650126 ตอบปัญหาพาถลกหนังพญานาคจอมหลับตา พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1unHnc9KxwY3AF_TkTrg8g0K8xuwzRmBLDIZHmN37mNg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1gmhdk0hFeNkKJngq4PEku4ovbWr8qRYF/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/aM_Rkdv0Wh/
และ https://youtu.be/NZ_m35Bl7V4
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ในงาน พุทธาภิเษกฯเราจะใช้หนังสือปัญญา 8 ที่พ่อครูเขียนสอบ แต่ว่าจะสอบแค่ 100 หน้า มีทั้ง E-Book และแบบถ่ายเอกสารเป็นเล่มตัวหนังสือใหญ่อ่านสบายตา สำหรับที่บ้านราชฯ มีการอ่านอัดเสียงให้ฟังด้วย
ในประเทศไทยก็มีดีที่นายกรัฐมนตรีไปเยือนซาอุดิอาระเบีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ก็ยังมีพวกที่ดิสเครดิตนายกฯตู่อีก อาจจะเป็นเพราะว่านายกฯขี้โกงเขาก็มีเงินมีทอง แต่นายกฯที่ซื่อสัตย์ทำให้พวกนักการเมืองอดอยากปากแห้ง
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 21-23 มกราคม 2565
สัมมาสมาธิกับสมาธิสัมโพชฌงค์เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
_หนึ่งนาใจ : สัมมาสมาธิในอริยมรรคองค์ 8 ต่างหรือเหมือนอย่างไรกับ องค์ 6 สมาธิสัมโพชฌงค์ (คหบดีแก้ว)ครับ
พ่อครูว่า…สัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ 8 เป็นลักษณะที่แจ้งให้ทราบว่าเมื่อปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ก็จะเกิดผลเป็นสัมมาสมาธิ
ฟังอีกที สัมมาสมาธินั้นเกิดจากการปฏิบัติมรรค 7 องค์เป็นเหตุ แล้วจึงเกิดผลเป็นสัมมาสมาธิ องค์ที่ 8
เพราะฉะนั้นสัมมาสมาธิในอริยมรรคมีองค์ 8 จึงเป็นสมาธิที่สมบูรณ์แบบ ที่สมบูรณ์แบบก็เป็นสมาธิที่เป็นอุเบกขา มันจะเนื่องกับโพชฌงค์ ก็จะเป็นอุเบกขาสุดท้าย
อุเบกขานั้นแปลว่า จิตเป็นกลาง หรือชัดๆคือ จิตบริสุทธิ์ อุเบกขาคือความบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา คือองค์ 5 ของอุเบกขา ที่พวกเราได้ฟังอาตมานำมาจากพระไตรปิฎก ในวิภังคสูตร
ทีนี้ สมาธิในสัมโพชฌงค์นั้น เป็นการระบุว่าของพระพุทธเจ้านี้ ในโพชฌงค์ 7
โพชฌงค์ก็คือ โพธิ แปลว่าความตรัสรู้ ที่รู้จากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเฉพาะพระองค์เลย ไม่มีใครเหมือนหรอก
สติก็ไม่เหมือน ธัมวิจัยก็ไม่เหมือน วิริยะก็ไม่เหมือน ปีติก็ไม่เหมือน ปัสสัทธิก็ไม่เหมือน สมาธิก็ไม่เหมือน สมาธิสัมโพชฌงค์ของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกับสมาธิของลัทธิอื่นๆใดๆในโลกทั้งหมด นี่คือประเด็นสำคัญ
สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น เรียกโดยพยัญชนะของพระพุทธเจ้าว่า สมาหิโต เป็นสมาธิที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงถึง กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
ธรรมในธรรมคือธรรมะที่เป็นโลกุตระธรรมกับโลกียธรรม
สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงเป็นโลกุตรธรรม เป็นสมาธิที่มีเจโตปริยญาณ 16
เจโตปริยญาณ 16 ตัวสมาธิก็อยู่ที่คู่เกือบจะสุดท้ายเรียกว่า สมาหิตะ กับ อสมาหิตะ
เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว แม้จะเป็นชาวพุทธก็ตาม นั่งหลับตาเป็นฤาษี เป็นพระป่าไปทำสมาธิและบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ บรรลุอรหันต์ บรรลุนิโรธอะไรก็ตามแต่ เพ้อเจ้อทั้งนั้น ถ้าไม่สามารถที่จะแยกแยะ
แยกแยะ มโนปวิจาร เรียกว่าพฤติของจิต อาการเคลื่อนไหวของจิต ที่มันเป็นเคหะสิตะ 18 แล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้ทำเป็นเนกขัมมะอีก 18 ได้ มันเป็นคู่กันระหว่างเคหะสิตะ กับ เนกขัมมะ ของโลกีย์เป็นเคหะสิตะ ของพระพุทธเจ้าก็มาเรียนรู้ความจริงรู้ไปถึงสภาพความจริงของจิตเจตสิกรูปนิพพาน หรือเรียนรู้ถึงเจตสิกต่างๆละเอียด
โดยเฉพาะละเอียดจะเข้าไปสำคัญตรงเวทนา แยกเป็นเวทนา 108 แล้วก็ทำเนกขัมมะ จนกระทั่งเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ และในสมาธิสัมโพชฌงค์ก็คือเป็นจิตที่ตั้งมั่นแล้ว สรุปสุดท้ายก็บอกว่าเป็นอุเบกขา ตั้งมั่นเพราะจิตเป็นอุเบกขา เป็นอุเบกขาแล้วถึงตั้งมั่น จะเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ทำให้จิตหมดกิเลสบริสุทธิ์สะอาด แล้วก็สั่งสมลงเป็น อเนญชา ตกผลึกลงไป แล้วก็ตั้งมั่น
ซึ่งไม่ใช่ไปนั่งสมาธิหลับตาแล้วก็สะกดจิตให้จิตมันตั้งมั่น แบบนั้นมันผิวเผินมาก ไม่ได้เป็นจริงเป็นจังอะไรหรอก กดข่มไว้ได้นานก็นาน นานเป็นชาติๆเลยนะ ก็ติดนิสัย ติดวิสัย เป็นวิสัยของเดียรถีย์เป็นชาติๆเลย
อาตมาก็พยายามจะปลุกพวกที่ไปหลงนั่งหลับตาสมาธิ ย้ำแล้วย้ำอีกเพราะสงสารเขาว่ามันไม่ใช่ของพุทธเลย อย่าไปงมงาย เลิกได้แล้ว อย่าไปหลงผิดคิดว่าเป็นพระอรหันต์กัน ติดหลงใหลตามกันมาตั้ง 2,500 กว่าปีแล้วเสื่อมหนัก ถ้าจะมาก็มาปลุกขึ้น แต่เขาไม่เชื่อแต่มา ผู้ที่เชื่อแล้วชักตื่นขึ้นมาบ้างก็ดี
เพราะอาตมาอธิบายไม่ได้อธิบายนอกรีต ทางโน้นอธิบายไม่ได้อย่างอาตมาหรอก ทางนั่งหลับตา แม้แต่จะเรียนพยัญชนะอันนี้เก่งๆพระอภิธรรม ขออภัยไม่ได้ไปทักทายอะไร เขาก็อธิบายไม่ได้อย่างอาตมา เพราะเขาจะอธิบายตามพยัญชนะ ถ้าใครไปซักถามพยัญชนะเก่งๆให้เป๋นะ เข้าป่าเลย
แต่ถ้าอาตมา ถ้ามาซักคำพยัญชนะ อาตมาไม่เข้าป่า เพราะมีสภาวะแล้ว ก็จะดึงให้เข้าป่า คุณพาอาตมาออกป่าทำไม อาตมาก็จะดึงเขากลับเท่านั้นแหละ
ก็ไม่ใช่เรื่องอวดดี แต่เป็นเรื่องที่จริงใจ เป็นเรื่องที่พูดทุกอย่างเปิดเผยตัวเองว่าอาตมาขึ้นมากอบกู้ศาสนาพุทธมาเอาโลกุตรธรรมคืนมา ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่านี่คือความเสื่อม โลกุตระจะหายไปแล้วก็จะมี สยังอภิญญา ขึ้นมากอบกู้ สยังอภิญญา คือผู้รู้จักสัมมาทิฏฐิ 10
รู้จักว่าทานมีผล ยัญพิธีมีผล สังเวยบวงสรวงมีผล กรรมมีผล โลกนี้มีโลกหน้ามี พ่อมีแม่มี สัตว์โอปปาติกะมี และ สยังอภิญญา ก็ต้องมี
แล้วใครล่ะ ออกมายืนยันว่าตัวเองเป็น สยังอภิญญา ก็ นายรัก รักพงษ์ไง ออกมาบวชแล้วก็ยืนยันว่าตัวเองเป็น สยังอภิญญา
พูดเหมือนเล่นๆแต่ที่จริงพูดจริง ไม่ได้พูดเล่น
อาตมามาทำหน้าที่นี้จริงๆ ก็ยืนยันไปหมดแล้ว แล้วไม่ใช่ยืนยันธรรมดา อธิบายสาธยายขยายความนัยยะสำคัญของสภาวะต่างๆ คนที่มีปฏิภาณไหวพริบฟังก็จะรู้ อันนี้ถึงอย่างไรก็ฟังแล้วมีคำอธิบาย มันก็น่าทึ่งว่า อธิบายได้อย่างไร เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันและกัน ต่อเนื่องกันและกัน ไม่ได้อธิบายแล้วก็ขาดๆวิ่นๆ แล้วไปยังไงมายังไงต่อ ไม่ใช่ จะรู้ตัวเหตุตัวผล ตัวเหตุปัจจัยไปเรื่อยๆตลอด เป็นเช่นนั้น
เอ้า ติดตามฟังไปดีๆอาตมาทำงานมา 50 กว่าปีแล้ว คนไหนยังไม่ตื่น ยังไม่รู้ ยังไม่เชื่อเลยก็สุดวิสัยที่จะช่วยเขา อาตมาก็ช่วยกันแล้ว ช่วยไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป แล้วทำไมก็บอกว่าคุณน่ะรู้ตัวเถอะ ออกนอกรีตนอกทางเป็นเดียรถีย์ แล้วจะมีน้ำหน้ามาช่วยเขา คุณเข้าใจไหม ถ้ามีก็ต้องเข้าใจเขา
ปรินิพพาน กับปรินิพพานเป็นปริโยสานต่างกันอย่างไร
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ คำว่า มีนิพพานเป็นปริโยสาน กับ มี ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ต่างกันอย่างไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…พยัญชนะก็บอกอยู่แล้วว่าต่างกัน นิพพานก็คือนิพพาน ปริก็มีปริ ปริ แปลว่ารอบถ้วน นิพพานก็คือแปลว่านิพพาน แปลว่าผู้ที่ทำอาสวะให้สิ้นได้
ปรินิพพานคือผู้ที่ทำอาสวะให้รอบสิ้น แล้วแถมเป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้ สามารถบอกผู้อื่น แล้วให้ผู้อื่นรู้ตามเป็นโพธิสัตว์ไปได้อีกๆๆๆ
ส่วนปรินิพพานเป็นปริโยสานนั้นคือผู้รู้ผู้นี้ เป็นทั้งอรหันต์ เป็นทั้งโพธิสัตว์ ที่สามารถที่จะบอกผู้อื่นยืนยันกับผู้อื่นได้ละเอียดลออ เหมือนอย่างอาตมานี้
จริงๆแล้วนิพพานสูงสุดนั้นคือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
ดีว่าในพระไตรปิฎกมูลสูตรมีคำนี้อยู่คือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
นิพพานคือ ผู้ถอนอาสวะสิ้นได้แล้ว
ปรินิพพานคือ ผู้มีนิพพานรอบถ้วน แม้แต่ของตนและบอกคนอื่นให้รู้ตาม และสามารถพอรู้ของผู้อื่นได้ด้วยและรู้สุดถึงที่สุด ที่จริง ผู้ที่ทำปรินิพพานเป็นที่สุด เป็นปริโยสาน คือ ผู้ที่แยกธาตุดินน้ำไฟลม แยกจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปได้นั่นเอง
เพราะฉะนั้นที่ถามมาเป็นประเด็นแต่แค่ว่า นิพพานเป็นปริโยสาน กับปรินิพพานเป็นปริโยสานต่างกันอย่างไร มันก็มีคำต่างกันคือนิพพานกับปรินิพพานเข้ามาประกอบ ให้เข้ามาอธิบายได้กว้างขวางขึ้น
สำหรับอาตมาอธิบายได้กว้างขวางขึ้น เพราะมีความรู้ระดับโพธิสัตว์ขึ้นไป ส่วนคนไม่รู้ ก็อธิบายไม่ได้เหมือนอย่างอาตมาหรอก ก็ไม่มีปัญหาอะไรขอให้ทำนิพพานเป็นปริโยสานได้ก็แล้วกัน พระอรหันต์ทุกองค์มีนิพพานเป็นปริโยสาน ทีนี้อาตมาถนัดคำว่าปรินิพพาน เพราะเป็นความเต็มรอบทั่วไป ก็จะพูดปรินิพพานเป็นปริโยสาน
_Aumporn Kul (อัมพร กุล) : คนที่ คอรัปชั่น (ไม่ได้ไปขโมยใคร) ผิดศีลใหมครับ
พ่อครูว่า…มันหนักหนาสาหัสกว่าไปขโมยของส่วนตัวด้วย ไปขโมยของส่วนกลาง ผิดศีลข้อ 2 นั่นแหละ
ปัญญาข้อที่ 3 ความสงบกายสงบจิตในปัญญา 8 ประการ
_ตุ๊ก อัศวิน : ขอโอกาสเจ้าค่ะ “บริบูรณ์” มีความหมายต่างจาก
“สมบูรณ์ “มีความเข้าใจ ดังนี้ได้ไหมเจ้าคะ บริบูรณ์ = สองมิติ คือ กว้าง/ยาว
สมบูรณ์ = สามมิติ คือ กว้าง/ยาว/สูง สมบูรณ์ จึงมีความหมาย ที่ลุ่มลึกกว่า
บริบูรณ์ ดังนี้..ถูกไหม. เจ้าคะ น้อมกราบ._/\_.เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ได้ จะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้ คำว่า ปริ กับ คำว่า สมะ
สมะ แปลว่าขาว แปลว่าสงบ
ปริ แปลว่า รอบ
ก็มีนัยยะลึกซึ้งของสภาวะ ถ้าคุณทำสภาวะได้ มันก็ละเอียดมันก็จะรู้ว่า อ๋อ!..บริบูรณ์เป็นอย่างนี้ ขาวรอบ ขาว สมะ สงบสนิท เป็นอย่างนี้
คำว่า สงบ คำนี้นี่ เป็นภาษาไทย สงบ
ภาษาบาลีมีเยอะหลายคำ คำว่า สงบ ก็มาอธิบายคำว่าสงบที่เป็นโลกุตระกับโลกียะเท่านั้นให้ฟังนิดหน่อย
สงบ โลกียะ ตื้นที่สุดก็คือ หยุดการเคลื่อนไหว ภายนอก กายวิญญัติสงบ ก็แสดงว่าภายนอก แขนขาเนื้อตัว หูตาจมูกลิ้นไม่ขยับอะไร นิ่งไปดื้อๆทื่อๆ ถือว่าสงบ
คู่นี้ได้ตายลงไปแล้วอย่างสงบ ตายสนิทแม้แต่ลมหายใจก็ไม่ออก นี่คือสงบภายนอก ก็เข้าใจได้ไม่ยากอะไร
แต่คำว่าสงบภายใน หรือคำว่าสงบที่พระพุทธเจ้าหมาย เช่น ปัญญา ข้อที่ 3
ในปัญญาข้อที่ 3 บอกว่า เอ้า!..อ่านซิ
“ข้อที่ 3 เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ”
ประเด็นอยู่ที่ความสงบกาย สงบจิต ผู้ที่ไม่เข้าใจคำว่ากายก็จะคิดว่ากายสงบคือภายนอกไม่กระดุกกระดิกเลย ปัสสัมภยังกายสังขารัง คือ การทำความสงบให้แก่กาย กายสังขาร เป็นการปรุงแต่งสังขารทางกายแล้วทำความสงบ ในอานาปานสติ ก็มี
ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่าไม่กระดุกกระดิกร่างกาย โลกียเขาเข้าใจแค่ว่าไม่กระดุกกระดิกร่างกายภายนอกไม่เคลื่อนไหว ซึ่งอันนั้นไม่จริง
เพราะความสงบของพระพุทธเจ้านั้น มันจะค้านแย้งกัน กายปาคุญญตา ที่แปลว่า ความคล่องแห่งกาย โอ้โห!.. กายยิ่งแคล่วคล่องว่องไวเลยเพราะจิตสงบ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับภายนอกชอบใจชื่นใจกับวัตถุภายนอก หรือไม่ชอบใจไม่ชื่นใจกับวัตถุภายนอกก็รู้กิเลสอันนี้แล้วก็ทำให้กิเลสตัวนี้หาย
เพราะฉะนั้นภายนอกจะสัมผัสอะไรจะชื่นชอบก็ไม่มี จะชิงชังก็ไม่มีสงบ นี่คือโลกุตระ
เสร็จแล้วจึงไปทำ รูปราคะอรูปราคะ เป็นจิตปาคุญญตา มีความคล่องแคล่วในจิตนั้น ให้จิตนั้นกิเลสลดลงไปเรียกว่า ปัสสัมภยังจิตตสังขารัง ทำความสงบให้แก่จิตสังขารอีกที
เพราะฉะนั้นธรรมกิเลสในจิตสังขารที่เหลือรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาได้อีก หมดทั้งรูป ทั้งอรูป คุณก็เป็นอรหันต์ที่สงบหมด ทั้งภายนอกภายในอย่างบริบูรณ์
เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้อย่างนี้คุณก็ไปงมโข่ง กายสังขาร ทำกายภายนอกให้สงบได้นึกว่าเสร็จ คุณก็นั่งสงบหลับตาทำให้จิตมันหยุด อย่าง หยาบ กลาง ละเอียด อย่างที่คุณจะประมาณเอง ว่ามัน หยาบ กลาง ละเอียด คือมันหยุดนิ่งจนคนไม่รู้เรื่องเป็นอสัญญีสัตว์ได้คุณก็นึกว่าสงบจิต เป็นอสัญญีสัตว์ ไม่กำหนดรู้อะไรเลย มะลื่อทื่ออยู่อย่างนั้น ซึ่งน่าสงสารแล้วก็เต็มอยู่ในเมืองไทยอย่างที่อาตมาพูดนี่แหละ ทุกวันนี้ก็ยังปฏิบัติได้อยู่แค่นี้ ไม่ได้ก็คือปฏิบัติให้ได้อย่างที่อาตมาพูดนี่แหละ เป็น เดียรถีย์ ซึ่งไม่ได้เป็นของโลกุตระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เลย
พูดไปแล้วก็เหมือนกับข่มไปว่าเขา ว่ามันผิด เราก็ว่าผิด มันไม่ถูกต้องก็ว่าไม่ถูกต้อง นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ ควรข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง
ก็หาว่าไปข่มไปดูถูกดูแคลน ก็มันดูถูกจริงๆว่ายังไงก็ไม่ผิด ก็ต้องพูดสิ่งที่ไม่ผิดไป ก็ต้องพูดถูกสิ พูดสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ผิดจริงๆ มันก็ต้องถูกสิ อาตมารู้จักความผิดที่ผิดจริง เมื่ออาตมาพูดไปว่ามันผิดจริง มันก็ต้องถูกสิ
แต่มันพูดไปผิดๆเพี้ยนๆ อย่างเช่นอาตมา อาตมาว่าถูก เขาก็เข้าใจผิด อาตมาเข้าใจความถูกเป็นความผิด แล้วเขาก็นึกว่าเขาถูก คนนั้นก็อยู่ในวัฏสงสารต่อไป ก็เป็นผู้ที่น่าสงสารต่อไป
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… พ่อครูสอนเราให้ฝึกเป็นลิงชั้นดี ทำงานคล่องแคล่ว ไปซ้ายไปขวาไปหน้าไปหลังได้ยังไม่มีติดขัด ของเขาทำให้ยากอืดอาด
พ่อครูว่า… ของเขาไม่ทันโลกหรอก โลกเดี๋ยวนี้มันไวยิ่งกว่าอะไร
สมณะฟ้าไท… โลกถึงทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราเหนือโลก
พ่อครูว่า…
_หินทอง : ท่านบินบนนำจินตนาการ (เพลง Imagine)ของจอห์น มาเทียบเคียงกับสิ่งที่ทำได้จริงของชาวอโศกได้ดีมากเลย เยี่ยมมากครับท่าน
_เดชา อำพร : “พื้นฐานของโลกที่สันติสุขแท้”.. คือ ต้องไม่มี”โรงฆ่าสัตว์”..ชาวพุทธที่แท้จริง.. จึงไม่สมควรจะ”เลี้ยงสัตว์ใด ๆ เพื่อนำมาเป็นอาหาร”.. และ”ชาวพุทธแท้”ต้องไม่สนับสนุนการ”เลี้ยงปศุสัตว์”ในทุก ๆ มิติของสังคม..”การฆ่าสัตว์”เพื่อนำ”เพื่อนร่วมโลก,ร่วมชะตากรรม”ใน”วัฏสงสาร” มาทำเป็นอาหาร.. นับเป็น”ความโหดร้าย”ใน”ส่วนลึกของจิตใจมนุษย์”อย่างยิ่ง.. อย่างที่ไม่มีเหตุผลใดจะมาแก้ต่าง,แก้ตัวได้เลย…ด้วยความเคารพครับ
พ่อครูว่า…เขาก็เลี้ยงจนเชื่องเลยนะไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหน สัตว์มันคงคิดว่าเมตตาใจดีจังเลย มันก็สนิทสนม วันร้ายคืนร้ายก็จับมันมากินหน้าตาเฉย ฆ่ากินไป ยิ่งกว่ายักษ์กว่ามาร เหมือนเลี้ยงลูกแล้วก็ฆ่ากินหน้าตาเฉย แล้วก็บอกว่าลูกที่น่าเอ็นดูของฉันหายไปไหน …ไอ้บ้า เอ็งฆ่ากินกับมือแล้วบอกว่า ลูกที่น่าเอ็นดูไปไหน มันไม่มีสติสัมปชัญญะไม่มีความรู้อะไรขนาดนั้นคน เป็นอุทาหรณ์ที่พระพุทธเจ้านำมาประกอบในอาหาร 4 ตั้งแต่ กวฬิงการาหาร ฆ่าลูกกินเนื้อเฉย
_แมง ทัพ : จะได้ฟังเทศน์ท่านจันทร์วันไหนบ้างค่ะ อยากฟังท่านจันทร์เทศน์เจ้าค่ะ
ขอบคุณค่ะ
(ท่านจันทร์มีเทศน์รายการสุขทุกข์ของชีวิต ทางบุญนิยมทีวี ทุกวันจันทร์กับวันอังคารเวลาประมาณ 11.00 – 13.00 น.
รายการวิปัสสนาข่าว วันอังคารกับวันพุธเวลา 07.00-09.00 น.
ทางวิทยุออนไลน์ มีสมาร์ทบอมบ์เรดิโอ ช่วงเวลาประมาณ 01.00 – 05.00 น. และทางเฟสบุ๊คของท่าน
วันเสาร์ อาทิตย์ ท่านก็เทศน์อยู่ที่ พุทธเมตตาธรรมสถาน
อื่นๆ บางวันก็รับนิมนต์ไปเทศน์ที่สันติอโศก และที่อื่นๆ ในงานศพหรืองานต่างๆด้วย)
พระอรหันต์อยู่กับปฏิจจสมุปบาทอย่างไร
_ดินเพ็ญไพร ขอโอกาสถามค่ะ
-
พระพุทธเจ้า พ่อครู พระอรหันต์ หลุดพ้นจากวงจรปฏิจจสมุปบาท แล้วพระพุทธเจ้าหรือพ่อครู อยู่ในโลกนี้ด้วยอะไร…หมายถึง พ่อครูสอนคนเยอะแยะ พบ ปะคนหลากหลาย มีกิจกรรมที่หลากหลาย แล้วพ่อครูทำยังไง โดยอยู่เหนือปฏิจจฯ??
พ่อครูว่า…โอ้โห ถามอันนี้ต้องอธิบายยาว แต่จะพยายามสรุปให้ไม่ยาวนัก
ปฏิจจสมุปบาท ถ้าคนเข้าใจแล้วก็จะรู้ครบ ก็แปลว่า วงจรของชีวิตของผู้อวิชชา ไม่รู้จักสังขาร พอไม่รู้จักสังขารมันมีวิญญาณเป็นปัจจัย เมื่อไม่รู้วิญญาณเป็นปัจจัยก็เพราะว่าไม่รู้จักนามรูปเป็นปัจจัย ไม่รู้นามรูปเป็นปัจจัยก็ไม่รู้อายตนะเป็นปัจจัย ไม่มีอายตนะเป็นปัจจัยเพราะว่าคุณไม่ได้สัมผัสภายนอกภายใน เช่นคุณไปหลับตา คนไปหลับตานี้ไม่มีสัมผัสภายนอก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีวงจรปฏิจจสมุปบาทอะไรไปปฏิบัติไม่มีเวทนา
มีอายตนะได้เพราะมีสัมผัส มีสัมผัสจึงจะเกิดอีกมุมหนึ่ง เกิดอายตนะและเกืดเวทนา เกิดความรู้สึก จึงไปศึกษาที่เวทนา นี่คือจุดสำคัญของศาสนาพุทธ ศึกษาเวทนาในเวทนา
ในโพธิปักขิยธรรม 37 ให้พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
ในกาย คุณก็ต้องรู้องค์ประกอบมันมี 2 สภาพ รูปกับนาม ข้างนอกกับข้างใน เดี๋ยวจะกลับมาอธิบาย กาย อีก
กาย เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ครอบจักรวาลไม่ใช่เรื่องเล่น
เมื่อคุณอวิชชา คุณไม่รู้สังขารคุณก็ไม่รู้ว่าวิญญาณเป็นปัจจัยของสังขาร เพราะคุณไม่รู้จักว่าวิญญาณมีนามรูปเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดวิญญาณ แล้วนามรูปนี้ ถ้ามันไม่เกิดปฏิกิริยาสัมผัสกัน มันก็ไม่เกิดอายตนะ เมื่อสัมผัสขึ้นมาก็มีอายตนะ เป็น 2 เกิดเป็นผัสสะ เกิดเป็นอายตนะ
แต่ในความเป็น 2 ที่สัมผัสกันนี่แหละ มันเลยเกิดสังขารเกิดเวทนา คุณก็ศึกษาสังขารนี้ ซึ่งมีเวทนาอยู่ในสังขาร ในเวทนามีเหตุ ตัวร้ายคือ ตัณหา อุปาทาน
ตัณหาคือตัวกิเลสที่เคลื่อนที่ อุปาทานคือกิเลสที่เป็น static เป็นตัวนิ่ง เมื่อคุณรู้เหตุตัวนี้ได้ คุณไม่สามารถทำให้กิเลสตัวนี้มันดับ มันก็เหลือเป็นภพ เป็นชาติ หมุนเวียนเป็นปฏิจจสมุปบาทอยู่ตลอดกาลนาน แต่ถ้าคุณดับ สามารถทำให้กิเลสหมดลงไปได้ ภพหมดชาติดับ คุณก็เต็มไปด้วย วิชชา รู้เท่าทันสังขาร รู้เท่าทันเวทนา
ดับตัวโง่ อวิชชา ก็เลยรู้ว่าเพราะสังขารมันก็ปรุงแต่งกันมาตามเหตุปัจจัย ไม่โง่แล้ว ไม่อวิชชาแล้ว ก็อยู่กับอภิสังขาร
อภิสังขารจึงมี 3
-
ปุญญาภิสังขาร 2. อปุญญาภิสังขาร 3. อเนญชาภิสังขาร
ปุญญาภิสังขารคือ ปรุงโดยให้เกิด ปุญญะ ก็คือการฆ่ากิเลส เป็นพลังงานที่จะมาฆ่ากิเลส เป็นฌาน แล้วก็เป็นบุญ
ฆ่ากิเลสได้เสร็จ เป็นมือประหารเด็ดขาด ถ้าลงถึงมือบุญประหารแล้วละก็ กิเลสต้องตาย ตายไม่ฟื้นด้วย เพราะบุญนั้นฆ่าแล้วฟื้นไม่มี ถ้าถึงมือบุญแล้ว เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย
เหมือนแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้า ตายไม่สนิทหรือไม่ตายเลย กลางวันเย็น ก็ไม่ตาย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นจริงว่า ไอ้โจรร้าย เจ้าพนักงานเก่งขนาดไหนก็เอาไปฆ่ามันไม่ตายง่ายๆ มันครองโลกนะ เหมือนทุกวันนี้ อาตมาพูดไปเถอะ เขาจะหลับตา อาตมาตายไปแล้วอีกร้อยปี พันปี พวกนี้ก็ยังหลับตา เป็นพญานาค เดี๋ยวจะอธิบายกายกับพญานาคอีก พวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น แหม มันกระแทกใจลึกดีจริงๆเลย อาตมาเห็นแล้วน่าสังเวชใจ ทำไมถึงโง่ดักดาน มืดบอด ไม่กระเตื้องอะไรเลย
บอกยังไงก็ทำเป็นหัวเราะเยาะเมินไม่มอง แล้วก็ไปเคารพบูชาคนที่มืดด้วยกันไป คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ เสร็จแล้วก็สนุกสนาน โอ้โห..หนังสนุกจังเลย คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ คุณนึกถึงไหม
หนังเขามีภาพ มีแสง มีสี แต่มันไม่มีภาพมีแสงมีสีให้คนตาบอดเห็น ไม่ใช่ไม่มี มันมีแต่คนตาบอดไม่เห็นมันก็อัดเสียง แล้วมันดันเป็นหนังใบ้อีก คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ สมพอกันมันพอกั,น
ถามว่าพ่อครูอยู่กับอะไร… อยู่กับความจริงตามความเป็นจริง สมมุติก็รู้ว่าสมมุติ ปรมัตถ์ก็รู้ว่าเป็นปรมัตถ์ สิ่งที่มีก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มี สิ่งที่ไม่มีก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มี เป็น อนุปคัมมะ เป็นบุคคลที่เข้าใจแล้วก็อยู่กลาง เป็นบุคคลบรรลุความเป็นกลางอย่างสำเร็จ
สู่แดนธรรม… คำถามนี้น่าจะมาจาก ความเข้าใจว่า พระอรหันต์จะต้องไม่เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทอีกเลย แต่จริงๆแล้วพ่อครูอธิบายว่า พระอรหันต์ก็อยู่กับปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ
พ่อครูว่า… มันมีคนที่เขามีก็ต้องใช้อาศัยพวกนี้ พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 ว่าต้องอาศัยความมีกับไม่มีนี่แหละ เป็นเครื่องอาศัยในการศึกษา จนกระทั่งจบโลกสมุทัยกับโลกนิโรธ นี่ก็พูดสรุปๆ ศึกษาดีๆแล้วก็จะเข้าใจ
สู่แดนธรรม… พ่อท่านถามว่า ประเทศไหนในโลกไม่มีโรงฆ่าสัตว์เลย มีคนบอกว่าประเทศภูฏานครับ
พ่อครูว่า… เออ! เข้าท่า ประเทศภูฏานไม่มีโรงฆ่าสัตว์ น่าคิดๆ
-
แรกๆเห็นพ่อครูไอมากๆ แล้วสงสาร รู้สึกว่าถ้าไอแทนได้ก็จะข่วยไอแบ่งเบาท่าน เห็นน้ำหนักท่านต่ำ ฉันก็ไม่ได้เยอะ เห็นใจ สงสารท่าน แต่พอมาหลังๆ โยมกลับคิดว่า สงสารก็ช่วยท่านไม่ได้ ใจหดหู่เปล่าๆ มาล้างกิเลสในตัวเอง ทำตามพ่อครูสอนให้ได้ผล ถ้าพ่อครูรับรู้ ท่านจะได้มีกำลังใจกินข้าวและอยู่ต่อไปอีกนานๆ ยังงี้คิดเห็นแก่ตัวหรือเปล่าคะ รู้ว่ากายขันธ์ของท่านไม่โอเคก็ยังอยากให้ท่านเมตตาอยู่ต่ออีก??
พ่อครูว่า… จริงๆใช่ ไม่เป็นการแก้ตัวหรอก ดีแล้วล่ะคิดอย่างนี้ดี
หมายความว่าทั้งๆที่ไกลขนาดจะมาไม่ไหวแล้ว มันไม่โอเค มันโนเคแล้ว แต่ก็ยังอยากให้อาตมาอยู่ต่อไป เห็นแก่ตัวมั้ย.. ก็ไม่เป็นไรหรอกการเห็นแก่ตัวเพื่อให้ตัวเองเจริญไปสู่ที่สูงที่สุดเป็น สัมโพธิปรายนะ ก็ไม่เสียหายอะไร
SMS วันที่ 24-25 มกราคม 2565
การปฏิสันถารแสดงว่าพุทธเป็นศาสนาไม่หนีสังคม
_0015 : ทำไมพระพุทธองค์จึงให้ความสำคัญกับการปฏิสันถารมากถึงกับกำหนดให้การเคารพยำเกรงในปฏิสันถารอยู่ในหมวดธรรมเดียวกับการเคารพยำเกรงในพระพุทธเจ้าฯ ครับ
พ่อครูว่า…การปฏิสันถารเป็นการบอกว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาออกจากสังคมเหมือนศาสนาเชน ศาสนาพุทธที่ท่านตรัสกล่าวถึงขั้นนั้น การปฏิสันถารนั่นเทียบเท่ากับการเคารพยำเกรงพระพุทธเจ้า เท่ากันเลย สำคัญยิ่ง
อาตมานี่เป็นคนไม่ดีเลยไม่เก่งในการปฏิสันถารเลย เทียบกับท่านเพาะพุทธ ท่านจันทร์ คนละด้านเลย อาตมานี้เป็นคนแย่มากเลยในเรื่องของปฏิสันถาร
ถ้าอาตมาปฏิสันถารเก่งกว่านี้อีกสักนิดเดียว ไม่ต้องมาก อื้อหือ จะดีมากเลย แต่มันก็สุดวิสัยเพราะมันเป็นวิสัยไปแล้ว ไม่ใช่นิสัยเท่านั้น ก็ได้ประมาณนี้ก็รู้เป็นข้อบกพร่องของอาตมา ปฏิสันถารน้อย แต่ก็นั่นแหละ ก็แก้ตัวว่า ขนาดไม่ปฏิสันถารนี่ยังมีผู้ที่จะต้องสอนอยู่ไม่ใช่น้อยแล้ว ไปปฏิสันถารอีก ลูกค้าอาตมาจะเยอะขึ้น มันจะไหวหรือ ป่านนี้คงตายแล้วล่ะ ก็เอาแต่พอตัว จะเรียกว่าแก้ตัวก็ได้
_บุญญากร พัฒนสัตถาพร (Boonyakorn Pattanasattaporn) : วันนี้ในอดีต เมื่อวันที่ ๒๔ ม.ค.๒๕๕๔ หรือวันนี้ เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ตรงกับวันจันทร์ ทนายทองใบ ทองเปาด์ ถึงแก่กรรม ในวัย ๘๔ ปี ทนายทองใบ ทองเปาด์ ได้อาสาช่วยว่าความให้กับคดีกรณีสันติอโศก เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๒ โดยเป็นหัวหน้าคณะทนายของคดีกรณีสันติอโศก
ประวัติทนายทองใบ ทองเปาด์ ผู้ที่ได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมไทยมากมายจนนับไม่ถ้วน เป็นทนายของคนยากไร้และผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมต่าง ๆ เป็นทนายนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ได้รางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ และรางวัลคนดี ศรีสารคาม และได้รับรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ และรางวัลนักกฎหมายดีเด่นประจำปี ๒๕๔๗ จากกองทุน ศจ.สัญญา ธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ่อครูว่า…ก็ดีก็ระลึกถึงผู้ที่ทำดีทบทวนกันบ้าง
_แก่นนวน มาลัยขวัญ : บ้านราชปลูกหอมหัวใหญ่ได้ดีมาก เดี๋ยวขอนแก่นจะทดลองปลูกตามค่ะ แต่ปีนี้คงช้าไป แต่ก็จะทดลองปลูกดูนะคะ
สัจจะความจริงที่คนเราควรรู้ก่อน อย่างละเอียดทุกแง่มุมก็คือกิเลสตนเอง
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก : หากเรายังไม่เข้าใจ สัจจะความเป็นจริง1เดียวอย่าง
ละเอียดทุกแง่ทุกมุม เราจะ 0 ได้มั้ยครับ พ่อครู🙏
พ่อครูว่า…จะเรียกว่ารู้จักทุกแง่ทุกมุมก็รู้จักทุกแง่ทุกมุมของกิเลสตัวเอง อย่าไปเที่ยวได้รู้ทุกแง่ทุกมุมของโลกของคนทุกคนคนอื่นเขา มันเป็นหน้าที่ของพระโพธิสัตว์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองและรู้จักผู้อื่น แต่ต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน
เมื่อเริ่มต้นที่ตัวเองและมีต้นทุน มีความรู้ที่รู้ว่าแง่มุมอย่างนี้คือแง่มุมของโลกกับอัตตา แล้วก็เป็นธรรมะที่เป็นโลกุตระหรือเป็นโลกียะ มันครบหมด
ศาสดาโลกียะเป็นอย่างไร ศาสดาของโลกุตระก็คือพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าทุกองค์ หนึ่งเดียวกันหมด แล้วทุกยุคทุกสมัยจะมีพระพุทธเจ้าซ้อนกัน 2 องค์ไม่ได้ ไม่มียุคไหนเลยในโลกทั่วโลก ในโลกขณะนี้ทุกประเทศมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว พุทธศาสนามีพระพุทธเจ้าองค์เดียวในยุคเดียวกัน แต่ศาสนาเทวนิยมมีหลายองค์ ในยุคเดียวกัน นี่ต่างกันมากเลย เป็นอจินไตย
ถ้าหากทางเทวนิยมเขาก็จะรู้เลยว่าอย่างนั้นเชียวหรือ แล้วโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้น รู้จักอย่างที่ศาสนาเทวนิยมรู้กันดีทั้งหมด พระพุทธเจ้ารู้จัก แต่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นเทวนิยมจึงไม่สามารถทำให้จิตวิญญาณหรือจิตนิยามนี้เลิกล้ม สลายสูญเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ จำนนว่าจะต้องไปอยู่กับพระเจ้า คือไม่รู้ ไปอยู่กับพระเจ้าจะไปอยู่อย่างไรก็ไม่รู้
แม้แต่กรรมวิบาก เกิดตายแล้วต้องวนตามวิบากไม่ใช่อยู่กับพระเจ้า ก็ไม่รู้ไม่ได้สอน นี่คือความรู้ที่ยังไม่ครบของเทวนิยม ยังไม่บริบูรณ์ พูดไปแล้วก็เหมือนไปข่มแต่มันเป็นความจริง เป็นเรื่องที่เขายังรู้ไม่รอบ ขอพูดไว้เท่านี้ก็แล้วกัน
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… ดูหนังอโศกมหาราชทำไมมันเยอะแยะมีวิบากก็อย่างนั้น
พ่อครูว่า… ผมไม่ได้ดูเลย เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่จริงเลย เป็นเรื่องที่คนเขาแต่งขึ้นมาทั้งนั้น
สู่แดนธรรม… มีรายงานเพิ่มเติม ที่ประเทศภูฏานไม่ฆ่าสัตว์เพราะว่ารัฐบาลไม่ให้เปิดโรงงานฆ่าสัตว์เลย แล้วบรรทัดฐานของสังคมก็ไม่ให้ฆ่าสัตว์ที่เลี้ยงไว้ ถ้าอยากจะกินเนื้อต้องนำเข้าจากอินเดียทั้งนั้นหรือไม่ก็รอให้จามรีตกหน้าผาตาย จึงจะไปเก็บมากิน
GDP โลกีย์มีแต่หายนะ GDP โลกุตระพาพ้นทุกข์
_เคียงดิน ชาติบุญนิยม : 🙏ประทับใจที่พ่อครูอธิบายว่าจีดีพีที่คิดแบบทางโลกถ้าได้เปรียบคือความเจริญ ส่วนจีดีพีทางโลกุตระถ้าได้เสียเปรียบคือความเจริญ น้อมกราบขอบพระคุณที่ให้ปัญญาค่ะ🙏🙏🙏
พ่อครูว่า…GDP ของโลกียะกับโลกุตระจึงต่างกันสุดขั้ว อาตมาจึงเห็นว่าจะพัฒนาโลกพัฒนาโลกียะมันไม่จบหรอก พัฒนาอย่างไรก็ไม่จบ
บอกว่าจะพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ..จ้างก็แก้ไม่เสร็จ
ถ้ามาเข้าใจเศรษฐกิจแบบโลกุตระอย่างชาวอโศก แก้ปัญหาอย่างพากันมาจนอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส พวกเรา แก้ปัญหาเรื่อง เศรษฐกิจ สบม ธมด ปกต หห จจ มชยลล เรียบร้อยสมบูรณ์แบบหมดเลยครบ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
อโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจจบแล้วเสร็จแล้ว เพราะต่างคนต่างเข้าใจ
เข้าใจว่าคนเรานี้ ถ้าคนที่มีปัญญา รู้ว่าตัวเองไม่จำเป็นจะต้องไปมีมากสะสมกอบโกย แย่งชิงผู้อื่นหรอก ตัวเราเองนี่เป็นคน ต้องดีกว่าหมาแน่ ต้องดีกว่าวัวควายแน่ หากินเองเป็น ช่วยตัวเองต้องรอด
ถ้าคนเกิดมาเป็นคนแล้วช่วยตัวเองไม่รอดหากินเองไม่เป็น สร้างเพื่อที่จะ อย่าว่าแต่หากินเลย สัตว์เดรัจฉานมันหากินก็อาศัยธรรมชาติ ธรรมชาติไม่มีให้กิน มันก็ไม่มีอะไรกินอยู่ไม่ได้เหมือนกันก็ตาย มันต้องหากินกับธรรมชาติที่มันเกิด
แต่คนที่สามารถสร้างธรรมชาติได้ สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร ดีไม่ดีก็ไปเพาะปลูกเพาะปลาเลี้ยงหมูเลี้ยงหมาไปกินอีก ก็จะยืดไปพูดไปก็จะยาว
เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นคน สอนให้เขารู้จักว่าชีวิตคืออะไร ชีวิตก็กินแล้วกินอะไร ก็จะไปกินยากอะไรก็กินพืชพันธุ์ธัญญาหาร อาตมาเคยพูดประชดแดกดันว่า ถ้าอาตมาไม่ต้องทำงานอะไรล่ะ อาตมาก็จะมีบ้านกระต๊อบอยู่หลังหนึ่ง ปลูกเผือกปลูกมันรอบบ้าน แล้วก็ปลูกผักกาด ผักคะน้า ผักอะไรต่างๆไว้ ปลูกรอบไว้ เสร็จแล้วก็เก็บเวียนกินแล้วก็ปลูกต่อ ทอนมากินแล้วก็ปลูกต่อ พอมันเอามากินแล้วหักเงี่ยงใส่ต่อ หมุนเวียนกินไปอย่างนั้นจนตาย จนอายุยาวเท่าไหร่ก็ได้ ก็อยู่อย่างนั้นแหละ ไม่เห็นจะหนักหนาสาหัสอะไรเลย ง่ายจะตายไป ชีวิต ไม่เห็นติดปัญหาอะไรมากมาย
เพราะฉะนั้นในชีวิตของคนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไปแก้ปัญหาปัญหาที่บอกว่าจะให้คนไปรวย เสร็จแล้วก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้ฐานะ ไม่รู้โดเมสติก ไปแปล GDP ว่าเป็น Gross Domestic Product คือการผลิต ผลิตของตนในส่วนของตน โดเมสติกในประเทศของตน เสร็จแล้วเมื่อผลิต product แล้วในประเทศของตนแล้ว ก็จะมีรายได้ในผลผลิตที่เป็นสิทธิของตนนี่แหละ เรียกว่าเป็นรายได้องค์รวม Gross
ทีนี้รายได้องค์รวม ถ้าคุณเอาผลผลิตที่คุณผลิตจริงๆ เฉพาะของคุณเลย ได้แล้ว คุณก็กินก็ใช้ แล้วก็ให้ในประเทศ domestic ก่อนนะ แจกจ่ายกินกันอย่างพอเพียงหรือยัง ไม่มีคนอดอยากเลยนะในประเทศนี้ เราสร้างกัน คนไทยผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารขึ้นมา ให้คนทั่วไปด้วยก็ไม่มีคนอดอยากให้ทั่วประเทศ คุณก็เผื่อแผ่ออกนอกประเทศ ขายให้ถูกหรือแจก
ส่วนที่ขาย คุณก็เอาคืน ทีนี้ไม่ขายแต่เอาคืน ขายไปในราคาที่จะต้องได้เปรียบ เรียกมันว่า กำไร เกินทุน แบบนี้มันคนขี้โกง คนที่ขายเกินทุนตัวเองเป็นคนขี้โกง เป็นบาปทั้งนั้น
ขายเท่าทุนไม่บาป ไม่บุญมันจะเจ๊า ถ้าขายต่ำกว่าทุนคุณได้ล้างกิเลสคุณได้บุญ คุณได้ทำทานคุณได้ให้เขา ยิ่งขายถูกต่ำกว่าทุนมากเท่าใดเท่าใด คุณก็ได้กำไร หรือได้เป็นผู้เสียสละให้แก่ผู้อื่น ได้มากเท่านั้น แจกฟรีนั้นเต็มสภาพเลย
รายได้ที่เราจะเป็นผู้เจริญ Gross รายได้รวม ผลผลิตภายในของเราแล้วเอาไปให้คนอื่น คุณได้ของคนอื่นมา อย่าเกินทุน คุณก็มีประโยชน์ เผื่อแผ่สิ่งที่คุณผลิตนี้ให้แก่คนอื่น แทนที่คุณจะไม่มีอะไรกิน ก็ได้อันนี้ไปกินไปใช้ เราก็ได้กระดาษเปื้อนหมึกของคุณมา Bank note สิ่งที่ถือว่าธนบัตร ตามราคาของโลกเขาบอก ดอลลาร์ก็ประมาณ 30 กว่าบาท อะไรต่างๆเขาก็ตีราคากัน รับรองกันทั่วโลกตามสมมุติ ก็ว่ากันไป ไม่ต้องไปเถียงกันหรอก อยู่ที่หลักเกณฑ์ของพวกนายทุนมันตั้งราคาก็เรื่องของเขา แล้วเราก็รักษาสถานะอยู่อย่างนั้น ไม่จบ
คุณสามารถที่จะเหลือจากสิ่งที่คุณสร้างแล้วกินใช้เหลือให้คนอื่นได้ เอาคืนมาให้น้อย น้อยไว้ เอาคืนมาให้น้อย ถ้ามันไม่น้อยสูงสุดเท่าทุนก็ยังดี คุณก็ไม่เอาเปรียบใคร คุณก็มีประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่ถ้าคุณเอาเกินทุน คุณก็เป็นคนขี้โกง คุณก็เป็นคนมักได้ คุณก็เป็นคนเอาเปรียบ ไม่ได้ชื่อว่า คนดี
เพราะฉะนั้นการขายผลผลิตของเราให้ผู้อื่นไปในราคาเกินทุน บาปหรือเป็นคนเลวทั้งนั้น ฟังไว้ ทีนี้คนก็แย้งว่าแล้วขายต่ำกว่าทุนมันจะอยู่ได้หรือ อยู่ได้ไหม ได้ แจกก็ยังได้เลยอย่าว่าแต่ขายต่ำกว่าทุน เพราะอะไร
ก็อธิบายแล้ว เราสร้างเรากินเราใช้ เราจึงเอาไปขายเอาไปให้ผู้อื่นต่อ อย่าเตี้ยอุ้มค่อม ตัวเองยังช่วยตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะไปช่วยคนอื่น อวดดี ทำเป็นใหญ่ มันไม่ถูก
แนวคิดเช่นนั้นมันไม่ถูกต้อง
สรุปแล้วในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราตรัสไว้ว่า มาเอาแบบคนจนนี่ หน้าที่ของท่านก็มีเยอะที่ท่านจะต้องทำหน้าที่ของท่าน ส่วนอาตมาทำหน้าที่ธรรมะโดยตรง แล้วขยายได้ละเอียดลออด้วย ตามจริง
อาตมาก็มาทำหน้าที่ของอาตมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้แต่ทางด้านเศรษฐกิจที่ในหลวงตรัสไว้ว่ามาเอาแบบคนจน อาตมาก็ไม่ใช่อธิบายเอาแบบคนจนว่าเอาแบบคนจนเฉยๆ แต่พาพวกเรามาจน แล้วพวกเราก็มาจนสำเร็จ จนกระทั่งกลายเป็นสังคมคนจน จนเป็นสังคมที่อุดมสมบูรณ์ จนอย่างอุดมสมบูรณ์ จนอย่างมหัศจรรย์ จนอย่างช่วยเหลือผู้อื่น จนมีประโยชน์คุณค่าต่อผู้อื่น นี่คือเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง คนจนที่ช่วยเหลือผู้อื่นได้ พอกินพอใช้เหลือเฟือ แล้วก็ช่วยเหลือเกื้อกูลเอื้อเฟื้อผู้อื่น แล้วก็มีหลักเกณฑ์คือไม่เอาเปรียบ มีแต่เสียเปรียบหรือเสียสละให้แก่ผู้อื่นอยู่เรื่อยๆ นี่คือคนประเสริฐคือ อาริยะบุคคลที่แท้จริง
เข้าใจความเป็นอาริยบุคคลไหม ไม่ใช่คนเอามีดเอาปืนเอาลูกระเบิดไปฆ่าเขาเก่งจนกระทั่งคนเขากลัวแล้วมีอำนาจบาตรใหญ่คือคนอาริยะ ประเทศอาริยะ เจริญอาริยะ เจริญขี้หมาอะไร เจริญเที่ยวไปทำร้ายผู้อื่นจนกระทั่งผู้อื่นเขาได้เปรียบผู้อื่นจนกระทั่งผู้อื่นเขากลัวลนลาน แล้วก็บอกว่าตัวเองยิ่งใหญ่เป็นเจ้าโลก อย่างนั้นหรือคือคนเจริญ
สู่แดนธรรม… เขาว่าเป็นมหาอำนาจ
พ่อครูว่า… มหาอำนาจ สลับ ม กับ ห ก็แล้วกัน มันไม่ใช่ เอ๊!..โพธิรักษ์นี้จะปากจัดไปไหม ว่าเขา
ตอบปัญหาพาถลกหนังพญานาคจอมหลับตา
พ่อครูว่า… อาตมาเตรียมไว้จะอธิบายเรื่องพญานาค
_ปัญญา 8 ล. 1 น. 352 -เรื่องของพญานาค
(๑๔๔) ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้
-
นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงถึงท่านอน-ท่าหลับ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ ยังมีมากครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ
-
นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ“หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาป
เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ ๑๕ วิชชา ๘ ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา ๓”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่อย่างนี้
“อปัณณกปฏิปทา ๓”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง“สำรวมอินทรีย์ ๖”
พ่อครูว่า…เช่น ศีลข้อ 1 คนเกี่ยวข้องกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับพืชพันธุ์ธัญญาหารเกี่ยวกับวัตถุ อาตมาถึงบอกว่าคุณจะไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ทำไม มันก็อยู่ตามวิบากของเขา เกี่ยวข้องกับคนนี่แหละเป็นศัตรูร้ายเลยระมัดระวังแค่นี้ก็งานหนักงานหนาแล้ว เกี่ยวข้องกับคนอย่างมีรักมีชังกันอยู่นี่ ทำให้หมดรักหมดชัง เป็นมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีก็อยู่อย่างญาติพี่น้องพึ่งเกิดพึ่งแก่เพิ่งเจ็บเพิ่งตายกันให้ได้สิ สุดยอดเลย อย่างที่เราเป็นกันได้ จนสมบูรณ์ จนสุดท้ายชาวอโศกนี้มาเป็นคู่บางที มาปฏิบัติธรรมนี้แล้ว จบ เป็นพี่เป็นน้องกันอยู่ในนี้สบายเลย เลิกเกี่ยวข้องกันทางกาม เป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนทุกๆคน สบายไหม
_อปัณณกปฏิปทาข้อ[๑] สำรวมอินทรีย์ ๖ ที่มีสัมผัสทางตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ ต้องเห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบสัมผัสทางกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสทางใจในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป อยู่ตลอดการปฏิบัติ (อินทรียสังวรณ์)
อปัณณกปฏิปทาข้อ[๒] ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ (โภชเนมัตตัญญุตา)
พ่อครูว่า…อย่าให้เกิดกิเลส เมื่อคุณใช้ข้าวใช้ของ ..เคยเห็นคนขว้างตะหลิวมั้ย
_อปัณณกปฏิปทาข้อ[๓] ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด (ชาคริยานุโยคะ)
แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกันการหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา ๓”
-
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ
เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายามที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป
แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์
จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ
จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็น
มูลกา” (ข้อที่ ๑ ของ“มูลสูตร ๑๐” พระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ ข้อ ๕๘)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ“ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จผล
ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”
ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว
ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”
พ่อครูว่า…จิตที่ถึงฉันทะ ยินดีพอใจ เต็มที่เป็นรากเลย ยินดีเต็มสภาพเลย เป็นมูลกา ผู้นี้จึงจะปฏิบัติข้อ 2 มนสิการทำใจในใจ ถึงจะเป็นโยนิโสมนสิการได้ ถ้าไม่เช่นนั้นคุณทำมนสิการไม่ลงไปถึงที่เกิด โยนิโสแปลว่าลงไปถึงที่เกิดเหตุ จะต้องเป็นสัมมาทิฏฐิที่แยบคายถ่องแท้ถูกตรง แล้วก็รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพานลงไปถึงรากเหง้าของจิตที่เกิด แก้ไขจิตวิญญาณได้ถึงรากเหง้า
สมณะฟ้าไท… สรุปจบ
(๑๔๕) ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาค”
เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ”
หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤษฏ์ปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ
เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้ใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้
ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ
ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้
-
เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก ๗ เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังแน่แท้ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาค ๗ ตัว ๗ หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ
นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็น
ทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ ๒”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ ๑” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด
-
ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”เก่งยอดบุกรุก จนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู จอมนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค”ดังที่เห็นๆ และเป็นกันอยู่ทั่วไปในสังคมไทยนั่นเอง
-
“ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆๆไปอีก
-
สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็นอน“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย
(๑๔๖) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ ๑ใน“สังโยชน์ ๑๐”
แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ”หรือ“ทวกระแสสามัญโลกียะ”นะ! ก็ไม่รู้ว่า“ทวนกระแส”คือออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึงหยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ
ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็มองไม่เห็น!
ด่ำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ
คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น
รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน? ตนเอง“ไหลลิ่ว แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีก ด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง“การทวนกระแส”หรอก
ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย
ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง“ด้วยเสียงของถาดทองคำ”นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า”ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น“ไม่รู้”อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น
เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว
ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน?
จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ ๑ ก็“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น มืดบอดสนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน
ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(๒๕๐๐ ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ
แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกรทุ้งกระแทกด้วยปากหอก
(มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้
“พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ
เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม”
เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป๋็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ได้
เมื่อ“หูหนวกตาบอด’กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตตบุรูษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้
กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิิ”กันหนักหาสาหัสจนได้ชือว่า “พญานาค”กันดังที่เห็นและเป็นอยู่
แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน
(๑๔๗) ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนผู้“อวิชชา”นั้นมีมาก
๕๐ กว่าปีแล้ว”ที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย
ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญา นาค” นอนเฝ้า“ถาดทองคำ”ของพระพุทธเจ้ากันอยู่
ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คน“อวิชชานั้นมีมาก
แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะ“กรรม”นั้นเจริญด้วย“ความพยายาม”แท้จริง จะท้อถอย“หยุดทำกรรม”ไม่ได้
โดยเฉพาะ“กรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ”
ที่ต้องพูดว่า เขายังเป็น“พญานาค”กันอยู่นั้น
ก็เพราะ“เขา”ได้ยินเสียงวิเศษจริงๆ(เสียงของ“โลกุตระ” แท้ๆนี่เอง) แต่เพราะความ“อวิชชา”สนิท ก็“หูผึ่ง”ขึ้นมาแวบหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชาต่อไปตลอดระยะยาวนานที่เป็น“กาล” ว่า อ้อ! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก อีกพระองค์หนึ่งแล้วเหรอ? ว่าแล้วก็“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” นั่นคือ อวิชชาต่อไป ทับถมให้“อวิชชา”หนาหนักเพิ่มขึ้นยิ่งขึ้นๆ ด้วยการหลงใหลหลับไหลอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด
ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆพระองค์แล้ว และก็จะมีพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นๆไปกับกาลของโลกนี้แหละ “พญานาค”ก็จะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นตัวจริง ยิ่งใหญ่ นอนเฝ้า“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปลึกลงไปอีกๆๆๆ ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะในโลกจะมีคน“อวิชชา”จำนวนมากครองโลกเป็นปกติสามัญ
ที่ไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย” ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ยัง“พ้นสักกายทิฏฐิ”ไม่ได้ง่ายๆ ดังที่เป็นที่เห็นจริงกัน
-
“พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี“หลับตา”หรือ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็เป็น“โจรปล้นพุทธศาสนา”อยู่นั่นเอง ที่พระราชาให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย
-
ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่“โจร”ก็ไม่ตาย ยังทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็สั่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาพบเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตายอยู่ๆ
(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๔๔) ใครเห็น“พญานาค”กันได้บ้างเอ่ย?
-
ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา -อาโลก”กันอยู่ เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง
นี่ปอกเปลือก“พญานาค”ให้ฟัง พญานาคมีจริงหรือพญานาคไม่มีจริงเป็นความรู้ระดับ“สิริมหามายา”กันทีเดียว!
แต่ชาวพุทธที่ยังไม่เห็น“พญานาค” เพราะ “อวิชชา”นั้นมีอยู่มากจริงๆ ทั้งๆที่ตนเป็น“พญานาค”อยู่เองแท้ๆ
(๑๔๘) “ศาสนาพุทธ”ไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก
“พญานาค”นี้คือ ลัทธิ“หลับตา”หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นของศาสนาเดียรถีย์เขา เขาก็“หลับตา”ปฏิบัติของเขาไปยืนยันความเป็นเดียรถีย์ของเขา ก็เป็นธรรมดาสามัญของเขาที่เดียรถีย์“มี”อยู่ประจำโลก
“พุทธที่เป็นโลกุตระ”ต่างหากที่“ไม่มีอยู่ประจำโลก”
ศาสนาพุทธจึง“มี”ขึ้นในโลกเป็นคราวๆ แล้วก็จะ “ไม่มีศาสนาพุทธ”ไปช่วงหนึ่งเรียกว่า“พุทธันดร(ช่วงที่โลกไม่มีศาสนาพุทธในกาลช่วงนั้น)” แล้วจึงจะ“มี”พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา“มี”ศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่อีก” เรียกว่า “ภัทรกัปป์(คือในช่วงที่มีศาสนาพุทธมีพระพุทเจ้าอุบัติขึ้นมาประกาศศาสนาต่อกันหลายพระองค์ บางภัทรกัปป์ก็มีมากเกิน ๕ พระองค์เป็น ๑๐ เป็น ๑๐๐ กัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาน้อยที่สุด เช่น ใน“ภัทรกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม”นี้แล ก็มีเพียง ๕ พระองค์ จากนี้ก็เป็นกลียุค เป็นยุคโหดเหี้ยมเลวร้าย ฆ่ากันตายมากมาย ทั้งเลือดร้อน เลือดเย็น มนุษย์ในโลกก็เหลือน้อยลงๆ ก็จำต้องหยุดพักการฆ่ากัน)” สิ้น“ภัทรกัปป์”ก็เป็น“พุทธันดร”คือช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ จะเว้นระยะเวลาโลกว่างจากศาสนาพุทธไปช่วงหนึ่ง จะสั้นจะยาว ก็ตามแต่“กาละ-เทศะ-ฐานะ”ที่จะมีเหตุมีปัจจัยเป็นสัดส่วนปรุงแต่งกันให้“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป”ได้นั้นๆเท่าที่มันจะมีจะเป็น
“การหลับตาปฏิบัติ”นั้นมัน“มี”อยู่ประจำโลก มันเป็น “หลักปฏิบัติของเดียรถีย์”แท้ ไม่มีขาดหายไปหมดโลกหรอก การ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“โลกียธรรม” เป็นของ“เทฺวนิยม”
เขาก็“มี”ของเขาไป มันก็เป็นปดติธรรมดาของโลกียะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย“ความมี”กับ“ความไม่มี”นี้แหละในโลกที่ใช้“สื่อ”แสดงต่อกันให้รู้ ไม่มีอื่นหรอก “ความมี-ความไม่มี”จึงเป็น“เทฺว”หรือ“ภาวะ ๒”คู่ยิ่งใหญ่ อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันทำกันได้ครบ ที่ทำให้คนผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงก็จะ“รู้จบ”ทุกสรรพสิ่งได้ (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ ๔๓)
สรุปแล้ว ในโลกนี้มี“ความมีกับความไม่มี” แม้แต่พญานาค ก็คือ สิ่งที่“มี”หรือสิ่งที่“ไม่มี” เป็น“ภาวะ ๒” แต่อาตมาเป็น“อนุปคัมมะ” เป็นผู้มัชฌิมา คือเป็นคนกลางๆ ก็เห็นอยู่ว่า“พญานา”มันก็มีสำหรับคนผู้“มี” และมัน“ไม่มี”สำหรับคนผู้“ไม่มี” เพราะเป็น“ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานแล้ว” ชื่อว่า “พุทธ” จึงไม่ต้องใช้วิธี“หลับตา”ปฏิบัติหรอก
แต่คนในโลกมันมี“ผู้ไม่รู้(อวิชชา)”เทียบ“ฐานปีรามิด” นั้นย่อมมากกว่า “ผู้รู้(วิชชา)”ที่เป็นส่วน“ยอดของปีรามิด” มัน ก็เป็นธรรมดาสามัญแท้ๆตามสัจจะ ไม่เห็นจะผิดปกติอะไร
ผู้มี“อภิภุยฺย”เป็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด
มันเป็นเรื่อง“อจินไตย” เป็นเรื่องนิรันดร ทั้งความมี-ทั้งความไม่มี โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน“ความมี“ ส่วนพุทธที่เป็น“โลกุตระ ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี”
ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้“ไม่มี”ได้แล้วจริง ก็เป็น “ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มีนิรันดร”ได้จริง
ศาสนาพุทธเป็น“อเทฺวนิยม” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของไตรลักษณ์ มี“อนัตตา” มี“สุญญตา” มี“นิพพาน” และที่สำคัญมี“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”
“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”คือ คนผู็เป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองสามารถจัดการกับ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น “อุตุนิยาม” นั่นคือ “จิตวิญญาณ”ของคนผู้นั้นสูญสลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป หมดสิ้น“อัตตา”ของตนไปนิรันดรเลย
จึงไมใ่ช่“ศาสนา”ที่จะมีอยู่ใน“กาลของโลก”ประจำโลกนิรันดร มีบางช่วงที่เป็น“พุทธันดร” หมายความว่า “ระหว่างกาลเวลาช่วงใดที่ไม่มีศาสนาพุทธอยู่เลย ช่วงนี้แหละคือ “พุทธันดร” เป็น“ข่วงที่โลกกาละนั้น“ไม่มีศาสนาพุทธ”
ในโลกกาละนั้นมีแต่ศาสนาที่ไม่ใช่พุทธ คือ มีแต่ศาสนา“เทฺวนิยม”ที่เป็น“โลกียธรรมทั้งหลาย มากมายหลายศาสนาที่จะมีอยู่ในโลก ในโลกจึงมี“เทฺวนิยม”ประจำโลก ไม่ขาดหายไปจากโลกในกาละไหนเลย
ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาเดียวที่มี“โลกุตรธรรม” แต่ก็มีบางช่วง“โลกุตรธรรม”ขาดหายไปจาก“โลก”ในบางกาละ แม้ในวงการ“พุทะศษสนา” หรือที่สุด“โลกในกาละนั้นๆไม่มี“พุทธศาสนา”เลยในโลกก็เป็น“พุทธันดร”แท้ๆ
“พุทธศาสนา”จึงไม่ใช่ศาสนาที่มีประจำโลก
แม้แต่ในวงการ“พุทธศาสนา”เองแท้ๆ ก็ยังมีบางกาละ บางยุคที่ชาวพุทธเสื่อมหนักมี“โลกุตรธรรม”ไม่ได้ เช่น ในยุค พ.ศ. ๒๕๐๐ นั่นเอง ไม่มี“โลกุตรธรรม”ในขาวพุทธ ชาวพุทธเองแท้ๆในโลกช่วงนี้ไม่มี“โลกุตรธรรม”กันอยู่ในช่วงหนึ่ง
อาตมาเกิดมาในยุคพ.ศ. ๒๕๐๐ นี้ จึงต้องนำ“โลกตรธรรม”ฟื้นคืนกลับขึ้นมาให้แก่ชาวพุทธ ตามสัจจะที่ต้องเป็นไป
ขออภัยที่พูด“ความจริงซื่อๆ ตรงๆ เหมือนอวดตัวอวดตน แต่แท้จริงในจิตใจของอาตมาไม่มี“สาเถยฺยจิต”เลยจริงๆ
(๑๔๐) ศาสนาพุทธมี“จรณะ ๑๕ วิชชา ๘”ที่ประจักษ์สิทธิ์
“ศาสนาพุทธ”เป็นศาสนาที่มี“จรณะ ๑๕ วิชชา ๘ เป็น “พุทธคุณ”แท้ๆที่ประจักษ์สิทธิ์ สำเร็จผลได้เป็นที่ประจักษ์จริง
สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตาม“จรณะ ๑๕ วิชชา ๘”สัมมาทิฏฐิก็เป็นคนมี“ศีล”เป็นที่ประจักษ์ มี“การสำรววมอินทรีย์ ๖”เป็นที่ประจักษ์ มีการศึกษาปฏิบัติลดละกิเลสในขณะกินอาหารในขณะใช้วัตถุข้าวของ มีการพากเพียรเป็น“ผู้ตื่นอยู่”เสมอมี“วิญญาณฐีติ ๗”ในขณะ“ลืมตา”ปฏิบัติกับ“กาย”กับ“สัญญา”
ถ้าขืน“หลับตา”ปฏิบัติ ก็ไม่มี“กาย”ให้ปฏิบัติ
ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นผู้“มิจฉาทิฏฐิ”
เพราะไม่่มี“สำรวมอินทรีบ์ ๖” มีแต่นั่ง“หลับตา” นั่นคือ ไม่ได้มีการปฏิบัติระมัดระวังขณะที่“ตากระทบรูป”อยู่นั้น “กาย-วาจา-ใจ”ของเราจะมี“ทุจริตกรรม”ใดเกิดขึ้นบ้าง
เช่น “กาย”ภายนอกจะผิด“ศีลข้อ ๑-๒-๓”อะไร? ไฉน? ก็จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
หรือขณะเรามี“กรรมกิริยา”ทุกอิริยาบถ เราก็ต้องสำรวมอินทรย์เรียนรู้เพื่อปฏิบัติกำจัดกิเลสเสมอ
เพราะ“กรรม”เป็น“ความจริง” ถ้าเราทำลงไปแล้ว เป็น “บาปอกุศล” กรรมนั้นก็สั่งสมเป็น“วิบากติดตัวเราไปเป็นของเรา”จริงๆ ไม่เอาก็ไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้
“วาจา”ภายนอกจะผิดศีลข้อ ๔ อะไร? ไฉน? ก็จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
ใน“มรรคองค์ ๘”ผู้สัมมาทิฏฐิจึงชัดเจนในการปฏิบัติควบคุม“สังกัปปะ ๗” ตามหลัก“ศีล”แต่ละข้อ มี“อปัณณกปฏิปทา ๓-สัทธรรม ๗”ที่พาให้เกิด“ฌาน ๔”ด้วย“วิชชา ๘” เป็นผู้“ลืมตา”ปฏิบัติ ไม่“วิจิกิจฉา”เลยว่า “ฌาน”ของพุทธคือ “ฌานลืมตา” ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นผู้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ในพุทธ
พระพุทธเจ้าเปรียบเปรยผู้มิจฉาทิฏฐิออกนอกรีตนั้น เป็นโจรปล้นศาสนา เช่น คนที่“หลับตา”ปฏิบัติเป็นต้น.
พระพุทะเจ้าทรงสมมุติว่า มีพระราชาคือ ผู้เป็นใหญ่ที่รักษาสมบัติอย่าให้โจรมาปล้นเอาสมบัติไปได้ หากมี“โจร”เกิดขึ้นก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม แม้ในตอนเช้า ถ้ายังไม่ตายก็ให้ไปประหารอีกในตอนกลางวัน และหากยังไม่ตายอีกก็ให้เอาไปฆ่าอีกตอนเย็น แล้วท่านก็จบไว้แค่นั้น
เพราะลัทธิ“เดียรถีย์เป็นลัทธิประจำโลก จะในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต และทุกวันนี้ก็ยัง“มี”เดียรถีย์ หรือในโลกคนผู้“อวิชชา”นั่นแหละที่ยังงมงายอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติ มันไม่หนีหายไปจากโลกหรอก มันก็ยังเป็น“โจร”แทรกเข้ามาปล้นศาสนาอยู่จนได้นั่นแหละ
ผู้“หลับตา”ปฏิบัติ ที่เข้าใจ“กาย”ยังไม่“สัมมาทิฏฐิ”นั้น มันปฏิบัติเป็น“เดียรถีย์”จริงๆ เพราะมันไม่มี“ภายนอก” ไม่มี “วืิญญาณฐีติ”ให้ปฏิบัติ มันมีแต่“วิญญาณสัมภเวสี”
“หลับตา”ปฏิบัตินั้นมันเป็น“การปฏิบัติของเดียรถีย์” ซึ่งมันไม่ใช่ลัทธิของศาสนาพุทธ ไม่ใช่วิธีปฏิบัติของพุทธที่ “สัมมาทิฏฐิ”เลย
ดังที่คนไทยชาวพุทธในยุคปัจจุบันนี้ยังหลงเชื่อกันว่า การปฏิบัติที่จะเกิด“ฌาน”ก็ดี เกิด“สมาธิ”ก็ดี แม้ที่สุดเกิด“นิพพาน”นั้นต้อง“หลับตา”ทำสมาธิเข้าไปๆ จึงจะได้
ซึ่งมันผิด นั่นไม่ใช่แบบของพุทธเลยสักนิด
ดังเรื่องเกี่ยวกับคำว่า“พญานาค”อันคือ “งู”ที่ภาษาบาลีคือ “นาค”ตามที่เล่าให้ฟังนั้นแล
ชาวพุทธได้พากันหลงผิด“หลับตา”ปฏิบัติเป็นเดียรถีย์กันไป หลงมืดสนิทสนมเชื่อถือ“เดียรถีย์”กัน กระตุกกันยังไง กระแทกกระทุ้งแรงจัดขนาดไหน ก็ไม่ฉุกคิดกัน “ไม่ตื่น”ได้ง่ายๆ
ก็เปรียบได้เช่นเดียวกันกับ“พญานาค”ที่นอนหลับไม่รู้คู้
ไม่เห็นดับมืดมนอนธกาลอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึก เฝ้า
“ถาดทองของพระพุทธเจ้า”ทุกพระองค์ที่เคยอุบัติขึ้นมาในโลกแล้วล้านๆพระองค์
-
••••[จบ“ปัญญา ๘”ของพุทธศาสนา เล่ม ๑]•••••