650209 โลกุตระคือสิ่งสำคัญสุดที่เกิดมาแล้วต้องเอาให้ได้ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1RNWOF5_bY2lD75CLS58X3ypdVWYf0zdHo4anWuDo0AY/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1jjqdM1UkdCTLj2EfPmSD0T1dMhyvPAFy/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/450514836755658
และ
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ในงานพุทธา ภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ที่จะถึงนี้ จะมีการสอบปริยัติโดยใช้หนังสือปัญญา 8 100 หน้าแรก
พ่อครูว่า…ตอนนี้เขียนขยายความไปอีกมากเลย
สมณะฟ้าไท… ในโลกของโลกุตระ มีความรู้ ความฉลาด ความจริง คนทั้งโลกเขาทำความฉลาดโลกีย์ แต่เขาอยากได้คำว่าปัญญาไปใช้ พระโพธิสัตว์ต้องเหนื่อยยากในการมาให้ปัญญาแก่มนุษยชาติ มาให้ความรู้เรื่องโลกุตระแก่ชาวโลก
โลกุตระคือการศึกษาความต่างเพื่อจบ
พ่อครูว่า… อย่างที่ท่านฟ้าไทกล่าว อาตมาพยายามนำความรู้ที่มีความหมายขั้นโลกุตระมาอธิบายขยายความ นำพาให้พวกเราเข้าใจจะได้ปฏิบัติตามนั้น ทั่วโลกเขามีแต่ความรู้โลกียะมีแต่ความเฉโก
ความรู้โลกียะคือ ความรู้ที่สอนอยู่ในขั้นแค่ทำดี อย่าทำชั่ว เรียนรู้ความดี ทำแต่ดีแล้วอย่าทำชั่ว คู่เดียว เขาก็สอนกันแค่นั้น เขาไม่ได้เรียนรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ได้เข้าใจถึงอนัตตา ไม่เข้าใจถึงความเป็นอัตตาเลย
ส่วนโลกุตระนั้นรู้จักอัตตา เรียนรู้อนัตตา เรียนรู้ความสุขความทุกข์ โลกียะไม่รู้เรื่องความสุขความทุกข์ แต่ติดในความสุขเกลียดความทุกข์ ทั้งๆที่สุขทุกข์นี้ยากจะรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าความสุขความทุกข์เป็นมายาของมนุษยชาติ ซึ่งมันแยกกันไม่ออก มันเป็นฝาแฝดที่แยกกันไม่ได้ เป็นฝาแฝดอินจัน ที่มีอวัยวะติดกันเลย แยกไม่ได้ถ้าแยกก็ตาย เพราะฉะนั้นถ้าไม่เอาสุขก็ไม่เอาทุกข์เลย ไม่เอาสุขไม่เอาทุกข์ โลกุตระนิพพานคือไม่มีสุขไม่มีทุกข์
ศาสนาพุทธทุกวันนี้เสื่อมมากจนไม่รู้เรื่องเหล่านี้ สอนกันแบบโลกีย์ให้ติดในความสุข มีสวรรค์ มีนรก ไม่มีนิพพาน ในโลกียะมีสวรรค์มีนรก ในโลกุตระหมดสวรรค์หมดนรก ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก มีแต่ความเป็นจริง
ความเป็นจริงที่มีสิ่งแตกต่างที่มีความจริงที่สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มีใจเป็นตัวรู้ รู้ความแตกต่างกัน ที่แตกต่างกันจริง แล้วเราก็อยู่กับความแตกต่างเหล่านี้ให้กลมกลืนสามัคคีกันได้
ไม่มีอะไรที่จะไม่แตกต่างกัน อันนี้คือความจริง แฝด 2 คนก็เหมือนกันแต่มีจุดต่างกันที่ไม่เหมือนกันได้ ผู้ที่รู้ละเอียดดูเป็นก็จะดูออก ไม่ต้องดูเครื่องหมายหยาบ บางคนจะดูตรงไฝ อย่างแฝดนายเวียงนายวัง จะดูตรงปานดำ แต่มันมีดูโครงสร้างรูปธรรมก็ได้ ไม่เหมือนกัน ยิ่งนิสัยก็จะแตกต่างกันอะไรอย่างนี้ บุคลิกต่างๆก็จะแตกต่างกัน คนที่ละเอียดลออก็จะดูออก สัมผัสนิดนึงก็รู้คนนี้เป็นคนนี้ แม้จะเป็นแฝดกันก็ตาม
เพราะฉะนั้นการศึกษาที่รู้ความแตกต่างกันนี่แหละเรียกว่า ลิงคะหรือความเป็นเพศแล้วมันก็จะแย้งกันอยู่ด้วยกันยาก เพราะฉะนั้นจึงต้องมาเรียนรู้ว่าที่รู้ไม่เหมือนกันนี่แหละ จะต้องอยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันก็รักกันเกิน จากกันไม่ได้อีก โง่อีก แยกกันไม่ได้เลย มีดูดกับผลักสองทาง
เรามาเรียนรู้ความจริงว่ามันมีความต่าง ในจักรวาลมันมีสิ่ง 2 สิ่ง ตั้งแต่วัตถุ อุตุนิยาม มีบวกมีลบ มีสิ่งต่างกัน ตั้งแต่พลังงานจนกระทั่งถึงสสารที่ต่างกัน จนมาถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารที่แตกต่างกัน แล้วก็มาถึงจิตนิยาม สัตว์ มนุษย์ ทั้งหมด
เรียนรู้แล้วก็รู้ได้จริง ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าค้นพบ อ๋อ.. ไอ้ตัวนำเกิด พาเกิดวนเวียนอยู่ เป็นธาตุรู้ที่มีทุกข์มีสุขคือจิตนิยาม
สัตว์เดรัจฉานมันก็มีทุกข์มีสุขแล้ว แต่มันไม่รู้ เรียนอย่างไรมันก็เรียนไม่ได้ จนมาถึงคน อเวไนยสัตว์ ศึกษาอย่างไรก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน จนมาเป็นเวไนยสัตว์ เป็นคนที่มีบารมี มีฐานที่จะรู้โลกุตรธรรมนี้ได้ ถึงจะเรียนรู้ว่าจิตนิยามมีความเกิดมีความตั้งอยู่ ทรงอยู่ แล้วก็ความเสื่อม แล้วก็ไม่จบ จนกระทั่งค้นพบความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับให้แยกธาตุไปเลยได้ พระพุทธเจ้าประสบผลสำเร็จอันนี้สมบูรณ์แบบ
เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเสื่อมเพราะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้กันแล้ว อาตมาก็นำสัจธรรมโลกุตรธรรมที่ถึงขั้นอนัตตา หรือ ถึงขั้นสุญญตา แยกธาตุปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ในยุคนี้ ซึ่งไม่มีใครที่จะเหลือความรู้ที่จะรู้อันนี้
ทั้งๆที่ในพระไตรปิฎกมีปรินิพพานเป็นปริโยสานในมูลสูตร ไม่มีใครเข้าใจได้ เขารู้แต่เพียงนิพพานมีความสูญ แต่สูญอย่างไร ปรินิพพานเป็นปริโยสานที่มีรายละเอียด
นิพพาน ก็รู้แล้วว่ามันจบกิจ เรื่องที่จะมีชีวิตอยู่ ความทุกข์ ความสุขตามขั้นตามตอน โสดาบันก็โล่งระดับหนึ่ง สกิทาคามีก็โล่งระดับหนึ่ง อนาคามีก็โล่งระดับหนึ่ง เป็นนิพพานแต่ละขั้น อรหันต์ก็ถึงขั้นปรินิพพาน นิพพานรอบสุดจนกระทั่งหมด แล้วก็จะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน อรหันต์ก็จะรู้ความจริงอันนี้ได้ ก็จะทำความเป็นสูญจนกระทั่งเลิกได้หรือไม่เลิกก็ได้เป็นอมตะบุคคล
เพราะฉะนั้นผู้ยังไม่มีภูมิจะเข้าใจมูลสูตร 10 ตั้งแต่มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด สัมภวะ มีผัสสะเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง แล้วมีสมาธิเป็นประมุข จนมีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ มีวิมุติเป็นแก่นสารสาระ
อมตะ เป็นการหยั่งลงสู่ความเป็นอมตะ และสุดท้ายมีปรินิพพานเป็นปริโยสาน มีปรินิพพานเป็นที่สุด ปริโยสานหรืออวสานรอบถ้วนเลย อวสานอย่างจบ ไม่มีอีกแล้วสิ้นสุดสูงสุด นี่เป็นมูลสูตร 10 ข้อ อาตมาเจอสิ่งนี้เข้าแล้วโอ้โห เอามาพูดเอามาขยายความพวกเราก็ได้รับความรู้ ได้รับประโยชน์จากอันนี้กันใช่ไหม ได้ชัดเจนในธรรมะพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้กัน ชัดเจนรอบถ้วนกันถึงขนาดนี้ ในนความเป็นจิตวิญญาณ ในความเป็นมนุษย์ที่จะปฏิบัติประพฤติให้สมบูรณ์ที่สุดจนถึงขั้นทำปรินิพพานเป็นปริโยสานสำเร็จ แล้วเราก็จะรู้ตัวเมื่อเป็นอรหันต์ อรหันต์สมบูรณ์แบบ
เป็นอรหันต์สมบูรณ์แบบ ก็คืออรหันต์นี้จะเกิดอีกก็ได้ จะตายสูญไปเลยปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ อันนี้แหละทางเถรวาทเขาไม่รู้เรื่องเพราะเขาเป็นอุจเฉททิฏฐิ ถ้าโพธิสัตว์ทางมหายานก็เลยเถิด เกิดเป็นโพธิสัตว์ จนกระทั่งโพธิสัตว์ก็ไม่มีวันสูญ ไปอยู่ที่พุทธเกษตรอะไรอีก เลยเถิดไปอีกแบบนึง เราก็มาแก้ มาทำให้เข้าใจซะ เป็นเถรวาทก็ไม่เอา อุจเฉททิฏฐิก็ไม่เอา สัสสตะทิฏฐิก็ไม่เอา แต่เป็นผู้ที่อยู่เหนือแล้วสูญได้ เกิดได้ ดับได้ จะอยู่ต่อก็ได้
ทุกข์ 10 ประการ ที่เลี่ยงได้และเลี่ยงไม่ได้
_ครูเคร่ง : ขอถามพ่อครูครับ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ๖ มีอะไรบ้างครับ ทุกข์อริยสัจ มี ๔ มีอะไรบ้างครับ พ่อครูกล่าวถึง แต่ไม่มีรายละเอียด ขอเมตตา ขยายได้ไหมครับ
พ่อครูว่า… ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้คือทุกข์ที่เกิดจากองค์ประกอบเกี่ยวเนื่องกับทางร่างกายทางวัตถุภายนอก มันเป็นเรื่องธรรมชาติของการปรุงแต่งของกายสังขาร มี 6 อย่าง
ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) .
๑. สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย
พ่อครูว่า…อาตมาก็เลี่ยงไม่ได้มาถึงทุกวันนี้จะไม่ยอมรับว่าแก่ก็ไม่ได้ต้องยอมรับว่าแก่
๒. นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
๓. อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน
พ่อครูว่า…ก็ทำมาหากินประจำวันของมนุษย์เลี่ยงไม่ได้ ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมันก็ต้องหากินเหมือนกัน ไม่ว่าจะปลูกสร้างไม่เป็นแต่มันก็ต้องหากิน มันไม่ทำงานที่จะปลูกสร้างแต่มันทำงานหากิน มันก็เลี่ยงไม่ได้ เป็นคนก็เลี่ยงไม่ได้
๔. พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ
๕. วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้
พ่อครูว่า…อย่างอาตมามีกระเปาะที่หลอดลมเป็นเหตุให้ต้องไอ มันสร้างเสลด ทำให้ติดท่อลม มันต้องขจัดก็คือวิธีไอ ใช้แรงเพื่อจะให้มันเอาเสลดออกให้ได้ อาตมาไม่ได้อยากได้ ไม่ได้ไปแสวงหา ไม่ใช่เชื้อโรค แต่เป็นผลวิบาก ที่ได้ตำหนิคนมามาก แม้ในชาตินี้ก็ยังตำหนิอยู่ มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตำหนิคน เพราะการสอนคนไม่ใช่เป็นการสรรเสริญ
สอนคนนี้คือการตำหนิ ตำหนิเป็นหลักให้แก้ไขปรับปรุง ส่วนคนดีๆเขาทำดีแล้วไม่ต้องสอนอะไรมาก แต่คนที่ยังไม่ดีนี่สิ ต้องสอนต้องบอกข้อบกพร่อง บอกข้อไม่ดีไม่งาม คนเขาก็ไม่ชอบ มันก็มีพลังต่อต้าน พลังไม่ชอบมันเป็นกรรมวิบากที่ละเอียดลึกซึ้ง ยังไงๆเราก็ต้องได้รับ ก็เลยเป็นอยู่ เลี่ยงไม่ได้ ถ้าไม่สมัครใจที่จะทำงานนี้ก็ไม่ต้องสมัคร ถ้าสมัครใจแล้วก็ต้องทำ
แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ก็มีปักขันทิกาพาธ เป็นโรคหลอดลมหลอดเสียงเหมือนกัน เพราะต้องใช้อันนี้ทำ
๖. ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ ๕ อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่
พ่อครูว่า…ทุกข์คือความตั้งอยู่อย่างเดิมไม่ได้ รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยงไม่ตั้งอยู่อย่างเดิมมันเปลี่ยนแปลง อันนี้แหละคือ มีความสูญเท่านั้นที่ไม่เคลื่อน เป็นความเที่ยง เพราะฉะนั้น 0 จะทำอะไร ทำที่จิต ที่ชัดที่สุดคือทำให้กิเลสสูญไปจากจิต นี่คือตัวแท้ เมื่อจิตสูญไปจากกิเลสแล้วก็เที่ยง สูญไปอย่างชัดเจนถาวร ปหาน อาสวะอนุสัยกิเลสก็หมดไปยัง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ถ้าจะมาขยายความมาจนทุกวันนี้ พวกเราได้ยินได้ฟังก็จำได้ รู้ นี่คือทุกข์ 10 อย่างที่มี 6 อย่างไม่เที่ยง อีก 4 อย่างเป็นอริยสัจ 4
แต่ก็ไม่ได้ไปขยายความแบบอริยสัจ 4
ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้)
๗. ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ เมื่อพรากจากคนที่รัก หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น)
พ่อครูว่า…คือทุกข์ที่เข้าใจไม่ได้ แล้วก็ให้มันมาย่ำยีจิตวิญญาณตัวเอง เป็นทุกข์จร เป็นกิเลสเข้ามาเป็นตัวการมีเศร้าโศก พิไรรำพัน โทมนัส มีข้องใจขัดเคือง ไม่เรียบร้อยไม่โล่งไม่โปร่งไม่วาง ต้องเรียนรู้ความจริงให้ได้เลยว่าโง่ทั้งนั้น มันเกิดจากอวิชชา
อย่างพวกเราข้อแรก โศก แล้วเรามาเลิกโศก ไม่โศกไม่เศร้า รู้แล้วรู้รอดรู้จบ ไม่ต้องไปพิรี้พิไรไม่รู้จักจบ มันก็หมดทุกข์หมดโทมนัส หมดอุปายาสะ ถ้าคุณไม่รู้จริง โศก ก็ไม่รู้ ทำต้นทางไม่ได้ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ ไม่มีเสร็จหรอก นี่คือทุกข์ที่ทำให้หมดไปจากชีวิตได้
๘. สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันเนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แผดเผา)
พ่อครูว่า… พวกอภิธรรมฟังอาตมาว่า กิเลสเป็นพลังงาน เขาก็ว่าเป็นไม่ได้ ก็จะแย้งก็แย้งไป
มาเรียนรู้อาการทางจิต เรียนรู้ได้จากอาการลิงคนิมิต อุเทส คือคำอธิบายที่อาตมาอธิบาย
เรียนรู้แยกแยะอาการ ที่มีความต่างคือลิงคะ เป็นราคะ โทสะ โมหะมันก็มีความแตกต่างกัน โมหะ มันก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
ราคะ เป็นอย่างหนึ่ง โทสะ เป็นอีกอย่างหนึ่ง โทษลักษณะ ไม่ต้องเรียกคุณลักษณะ โทษลักษณะของราคะ โทษลักษณะของโทสะ มันเป็นแบบอย่างไร เรียนรู้อย่าให้มันเกิดในจิต เรียนรู้จากการทำใจในใจ คือมนสิกโรติ หรือมนสิการ คือการทำที่ใจเรา เราเป็นคนทำ ทำเอง ทำใจของเรา ให้มีอาการอย่างนี้ๆ สามารถทำอาการของใจได้ ไม่ให้มันเกิดอาการของราคะ ดูดดึงเกิน เสพติดอยู่ มันเป็นรสเป็นชาติอย่างเป็นราคะ
โทสะ ก็เสพติดอยู่ จะดูอาการพวกนี้แล้วรู้ว่ามนุษย์ประเสริฐเขาไม่มีอาการเหล่านี้หรอก ถ้ามีอยู่ก็เป็นมนุษย์โง่มนุษย์ไม่เจริญ รู้เหตุปัจจัยใน สามัญโลกมันจะต้องมีอะไรที่สัมพันธ์กันกระทบกัน แล้วเราก็ยังยินดีที่จะมีอันนั้น จนสุดท้ายเราก็ไม่ต้องยินดี ไม่ว่าจะเป็นราคะ ไม่ว่าจะเป็นโทสะ ไม่ต้องไปยินดี จิตของเราไม่มีราคะ โทสะ มันก็ไม่เกิดอาการของราคะ โทสะ จิตวิญญาณก็บริสุทธิ์จากราคะ โทสะ เรียกว่าบริสุทธิ์ อุเบกขา
ก็ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ดูดไม่ผลัก รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า มันก็เกี่ยวข้องกัน กับไม่เกี่ยวข้องกัน มีความสัมพันธ์กันประโยชน์แก่กันและกันอย่างไร ก็อยู่กันไป เป็นมนุษย์ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป อย่างพวกเรานี้มาปฏิบัติธรรมเสร็จแล้ว ก็อยู่กันเป็นมนุษย์ช่วยเหลือกันไป ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงเพศชาย สบาย
๙. สหคตทุกข์ (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)
พ่อครูว่า… ทุกข์มันคตะ(ไปด้วยกัน) อยู่กับชีวิตที่โง่ๆ เป็นโลกโลกียธรรม คนที่ยังตกอยู่ในทุกข์ ยังติดอยู่ในลาภ สะสมลาภ แย่งชิงลาภ ตระหนี่ถี่เหนียวในลาภ ทุกข์ ทุกข์ทั้งนั้นแหละ
ติดในยศชั้น เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณชั้นสามัญ เป็นเจ้าคุณชั้นราช เป็นเจ้าคุณชั้นเทพเป็นเจ้าคุณชั้นธรรม เป็นเจ้าคุณชั้นพรหม เป็นเจ้าคุณชั้นสมเด็จ แบกเบิ้มๆๆอยู่นั่นแหละ
สหคตทุกข์ แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์
ติดในสรรเสริญ ได้รับคำสรรเสริญเยินยอ ถ้าใครมาตำหนิก็ทุกข์ ตำหนินิดหน่อยก็ไม่ได้ ถือมาก เราต้องเป็นคนไม่มีที่ตำหนิ โถ! พระพุทธปฏิมายังราคิน เราต้องไม่มีที่ตำหนิ ติดในสรรเสริญเยินยอ ซึ่งไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ ติดยศก็ไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ ติดในสรรเสริญก็ไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ
อาตมานี่นะ เกิดมาชาตินี้ มันติดไม่ลงหรอกสรรเสริญ มันต้องมาระมัดระวังเขาตำหนิ โอ้โห! ตำหนิมาแหลกเลย เอาแรงงานพลังงานมารับหน้าทางตำหนิก็ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว สรรเสริญไม่ต้องไปนำพาเลย มีน้อย แล้วก็ไม่ต้องอยากได้สรรเสริญ เอาเถอะไม่เป็นไร ไม่ได้สรรเสริญก็ไม่เป็นไร แต่ก็มีคนมาสรรเสริญอยู่บ้าง คนที่มองออก คนที่เห็นจริงเขาก็สรรเสริญ
ผู้ที่รู้จริงแล้วสรรเสริญก็ดี ตำหนิก็ดี ก็เป็นเรื่องของโลกธรรมธรรมดาก็ไม่ได้ติดใจอะไร ผู้ที่รู้ดีว่าดีควรสรรเสริญก็ดีแล้วถูก ผู้ที่รู้ว่าไม่ดีควรตำหนิ เขาก็ถูกเหมือนกัน แต่ตำหนิโดยไม่รู้ว่าควรตำหนิ ตำหนิสิ่งที่ผิด อันนี้สิขายขี้หน้ามาก แสดงความขี้เท่อ แสดงความไม่รู้จริงๆ
อย่างอาตมา เขาไม่รู้ว่าเป็นสัตบุรุษจริง เพราะเมื่อบอกไปเขาก็แทบจะอ้วกออกมาเลย เขาก็ดูถูกดูแคลน เพราะเขาติดยึดในสิ่งที่ผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูก แล้วก็แบกเทิ่งๆ แบกลาภยศสรรเสริญ ลึกที่สุดก็เป็นโลกียสุข สุข เพราะลาภยศสรรเสริญนั่นแหละ ตัวโลกีย์แท้ๆ ไม่รู้ตัวมันซ้อน
เพราะฉะนั้นรายละเอียดของสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบพวกนี้จึงลึกละเอียดมาก จะเห็นได้ว่า คนในโลกที่ติดยึดแบกพวกนี้ แบกลาภ ยศ สรรเสริญก็ตาม ถูกราคะ โทสะ โมหะ เผาเอาก็ตาม แล้วก็ยังเป็นคนที่มีโศก โทมนัส อุปายาสะก็ตาม เขาเข้าใจไม่ได้ ล้างไม่ออก ไม่ได้เป็นอาริยะ ไม่ต้องพูดถึงขั้นเป็นอรหันต์
๑๐.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า)
พ่อครูว่า… เป็นธรรมาธรรมะสงคราม มีความทุกข์ที่มีการวิวาทเป็นมูล เพราะฉะนั้นใครยังเป็นจอมวิวาทอยู่ก็หาเรื่องวิวาท อย่างอาตมาตำหนิ แต่ว่าอาตมาไม่วิวาทกับใคร ใครจะหาเรื่องรบกับอาตมา ก็รบไป ดีไม่ดีใครจะมาฆ่าจะมาก็ฆ่าไป ไม่วิวาทกับเขา เป็นผู้แพ้ผู้ยอม แต่คนที่วิวาทก็วิวาทไปทำไปสารพัด วิวาทมูลกะ เพราะไม่รู้ความจริงว่า มัน..โอ้โห! ไปหาเรื่องวิวาททำไม คุณจะตำหนิก็ตำหนิเขา แน่นอน คุณตำหนิเขาแล้ว เขาต้องมีผลกระเทือน เขาต้องมี reaction ต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบ คุณตำหนิเขา
นอกจากคุณจะแน่ คุณจะดี คุณจะเก่ง ตำหนิเขาแล้วเขาก็สงบไม่กล้าแย้ง ไม่กล้าเถียง นั่นคือธรรมฤทธิ์ อย่างเช่นอาตมาทุกวันนี้ก็ตำหนิเขามาก ไม่ได้ปิดบัง ก็เปิดไปออกไปทางโทรทัศน์ ในทาง LINE หรือทางอะไรต่ออะไร เอามาใช้รีรันอยู่แล้วๆเล่าๆ แต่เขาก็อาจจะเป็นว่า ปัดไปเถอะ คนนี้มันมีแต่ตำหนิ เขาก็ตัดทิ้ง ส่วนคนที่จำนน มีปัญญารู้ว่าตำหนิถูกเขาก็ฟังก็ดี ฟังไม่ไหวแต่มันถูกว่าเหลือเกิน เกินไปก็ หลบบ้าง เลี่ยงบ้าง ก็ไม่ได้เกิดการวิวาท ทุกวันนี้อาตมาทำงานอยู่ก็ไม่ได้ก่อวิวาท
ตอนแรกๆวิวาท มีคนไม่รู้ คนอวดดีหาว่าอาตมานี้ เขาไม่ให้มาสอนแบบนี้ อาตมาทำงานสอนแบบที่อาตมายึดถือว่า ถูกต้อง จนเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… โลกียะ ก็จะต้องถูกตำหนิจากโลกุตระเสมออยู่แล้ว โลกุตระก็ต้องถูกโลกียเขาตำหนิแน่นอน
พ่อครูว่า… ไม่มีทางเลี่ยง เพราะฉะนั้นเราก็ไม่วิวาทกับเขา เขาก็ต้องแย้งเป็นธรรมดา
SMS วันที่ 4-6 กุมภาพันธ์ 2565
_9706 ส่ง SMS แพงนัก สู้ไม่ไหว
พ่อครูว่า…SMS ครั้งละ 3 บาท เป็นราคาขั้นต่ำแล้ว ก็มีผู้แนะนำให้ส่งทาง LINE ทาง Facebook สิ ไม่เสียสตางค์ ซึ่งอาตมาไม่รู้หรอกว่ามันต่างกันอย่างไร
_นายกิตติ จุลกิจ : ท่านพระครูท่านยังแข็งแรงอยู่เดินได้ออกกำลังกายทุกวัน วันละกิโล…เสียงยังใสและยังมีพลังอยู่ต้องฉันน้ำอุ่นมากๆอากาศเย็นจะทำให้ท่านไอและสเลดมาก…
พ่อครูว่า…ไม่ใช่แค่นั้น เหตุมันมาจากกระเปาะ
_Aeamaua Lee เอื้อมเอื้อ ลี : รายการพุทธศาสนาตามภูมิ ค่ำวันเสาร์ที่ 5 ก.พ. 2565 ท่านดินทองพูดดีมากเลยค่ะมาจากสภาวะที่เกิดจริงของท่าน นมัสการด้วยความนับถือยิ่งในปัญญาของท่านที่มุ่งตัดกิเลสในตน
พ่อครูว่า…ผู้ฟังธรรมะแล้วเข้าใจเนื้อหา อันนี้ดี ว่าคนเราต้องมาทำงานหน้าที่นี้นะ เกิดมาเป็นคน ถ้าไม่ทำงานอันนี้ชาติแล้วชาติเล่า คุณก็วนตกอยู่ในดีชั่วลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เวียนวนอยู่อย่างนั้น แย่งกันไปแย่งกันมา สมบัติผลัดกันชม ทุกข์ๆสุขๆ อยู่ไม่รู้จักจบ พอรู้แล้วก็เลิกก็เพลาจากทางโน้น มาทางปฏิบัติธรรมอย่างพวกเรา ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของมนุษยชาติด้วยกัน คนโลกีย์เขาก็เป็นของเขา ก็หน้าดำหน้าแดงหมาหอบแดดอยู่ทางโน้น กว่าจะมาเข้าใจอย่างพวกเรา (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ชาวอโศกเรียนรู้เรื่องหมดสุขหมดทุกข์เป็นหลัก
_นายกิตติ จุลกิจ : ชาวอโศกเป็นชุมชนลับแลบนโลกมนุษย์ จะเป็นที่ให้คนในโลกภายนอกเข้ามาปฏิบัติธรรมในสายโลกุตระของแท้ เอาไว้เป็นที่ชาร์จแบตความดีและเป็นที่ผลิตคนดีออกไปผจญกับโลกโลกียะ จะได้ทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้นในทางความดี…
พ่อครูว่า…คือมันจะไม่เหมือนกับโลกทางโลกีย์เขา คุณเห็นอยู่ คุณก็แลอยู่ แต่คุณก็ ลับของคุณเอง ต้องมาศึกษาพวกมนุษย์ลับแลเขาอยู่อย่างไร เป็นสุขดีอยู่หรือ … เป็นสุขดี เขาตอบว่าเป็นสุขดี ไม่แย่งลาภยศสรรเสริญ นี่สุขแล้ว
ไม่แย่งแล้วก็มาสร้างมาอาศัยในสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิต สิ่งไม่เป็นปัจจัย ก็เลิกมาเบามาก็สบาย
เสร็จแล้วสร้างสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิต อาศัยกินอยู่เป็นสาธารณโภคีพูดแล้วก็อาตมาภาคภูมิใจธรรมะพระพุทธเจ้า พวกคุณก็เป็นคนในยุคเดียวกันกับคนอื่นเขา แต่พวกคุณมาทำสาธารณโภคีได้สำเร็จอยู่อย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ใครเจริญก็เจริญไป เป็นอรหันต์ไปทีละคน ทีละคนไป ดีจริงๆ มีที่ยืน
เป็นมนุษย์ที่มีทางเดินที่เยี่ยมยอดแล้ว ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบทางเดินของมนุษย์ พวกคุณนี่ พวกที่เข้าใจไม่ได้ก็มองเป็นเมืองลับแล แล้วเขาก็ไปเป็นหมาหอบแดด แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอยู่ทางโน้น ดีไม่ดีก็ด่าพวกเราด้วย
ด่าพวกเรา.. อะไรวะ บางคนเขาก็หลงความรู้ศึกษาหัวผุหัวพังเป็นปทปรมะบุคคล เรียนรู้พุทธพจน์ก็มาก สอนผู้คนอยู่ก็มาก แต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินั้นๆ แล้วก็มาตำหนิเราอีก หาบาปใส่ตัว ซึ่งมันก็น่าสงสาร เพราะเขาทำอย่างไม่รู้
ที่ทำอยู่นี้เป็นเรื่องเหนือกว่าความดีความชั่ว แต่เป็นการล้างความสุขความทุกข์ ทางโลกียทางโลกเทวนิยมเขาไม่รู้จักสุขทุกข์แต่เขาติดในความสุขเขาแสวงหาแต่ความสุขเขาจะไม่เอาความทุกข์ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เขาก็พยายามหาทางเลี่ยงที่จะไม่ให้ทุกข์ ให้ตัวเองไม่รู้สึกทุกข์แต่แบกความสุขนั่นแหละคือความทุกข์เขาไม่รู้ สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเปลี่ยนไปหรือเพี้ยนไปจากที่มันได้เท่านี้มันก็อยากได้เพิ่มแต่มันไม่ได้มันก็ตกเสื่อมหาเบื้องล่างอย่างเก่า
ก็ศึกษากัน เขาบอกว่าพวกเราจะทำให้บ้านเมืองเจริญในทางความดีด้วย แต่เหนือกว่านั้นคือ พ้นทุกข์พ้นโศก
_นพดล ทองโคตร : พระโพธิสัตว์พ่อครู ข้าฯน้อยไม่เชื่อตามตำราและการกำหนดโรคตามหมอฝรั่ง..ว่าพ่อครูจะป่วย..ดั่งที่ว่าเลยขอรับ ขออภัยที่ข้าฯน้อยได้ขอแสดงความคิดเห็น อีกสัญญา..อีกทาง..ด้วยความเข้าใจ ศาสตร์แพทย์แผนไทย.เป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้..ว่า.ความบริสุทธิ์จากกิเลส.จะก่อสิ่งไม่ดีแก่เม็ดเลือดได้
…ขอแสดงความคิดเห็นอีกประเด็น..ขอรับ..ขอเสนอกอบกู้แพทย์แผนไทย..ไปพร้อมกอบกู้ศาสนา..ด้วยขอรับ
พ่อครูว่า… คุณก็ผ่านด่านมา จะมารักษาอาตมาต้องผ่านด่านน่าดู ไม่ใช่จะมารักษาอาตมาได้ง่ายๆ มันต้องผ่านด่าน พวกเฝ้าด่านนี่ถือง้าวกันคนละ สำคัญนะให้ดีๆ จะลองดูก็ได้
SMS วันที่ 7-8 กุมภาพันธ์ 2565
_โชติธมฺโมภิกขุ เพลิน ดอกกระโทก : รับฟังรายการพุทธศาสนาตามภูมิทางวิทยุ Zeno Radio ชัดเจนครับ
_รุ่งศรี แก้วดวงสี : กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพสูงยิ่ง….ตั้งแต่ได้เข้าค่ายอุโบสถศีลออนไลน์ ชาวอโศก ครั้งที่สองและเข้าซูมเรื่อยมาลูกก็รู้สึกเบาใจเบากาย จากการถือศีล และหมู่กลุ่มก็อบอุ่นยิ่ง ขณะนี้ลูกกำลังอ่านหนังสือ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก พึ่งได้ร้อยกว่าหน้า ความคืบหน้าหรือความรู้สึกส่วนตัวใดก็ไม่ทราบ ลูกรู้สึกถึงพลังของความสวยงามของพลังพุทธคุณ และธรรมะ ที่พ่อท่านเขียน และได้รับรู้จากท่านสมณะ และเพื่อน ๆ ในกลุ่ม มันซาบซึ้ง มีสุข และโล่งเบาสบายในใจ ว่านี่คือ ความสวยงามและมิตรภาพที่พ่อท่านสอน และลูกอยากบอกต่อคนอื่น ๆ ว่านี่คือสิ่งที่ผู้คนควรได้ ควรมี ถึงลูกจะมากราบพ่อท่านตอนนี้ยังไม่ได้ ลูกก็จะบอกคนอื่นได้อย่างเต็มหัวอกหัวใจ ว่าลูกเป็นลูกศิษย์พ่อท่าน ตอนนี้ลูกก็ได้ทำความเบิกบานในใจได้อย่างที่พ่อสอน ดูจากคนรอบตัวว่า พวกเขาผ่อนคลายมากขึ้น เพราะลูกได้ผ่อนตัวเองได้มากขึ้นตามลำดับ พอมีผัสสะ จนเกินงาม ก็ได้เตือนตัวเอง ว่า..เป็นลูกพ่อท่านภาษาอะไรมานั่งทุกข์อยู่ได้ ..แล้วปัญหาก็จะคลี่คลาย ..คำถามคือ..เปิดค่ายครั้งแรกลูกไม่ได้เข้า และคิดจะแค่ดูในเฟสบุ๊คเฉย ๆ ตกกลางคืนลูกฝันว่า คนอื่นเขาเข้าห้องเหมือนบวชเป็นเณรกันหมด มีลูกกับเพื่อนคนนึงไม่ได้เข้า ลูกรู้สึกเสียดาย และตื่นมาเลยได้เข้าค่ายมาถึงทุกวันนี้ ฝันนี้หมายถึงอะไรคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…ฝันก็คือฝันของคุณนั่นแหละ จะหมายถึงอะไร ก็เป็นความรำพึงรำพันรู้สึกนึกคิดของคุณแล้วเอาไปฝันไม่มีสติควบคุม มันก็คิดไปได้สารพัดบางทีมันก็ปนกันเละ เรื่องที่ไม่ได้เรื่องอะไรต่ออะไร ตอบไม่ไหวหรอก ฝันก็คือความคิดที่มันเละเทะเลอะเทอะอยู่ในนั้น ไม่เป็นส่ำ จนกระทั่งคุณลดที่จะไปหลงยึดถือในสิ่งต่างๆที่ไม่เป็นส่ำ ความฝันก็จะเป็นเรื่องเป็นราวจนเป็นพระอรหันต์ไม่ฝัน และจะมีแต่นิมิตที่เป็นธรรมะเยอะแยะเลย จะหยุดหรือไม่หยุด ท่านเรียกว่าคุยกับเทวดา
บรรลุอรหันต์โดยไม่ต้องพึ่งพาเจโตสมถะเป็นทางตรง
_งาม ผ้าขี้ริ้ว : ถ้าปฏิบัติธรรมไม่คืบหน้า มีสัมมาทิฐิแล้ว นั่งเจโตสมถะจะช่วยอนุเคราะห์ได้ไหมครับ ช่วยลดความฟุ้งซ่านได้ไหมครับ ผู้บรรลุอรหันต์ที่ไม่ต้องพึ่งพาเจโตสมถะมีไหมครับ
พ่อครูว่า…ผู้บรรลุอรหันต์ที่ไม่ต้องพึ่งพาเจโตสมถะนั่นแหละถูกต้องด้วย ผู้ที่ปฏิบัติธรรมตามหลักจรณะ 15 วิชชา 8 บรรลุอรหันต์ได้เป็นทางตรง ไม่ต้องไปพึ่งเจโตสมถะ เจโตสมถะก็คือไปนั่งหลับตาทำความสงบ หรือไปย่างหนอ ก้าวหนอ เพื่อที่จะไปยึดสมถะมีจุดให้ยึดสมถะ เพราะมันแย่ มันสงบไม่เป็น ก็ต้องใช้วิธีนั้น
แต่ของพระพุทธเจ้านั้น เรียนรู้ตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา อปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ สัมผัสกับของกินของใช้อ่านกิเลสจากของกินของใช้ในชีวิตธรรมดา แล้วก็ตื่นรู้ให้ได้ว่ากิเลสเราเกิด เราก็ล้างกิเลส อย่างนี้แหละปฏิบัติทางตรงในการทำ ปัสสัทธิ ในการทำความสงบ ที่ไม่ใช่เจโตสมถะ ล้างกิเลสแล้วก็เกิดความสงบไปตามลำดับ ๆ กิเลสออกก็สงบ
กิเลสยิ่งหมด กายกรรมก็ยิ่งแคล่วคล่อง วจีกรรมก็ยิ่งแคล่วคล่อง มโนกรรมก็ยิ่งแคล่วคล่อง ไม่ต้องยิ่งแข็งยิ่งขึ้นยิ่งเซ่อไม่ใช่ มันคนละเรื่องกันเลยกับวิธีปฏิบัติที่ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้าสายโน้นสายหลับตา นั่งแข็งทื่อ ย่างหนอก้าวหนอ อะไรพวกนี้
ประเด็นที่บอกว่า นั่งเจโตสมถะ จะช่วยอนุเคราะห์ก็ได้ ถ้าเข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ
อาตมาแยกแยะ นั่งเจโตสมถะ มีประโยชน์ 4 อย่าง
-
ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
-
ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
-
เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
-
สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
ข้อที่ 3 เป็นการตรวจนะ ไม่ใช่เป็นการทำจิต จริงก็คือ เตวิชโช เป็นการตรวจอ่านอดีต
บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ตรวจกิเลสเราเกิดไหม เราทำให้กิเลสดับไหม อันไหนที่ดับได้แล้ว ระดับไหนที่ยังดับไม่ได้ หรือว่าสับสนไม่เป็นลำดับเลย ไม่มีลำดับลำดา ก็ตรวจสอบดีๆ
_สุทัศณีย์ วงษ์กิ่ง : น้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วยเคารพ มีครูมาสอนยุคนี้แล้ว ไม่มาเรียนรู้ตามท่านก็หมดเวลาชีวิต ในชาตินี้หาพลิกแผ่นดินก็หาต่อไป คนที่ยังหาครูสอนธรรม หาไม่จบเพราะเค้ามาเห็นพ่อครูแล้วไม่เชื่อว่าพ่อท่านเป็นสัตบุรุษ และตำหนิพ่อท่านตามโลก ตามคนส่วนที่เชื่อว่าพ่อท่านผิด ตามที่มีการตัดสินเมื่อปี พ.ศ. 2532 ค่ะ ไม่กล้าฟังกลัวผิดจากสงฆ์หมู่ใหญ่ เค้าคิดว่าอยู่ฝั่งหมู่ใหญ่หรือหลับตาเดินต่อไปสายหลวงปู่มั่นสุดยอดยิ่งใหญ่แล้วค่ะ สาธุ
พ่อครูว่า… คุณเข้าใจถูก คนเข้าใจอย่างนั้นไม่น้อยเลยตรวจสอบตัวเองเอา อาตมาก็นำเสนอสิ่งที่ถูกต้องอย่างไม่ไว้หน้า อย่างเช่นมหาเถรสมาคมพาไปนั่งหลับตามันผิด พูดมาจนหมดแล้วซึ่งทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเอา ตัวเองตัดสินเอา
ทฤษฏีของพุทธต้องศึกษาแล้วปฏิบัติจึงพบความมหัศจรรย์
_9706 คำพูดคำสอนจัดเป็นทฤษฎีทั้งหมด ถ้าคนฟังไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้อะไร ?
พ่อครูว่า… จะว่าถูกก็ถูก คำพูดการสอนเป็นทฤษฎีเป็นบัญญัติเป็นพยัญชนะทั้งหมด คนไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้อะไร ก็ถูกอีก ถ้าคนฟังแล้วไม่เอาไปปฏิบัติ
เช่น ศีล สอนถูกต้องตามทฤษฎี เมื่อมีศีลแล้วคุณก็ต้องปฏิบัติ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ มีศีลแล้วก็สำรวมอินทรีย์ มีความตื่นจากกิเลส มี สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์
ต้องมีสัมผัสกับเครื่องกิน เครื่องใช้นี่แหละ อย่างสายหลับตาอย่างมหาบัว เขากินหมากกินพลู กิเลสหนาหยาบขนาดไหนก็ติดมันเฉย แล้วก็ไปสอนหลับตา ปึ๊งๆปั๊งๆ อะไรไป พูดไป มีบาปมีบุญ ธรรมะพุทธเจ้ามีการตรัสรู้สิ่งวิเศษ พูดไปน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงไป
อาตมาเปิดโทรทัศน์เจอมหาบัวเมื่อไหร่ก็พยายามตั้งใจฟัง โอ้.. น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงจริงๆ ไม่มีปรมัตถ์อะไรเลย มีแต่ทำใจในใจของเขาเหมือนกัน แต่มันไม่มีเรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่มีเรื่องของเวทนาในเวทนา เวทนา 108 ไม่มี ไม่รู้รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่รู้เรื่องเลย ไม่พูดถึงเลย
มันน่าสงสารคนที่นั่งหลับตา อาตมาพูดจนกระทั่งหมดเหมือนกันนะ อาตมากับพระพุทธเจ้านี้ต่างกัน พระพุทธเจ้าตีทิ้งพวกนั่งหลับตาไม่ได้ พระนั่งหลับตากันหมดทั้งนั้นเต็มป่า มันหลงผิดกันหมด ถ้าตีทิ้งก็ไม่เหลือใครเลย แล้วพระพุทธเจ้าจะสอนใคร แต่อาตมาไม่ พระพุทธเจ้าจัดการถูกต้องหมดแล้วอาตมาก็ตีทิ้ง ตีทิ้งก็ยังมีคนเหลืออย่างพวกคุณ เข้าใจ พวกที่อยู่กึ่งๆ ก็จะเข้าใจมากเพิ่มขึ้น
พวกที่ยึดมั่นถือมั่นในการนั่งหลับตาอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเป็นพญานาคเฝ้าถาดทองคำพระพุทธเจ้ามาชั่วนานนับกัปกาลก็แล้วไปเถอะ พวกนี้เอาหอกแทงเช้ากลางวันเย็นอย่างละ 100 เล่มก็เฉย ฟันไม่เข้าแทงไม่ออก ไม่ใช่ยิงไม่ออก อยู่อย่างนั้นแหละ คือ ยึดมั่นถือมั่นอย่างไม่ยอมเปิดจิตเปิดใจอีกแล้ว ก็สุดวิสัยที่จะไปช่วยได้ ก็ต้องให้เต่าให้ปลากินไป ไม่รู้จะทำอย่างไร
ทีนี้ ถ้าเผื่อว่าคุณ9706 พูดว่าคำพูดคำสอนจัดเป็นทฤษฎีทั้งหมด ถ้าคนฟังไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้อะไร หมายความว่า อาตมาสอนไปนี่ เป็นทฤษฎี ที่อาตมาพูด แน่นอนก็ไม่ได้อะไร แต่คุณปฏิบัติกันหรือเปล่า … ปฏิบัติ
ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 เข้าใจ ปฏิบัติถูกต้อง จึงเกิดผลเป็นที่มหัศจรรย์ พูดได้เลยว่าเป็นความมหัศจรรย์ เกิดผลมหัศจรรย์
เข้าสู่สูตร มหัศจรรย์ 8
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
ความมหัศจรรย์ของการเลิกกินเนื้อสัตว์
พ่อครูว่า… ขอสรุปความมหัศจรรย์ พวกเรานี้ จรณะ 15 วิชชา 8
ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌาน 4 เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้าแท้ๆ นอกจากนี้ไม่ใช่พุทธคุณของพระพุทธเจ้า ไปนั่งหลับตามันนอกจรณะ 15 วิชชา 8 เลย ซึ่งเป็นเดียรถีย์กันจริงๆ ไอ้พวกนั่งหลับตาปฏิบัติ ฌาน เขาไปได้จากการหลับตา แต่ฌานของพุทธต้องได้จาก ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌาน 4 มีปัญญา8 หรือวิชชา 8 เกี่ยวข้องเป็นยาดำแทรกอยู่ตลอดให้เข้าใจ
ศีล ปฏิบัติจาก อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจะเกิดผลอย่างนี้นะ
แต่ก่อนนี้ศรัทธาของเรา เราก็ว่าเราศรัทธาแบบโลกๆ เอาแต่แค่ประเด็น สัตว์ เอาล่ะเราอาจไม่ใช่ชาวประมง ไม่ใช่พวกฆ่าสัตว์ แต่เราก็ยังกินเนื้อสัตว์ ฆ่าปูฆ่าปลากินอยู่นั่นแหละโดยไม่ฆ่าเอง แต่ให้คนอื่นเขาฆ่า ก็ไม่รู้ความเนื่องเกี่ยว ที่เราไม่พ้นวิบากที่มันเนื่องเกี่ยวกับพวกนี้เลย
ซึ่งอาตมาเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาสอน ยกตัวอย่าง ชีวกสูตร 5 ประการ
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อยู่ดีๆจะไปกล่าวชื่อสัตว์ทำไม นอกจากพวกที่เรียนรู้วิชาการ แต่พวกเรียนรู้วิชาการเขาไม่ฆ่าสัตว์นะ เขาก็ศึกษามันแล้วก็ปล่อยมันไป พวกศึกษาสัตวศาสตร์เขาจะไม่ฆ่าสัตว์ เขาจะรู้จักชีวิต ชีวะ น่ารักษา น่าศึกษา นอกจากว่าเขาสับสน ไม่ฆ่าสัตว์หรอก แต่ยังกินเนื้อสัตว์ พวกสับสน ดีไม่ดีบางทีก็ฆ่าเองก็กิน ถ้าธรรมดาก็รักสัตว์ มันสวยงามมันน่าเอ็นดู อย่างที่เราดูในสารคดีศึกษาสัตว์ในชีววิทยา แต่เสร็จแล้วก็สับสนฆ่าสัตว์กินเองหรือไม่ฆ่าก็ยังกินอยู่ อาจจะกินเนื้อดิบด้วย บางที
คนที่ไม่ได้ศึกษาแม้แต่ศีลข้อที่ 1 ไม่ได้สำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจ เกี่ยวกับสัตว์เอามาทำเป็นเครื่องใช้หรือแม้แต่เอามันมาใช้เราก็ไม่ใช้ ให้มันอยู่ไปตามวิบากกรรม มันก็อยู่ของมันช้างม้าวัวควาย แต่นี่ไปเอามาสารพัดสารเพ จะแฝงเอาประโยชน์จากมันเอามาเป็นสินค้าเอามันมาฆ่าเอามันมาขาย ยังกับ ตัวเองเป็นเจ้าของ มาซื้อ แลกเปลี่ยนเป็นเจ้าของผูกไว้ใส่คอกไว้ ซึ่งชีวิตจะเกี่ยวเกาะกับสัตว์ไปอีก วิบากมันลึกซึ้งมาก
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60