650131 ทำปาฏิหาริย์ให้ชีวิตมีค่า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 26
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1miLqZhnP-XsA7SBoUFzEqSafI1Wp_fpW10hlkXvwl-Y/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1JwVcErYGUXauHgCGJM3LmF2n2A9Pr_im/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1885941338245112
และ https://youtu.be/_IwSpgCz1Jw
วิญญาณเก๊กับวิญญาณจริง
_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
วิญญาณไม่ใช่สิ่งที่เราจะเห็นว่าเป็นของนอกตัวเป็นของที่ต้องตายไปแล้วจึงจะเป็นวิญญาณปรากฏ นั่นคือเรายังมิจฉาทิฏฐิ แต่จริงๆแล้ววิญญาณก็ปรากฏอย่างสัมมาทิฏฐิได้ เราทุกคนควรรู้จักว่าวิญญาณควรจะปรากฏอย่างไร วิญญาณควรจะปรากฏเมื่อตากระทบรูปหูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายรับสัมผัส ในทุกปัจจุบัน
หากเราไม่รู้จักวิญญาณ เราก็จะไม่สามารถจัดการระงับวิญญาณที่เป็นผีเป็นเปรตของตนเองได้
พ่อครูว่า… วิญญาณที่เขาระงับไม่ได้ มันเป็นทั้งสองอย่างเลยว่า วิญญาณนี้จะมีวิญญาณเก๊ วิญญาณมิจฉาทิฏฐิ เขาก็มีสมมุติขึ้นมา กับวิญญาณแท้ๆ
วิญญาณแท้ๆก็คือธาตุรู้ที่สมบูรณ์ด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็เป็นวิญญาณพร้อม เต็ม คือ วิญญาณขันธ์ สมบูรณ์ทั้งเจตสิก 3 สมบูรณ์ทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร กับรูป รวมแล้วเป็นขันธ์ 5 ครบ
ส่วนคนที่มีวิญญาณเก๊นั้น อันนี้ฟังดีๆ เราฟังดีๆไม่ยากหรอก ฟังด้วยเหตุผลตามความเข้าใจก็พอรู้
เราจะปฏิบัติธรรมกับวิญญาณเก๊ หรือเราจะปฏิบัติธรรมกับวิญญาณจริง แต่คนไม่มีสัมมาทิฏฐิ ก็ไปปฏิบัติให้เกิดวิญญาณเก๊ ทั้งๆที่วิญญาณจริงตัวเองก็มีอยู่ แต่ไปทำตัวเองให้เข้าใจผิด ตัวเองไปเข้าใจผิด แล้วก็ไปทำตัวเองให้เกิดวิญญาณเก๊ เช่น คนนั่งหลับตาปฏิบัติธรรม วิญญาณก็เป็นสัมภเวสี ซึ่งเป็นศัพท์พยัญชนะวิชาการ คือ วิญญาณที่อยู่ในภวังค์อยู่ในภพ อยู่ที่ไหนก็ได้แล้วตนเองก็ทำตนเองเข้าไปอยู่ในภวังค์ แล้วก็ไปเล่นกับวิญญาณนั้น ซึ่งวิญญาณสัมภเวสีนั้นไม่ใช่วิญญาณแท้ เขาก็ไปเล่นกับตัวนี้แหละ เรียกว่า อุปาทาน เรียกอีกศัพท์ อีกหลายอย่างเช่น นิรมาณกาย ในกาย 3 ซึ่งก็เป็นอุปาทานทั้งนั้น ร่วมรู้ด้วยกันเยอะ นั่งหลับตาเข้าใจร่วมกันเป็นสัมโภคกาย ซึ่งเป็นศัพท์วิชาการ แล้วก็ต่างคนต่างไม่มีใครเห็น ใครก็ของใคร อยู่ในภพก็เห็นของตัวเองเท่านั้น ของคนอื่นไม่มีใครเห็นของคนอื่นด้วยกันหรอก อทิสมาณกาย อทิสะ แปลว่าไม่เห็น ไม่มีใครเห็นของคนอื่นหรอก เดาสุ่มว่าตรงกันเรียกว่าสัมโภคกาย มันไม่มีจริงเลย คือ นิรมาณกาย จิตนิรมิตกายขึ้นมาสร้างขึ้นมาเอง
จะเป็นเทวดาหรือว่าสัตว์นรกหรือว่าเป็นตัวจริง เป็นธาตุรู้ที่ไปหลงว่าเป็นความจริงเช่นมนุษย์ คือจิตเราเอง เขาหลงว่าจิตเราเองด้วยนะ จิตเราเองก็จริง เป็นสัญญา เป็นการกำหนดขึ้นมา เสร็จแล้วกำหนดรู้ไปต่างๆเรียกว่าสัญญากำหนดไป ทั่วทีปทั่วแดน กำหนดเนรมิตสร้างขึ้นมาไป ฟุ้งซ่านไป ก็คิดว่าได้สารพัด เอาสาระไม่ได้ ไม่เป็นสาระแต่เอามาเป็นสาระก็ได้ ไปยึดที่ไม่เป็นสาระมาเป็นสาระอีก มันก็เลยยิ่งเละใหญ่ เละตุ้มเป๊ะเลย ไม่ใช่ตะลุ่มตุ่มม้ง
สู่แดนธรรม… มีวิญญาณแท้กับวิญญาณเก๊ เด็กๆเรียนรู้ที่เวทนาก่อนก็ได้
พ่อครูว่า… ดูเวทนาสุข ทุกข์แล้วแยกเป็นเจตสิกอีก
ก่อนอื่น มีดอกสุพรรณิการ์ ดอกเกือบเท่าหน้าอาตมา ต้นข้างศาลานี้เอง มีหอมใหญ่ มีงบน้ำอ้อย
แยกกายแยกจิตให้เกิดภาวนาที่แท้ทำเช่นไร
_พ่อครูว่า… คำว่า ภาวนาคำนี้แปลว่า การเกิดผล ฟังดีๆ ภาวนาเป็นคำนาม ไม่ใช่คำกิริยา แต่เขาไปเข้าใจว่าเป็นคำกิริยา เช่น ไปนั่งภาวนาพวกนั่งหลับตาปฏิบัติ เป็นการเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจเป็นคำกิริยาที่จริงเป็นคำนาม เริ่มต้นก็ผิดแล้ว เสร็จแล้วปฏิบัติก็ได้ผลผิด
ไปนั่งหลับตามันก็เป็นการปฏิบัติผิด เขาไปเข้าใจภาวนาว่าคือการมีกิริยานั้นๆ ความผิดพลาดมันผิดไปได้เยอะ จากความจริงจากคำสองคำที่เทียบเคียงกันแล้วว่าอันไหนถูกอันไหนผิด มันก็เลยเยอะเหลือเกินความผิดพลาด อาตมาก็จำเป็นที่จะต้องพยายามจับคู่มาชี้ พิพากษา คำไหนถูกต้องสภาวะ คำไหนไม่ถูกต้อง ไล่ไปเรื่อยๆ
คำว่า กาย ซึ่งเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 หรือเป็นคำแรกของโลกุตระธรรม โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นคำแรกที่จะต้องรู้เป็นสังโยชน์ข้อแรก ที่จะต้องรู้ว่ามันคู่กับจิต กายมันคู่กับจิต เป็นคำแรกที่จะต้องรู้เลยว่า กายมันคืออย่างไร กายนี่
มาเป็นภาษาไทยแล้ว คำว่า กาย เดี๋ยวนี้ เด็กๆตัวเล็กตัวน้อยขึ้นมาก็รู้แล้วคำว่ากาย แล้วจะมีคำที่คู่กันคือ ร่างกาย
ภาษาบาลีคำว่าร่างกายก็มีเฉพาะอีก คือ สรีระ แปลว่า ร่าง เขาก็เอากายไปแถมเข้าไปอีก ก็หมายถึงร่างภายนอก โครงร่างของอะไรก็แล้วแต่ แล้วเขาก็เข้าใจอันนั้นว่าคือกายอย่างเดียว สำคัญคือโครงร่างที่เป็นวัตถุรูป ไม่มีความเป็นนามธรรม เข้าไปเกี่ยวข้องเลย นี่คือมิจฉาทิฏฐิ คือ ความรู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ความรู้มิจฉาทิฏฐิได้กระจายทั่วไปในชาวพุทธทั่วเมืองไทย นักปฏิบัติธรรม จนกระทั่งประกาศตนเองว่าเป็นอรหันต์ ก็เข้าใจผิดอย่างนี้ แล้วจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร แค่คำว่ากายก็ผิดแล้วตั้งแต่เริ่มต้น ประกาศตัวเองว่าเป็นอรหันต์ แม้แต่คำว่ากายคำแรก สำคัญที่ พระพุทธเจ้าท่านมีระบุไว้เลย
บอกอุปัชฌาย์ผู้บวชภิกษุขึ้นมา จะต้องสอนเรื่องกาย แยกกายแยกจิตให้ชัด เป็นมูลกรรมฐาน 5 หมายความว่า จะใช้ผมขนเล็บฟันหนัง 5 อย่าง เด็กๆ รู้จักผมไหม รู้จักขนไหม รู้จักเล็บไหม รู้จักฟันไหม รู้จักหนังไหม ภาษาไทยทั้งนั้น
ผมนี่ หมายความถึงตัวผู้ชายคนหนึ่ง ผมก็ตาม เพราะฉะนั้นภาษาไทยนี่ยาก ผม หมายถึงเส้นผมที่อยู่ที่ศีรษะ ก็ได้ เรียกว่าเส้นผม
ขน เรียกว่า กำลังยกอันนี้ไปใส่อันโน้น ยกของ เป็นต้น เรียกว่าขึ้นมาขนตามเนื้อหนังมังสาตัวเราก็ขน แม้แต่ขนริมฝีปากก็ขน แต่เขาเรียกว่าหนวด ตรงคางก็เรียกว่าเครา ต่างๆนานา แยกเรียกไปหลายที่ก็ได้
เล็บ มันไปเรียกอันอื่นไม่มี
ฟัน ที่อยู่ในปาก
หนัง ที่เรากำลังดูภาพยนต์ก็เรียกว่าหนัง มันมาจากหนังวัว หนังควาย เป็นแผ่นแล้วเอามาสลักทำเป็นหนังเชิดหนังใหญ่ หนังตะลุงเป็นต้น ก็เลยเป็นคำว่า หนัง แต่ก่อนจะเกิดหนังเคลื่อนที่ก็มีหนังเงาๆอย่างนี้ดูกัน แต่เดี๋ยวนี้เป็นรูปร่างเลยก็เรียกว่าหนัง แต่ภาษาเท่ๆเรียกว่า ภาพยนต์ แต่จะเอาไปเรียกภาพยนต์ตะลุง มันฟังไม่เข้าแก๊ป ไม่มีใครเอาไปใช้
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง 5 คำนี้จะเอาคำไหนไปใช้อธิบายก็ได้ ให้รู้ว่าเมื่อใดเป็นผมมีกาย เมื่อใดเป็นขนมีกาย เมื่อใดไม่มีกาย ผมก็ตาม ขนก็ตาม เล็บก็ตาม ฟันก็ตาม หนังก็ตาม เมื่อใดมันมีกาย เมื่อใดมันไม่เป็นกายแล้ว
อันนี้จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย แต่จะยากหรือง่ายก็ต้องเรียนรู้ เป็นภาคบังคับเลยสำหรับผู้มุ่งนิพพาน คนที่ไม่เข้าใจแยกกายแยกจิตไม่ได้ไม่มีนิพพาน มีแต่นิพพานเก๊ นิพพานจริงต้องแยกได้
อาการของสภาพที่เรียกว่า กาย คือจะต้องมีความรู้สึก มีจิตร่วมเรียกว่า มีกาย
ถ้าสภาพนั้น ผมก็ตาม ตัดออกมาแล้ว มันไม่มีจิตร่วม เล็บก็ตาม ชิ้นที่ตัดออกมาไม่มีชีวะแล้ว ไม่ร่วมอยู่กับร่างกายแล้ว มาเป็นวัตถุดินน้ำไฟลม ไม่เป็นชีวะแล้วอย่างนี้เรียกว่าไม่มีกาย
ต่อมาเล็บ ที่ยังอยู่กับร่างกายยังไม่ได้ตัดออกมา แต่ม้นยังยาวพ้นประสาท มีอาหารเลี้ยงให้ยาวได้และอันนี้เป็นพืช ถือว่า ไม่มีกายเพราะมันไม่มีจิต แต่มันมีชีวะ มันไม่มีจิต มันไม่มีวิญญาณ มันไม่มีเวทนา มันมีแต่การปรุงแต่งของสังขารและสัญญา เป็นรูปเป็นสภาพสัญญา สังขาร นี่เรียกว่าพืช
มนุษย์หรือคนเมื่อจิตมัน Drop ลงไป จิตตายจากจิตแล้ว Drop หรือว่าตก จิต หมดอาการพลังงานของจิตตกไปเป็นพลังงานของพืช เรียกว่ามนุษย์
มนุษย์พืชไม่มีความรู้สึกไม่ว่าจะเป็นภายนอกภายใน แต่เป็นชีวะเป็นพืช อาหารที่จะไปเลี้ยงเป็นธาตุวิตามิน มันก็จะไปปรุงแต่งเป็นชีวะเป็นพืช ที่เรียกกันว่ามนุษย์พืชนั่นแหละ ไม่มีความรู้สึกเป็นชีวะ อันนั้นถือว่า นิพพาน
นิพพานคือไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ แม้จะมีสัญญา มีสังขารเป็นพืช เป็นชีวะ เป็นชีวิตอยู่ ยังสามารถงอกออกไปได้เรื่อยๆ เล็บก็มีสังขาร มีสัญญา งอกได้มันมีอาหาร แต่อันนั้นไม่มีกายแล้วไม่มีจิตตแล้ว อันนี้แหละเรียกว่าไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขแล้ว เป็นตัวหมายรู้ให้รู้ว่าใครทำได้อาการนี้ของจิต จิตทำให้เป็นจิตที่ไม่มีกาย จิตที่ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณเต็มสภาพนี้
ไม่มีเวทนาที่เป็นทุกข์เป็นสุข ไม่รู้สึก เหมือนพืชอย่างที่บอก อย่างนี้เรียกว่าอาศัย พีชนิยาม พระอรหันต์ จะอาศัย พีชนิยาม อยู่อย่างไม่มีทุกข์ไม่มีสุข อย่างไม่มีบาปไม่มีบุญ พืชไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แต่มีชีวิตมีชีวะเท่านั้นเอง
ถ้าไม่เข้าใจอันนี้ ทำจิตให้เป็นอันนี้ไม่ได้ ไม่ใช่อรหันต์ ผู้ทำได้แต่ไม่รู้พยัญชนะอธิบายอย่างอาตมาไม่ได้ ก็เป็นอรหันต์ประเภทศรัทธา ประเภทเจโต ทำจิตตัวเองให้เป็นอย่างนี้ได้ เมื่อมีสัมมาทิฏฐิทำได้เป็น เจโต เรียกว่าเป็นผู้มีกายสักขี แต่ตัวเองไม่รู้ พอรู้ขึ้นมาจึงเรียกว่าปัญญาวิมุติ มีธาตุรู้ว่ากายเราเป็นอย่างนี้ จิตเราเป็นอย่างนี้
แต่ผู้ยังไม่มีความรู้เรียกว่ากายสักขี แต่คนนี้มีกายให้เห็นว่าเป็นร่างเป็นกาย เป็นร่างเป็นกายของผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีเวทนาแล้ว
คำว่ากายคำนี้หมายถึงเป็นสิริมหามายา หมายความว่าเหมือนเป็นมายาว่ามีร่างนะมีกายนะ แต่กายไม่มี เป็น dialectic เป็นภาษาสองอย่าง ถ้าเข้าใจแล้วจะบอกว่ามีกายก็ได้ไม่มีกายก็ได้ แล้วแต่ว่าอันนั้นหมายถึงอะไรเป็นสิริมหามายา เป็นนักเล่นกลชั้นดีชั้นยิ่งใหญ่ สิริดี มายา ยิ่งใหญ่ เป็นนักมายากลยิ่งใหญ่แต่ไม่ได้เป็น มายา คำว่ากายเอามาใช้ได้ทั้ง 2 เวลาทั้ง 2 ขณะ ทั้ง 2 สภาพ
แต่จริงๆแล้วสรุปรวมแล้ว อรหันต์รู้จักความมีกายกับความไม่มีกาย แต่ไม่ไปยึดถือว่ามีกายหรือไม่มีกายจะใช้อะไรก็ใช้ แต่ไม่เข้าไปติดทั้ง 2 อย่างเรียกว่า อนุปคัมมะ หรือผู้ที่เป็น กลาง มัชฌิมา
เด็กๆรับไหวไหมนี่ อธิบายไปยาวยืดเลย
ความรู้ของศาสดาใดๆก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า
_สู่แดนธรรม… ผู้ชมถามว่า เทวทัตได้ภูมิโสดาบันหรือไม่ครับ
ลุงแป้งก็จำไม่ได้ว่าเคยเกิดร่วมชาติกับท่านหรือไม่ แต่ก็เดาโดยตรรกะว่าน่าจะเคยเกิดร่วมกับพระเทวทัต แต่ถ้าจะตอบโดยการสแกนภูมิว่า ผู้ที่จะเป็นโสดาบันนั้น แม้แต่คนที่กำลังพากเพียรทำสติปัฏฐาน 4 อยู่ ธรรมะขั้นยากๆเช่น สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 เหล่านี้คือผู้ที่กำลังพากเพียรเป็นโสดาบันอยู่ ถ้าได้ผลก็เรียกว่าโสดาบัน ก็คือต้องรู้จักสลายความเห็นผิดในเรื่อง กาย ตั้งแต่ข้อแรกเลย
กายของเราไม่ได้สำคัญว่าเป็นเรา แท้จริง มันมีธรรมชาติมาเป็นเราเพราะว่าธาตุมันปรุงแต่งเป็นดินน้ำลมไฟ จนกลายเป็นธาตุรู้ที่เป็นวิญญาณ รวมตัวกับดินน้ำลมไฟมาเกิดในท้องพ่อท้องแม่จนเราดับสลายเป็นธาตุอย่างเดิมไม่ได้อีกแล้ว เราก็เลยมีวิบากเป็นเทวดา สัตว์นรกอยู่ตลอดกลับไปเป็นปกตินั้นไม่ได้ กลับสู่ความเป็นปกติได้ ก็ต้องเข้าสู่การละวางความเห็นผิดเรื่อง กาย ว่าไม่ใช่เป็นเราเป็นของเรา แม้จะละไม่ได้ก็ไม่ควรเห็นผิดว่ากายเป็นเราเป็นของเรา
บางคนไม่รู้จักกาย
แต่พระเทวทัตก็ไม่ได้ละความเป็นกาย ลุงแป้งก็ตอบว่า ภูมิของพระเทวทัตยังไม่ได้โสดาบัน
พ่อครูว่า… เทวะแปลว่า 2 ทัตตะแปลว่าโง่ พยัญชนะ เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่รู้ความเป็น 2 และแยกความเป็น 2 ให้เป็น 1 หรือ ทำ 1 ให้เป็น 2 โดยมีอำนาจ มีพลัง สามารถมีอภิภุยยะ หรือมี วสวัตตีโก ผู้หยั่งจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ทำจิตให้เป็น 2 ก็ได้เป็น 1 ก็ได้เป็น 0 ก็ได้เขายังทำไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าแยกได้หรือแยกไม่ได้ ยิ่งเป็นเทวะอย่างเทวนิยม ชาวเทวนิยม ยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย ไปฮุบเอาสภาพ 2 เป็นพระเจ้าหรือเป็น 1 แล้วก็พระเจ้าบัญชาว่าอย่างไร เป็นหนึ่งหมดเลยต้องตรงตามพระเจ้าบัญชาหมดเลย หมดสิทธิ์คิด ต้องตามพระเจ้าว่าทุกคำ
เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นลูกศิษย์พระเจ้าจึงกลายเป็นทาส ที่ต้องรับฟังจากพระเจ้า พระเจ้าว่าอย่างไรก็เป็นพระประสงค์ พระเจ้าจะให้เป็นจะให้ตายเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งนั้น พระเจ้าทำให้เกิดให้ตายทำให้สุขให้ทุกข์ ทำให้สบายไม่สบาย ทำให้รวยทำให้จน ทำให้เป็นอะไรเป็นอย่างนั้น จะเป็นคนพิการเป็นคนเต็มๆ เป็นคนสวยคนงาม คนไม่สวยไม่งาม เป็นคนเจริญเป็นคนไม่เจริญ เป็นคนมีอำนาจเป็นคนไม่มีอำนาจ พระเจ้าทั้งนั้น
มันเป็นความรู้ที่ยังไม่รู้ เป็นความรู้ที่ยังไม่รู้ ของผู้อวิชชาหรือผู้ไม่รู้ เขาก็เลยเละกันหมดแล้วก็ไปเชื่อว่า มีผู้หนึ่งที่เป็นเจ้าของความรู้เจ้าของความเป็น เจ้าของทุกอย่าง เป็นเจ้าของทุกอย่างเลยแม้แต่มนุษย์ทุกคน ก็เป็นของพระเจ้าที่พระเจ้าจะให้เป็นอะไร ต้องเป็นตามพระเจ้าเท่านั้น เพราะความไม่รู้ ความแยกแยะอะไรต่ออะไรไม่ได้ จึงจะต้องอาศัยคำสอน
ที่จริงพระเจ้าก็ดี พระศาสดานั่นแหละคือพระเจ้า เป็นตัวเอง แต่พระศาสดาเทวนิยมไม่รู้แม้กระทั่งตัวเอง ไม่รู้กรรม ไม่รู้กิริยา ไม่รู้ความเป็นศาสดาได้เพราะอะไร รู้แต่ว่ามีพระบิดา มีพลังพิเศษยิ่งใหญ่ ให้มาเป็นผู้ประกาศเรียกว่าประกาศก หรือ prophet เป็นผู้มาประกาศความรู้ความจริงของพระเจ้าหรือพระบิดา ตัวผู้ประกาศก็เรียกว่าพระบุตร เป็นลูกของพระบิดา แล้วพระบิดามาจากไหนก็ไม่รู้
จริงๆพระบิดาก็คือตัวเอง ความรู้ของตัวเอง ความจริงของตัวเอง สั่งสมมาเป็นสัมภาระวิบากจนกระทั่งได้มาเป็นศาสดาทางเทวนิยม องค์ใดองค์หนึ่ง จนสร้างศาสนาได้ ก็เป็นศาสดา เพราะฉะนั้นศาสดาที่เก่งถึงขีด ก็สร้างศาสนาของตัวเองได้ในโลก ศาสนาคริสต์ศาสนาใหญ่หลายศาสนามากมายเลย ศาสนาของเทวนิยมมาก
ศาสนาที่เกิดหลังสุด คือศาสนา ศาสนามอร์มอน เป็นสิทธิมนุษยชนรุ่นสุดท้าย แต่ก็ยังไม่ถึงกับ มีกลุ่มหมู่หรือมีศาสดาตัวจริงเลย ใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของรู้จริงรู้ยอดอะไรไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่าเขาเข้าใจและรวมกันเป็นกลุ่มหมู่ มันก็เลยไม่เป็นโล้เป็นพาย
ส่วนศาสนาบาไฮมีพระบาฮาอุลลา พระบาฮาอุลลามีความรู้เช่นนี้คือจะรวมศาสนาทุกศาสนามารวมกันหมด โดยคิดใหญ่มากว่าตัวเองจะได้เป็นศาสดาของศาสนาทุกศาสนา แม้แต่ศาสนาพุทธก็จะเอา ญาติดีกับทุกศาสนาหมดเลย แล้วก็ยกย่องศาสดาของแต่ละศาสนาหมดเลย แต่พระบาฮาอุลลาห์ผู้ใหญ่กว่าทุกศาสดา เป็นความคิดใหญ่ ก็ไม่สำเร็จก็ได้ขนาดนั้นเดี๋ยวนี้ก็ยังเหลืออยู่นะ ยังมีคนเชื่อยังมีคนเข้าใจ
สู่แดนธรรม… พ่อครูกำลังอธิบาย แท้จริง ผู้ประกาศหรือพระบุตรคือมีความรู้ของเขาเอง มีนักเขียนคนหนึ่งในเมืองไทย เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องคนทรงเจ้า คือคุณวิมล ไทรนิ่มนวล ผมว่าคนคนนี้เข้าใจ เพราะเขาได้เปิดเผยว่า ร่างทรงที่เป็นพระเอก เขารู้ว่าจริงๆแล้วไม่มีใครมาเข้าทรงเขาหรอก ตัวเขาเองเป็นคนรู้เองตอบเอง หากอยากรู้คำตอบแนะนำให้ไปอ่านหนังสือลำธารชีวิต
ปาฏิหาริย์แบบอนุสาสนีเท่านั้นที่พาพ้นทุกข์
_พ่อครูว่า… วันนี้ปกิณกะ เด็กๆมีอะไรอยากจะถามหลวงปู่ไหม
คนทรง ก็คือตัวเขาเองนั่นแหละ คนทรง จะเอามาพูดอะไรต่ออะไร ด้วยตัวเขาเอง คนที่เป็นคนทรงแบบอวิชชา เขาก็จะเข้าใจผิดว่าไม่ใช่เขาหรอก มีวิญญาณอะไรอื่นเข้ามาทรงในตัวเขา แล้ววิญญาณนั้นก็เก่งสามารถดูอะไรละเอียดลึกลับได้อย่างที่คนธรรมดาไม่รู้ หรือวิญญาณนั้นจะเก่งถึงขนาด เป็นคนธรรมดาที่ตัวเขาเป็นคนธรรมดาชีวิตธรรมดา เขาก็ทำไม่ได้เหมือนตอนที่เขาเข้าทรง จะเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์อะไรก็แล้วแต่หลายอย่าง พอเข้าทรงแล้วทำอะไรต่ออะไรได้พิเศษขึ้นมา เขาก็นึกว่ามีวิญญาณของผู้ที่เก่งๆเข้ามาในร่างเขา ใช้ร่างเขาแสดงความเก่งที่เป็นความรู้ทั้งอิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์ แล้วเขาก็แสดงเต็มไปหมดเลย อย่าว่าแต่ประเทศไทยเลยประเทศอื่นไหนก็มีทั่วไป
ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีวิญญาณใดเข้าทรงเขา เป็นความสามารถของเขาเท่าที่เขามี แต่เขาเอาออกมาใช้เป็นสามัญไม่ได้ เขาก็ต้องเพ่งเข้าไป Concentrate เข้าไปหาตัวหนึ่งเข้าไป เป็นสมาธิหนึ่งเดียวในจิตของตนเอง แล้วก็ใช้พลังงานที่เข้าไปรวมจิตให้เต็มที่ แสดงออกทางที่เขาสามารถจะใช้พลังจิตเต็มๆที่นั้น ให้เป็นฤทธิ์ทางอิทธิฤทธิ์หรือทางอาเทสนาปาฏิหาริย์ เขาก็แสดงได้เท่าที่เขามีของเขาแต่ละคน แต่เขาไม่รู้ตัว
เหมือนอย่างศาสดา ศาสดาก็มีของตัวเองเต็มที่ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองได้สั่งสมกรรมวิบากมา สามารถมีความรู้ สามารถมีความจริงเท่าไหร่ หรือจะแสดงเหาะเหินเดินน้ำดำดินได้เท่าไหร่ อย่างเช่นพระเจ้าหลายองค์ก็เก่งอย่างโน้นอย่างนี้ บางองค์ก็มีฤทธิ์ อย่างที่เราได้ยินฤทธิ์เดชของพระเยซู ฤทธิ์เดชของพระโมหะมัต หรือทางศาสนาฮินดูในเรื่องรามเกียรติ์มีเยอะแยะเลยสารพัด
เพราะฉะนั้นที่เป็นจริงได้ก็มี ที่เป็นจริงไปไม่ได้ก็มี มีพลังงานพิเศษที่เป็นจริงได้ เรียกว่าเรื่องที่มันควบคุมไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้มีแต่อวดเก่ง มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช เก่งหยั่งรู้ใจคนทำนายทายทักในที่ลึกลับอะไรต่ออะไรได้เก่ง อาเทสนาปาฏิหาริย์อิทธิปาฏิหาริย์ ถูกก็ได้ไม่ถูกก็ได้ แต่ไม่มีทางพ้นทุกข์ ประเด็นสำคัญ
เก่งอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์อย่างไร ไม่มีทางพ้นทุกข์ มีแต่หลงติดยึดกับความเก่งนั้น พ้นทุกข์ไม่ได้ แล้วตัวเองก็ไม่สามารถจะช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ เพราะตัวเองก็ไม่พ้น นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้ายืนยันชี้บ่งปาฏิหาริย์
มีปาฏิหาริย์อันเดียวคือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ใน ปาฏิหาริย์ทั้ง 3 อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้านั้นยกย่องเชิด อนุสาสนีปาฏิหาริย์อันเดียว
ปาฏิหาริย์ที่ไม่สมาธิจะเก่งอย่างไรพระพุทธเจ้าก็ไม่เอา
ดูกร เกวัฏฏะ เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว จึงได้ประกาศให้รู้ ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง เป็นไฉน ? คือ
-
อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)
-
อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)
-
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา๘ เป็นปัญญาสัมปทา)