650211 ชาวอโศกคือชาวหรรษาที่แท้จริง พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1i986DiZ0vd8YvCwBkZAcLYK32bwS6hvhLDhcRpuFbdc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1gVo9JEgXjHUN4ttTrujNUTmu5cs80XW9/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/DWTCW5EGMcc และ https://fb.watch/b65isnDoCd/
สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ปีนี้เป็นปีสำคัญของชาวอโศกที่พ่อครูจะอายุครบรอบ 88 ปีเต็ม จึงขอให้พวกเราออกแบบโลโก้ ที่จะฉลองกันในวันอโศกรำลึกปีนี้ เพราะว่ามี ญาติธรรมบางท่านประสงค์จะทำเสื้อไปแจกพวกเรา อยากได้โลโก้และสโลแกนไปติดเสื้อ มีคนออกแบบมาบ้างแล้วตอนนี้ (มีภาพให้ดู)ส่งภายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์
วันพรุ่งนี้ จะมีการเปิดตัว Banraj shop เป็นร้านขายสินค้าออนไลน์ของบ้านราชฯ
กำหนดการเปิดร้านออนไลน์อย่างเป็นทางการ
วันเสาร์ที่ 12 ก.พ.65 เวลา 13.00น. จะมีการ Live แนะนำสินค้า✨
ผ่านเพจ “บ้านราชเมืองเรือshop”✨🌾🍆🥒🍠🍅🌶🍉
ท่องให้ขึ้นใจเลยค่า🎉 บ้านราชเมืองเรือ Shop 🎈✨
จะเปิดร้านอย่างเป็นทางการแล้ว‼️ มีโปรโมชั่นพิเศษมากมายในวันเปิดร้านนะคะ 📍ปักหมุดไว้รอเลยค่ะ ซื้อมากหรือซื้อน้อยแถมข้าวสารให้ 1 กิโลกรัม และวันเปิดตัวจะขายข้าวสารในราคาขาดทุน
✅จำหน่าย
🍆🥦🌶🥬พืชผักไร้สารพิษ ผลผลิตทางการเกษตรต่างๆ ที่ปลูกในชุมชนเราเอง 🥒
🧅🍠ปุ๋ยอินทรีย์ ตรางอกงาม ดินปลูก แหนแดงสดและแห้ง วัสดุปลูกอื่นๆ
☘️✨👍 สินค้าชุมชน ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ น้ำยาซักล้าง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายต่างๆ ยาสมุนไพร สินค้าแปรรูป อาหารแปรรูป ที่ผลิตจากฐานงานในชุมชนเราทั้งหมด มากกว่า 150 รายการ✨🌾☘️✨
🙏 เชิญมาเยี่ยมชมในเพจได้เลยค่ะ ❤️
คอยติดตามได้เลยนะคะ
ฝากทุกท่านช่วยติดตามและแอดไลน์ไว้ด้วยค่ะ
Line ID ✅: @banrajshop (ใส่ @นำหน้า)
ลิ้งไลน์ : https://lin.ee/Wehaotb
Facebook ชื่อ✅ “บ้านราชเมืองเรือ Shop”
www.facebook.com/banrajshop
สั่งสินค้าด้วยตัวเอง : www.banrajshop.com
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 9-10 กุมภาพันธ์ 2565
ความเป็นโสดาบันที่จะไปสู่สกิทาคามีเป็นเช่นไร
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่าน ลูกชื่อซึ้งซื่อ วิเชียร ขอให้พ่อท่านมีสุขภาพแข็งแรง นิมนต์ให้อยู่กับลูกหลานไปนานนาน .. ผมอยากถามว่า ทำอย่างไรถึงจะบรรลุพระสกิทาคามีผลได้ครับ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…แสดงว่ารู้แล้วว่าตัวเองเป็นโสดาบัน
โสดาบันก็ตามหลักวิชาการก็คือผู้ผ่านสังโยชน์ 3 คือผ่าน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพตปรามาส
ผู้ที่จะผ่านสังโยชน์ข้อที่ 1 มันลึกซึ้งมากเลยนะ คำว่า “กาย” คำว่า “สักกะ” “สักกายทิฏฐิ” หรือความเห็นความรู้ความเข้าใจเบื้องต้น
จะเข้าใจสักกะได้แค่ไหน จะเข้าใจกายแค่ไหน
สักกะคือตนเองของตนเอง สักกะต้องอ่านสภาวะของตนเองอ่านอะไร อ่าน “กาย” อ่านความเป็นกาย
ความเป็นกาย นี่แหละ ยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจความเป็นกาย ได้สมบูรณ์ครบถ้วนง่ายๆ
เพราะคำว่า กาย นี้ ทั้ง เริ่มต้นทั้งเป็นตัวนำพาปฏิบัติตลอดสายไปจนกระทั่ง จบสุด ตรวจสอบ ตัดสินผล ก็ต้องใช้ กาย กับ สัญญา เป็นการตรวจสอบ ตัดสินผลสุดท้ายจบ อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นคำว่ากาย คำนี้ หมายถึงสภาพตั้งแต่ 2 เป็นรูปเป็นนาม 2 นี่แหละ เหมือนเทวะ แปลว่า 2 ภายนอกภายใน
ไม่มีภายนอกมีแต่ภายในก็ไม่ได้ เหมือนอย่างพวกสายหลับตาปฏิบัติ ผิด มีแต่ภายในไม่มีภายนอกเลย โมฆะเลย หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า เพราะผิดตั้งแต่คำว่ากาย
หลับตานี่ อาตมาก็เตือนบอกสอนแนะนำ เมื่อไหร่จะรู้สึกตัวก็ไม่รู้จะเข้าใจแล้วเลิก มาศึกษา จรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิบัติอย่างลืมตามี อปัณณกปฏิปทา 3 โดยมีศีลแต่ละข้อกำกับจะเกิด สัทธรรม 7
ก็ดึงดันตามทฤษฎีที่ตัวเองยึดถือกันไป ไม่ว่าจะเป็นพระป่าหรือพระบ้าน อาตมาเป็นผู้ที่มาบรรยายธรรมะในชาตินี้ยุคนี้ ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ไม่ได้มีสำนัก ทฤษฎีที่นำมาพูดต่างเขาหมด เขาก็บอกว่าอาจารย์ก็ไม่มี สำนักก็ไม่มี แล้วมาจากไหน ก็บอกอีก อาตมาเป็นผู้ที่มีสยังอภิญญา แปลเป็นภาษาบาลีเขาก็รู้ว่ามีอภิญญาส่วนตน มีความรู้นั้นมาเองของตนเอง สยังอภิญญา มาแต่ชาติก่อน ก็เรียนรู้เหมือนกันนะ บุพเพกตปุญญตา หมายความว่า เป็นผู้ที่สั่งสมปฏิบัติบุญได้แล้ว ปฏิบัติบุญเป็นแล้ว ปฏิบัติบุญสำเร็จแล้ว บุญ กตะ บุพเพกตปุญญตา ปฏิบัติตนได้สำเร็จมาก่อนแล้ว คนผู้นี้ มีแล้ว ผ่านมาแล้วได้แล้วตั้งแต่บุพเพเก่าก่อน
เขาก็แปลพยัญชนะ บุพเพกตปุญญตา แปลว่า บุญเก่าอันทำไว้ก่อน โดยเข้าใจคำว่าบุญยังไม่ได้ เข้าใจว่าบุญเป็นโลกุตระไม่ได้
บุญเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ จนอาตมาต้องมาเปิดยุคบุญนิยม เอาคำว่าบุญมาขยายความจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังยากอยู่เลยที่เขาจะเข้าใจ ครบถ้วน เพราะเขาไปเข้าใจว่าบุญเป็นกุศลอีก ที่จริงแล้วบุญนี้เป็นเพชฌฆาต กิเลส ไม่ใช่นักบุญหรอก นักฆ่า
เขาได้ยินแล้วก็บอกว่าอะไรวะ บุญเป็นกุศลจะเป็นนักฆ่าได้อย่างไร เห็นไหม คนละขั้วเลย เพราะโลกียะกับโลกุตระ มันสวนกระแส ตรงกันข้ามกัน เปรี้ยงเลย มันอย่างนั้นจริงๆนั่นแหละ ก็เข้าใจนะ ปฏิโสตังทวนกระแส เขาก็ไม่รู้ไม่กระเตื้องไม่เข้าใจไม่ฉุกคิดได้
เดินเข้ามานี่ ท่านสมณะทั้งหลายแหล่ พ่อท่านสู้ๆๆ ให้กำลังใจ หรือยุส่งก็ไม่รู้นะ ทั้งคู่ก็ได้ อาตมาก็ไม่ใช่นักท้อถอยอะไร เพราะฉะนั้นก็พอๆกันกับคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา พอได้เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ถอยไม่ท้อ ของแท้ไม่มีท้อ ผู้ท้อก็คือผู้ไม่แท้ ตายเป็นตาย
สกิทาฯ เมื่อคุณรู้ว่าคุณเป็นโสดาบันแล้ว คุณก็ต้องรู้คุณธรรมเพิ่ม อย่างน้อยคุณก็ต้องรู้ว่า ศีล ที่คุณมีเป็นโสดาบันแล้ว อย่างไร แค่ไหน ที่คุณเลิกได้ ก็เอาศีลไปวัด อย่างน้อยก็ถือศีล 5
ถ้าอธิศีล ของศีล 5 หรือศีล 6 ศีล 7 ศีล 8 อันนั่นหละเพิ่มสูงเป็นอธิศีล ทำให้เกิดอธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ ก็จะเกิดความเป็นสกิทาคามีขึ้นไปเรื่อยๆ
_Sangswang Rittichay แสงสว่าง ฤทธิชัย : กราบนมัสการหลวงปู่ครับ มีคำถามครับ สังกัปปะ7 3ข้อแรกคือ dynamic 4ข้อหลัง static ตามหลักไอสไตน์ คือ e=mc2 ในสังกัปปะ7 3ตัวแรก(คือตัว c)+4ตัวหลัง(คือตัวm) ก็จะเกิดเป็นพลังงานคือ e(+และ- )ขึ้นอยู่กับผู้ปรุงแต่งสังขาร แสดงว่า กามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็เกิดจาก การปรุงแต่งสังกัปปะเป็นพลังงานของกิเลส ใช่หรือเปล่าครับ ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่าครับ กราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า… ใช่ถูกต้อง
_Thanyaphat Darunphan ธัญพัฒน์ ดรุณพันธุ์· เพจร้านของราชธานีอโศก ชื่อเพจอะไรคะ
(https://www.banrajshop.com / อ่านว่า บ้านราชช็อพ ครับ)
พ่อครูว่า… อาตมาไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรอก รู้น้อย น้อยจนกระทั่ง ผู้ที่รู้รายละเอียดมากจนกระทั่งอย่างนี้อาตมาว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ที่รู้โลกุตระ รู้มากเพียงพอและถูกต้องด้วย อาตมาว่าอาตมาเป็นคนยุคนี้ที่นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย
พูดไปไม่ได้อวดเก่งแต่ย้ำความจริง อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น ก็อีกแหละ เขาจะว่าอะไรว่ะ พูดความไม่จริงไม่เป็น เขายังพูดเป็นเลย พูดคำไม่จริง อาตมาพูดไม่เป็น เขาก็ว่า มีหรือคนพูดความไม่จริงไม่เป็น ก็มี อาตมานี่แหละ พูดความไม่จริงไม่เป็น พูดเป็นแต่ความจริง ความไม่จริงพูดยังไงหรือ เป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆนะ ไม่ใช่พูดเล่น
คนที่ชัดเจนก็จะบอกว่า อาตมาพูดนั้นไม่ต้องคิดมาก ไปทำความเข้าใจและปฏิบัติตามเถอะ ก็ได้ดีกันมาไม่ใช่น้อย คนที่ไม่เชื่อก็ไม่ได้ ก็เป็นธรรมดา เขาไม่เชื่อเขาก็ไม่ทำตาม ก็ไม่ประพฤติ ปฏิบัติไม่ได้ คนที่เข้าใจก็ได้
_Supatta Chandrasuwan สุภัทรา จันทราสุวรรณ : หนูอยากให้คนที่แสดงเป็นพระพุทธเจ้าที่ไปบวชที่วัดธาตุทอง มากราบพ่อท่าน
พ่อครูว่า… อย่าเลยนะ อาตมาพูดภาษาแขกก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ ภาษามือก็ไม่เป็นอีก ยาก ยุ่งเลย แต่ถึงมาอย่างไรก็มีล่าม อย่างน้อยก็พูดภาษาอังกฤษ ไม่เป็นไร อยากให้ไปอยากให้มา ก็เป็นความปรารถนาดี ไม่มีปัญหาอะไร
_หมู ปานกลาง : ได้ฟังพ่อครูเทศน์งานพุทธาภิเษกปีที่แล้ว พูดถึงสัมมาวายามะ แล้วบอกว่าจะเขียนหนังสือเรื่องนี้ ฟังแล้วก็รู้ว่าไม่เข้าใจคำนี้เลย จึงรอฟังอยู่ แต่ตอนนี้ขอถามค่ะ ว่า “วายามะ” กับ “วิริยะ” ต่างกันอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… ก็ตอบพอสังเขป
วายามะ แปลเป็นไทยๆว่า ความพยายาม
วิริยะ แปลเป็นไทยว่า ความพากเพียร
ก็จะปนกันไปภาษาบาลีกับภาษาไทย ภาษาสันสกฤต นัวเนียกันอยู่อย่างนี้ ภาษาไทยไม่ใช่ภาษาเก่าแก่เท่าบาลีสันสกฤตเขาหรอก เป็นภาษาตัวเองบ้าง ขยายพัฒนาการเอาภาษาบาลีสันสกฤตมาเยอะมาก มีภาษาเขมร ภาษาขอมปนเปบ้าง ส่วนบาลีกับสันสกฤตนั้นเยอะมากกว่าเพื่อน
วายามะคือ ควาพยายาม เป็นนัยยะพูดเบาๆ วิริยะคือความพากเพียรเป็นคำพูดที่เต็มที่ พากเพียรทั้งคู่ วิริยะคือ รวมเปลือกนอกเปลือกในเลย
พ่อครูให้ชาวอโศกชัดเจนเห็นคุณค่าทำกสิกรรม
_*ผู้เห็นคุณค่าของอาชีพกสิกรรมอย่างชัดเจนแล้ว* : ได้ฟังเรื่องทุกข์ 10 อย่างที่พ่อครูเพิ่งอธิบายไปเมื่อวันพุธ ที่ 9 ก.พ.นี้ ระหว่างปกิณณกทุกข์คือทุกข์จรกับความทุกข์ที่เกิดจากโทสะในสันตาปทุกข์ ต่างกันอย่างไร พ่อครูจะอธิบายขยายความเพิ่มเติมให้เข้าใจได้มั้ยครับ
พ่อครูว่า..ผู้เห็นชัดเจนในคุณค่าความเป็นกสิกรรมเป็นผู้ประเสริฐเลิศเลอ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มีความเข้าใจเกิดความรู้จริงอันนี้ ก็มั่นใจว่าก็คงจะลงมาลุยเป็นกสิกร ทำกสิกรรมต่างๆทำงาน เคยบอกว่าถ้าจะมาทำกสิกรรมกันหมดเลยก็ดี เพราะว่าผู้ที่ยังติดยึดอย่างอื่นก็ยังมี เพราะอาตมาอยากพิสูจน์ว่า ถ้าเราสามารถสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารได้มากจริงๆ เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ดีมีคุณภาพเต็มที่ มีปริมาณมาก แล้วเราก็มีจิตใจพวกเรา แจก แจกแหลก แจกอย่างงาม
เผื่อแผ่ไป ให้มันเป็นสุดยอดของสิ่งที่จะให้กัน เป็นสิ่งที่เป็น complement เป็นสิ่งที่อภินันทนาการต่อใครๆเขา กันอย่างชื่นใจ แจกเลย
เพราะว่า เชื่อว่าไม่มีใครปฏิเสธหรอก ด้วยน้ำใจอันดี ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรแฝง แทคติกอะไรในการให้ ไม่รู้ ต้องการให้คุณจะเอาไปกินไปใช้ เพราะคุณต้องกินต้องใช้ไม่ว่าจะเป็นคนขั้วโลกเหนือคนฮันซา อยู่ยอดดอยยอดเขา หรือจะอยู่ขั้วโลกเหนือหรือจะอยู่แอฟริกา อยู่ทะเลทรายก็ตาม ต้องกินอันนี้ ส่งกันไปแจกให้ทั่วถึงทั่วโลกเลย คมนาคมเดี๋ยวนี้ ดีขึ้นไวขึ้นง่าย
เพราะฉะนั้นผลิตตัวนี้เป็นตัวหลักเลย ทำให้ได้มากคุณภาพดีให้ได้มากๆ ยังเหลือเฟือ พวกเรานี้เพียงพออยู่แล้วจริงๆทุกวันนี้ พวกเราสร้างกินสร้างอยู่
หลักเกณฑ์ของอาตมา
1.อย่าเป็นหนี้
2.พึ่งตนเองให้รอด
3.ทำให้เหลือเฟือ เกินกินเกินใช้ของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่ลดคุณภาพ คุณค่าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
4.อภินันทนาการ ท่านทั้งหลายในโลก แม้เศรษฐีรวยเท่าไหร่ก็ยังต้องกินต้องใช้พืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่ต้องพูดถึงคนจนเลยเขาต้องการกินอยู่แล้ว อาตมาว่านี่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องของความจริง ความรู้ความจริง เป็นงานยิ่งใหญ่ เป็นงานประเสริฐ เป็นงานวิเศษ เป็นงานที่สุดยอด
เพราะฉะนั้นใครยึดงานนี้ได้มุ่งมั่นงานนี้เลย มีสมรรถนะมีความสามารถอย่างดีเลยทำได้ดี ทำได้เก่งโดยที่เห็นคุณค่าอย่างแท้จริง โอ้โห พวกเรานี้ก็ยัง จิตใจยังไม่ลงถึงอันนี้เท่าไหร่ ถ้ามีจิตใจลงถึงอันนี้เป็นกสิกรเต็มภาคภูมิ จะยิ่งใหญ่
ขนาดแค่ไปช่วยกันเก็บมากินหน่อยยังยากเลย ทั้งๆที่มันไม่เยอะนะ คนปลูกก็ยากกว่านะ ให้ไปเก็บมากินหน่อยยังยากเลย จะรอสุกมาตักใส่ชามมา โอ้ย!..เอาขี้เกียจออกไปหน่อย เอาขยันใส่ตัวเองหน่อย
ไม่ใช่เรื่องเล่นแต่เป็นเรื่องจริง เรื่องดี เป็นเรื่องประเสริฐไม่ใช่เรื่องเล่นๆเหลาะๆแหละๆ อาตมาไม่ไปดุไปดันอะไร
ความทุกข์ที่เลี่ยงได้เป็นอย่างไร
_*ผู้เห็นคุณค่าของอาชีพกสิกรรมอย่างชัดเจนแล้ว* : ได้ฟังเรื่องทุกข์ 10 อย่างที่พ่อครูเพิ่งอธิบายไปเมื่อวันพุธ ที่ 9 ก.พ.นี้ ระหว่างปกิณณกทุกข์คือทุกข์จรกับความทุกข์ที่เกิดจากโทสะในสันตาปทุกข์ ต่างกันอย่างไร พ่อครูจะอธิบายขยายความเพิ่มเติมให้เข้าใจได้มั้ยครับ
พ่อครูว่า.. ใน ทุกข์
ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) .
-
สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย
-
นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
-
อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน .
-
พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ
-
วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้
-
ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5 อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่
เราต้องรู้ว่าอาการทุกข์คืออย่างไรในจิตใจ อาการนี้เรียกว่าอาการทุกข์ รู้จักทุกข์รู้จักสุขในเวทนานี่แหละคือโลกุตรธรรม จนหมดความสงสัยไม่ติดในสุขและทุกข์ เห็นความสุขทุกข์เป็นธรรมชาติธรรมดาที่มันเกิดแล้ว เราก็ไม่ไปรักไปชังทั้งสุขและทุกข์ ที่สมมุติเขาเรียกว่าสุขและทุกข์
มันมาเผชิญเรา เช่นอยู่ดีๆคนเข้ามาตีหัวเราด้วยไม้หน้าสามจนหัวแตก มันก็เจ็บ เจ็บแน่นอน หรือใครว่าไม่เจ็บลองไหมไม้หน้าสาม เจ็บ มันก็ต้องทุกข์ แต่เราก็เห็นว่ามันเป็นทุกข์ไม่ได้ติดใจอะไร จะโกรธคนที่มาตีเรา พยาบาทอาฆาต เราก็ศึกษามาหมดแล้ว เราก็ไม่ อย่างนี้เป็นต้น
เพราะเราได้เข้าใจธรรมะแล้ว ก็ไม่มีผลตอบสนอง โดยเฉพาะตอบสนองที่ร้าย เป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ไปในทางร้าย ไม่มี ถ้าจะตอบสนองก็เป็นการตอบสนองในทางที่ดี เท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น
ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้)
-
ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ เมื่อพรากจากคนที่รัก หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น)
-
สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แผดเผา)
-
สหคตทุกข์ (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)
10.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า)
สันตาปทุกข์ อาการเผาจากไฟ ราคะโทสะโมหะ คุณก็เลิกมาได้ ไม่มีอาการของราคะ โทสะ โมหะ มันก็หมด สันตาปทุกข์แล้ว ต้องเรียนจริงๆแล้วปฏิบัติจริงๆจนเกิดปัญญาอันยิ่ง เออ ทำได้ มีปัญญาที่จะชัดเจนแล้วก็มีฤทธิ์ มีธรรมฤทธิ์ของปัญญา เป็นฌาน เป็นสมาธิ
จิตใจ ทำให้พลังงานที่มันเหนือกว่าพลังงาน ราคะ โทสะ โมหะ ทำใจอย่างตั้งมั่นแข็งแรงมั่นคงเป็น สมาหิตัง ก็สำเร็จผล
อธิบายอย่างสังเขปเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน
สหคตทุกข์ ทุกข์ที่มันมีอยู่เป็นประจำ อยู่ในโลกมันมี ลาภ มันก็มี อาตมาก็มีลาภ ยศ แม้อาตมาจะไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการใดๆจากองค์กรบริษัท หรือรัฐบาล จากเบื้องบนแต่งตั้งมา อาตมาก็ไม่มียศอะไรเลย มีพวกคุณ ตั้งให้เป็นครู อายุถือเป็นรุ่นพ่อ ก็เรียก พ่อครู จะเรียกว่า ยศก็ยศ อาตมาก็ไม่ได้ติดใจอะไร รู้สมมุติโลก ยศคืออะไร เราไม่ได้ไปยินดียินร้ายกับที่ได้อันนั้น
เพราะฉะนั้นในเรื่องอยู่กับโลกเขาก็มี ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เราก็มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร แล้วไม่ได้ไปสะสมพวกนี้เลย สะสมลาภ สะสมยศ สะสมสรรเสริญ สะสมสุข …ไม่
ยิ่ง.. วิวาทมูลกทุกข์ ทุกข์ ที่มันเกิดจากการวิวาท ไม่ อาตมามีหน้าที่ด่าเขาอย่างเดียว ไม่วิวาทกับเขา เขาจะโต้ตอบมาชวนวิวาทก็ไม่วิวาท มีหน้าที่ นี่พูดภาษาที่มันดูเหมือนหยาบ แต่ไม่หยาบหรอก ด่า คือตำหนิอย่างแรงๆ และอาตมาไม่ได้ด่าหยาบ ไม่ได้หยาบคาย ไม่ส่อเสียด แต่เป็นน้ำเสียงแรง น้ำหนักแรง ภาษาอาจจะดูกระทบแรง แต่ไม่หยาบไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ เป็นความจริงทั้งนั้นเลย มุสา นั้น ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย ไม่ใช่มิจฉาชีพของวาจาเลย ชีวิตนี้อาตมาต้องทำ เรียกรวมว่า มุขสตี ภาษาบาลีแปลว่า ปากหอก นี่แหละ สตี คือผู้หญิง คือหอก มุขสตี ก็พูดสัจธรรมให้ฟังชัดๆ
เพราะฉะนั้นที่ทำที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็ใช้ภาษาใช้สำเนียงเสียง นัจจะ คีตะ วาทิตะ
นัจจะ ก็กิริยาท่าทางต่างๆ
คีตะ คือสุ้มเสียงสำเนียงต่างๆ
วาทิตะ ก็คือคำพูดที่สรรหาคำต่างๆมา เพื่อใช้สื่อ
เพราะฉะนั้นที่ปฏิบัติและประพฤติอยู่ทุกวันนี้ก็มี นัจจะ คีตะ วาทิตะ สื่อออกไปต่างๆนานาและคนได้อาศัยมากกว่าสัตว์ ภาษาเป็นพันเป็นหมื่นภาษา เป็นแสนภาษามั้ง ถ้าจะรวบรวมกันจริงๆมากมาย
คนสามารถที่จะใช้ภาษาคำพูดสื่อสภาวะได้ครบที่สุด มากที่สุด รู้กันได้ละเอียดที่สุดจนกระทั่งถึงปรมัตถ์ต่างๆ แล้วก็ศึกษาจนถึงปรมัตถ์ มีที่จบ พระพุทธเจ้าก็ใช้ภาษา ท่านจึงส่งเสริมภาษาที่เป็น mother tongue ภาษาพ่อภาษาแม่ ภาษาของชาติตัวเอง ให้ใช้อย่างนั้น ไม่ต้องไปดัดจริตใช้ภาษาอื่นเท่าไหร่ เช่น ไทยก็ใช้ภาษาไทยเพราะมันซาบซึ้งดี เป็นภาษารากเหง้า นอกจากมันไม่พอก็ไปอาศัยบาลี สันสกฤต ภาษาบาลี ภาษาจีนบ้าง แถมเท่านั้น ที่มันไม่พอ สื่ออันนี้แถมไป เราจะเข้าใจได้เพิ่มขึ้น
ถ้าไม่จำเป็น เขาเข้าใจดีแล้วภาษาไทยก็เอาแต่ภาษาไทย ที่เขาจะเข้าใจดีแล้วสื่อได้ นอกจากว่าภาษาไทยก็ไม่พอ ต้องใช้ภาษาอื่นช่วยไปอีก สื่อช่วยไปอีก จริงๆภาษาไทยมีไม่มากนะ สื่อไปนี้ไม่มากพอ
ภาษาอื่นเขามีมากกว่าภาษาไทยเยอะ ขนาดนี้ ภาษาไทยก็พัฒนา เอาภาษาอื่นมาใช้อีกเป็นภาษาไทย แปลงรูปเป็นภาษาไทยเท่าไหร่แล้วก็ยังไม่ค่อยพอ ต้องใช้ภาษาอื่นอยู่บ้าง ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องใช้อะไรกันไป
สันตาปทุกข์กับปกิณกทุกข์ต่างกันอย่างไร ?
สันตาปทุกข์ คือทุกข์ที่มันเผาไหม้ ทุกข์ที่มันร้ายแรง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… ปราชญ์เห็นความผิดของคนผิดว่าผิด นั้นถูกแล้ว ส่วนคนโง่เห็นความถูกของคนถูกว่าผิดอยู่
พ่อครูว่า…
ธรรมนิยาม 5 จึงเป็นยอดสุดแห่งความรู้
_จาก ปีกบุญ : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
ดิฉันอ่านหนังสือปัญญา 8 ไปแล้ว 80 กว่าหน้า ได้เข้าใจอะไรๆมากยิ่งขึ้น ไม่เสียแรงที่พ่อครูพากเพียรเขียน
ประโยคหรือข้อความที่ว่า “ทุกสรรพสิ่ง ล้วนไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตาม กาละ เทศะ ฐานะ” ที่สุดสูญสลายตัวตนไปไม่มีตัวตนจริง ไม่ใช่ตัวตนเลย ทุกสิ่งอนัตตา” (น.73 – 74 )
หรือ “สรรพเพธัมมา อนัตตาติ” (ทุกสิ่งอย่างล้วนไม่ใช่ตัวตน)
คงเป็นเพราะว่า พ่อครูได้เข้าถึงหลักธรรมข้อนี้ได้นั่นเอง จึงทำให้พ่อครูไม่ยึดมั่นในสิ่งใดๆเลย จนมีคนคิดว่า พ่อครูกลับกลอก (ดิฉันก็จะพยายามเข้าถึงความจริงนี้ให้ได้)
ขอเรียนถามเพื่อความแน่ใจดังนี้ค่ะ
คำว่า “สัพเพธัมมา” กับคำว่า “สังขารทั้งหลาย” คือสิ่งเดียวกันได้หรือไม่? เพราะทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ทรงอยู่ได้เพราะการปรุงแต่ง หรือ สังขารกันขึ้นมาทั้งสิ้น
คำว่า “สัพเพธัมมา” และ “สังขารทั้งหลาย” หมายถึง ธรรมนิยาม 5 ใช่หรือไม่ ? ถ้าใช่ ขอความกรุณาพ่อครูช่วยอธิบายถึงความเป็ฯอนัตตา ของอุตุ กับพีช ด้วยค่ะ
พ่อครูว่า… ธรรมะเป็นคำรวม ก็คือทั้งหลาย มันรวมตัวอยู่ ส่วนสังขารเป็นการปรุงแต่ง
สู่แดนธรรม… ในความเป็นธรรมะ มีธรรมะที่ปรุงแต่งได้ กับธรรมะที่ปรุงแต่งไม่ได้ อสังขตธรรม จะปนเปกับสังขตธรรมไม่ได้
พ่อครูว่า… ดี ช่วยขยายความ หลายอย่างที่สู่แดนธรรมเขามีปฏิภาณปฏิภาณถึงตรงนั้นก็มี
สู่แดนธรรม..คำว่า “สัพเพธัมมา” และ “สังขารทั้งหลาย” หมายถึง ธรรมนิยาม 5 ไม่ได้ เพราะธรรมนิยาม 5 ธรรมะข้อนี้ ระบุไว้ว่า อาศัยการเกิด เพราะมีอันนี้จึงมีอันนี้เกิดจึงจัดเข้าในธรรมนิยาม 5 ส่วนธรรมะไม่เกิดเลยนั้นไม่จัดเข้าในธรรมนิยาม 5
พ่อครูว่า… พูดอย่างนี้แล้วสิ่งที่ไม่มีการเกิดคืออะไร สิ่งที่ไม่มีการเกิดถึงแล้วหรือ ใครถึงแล้ว พระอรหันต์ขึ้นไปจะรู้ว่า ธรรมะที่ไม่มีการเกิด ทำธรรมะที่ไม่เกิดอีกแล้ว ได้ โดยภาษาที่ยังไม่ตาย พระอรหันต์ไม่ตายก็ได้ทำแล้วจริงๆ ทำไม่ให้มีการเกิดได้แล้ว จะให้เกิดอีกก็ได้ เป็นอมตะบุคคล ตามมูลสูตรข้อที่ 9
ก็เหลือแต่ว่า จะเลิกเกิดจริงๆเลย เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานสุดท้ายเลย ถ้าไปแยกธาตุปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ไม่รวมตัวกันอีก เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหมือนพวงมะม่วงตกลงมาแตกกระจาย จะไม่สามารถรวมเป็นพวงมะม่วงนั้นอีกแล้ว แยกธาตุเป็นอุตุนิยาม จะไม่รวมตัวเป็นจิตนิยามอันนั้นอีกแล้ว สลายได้แล้ว นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เรื่องนี้ขึ้นมา
ทีนี้ คำว่า ธรรมะนิยาม 5 คำนี้แหละเป็นยอดสุดเลย ที่จะต้องรู้สภาวะของธรรมนิยาม 5 ตั้งแต่ อุตุนิยาม หมายถึงอย่างไร ดินน้ำไฟลม เป็นต้น
ต่อไปเป็นสภาพอีกอย่างหนึ่งที่มันรวมตัวกันเป็นชีวะแล้ว เรียกว่า พีชนิยาม ยังไม่ถึงขั้นจิตนิยาม มันคืออะไร มันเป็นอยู่อย่างไร มันจะสลายมันจะเกิดอย่างไร
ถ้าศึกษาเข้าใจได้ ทำได้ จิตคนทำให้เกิด ทำให้ดับ ดับสุดก็เป็นอุตุนิยามไปเลย เลิกสลาย ก็ไม่มีชีวะ พีชะก็ไม่เหลือ จิตนิยามก็ไม่เหลือ เพราะฉะนั้นกรรมกับธรรมะก็ไม่เหลือทั้งนั้น สุดยอด สลายได้สุดยอดแล้ว
นี่เป็นความรู้และความจริงที่เรียนรู้และทำได้ อาตมาที่พูดนี่ทำได้จึงพูดได้ อาตมาก็ย้อนแย้งเป็นอมตะบุคคล ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพื่อที่จะพูดและอธิบายสิ่งจริงให้ทุกคนมาพิสูจน์ ใครมาพิสูจน์ได้แล้ว คุณจะได้อรหัตตผล คุณจะปฏิบัติปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็ทำไป สำเร็จคนก็จะยนต์รู้ว่าคนนี้ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว หาไม่เจอหรอกอยู่ในวัฏสงสารนี้ วิญญาณอันนี้ธาตุรู้อันนี้หมดในวัฏสงสารแล้ว
เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าคุยกันกับพระอรหันต์วังคีสะว่า วิญญาณของกะโหลกนี้ไปอยู่ไหน ก็เข้าใจแล้วคนที่ปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นอรหันต์ได้แล้ว ก็ตามหาวิญญาณไม่เจอหรอก ทั้งๆที่ วังคีสะ สามารถหยั่งรู้ว่าวิญญาณใครต่อใครที่ตายไปแล้วเป็นอย่างไร ด้วยการเคาะกะโหลกศีรษะ แต่มาเจอพระพุทธเจ้า พาให้สลายวิญญาณได้เลย นี่แหละหลักธรรมพระพุทธเจ้า ตัวอย่างเรื่องราวตำนานในศาสนาพุทธ มีครบครันมีจริงที่สุด อย่างนี้
เพราะฉะนั้นคำว่า ธรรมนิยาม 5 จึงเป็นยอดสุดแห่งความรู้ ในพระไตรปิฎก ฉบับเถรวาท ภูมิของพระกัสสปะไม่ถึง ทำการสังคายนาฃบับของพระกัสสปะ ไม่มี
มีอยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษาจารย์ จึงเห็นชัดเจนว่าเถรวาทบรรลุสูงสุดไม่ได้ เพราะไม่รู้จักธรรมนิยาม 5 เพราะฉะนั้นทางสายกัสสปะหรือเถรวาทจึงยาก
เถรวาทหมายความว่า ลัทธิเถรวาททุกวันนี้ ที่เป็นลูกน้องพระกัสสปะ จึงยากที่จะบรรลุอรหันต์เพราะไม่รู้ธรรมะนิยาม 5 แยกธาตุจิตให้เป็นธาตุอุตุไม่ได้ ไม่เป็น ทำให้เป็น พีชะ อาศัยในชีวิตนี้ตอนเป็นๆจะได้หมดทุกข์หมดทุกข์ เพราะพลังงานในระดับพีชะ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีวิบากอะไรแล้ว
นี่เป็นความรู้ที่เยี่ยมยอด แล้วสามารถทำได้ด้วย อาตมาพูดเพราะว่าอาตมารู้และก็ทำได้จึงเอามาพูด ไม่มีใครพูดอย่างอาตมาหรอก ในยุคนี้ไม่มี ขอยืนยัน แต่มีองค์อื่นที่ท่านรู้พอๆหรือรู้ยิ่งกว่าอาตมา ก็พูดได้เพราะก็เป็นความจริงที่รู้กันหมด แต่ในยุคนี้ไม่มี มีแต่อาตมาเอามาพูด พูดไปแล้วก็หาว่าอวดดี แล้วจะให้เราอวดความชั่วก็โง่ตาย มีดีก็ต้องอวดดี เอาดีมาอวด จะให้อวดแต่โง่อวดแต่ชั่วได้อย่างไร นี่ก็พูดจริงๆ
อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น พูดความจริงก็หาว่ายวน อาตมาเป็นคนไทย
อาตมาทำงานทุกวันนี้อาตมามีปณิธานที่จะต้องพยายาม ทำงานไป สะสมสัมภาระวิบากไป จนกว่าจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่ถึงก็ทำไป มันก็เป็นประโยชน์
ยิ่งได้รับปากกับ พระพุทธเจ้า พูดเป็นภาษาง่ายๆ ว่าจะต้องมาเป็นผู้สืบทอดอันนี้ คนฟังแล้วก็บอกว่าคุยโม้ จะจริงหรือ อาตมาก็ยืนยันหลักฐานต่างๆนานาหลายอย่างแล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆว่า อาตมาเป็นบุคคลในข้อที่ 10 ในสัมมาทิฏฐิ 10 ว่า สยังอภิญญา เป็นคนอย่างนี้ เป็นผู้รู้เอง รู้มาแต่ชาติก่อนแล้วมาประกาศธรรมะพระพุทธเจ้า มาแยกแยะโลกนี้โลกหน้าให้คนอื่นรู้ตามได้
เป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ยืนยันได้อย่างไรว่าเป็นคนนี้ ก็คนนี้รู้สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ข้อ 1 ยันข้อ 9 แล้วขยายความให้พวกเรารู้จักแล้วก็ทำตาม สัมมาทิฏฐิ 10 นี้ สัมมาทิฏฐิทั้ง 9 นี้ อาตมาเป็นผู้ที่ 10 ก็แล้วกัน อีก 9 อันนั่นแหละ สามเส้า
สัมมาทิฏฐิ ๑๐ ที่ยังจัดการอาสวะอยู่
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
๑. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) ผลคือผลโลกุตระ
๒. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
๓. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… สัมมาทิฏฐิ 10 ก็ไม่เห็นใครเอามาอธิบายอย่างพ่อครูได้
สู่แดนธรรม… เคยได้ยินอาจารย์บางท่านอธิบายว่า บุญคุณของพ่อมี บุญคุณของแม่มี อธิบายอย่างแค่นั้น
สมณะเดินดิน… ความรู้ระดับนั้นพระพุทธเจ้าไม่ต้องสอนก็ได้ ก็คนธรรมดาก็มีความรู้ว่าพ่อมีแม่มี แม้แต่ข้อที่ 10 เราก็ไม่ค่อยได้รู้เท่าไหร่ แต่เป็นที่มาของพ่อครู
ที่ตกลงกับกระทรวงศึกษาธิการไม่ให้ใช้คำว่าพระนำหน้าก็ได้คำว่าสมณพราหมณ์มา เป็นสิ่งที่ฟ้ากำหนดมา ให้ต้องเป็นอย่างนี้
พ่อครูว่า… ต้องเป็นแบบนี้ต้องเกิดแบบนี้ ตถตา Born to be
สมณะเดินดิน… ถ้าอย่างนั้นใช้คำนี้ก็แล้วกัน เพราะคำอื่น นักบวช นักพรต ภิกษุ พระ มีกฎหมายห้ามไว้ ก็ใช้คำว่า สมณพราหมณ์ นี่แหละ ที่ไม่มีในกฎหมายห้ามไว้
พ่อครูว่า… เราก็เลยมาเป็นสมณะตั้งแต่บัดนั้น นอกนั้นท่านก็เป็นพระ เป็นภิกษุ เป็นนักบวช นักพรต ซึ่งในภาษากฎหมายมีหมด เราก็ใช้สมณพราหมณ์ก็ได้ เจียมเนื้อเจียมตัว คุณเหมาเอาไปเสียเยอะเลยให้เราชื่อเดียว ก็ไม่ว่ากัน
ผู้ที่เป็น สยังอภิญญา สามารถแจกแจงอธิบายสัมมาทิฏฐิทั้ง 9 ข้อได้ อธิบายแล้วผู้ฟังเข้าใจ ยินดี ซาบซึ้ง ปฏิบัติตาม ได้มรรคผลตาม
ทานมีผล สีลพรตมีผลแล้ว การเสวยผลเป็นอย่างไร หุตัง
อาตมาก็อธิบายขยายความไว้หมดแล้ว ผู้ที่ติดตามฟังอาตมาจริงๆโดยไม่มีอคติ จะรู้ว่าคนผู้นี้ อธิบายไม่เหมือนใคร อธิบายแล้ว ปฏิบัติแล้ว ทานที่ให้ ยืนยันในพระไตรปิฎก อาตมาก็เอาทานสูตรมายืนยันอธิบาย ทานที่ให้แล้วมีผลคือ ทานที่ให้ไปแล้ว อย่ามี สาเปกโข อย่างนี้เป็นต้น ทำอย่างนี้ได้สำเร็จเลย ทานไม่ต้องการที่จะหวังว่าจะได้อะไรตอบแทน
คุณต้องทำใจในใจของคุณ เป็นเช่นนั้นจริง ไม่ใช่ไปทำทานแล้ว อิมินาสักกาเรนะ อย่างนั้น เมื่อไหร่จะหมดภพชาติกันเล่า อาตมาก็สอนทำทานแล้วไม่ต้องมีสาเปกโข ไม่ต้องเอาอะไรตอบแทนเลย ไม่ต้องมีจิตที่หวังอะไรตอบแทนเลย เป็นทานอย่างสูญ ให้แล้วให้เลยสุดไปเลย จบ ไม่มีบุญคุณอะไรทั้งนั้น อย่างนี้เป็นต้น
ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว
-
ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
-
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
-
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
-
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ