ยังจมกับมันอยู่นั่นแหละ สัตตาวาสข้อที่ 1 กับวิญญาณฐีติข้อที่ 1 ภาษาเหมือนกัน แต่ทิฏฐิ ต่างกัน ข้อที่สองภาษาก็เหมือนกัน วิญญาณฐีติเป็นสัมมาทิฏฐิ สัตตาวาสเป็นมิจฉาทิฏฐิ ข้อที่ 3 ภาษาก็เหมือนกัน แต่มันต่างกันไปด้วยเลยในรายละเอียดลึกซึ้ง อย่างข้อที่ 3 รู้กาย เป็นอาภัสรากับรู้กาย เขาก็กำหนดภาษาว่า อาภัสราเหมือนกัน เหมือนอย่างคณะธรรมกาย แม้ภาษาถึงข้อที่ 8 ก็เหมือนกัน แต่สัตตาวาส มีอสัญญีสัตว์ มันก็เลยเป็น 9 แต่วิญญาณฐีติไม่มี นอกจาก วิญญาณฐีติไม่มี 9 และไม่มี 8 ด้วย วิญญาณฐีติก็มี 7 มาสรุปกับสิ่งที่เป็นจริง หมู่ชนชาวอโศก เรียนรู้ตาม พยัญชนะ อนุสาสนีของพระพุทธเจ้ามีปาฏิหาริย์หรือมีความมหัศจรรย์ มันน่าภาคภูมิ มันไม่มีอาริยทรัพย์อะไร น่าได้น่ามีน่าเป็นเท่านี้เลย ถึงขั้นสุภันเตวอธิมุตโตโหติ ในวิโมกข์ข้อที่ 3 รายละเอียดพวกนี้ไม่ง่ายที่จะรู้จักสภาวะ มันละเอียดลออที่จะสับสนปนเปกันง่าย จึงไม่มีสภาวะ ถูกคนซักก็จะเวียนหัวเลย ตั้งใจดีๆเรียนรู้ปฏิบัติให้เกิดสภาวะ อย่างพวกเรามีสภาวะกับพยัญชนะลงตัวทั้งหมด มันจึงไม่งงไม่สับสนและลำบาก แต่คนที่เขาไม่รู้ก็น่าเห็นใจลำบาก ดำเนินไปพวกเราสามารถประสบผลสำเร็จ อาตมาก็พาทำ ตอนนี้พาทำ เพื่อที่จะขยายผลเรื่องของการสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นคนดี สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เชื่ออาตมาไหม .เชื่อ พยายามกันสร้างให้อุดมสมบูรณ์ คนสร้างแล้วก็เอามาโชว์ผูกโบว์ให้ด้วย ผักกาดกรอบๆ มันของน่าโชว์ บีทรูท ผูกโบว์ หัวบักใหญ่ บักเวอ มะกรูดยักษ์มะนาวยักษ์ สิ่งเหล่านี้จำเป็นทุกคนไม่ว่าศาสนาไหน ไม่ว่าคนประเทศไหน แม้แต่ตะวันออกกลางแม้แต่เอธิโอเปีย นิวกินี ขั้วโลกเหนือ กินได้เลี้ยงชีพได้ขอยืนยัน รอดและอายุยืนด้วย ไม่เหมือนเนื้อสัตว์เพราะว่าคนไม่ใช่สัตว์กินเนื้อสัตว์ ซึ่งคนก็ยากที่จะเชื่อถือ เพราะมันติดมันยึด มันอร่อยติดอยู่ทางโน้นเยอะ เพราะฉะนั้น อาตมาก็ยังไม่อยากตายเพราะว่ามันติดต่อเชื่อมโยงต่อเนื่องกันอยู่ยังไม่อยากขาดตอน ถ้าหากอาตมาตายก็ต้องมาเกิดอีก แต่กว่าจะมีอายุโตขึ้นจะมาสอน มีคนเชื่อถือ มันต้องอายุเลย 7 ขวบมา ต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี ทิ้งช่วง ตอนนี้ก็เลยรอก่อน ให้พวกเราแข็งแรงมีอะไรจะสืบทอดต่ออาตมาได้พอสมควร แล้วอาตมาจึงจะตาย แล้วก็เลยถือเคล็ดตรงนี้ว่า อย่าไปฉลาดเร็วนะ ฉลาดช้าๆเดี๋ยวพ่อท่านจะตาย ยังไม่ถึงตรงนี้อีกละ มันย้อนแย้งพูดอะไรมันย้อนแย้งได้หมด ตอนนี้เวลาหมด คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ ๓ จบ ก่อน] ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญ ประพฤติตน อยู่ในศีล 8 อันได้แก่ 1.ปาณาติปาตา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายรุนแรง เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม 2.อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่นด้วยเชิงเอาเปรียบ จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ละเลิกความเห็นแก่ตัว 3.อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม 4.มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะเป็นธรรม 5.สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง 6.วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายาม เป็นผู้มักน้อยและสันโดษ 7.นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลา คันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้และของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับ ประดิดประดอย เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งงามประดิษฐ์ประดอย 8.อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุด เว้นขาดการหลงผิดติดความใหญ่ ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ตามธรรมสมควรแก่ธรรม ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้. Category: ศาสนาBy Samanasandin13 กุมภาพันธ์ 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650211 ชาวอโศกคือชาวหรรษาที่แท้จริง พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ NextNext post:650214 พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกฯ#46 จรณะและวิชชาคือพุทธคุณภาคปฏิบัติRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024