650114_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อภิธรรมของศีลข้อ 1 ที่ชาวอโศกปฏิบัติได้ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1L28rsCd67q-WP4fUMBmHorttZ4OM9UeWjvNlHO0nwQE/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Y8BQLj-sw5C4PYn3K79GPAsqnaitMxHg/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/645978286525860 และ สมณะเดินดิน…วันนี้วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน2 ปีฉลู ปีนี้พ่อครูบอกว่าเป็นปีที่น่าจะเกิดความลงตัวขึ้น ในหมู่กลุ่มของพวกเรา ก็มีความเคลื่อนตัวขึ้น ศิลปินตอนนี้ก็มารวมตัวกันมาสร้างเรือรามจักร มีกลุ่มศิษย์เก่าร่วมมือกันทำนา ปีนี้หมูแพงคนก็เลยหันไปกินไก่ต่อมาไก่ก็แพงขึ้นอีก ก็มีรณรงค์ให้ไปกินเนื้อจระเข้แทน จระเข้นอนหลับอยู่ดีๆตอนนี้ก็เริ่มเดือดร้อน สังคมก็เดือดร้อน ทำไมไม่มีใครหันมาบอกว่ามากินถั่วกินผักแทน ปีนี้ เราเชิญอาจารย์ดร.ร่วมจิตมาเผยแพร่เรื่องข้าวไร่ให้พวกเราฟัง ถามอาจารย์ว่าถ้าเราจะปลูกข้าวไร่ควรจะเริ่มอย่างไรก่อน อาจารย์บอกว่า เริ่มจากชุมชนใหญ่หรือเล็กก็ได้ เริ่มต้นทำคนละแค่ 2 ไร่ก่อน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า เราทำได้ 2 ไร่ก็ได้ข้าว 1 ตันครึ่ง ข้าวไร่เป็นพืชที่รากเยอะลำต้นแข็งแรง ถ้าสำเร็จจึงจะขยายไปสู่ข้าวนาปีเพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้น หากชุมชนไหนสนใจ อยากให้แสดงความประสงค์ ทาง LINE กลุ่มเพื่อฟ้าดิน ปีนี้พ่อครูอายุ 88 ขึ้นไป พ่อครูเคยบอกว่าปลูกข้าวกันให้ได้สักแสนตัน พวกเราลองแล้วก็ได้เป็นแสนสาหัสแทนก็เลยเอาไว้ก่อน ตอนนี้ลองขยายผลให้เครือแห่เครือข่ายขยายผลไปเรื่อย เมื่อพร้อมกันเราก็นัดกันปลูกข้าวพร้อมกัน ปีนี้ปลูกข้าวเพื่อแจกประชาชน คงจะครึกครื้น มีทั้งข้าวนาข้าวไร่ แต่ฟังดูแล้วข้าวไร่น่าจะเป็นข้าววรรณะ 9 ที่ใช้น้ำน้อยปุ๋ยน้อยแข็งแรงทนทาน อยากให้พวกเราทดลองปลูกกันเพื่อความมั่นใจ ในชีวิตของชาวนา มีเนื้อเพลงที่บอกว่า อย่าดูถูกชาวนา… มือถือเคียวชันเข่า ปลูกข้าวเลี้ยงเราสืบมา พ่อครูว่า…อันนี้มันไปเพี้ยน ใครไม่รู้ร้องเพลง ที่ว่าถือเคียวคันเก่า ไม่ใช่ถือเคียวชันเข่า ถ้าถือเคียวชันเข่าจะไปทำอะไรได้มันหมดแรงพอดี สมณะเดินดิน… มันฟังเพลงแล้ว รู้สึกว่าชีวิตชาวนาทนสู้นั่งชันเข่าหมดสภาพ แต่พ่อครูบอกว่าเพลงนั้นแต่งผิด ที่จริงแล้วเป็นถือเคียวคันเก่า นับวันวิกฤติโลกร้อนจะสูงขึ้น เรามาช่วยกันทำเรื่องปลูกข้าวให้เป็นเลิศ พ่อครูเคยบอกว่าจะตั้งมูลนิธิข้าวดีราคาถูก ตั้งข้อแม้ว่าคนจะบริจาคเงินเข้ามูลนิธิได้ต้องบริจาคไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีแต่เศรษฐีในประเทศไทยที่จะบริจาคเข้ามูลนิธินี้ได้ ทำข้าวดีราคาถูกเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งนับวันโลกก็ยิ่งขาดแคลน เรามาสร้างพื้นแผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์ขึ้นมา อาหารกายเราก็ช่วยกันสร้าง ส่วนอาหารใจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้อาหารกายสำเร็จ ก็ต้องมาฟังโลกุตระจากพ่อครู ขออาราธนาครับ อาหารของวิชชาและวิมุติ พ่อครูว่า… อาตมาก็จะพูดเน้นไปในทางเรื่องของอาหารใจ อย่างที่ท่านเดินดินว่า เน้นไปในทางเรื่องอาหารใจเป็นหลัก อาหารกายก็คงรู้กัน เรียกว่าทำกันอยู่แล้วดิ้นรนกันอยู่แล้วจัดการกันไป อาหารใจนี่แหละมันสำคัญ ถ้าเรามีปัญญาที่จะรู้จักอาหาร โดยเฉพาะ อาหารที่อาศัย ในอาหารสูตร ท่านบอกว่า ๑. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . . ๒. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์ ๓. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ ๔. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา ๕. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์ ๖. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต ๓ บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต ๗. สุจริต๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน๔ บริบูรณ์ ๘. สติปัฏฐาน๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ . ๙. โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม ๒๔ ข้อ ๖๑) อาหารเป็นคำข้าวที่กินไว้เลี้ยงขันธ์ร่างกาย ท่านตรัสไปถึง อาหาร 4 มี กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณหาร ซึ่งความรู้ของพระพุทธเจ้าครอบคลุมครบพร้อมหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม อาตมาว่า โอ้โห ถ้าผู้รู้แจ้งรู้จบแล้วมันไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญาที่จะชัดเจน อะไรๆที่เป็นอยู่ในสังคมในโลกในพฤติกรรมมนุษย์ มันก็เป็นอย่างที่มันเป็น มันไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดอะไร เพราะว่ากิเลสมันเป็นไปได้สารพัดบ้าๆบอๆ บางทีมันก็เป็นไปได้อย่างที่เรานึกไม่ถึงว่า จะเป็นไปได้อย่างนั้นร้ายแรงอย่างน่าเกลียด SMS วันที่ 12-13 มกราคม 2565 โกศล สุขเล็ก · กราบคารวะพ่อท่าน..ถ้ามหาเถรสมาคมนำพระธรรมของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยก็เท่ากับประจานตัวเอง พ่อครูว่า… เป็นเรื่องหลงผิดไปยกสิ่งที่ไม่น่ายกย่อง เช่นศาสนาพุทธให้เลิกไปหลงในการติดลาภยศสรรเสริญสุข แต่สังคมศาสนาพุทธทุกวันนี้กระแสหลักก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องลาภ เรื่องยศ เลอะเทอะเละเทะกับเรื่องยศ สรรเสริญสุขเป็นนามธรรม ก็เพียบพร้อม ไม่ใช่ไม่มี สรรเสริญไม่ใช่ไม่ติดแต่ติดอย่างลึกซึ้งเลยทั้งสรรเสริญและสุข เรื่องลาภยศที่เป็นเรื่องนอกเห็นได้ง่ายก็ชัดเจนเต็มไปหมด ซึ่งก็ไม่รู้ตัว ตัวเองก็เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่รู้ตัวก็เอาพระธรรมะพระพุทธเจ้ามาพูดไม่ได้ เพราะตัวเองตรงกันข้ามกับที่พระพุทธเจ้าสอนเสร็จ หากเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยมันก็เป็นการประจานตัวเองอย่างที่คุณโกศลว่าก็จริง การระลึกชาติแบบไหนที่ทำให้ได้บรรลุธรรม _เดชา อัมพร : เราเคยบอกว่าในพุทธก็มีเรื่อง”บุพเพนิวาสานุสติญาณ”.. ก็คือการระลึกอดีต(ซึ่งน่าจะรวมไปถึง”อดีตชาติ”ด้วย)..เพราะถ้าเป็นเรื่องที่ผิด.. พระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นผู้ผิดเป็นองค์แรก.. และไหนอย่างท่านโพธิรักษ์ก็ยังเคยนำมาพูดถึงให้พอรู้เช่นเดียวกันว่า..อดีตชาติของท่านเป็นผู้ใดมาบ้าง?(จริงหรือไม่จริงเอาไว้ค่อยพูดวิเคราะห์วิจัยกันอีกทีหนึ่ง)..ซึ่งเราเห็นว่า.. การระลึกอดีตชาติได้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานอยู่แล้วอยู่ไม่ใช่น้อย.. เพื่อจะได้ไต่เต้าในการตัดกิเลสในชั้นต่อๆไป..เช่น ในเรื่อง”กามคุณหญิงชาย” ก็จะได้รู้ว่า..เราเคยประสบอะไรมาบ้างในอดีตชาติในเรืองราวแบบเดียวกันนี้ หรือเคยเจ็บปวด,ชอกช้ำ,ผิดหวัง,เห็นทาสแท้ของคู่ครองหรือต่างเพศมามากเท่าไหร่? ซึ่งอาจนำมาระลึกแล้วทำให้ผ่อนคลายความติดยึดและเพิ่มบุญบารมีต่อไป เพราะรู้สึกเข็ดหลาบ..ก็เป็นได้.. เราจึงเห็นว่า..ไม่น่าจะมีการปิดกั้นภูมิรู้เรื่องวิธีจะระลึกชาติให้ได้..เหล่านี้เลย.. เพราะเมื่อปิดกั้นแล้ว..วิชาก็จะสูญหายหรือเสื่อมสูญไปเรื่อย ๆ (หรือถ้าการระลึกอดีตชาตินั้น มันไม่มีจริง แค่เป็นคารมเพื่อสร้างเครดิตให้คนศรัทธาเท่านั้น ก็ควรจะได้บอกกันตรง ๆ ไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาติดตามเพื่ออยากรู้เรื่องเหล่านี้อีกต่อไป).. ก็เหมือนวิชาการทางโลกนั้นแหละ.. เช่น “วิขาแพทยศาสตร์” ท่านโพธิรักษ์เองก็ยังเคยพูดประมาณว่า..”วิชาแพทยศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา”ด้วยเลย ไม่ใช่หรือ? และท่านก็คงไม่ได้ปฏิเสธถ้ามีลูกหลานชาวอโศกต้องการจะไปศึกษาในวิชาการเหล่านี้ด้วย ใช่หรือไม่?..ซึ่งเราก็พยายามค้นหา,ค้นคว้าอยากรู้วิธีการที่เป็นไปได้อย่างแท้จริง.. แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอาจารย์พุทธใดๆ ที่จะบอกสอนว่า..วิธีที่จะทำให้เราระลึกชาติได้โดยไม่ยากนั้น..จะต้องทำอย่างไร?.. พ่อครูว่า…การระลึกชาติได้นั้นก็เป็นประโยชน์สำหรับผู้มีพื้นฐานธรรมมะที่ดี แต่ถ้าผู้ที่ไม่มีพื้นฐานธรรมะที่ดีนั้น อย่างเช่น พระยันตระ ไม่มีศีลธรรมก็ไปทำเละเทะ แต่ถ้าผู้มีศีลธรรมก็จะเป็นประโยชน์มาก อย่างเช่นอาตมาระลึกถึงอดีตชาติได้ ก็มาใช้ประโยชน์ที่แท้จริง อาตมาก็ไม่ได้ไปเอาอดีตชาติมาเพื่อที่จะเอามาเป็นประโยชน์ที่จะทำให้เหมือนพระนิกร ซึ่งหนักเข้าลามกจกเปรตเสียหาย พ่อครูว่า…ที่ว่าการแพทย์เป็นเดรัจฉานวิชานั้น อาตมาก็ขยายความ ให้รู้ว่าเดรัจฉานวิชาหมายความว่าอย่างไร ไม่ได้หมายถึงวิชาของสัตว์เดรัจฉาน เดรัจฉานวิชาหมายถึงวิชาที่ไม่พาพ้นทุกข์ ไม่พาไปสู่นิพพาน เป็นวิชา เดรัจฉานแปลว่าขวางทางนิพพาน อาตมาก็ขยายความอธิบายคนที่ไม่เข้าใจ ไปว่าไปด่าว่าเดรัจฉาน ก็คนละเจตนากับอาตมาคนละขั้นคนละอย่าง เขาก็เข้าใจผิดไป แต่วันที่อาตมาไปอธิบายที่คณะแพทย์ศาสตร์ อาตมาตั้งชื่อเรื่องว่าวิชาแพทย์ศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา มันเป็นแทคติกของอาตมาที่ตั้งชื่อเรื่อง โอ้โห วันนั้น ห้องแทบแตก ที่อาตมาไปอธิบายนั้นคนไปฟังแทบแตกเลย อย่าว่าแต่แพทย์เลย วิศวกรรม เทคนิคการแพทย์ก็มาเต็มห้องหมดเลย หาว่าจะมาด่าวิชาแพทย์เป็นเดรัจฉานวิชาได้อย่างไร อาตมาก็ได้คนมาฟังเต็ม สมที่เจตนา แล้วก็ได้อธิบายให้ฟัง ก็ถ้าอาตมาอธิบายไม่ได้อาตมาออกมาไม่ได้นะ เขาเอาตายเลย ถ้าหากอาตมาแก้ไม่หลุดพูดความจริงนี่ไม่ได้ แต่คนเหล่านั้นเป็นชนชั้นปัญญาชนมีปัญญา ก็ชัดเจน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… ดูเหมือน ในพวกเราสมัยหมอฟ้ารัก ก็เคยฟังกัน พ่อครูว่า… แม้แต่ ดร.มานะด้วย คุณเดชาฟังอาตมาบรรยายบ้างหรือเปล่า ถ้าอาตมาบรรยายวิธีที่จะระลึกชาติได้โดยไม่ยากนั้นจะทำอย่างไร ก็พูดอธิบายอย่างที่จำได้ว่า คุณก็ระลึกถึงเมื่อวานนี้ ก็ย้อนทวนว่าเมื่อวานนี้คุณกินอะไร อาหารเช้าเมื่อวานนี้ อาหารกลางวันอาหารเย็นกินอะไร ชีวิตคนทำอะไร นี่คือการระลึกอดีตชาติ คุณไล่ไปๆ ก็จะค่อยๆเก่งขึ้นแล้วนึกถึงอะไรได้ดีขึ้น ส่วนจะระลึกข้ามชาติได้นั้นอย่าเพิ่งไปกล่าวเลย ถ้าคุณสามารถมีภูมิธรรมระลึกได้จริงๆเลย ลึกเข้าไปถึงจิตเจตสิกของคุณแล้วก็สามารถข้ามชาติ ซึ่งมันจะมีสัญญาเป็นความจำ สัญญาเป็นธาตุเจตสิกของจิต วิญญาณ ของอัตภาพ มีเจตนา สัญญา สังขารวิญญาณ มันจะบันทึก อย่างสัตว์ทั้งหลายและมีสัญชาติญาณ นั่นแหละคือความจำเก่ามันออกมาแสดงตัว โดยที่คุณไม่ต้องระลึกแต่มันออกมามีจริง ตั้งแต่อดีตชาติเก่าๆ ชาตินี้คุณก็ทำได้โดยอัตโนมัติเลย เป็นไปโดยยังไม่ต้องไปสอน ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานจนกระทั่งถึงคน อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งศึกษาดีๆ แล้วจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันมีจริง สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยสอนวิธีระลึกชาติจะเป็นประโยชน์ทางธรรมะ พ่อท่านสอนอันนี้มากกว่า พ่อครูว่า… ใช่ สอนระลึกชาติที่เป็นธรรมะก็หมายความว่า ธรรมะที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้าตรัสเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก คุณหยิบมาแล้ว คุณเข้าใจ คุณรู้ ติดตัวมาแต่ชาติก่อน ที่อาตมาก็ยืนยันว่าตัวเองมีแต่ชาติก่อน เข้าใจแล้วก็เอามายืนยันอธิบาย อธิบายแล้วคนเข้าใจได้ เมื่อคนเข้าใจได้แล้วเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็เกิดผลจริงบรรลุจริง เช่น อย่างชาวอโศก ปฏิบัติศีลปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติแล้วก็เกิดผลเป็น ฌาน ลดกิเลสเผากิเลสลงไป จนกระทั่งกลายมาเป็นคนที่ลดละหน่ายคลาย อย่างที่ชาวอโศกเข้ามาอยู่ในนี้ ลดละหน่ายคลายมาทั้งนั้น ไม่ไปกระเหี้ยนกระหือรือแย่งลาภยศสรรเสริญสุข อย่างที่เขาเป็นกันแม้ในเถรสมาคม ซึ่งชาวอโศกจะไม่เหมือนเถรสมาคมเลย ยิ่งทั่วๆไปแล้วก็ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ขนาดเถรสมาคม ก็คงไม่ปฏิเสธที่อาตมาพูด ยังแบกลาภ หามยศ พวกพระสายหลับตาที่จริงมีลาภนะ แต่ก็ทำเป็นกลบเกลื่อน ทำเป็นไม่มีเพื่อเชิดชูตัวเองเลอเลิศ ให้ได้รับการนิยมชมชอบ อย่างเช่นมหาบัว นี่คือความฉลาด เฉโกของพวกที่ใช้วิธีพวกนี้ ลาภก็ดี ยศก็ดี อย่างพวกพระที่ออกมาหลับตาออกป่าไม่ค่อยไปแย่งลาภยศ แต่ทางพระเถรสมาคมยังแบกยศ เทิ่งๆๆ สรรเสริญนั้นซ้อนลึก มีทั้งพระป่าและพระบ้านเต็มไปหมดแล้วก็ไม่รู้จักสุขก็ยังเสพสุขกันอยู่เลย ไม่เข้าใจเรื่องสุข เลิกสุข ไม่มีสุขไม่มีทุกข์จริงๆ ก็พยายามศึกษาพยัญชนะ แต่ไม่เข้าใจลึกซึ้ง พยัญชนะว่า ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ก็พูด แต่จริงๆแล้ว สุขเป็นสุข เช่น ไปแปล นิพพานังปรมังสุขัง ไปแปลเป็นไทยว่า สุขอย่างยิ่ง นี่คือการไม่รู้จักสุข สุขอย่างยิ่ง จริงๆอาตมาแปลแล้วว่า มันยิ่งกว่าสุข นิพพานัง ปรมังสุขัง นั้นมันยิ่งกว่าสุข มันไม่ใช่สุข มันยิ่งกว่าสุข อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันก็ตรงตามที่เขามีภูมิรู้ เขาก็แปลตามตรงอย่างนั้นอย่างนั้น พูดไปแล้วก็เหมือนกับยกตัวเองข่มผู้อื่นต่อไป _เจิน วดี : ชอบความเกื้อกูล และช่วยกัน งานจึงสำเร็จ พัฒนางานพัฒนาตน เพื่อส่วนรวมดีขึ้น กราบสาธุค่ะ พ่อครูว่า… คนนี้ก็มีปฏิภาณปัญญาหรือว่าพฤติกรรมอย่างนี้ก็มีนะก็คือมองในชาวอโศก อย่างที่คุณเจินวดีพูด ต้องเป็นคนแบบไหนจึงเทศน์ได้อย่างไม่เกรงใจคนรวย _อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : สมณะด่วนดีเทศน์เมื่อวันพฤหัส ที่ 13 ม.ค. 65 เทศน์ดีครับ เทศน์แบบไม่เกรงใจคนรวยเลย..ชอบครับ พ่อครูว่า…อาตมาก็คนนึง ไม่เกรงใจแล้วล่ะคนรวย ที่เกรงใจคนรวยกันอยู่นั้นก็เพราะว่า เดี๋ยวไปว่าคนรวยแล้วคนรวยเขาก็จะไม่มาบริจาค ให้มาทำทาน เขาจะอดอยากปากแห้ง เขาก็เลยไม่ค่อยกล้าที่จะว่าคนรวย ถ้าอย่างเรานี้ อาตมาก็ดี สมณะด่วนดีก็ดี ไม่ได้ฟังเสียง เพราะมันเป็นเรื่องจริงของธรรมะ เป็นเรื่องจริงของสัจธรรม คนที่ไปรวยนี้ คนที่จะไม่ไปมุ่งรวย เป็นคนที่คิดผิด มันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของมารครอบงำที่แท้จริง ซึ่งพูดไปแล้ว มันขัดแย้งไปหมดในคนที่มีฐานปุถุชน เราต้องเป็นฐานอริยบุคคลในฐานที่สูงขึ้นจริงๆ ถึงจะเห็นจริงๆเลยว่า แหม เป็นคนต้องมาจนนะ เพราะฉะนั้นคนที่มาเป็นชาวอโศกหยุดที่จะเลิกไปรวยอีกเลย หันไปทางมาจน มุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน จนสำเร็จ จนจนสำเร็จ มันมีอีกไม่รู้กี่จนต่อกี่จน เข้าใจซาบซึ้งคำว่าจน จนเอาไปตั้งนามสกุล มันจะถึงร้อยนามสกุลหรือยังไม่รู้ เอาไปจดทะเบียนกัน เอาคำว่าจนไปจด ตอนนี้มี 15 นามสกุล แล้ว คือซาบซึ้งในคำว่าจน ซึ่งมันไม่ใช่ความหลอกความหลง แต่มันเป็นความชัดเจน มันเป็นความเห็นจริงว่า คนเรานี้เนาะ เราก็แย่งความรวยมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ โอ้โห ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย พอเข้าใจแล้วก็มาทำตัวเป็นคนจน เมื่อเป็นคนจนได้ที่ คนจนได้พอสมควร สามารถที่จะเข้ามาอยู่รวมกลุ่มกับชาวอโศกที่เป็นแดนคนจนที่แท้จริง ซึ่งพูดถึงว่าคนที่จะมาเป็นคนจน พูดกับคนชาวโลกเขา เขาบอกว่า มันไม่มีหรอก พวกคนจนคือพวกที่ ยายหลอยพูด คือ ก็คนบ้า พวกคนจนคือพวกคนบ้า เพราะมันคนละเรื่องกันกับแนวคิดคนสามัญทั่วไป มันทวนกระแสกันจริงๆเลย แล้วมาจนมันจนทำไม สมรรถภาพก็มี ความรู้ความสามารถ เรี่ยวแรงอะไรมีหมด แล้วเราจะมาทำตนให้เป็นคนจน ทำไปทำไม ใครจะรวย ก็รวยไป อยากจะทำทานบริจาคก็ทำสิ แจกบริจาคไป จนแล้วจะเอาที่ไหนไปบริจาคอะไรอย่างนี้ เขาก็คิดอย่างง่ายอย่างตื้น ถ้าเผื่อว่าพระพุทธเจ้าเข้าใจอย่างที่พูดไปเมื่อกี้นี้ ถ้ามาเป็นคนจนไม่ต้องมีทรัพย์สิน ไม่ต้องไปสะสมอีก มีวรรณะ 9 พระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้าที่ทิ้งทรัพย์สมบัติต่างๆ มานุ่งผ้าบังสกุล ไม่ใส่รองเท้า ดำเนินพระบาทเปล่า แล้วก็นอนโคนไม้โคนดินไป ใครมาสร้างกุฏิ มาสร้างที่พักอะไรให้ก็พักไป แต่ก็ไม่เคยติดยึดว่าเป็นของตัวของตนอะไร ท่านก็จะไปทำทำไม เพราะอย่างที่คุณคิดคุณว่าไปทำทำไม เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความลึกซึ้งที่ทวนกระแสจิตคน ยากที่จะเดา เป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่คิดเล่นๆไม่ได้ ถ้าคนไม่มีภูมิถึงจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจแล้วก็เข้าใจเรื่องจน แล้วก็เอาชีวิตมาจน เดินทางตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านก็ทรงประพฤติอย่างนั้น ในชีวิตของพระองค์จริงๆ เพราะฉะนั้นก็จึงมีคนมาเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ อย่างเช่นชาวอโศกเรา จนเกิดเป็นสังคมชุมชนชาวอโศกที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย อย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นเรื่องจริงของคนพวกนี้มาจริงๆไม่ใช่มาเล่นๆ มันเป็นเรื่องที่ทวนกระแสอย่างมหัศจรรย์ เรากำลังพูดถึงความมหัศจรรย์ 8 ประการ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… พระพุทธเจ้าค้นพบชีวิตที่วิเศษสุดอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น ได้ข้อสรุปว่าชีวิตที่ดีที่สุดคือต้องมาจน ใส่เสื้อผ้าจนๆ ไม่ใส่รองเท้า ไม่ใช้เงินใช้ทอง เถรสมาคม พูดไม่ได้จะเป็นการประจานตัวเองแต่คงไม่ใช่แบบชาวอโศก เพราะชาวอโศกมาจนทั้งชาติจนสำเร็จ ก็คือชัดเจนว่าชาวอโศกจะมาเป็นทิศทางที่พระพุทธเจ้าพาทำ ถ้าเราชื่อจนสำเร็จจนทั้งชาติ จนอีหลีอีหลอ แต่ชีวิตไม่ได้เป็นทิศทางที่จะน้อยลง 0 ลง มีทิศทางอย่างนี้ ก็ถือว่าเราก็เป็นขบถเหมือนกัน เพราะอุตส่าห์ตั้งชื่อว่ามาจนแต่ทิศทางชีวิตจะรวยขึ้นรวยขึ้น ก็เคยเห็นพวกเราที่รวยขึ้นก็จะเริ่มเพี้ยน หาว่าพวกเราที่ยังจนอยู่นั้นเป็นพวกเพี้ยน หาว่ามาซ่องสุมทำอะไรกันผิดๆ นี่คืออันตรายของความรวย สู่แดนธรรม… เขาคงใช้นามสกุลว่า กลั้นใจจน สมณะเดินดิน… ถ้าผิดเพี้ยนไปคงจะให้นามสกุลว่า กลั้นใจจน คนจนที่มมีวรรณะ 9 คือผู้กอบกู้มนุษยชาติได้ สู่แดนธรรม… พ่อท่านถามว่า มนุษย์ทำตัวมาจนทำไม ผมก็แว๊บคำตอบว่า มาเพื่อกอบกู้มนุษยชาติได้ไหมครับ พ่อครูว่า… ได้ มากอบกู้มนุษยชาตินี้ เพราะว่าจริงๆแล้วความจน วรรณะ 9 วรรณะ คือขั้นชั้น ความเจริญของมนุษย์ มนุษย์ที่มีภูมิธรรม ในระดับเป็นขั้นเป็นชั้นขึ้นไป ใน 9 ระดับของวรรณะ นี่แหละเป็นความเจริญ เป็นความประเสริฐของความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องมหัศจรรย์เป็นเรื่องทวนกระแสโลกอย่างชัดเจนเลย อย่างพระพุทธเจ้านี่นะ ถ้าเผื่อว่า ท่านจะอยู่เป็นผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แล้วก็สอนเรื่องธรรมะโลกุตระท่านก็ทำได้ แต่มันไม่สมประกอบ ก็เราบอกว่าจะไม่มาเอาลาภยศสรรเสริญ แล้วทำไมจะไปอยู่แบกลาภยศสรรเสริญเหมือนเถรสมาคม ก็จะไปมีอยู่ทำไมก็ออกมาสิ แยกมานานาสังวาสเลย เขาก็อยู่อย่างนั้น เราจะเป็นอย่างเขาทำไม อย่างอาตมาชัดเจน มาบวชแล้วถ้าขืนไปอีกอย่างนั้น ไม่เอาแล้วแยกดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาตมาก็ต้องไปทางโน้นอีก หรือจะไปแล้วเขาก็กั้นก็ห้าม ก็อาศัยพระธรรมวินัยของพุทธเจ้าประกาศนานาสังวาส อาตมาจึงประกาศนานาสังวาสแต่เขาไม่รู้เรื่องกัน เถรสมาคมไม่รู้เรื่องนานาสังวาส ตอนแรกพออาตมาประกาศยืนยันนานาสังวาส เขาก็ยังงงๆ ปล่อยให้เราประกาศตั้งแต่ พ.ศ. 2518 จนกระทั่ง พ.ศ. 2532 มีมหาประยุทธ์นี่แหละ ก็บอกว่าไม่ได้ เอาคารมที่ตัวเองตีว่า ถ้าเผื่อว่ามาบวชแล้ว อยู่ในหมู่นี้แล้ว ถ้าเผื่อว่าจะประกาศนานาสังวาสต้องสึก ถ้าจะสึกต้องไปประกาศนานาสังวาสทำไมล่ะ ดูซิว่าตรรกะแค่นี้ก็แย่เลยมหาประยุทธ์ ถ้าสึกจะไปประกาศนานาสังวาสทำไม ก็สร้างใหม่เลยเป็นนิกายใหม่เลย อาตมาทำนิกายไม่ได้ ถ้าทำนิกายเป็นอนันตริยกรรม อาตมาก็ต้องอยู่กับหมู่ใหญ่นี่แหละเป็นพุทธ เรียกว่าสังวาสเดียวกัน แต่ธรรมวินัยท่านให้ประกาศนานาสังวาสได้ ประกาศโดยส่วนย่อยส่วนน้อย หรือหมู่ใหญ่จะประกาศให้หมู่น้อยเป็นนานาสังวาสก็ได้ มี 2 อย่างเท่านั้นแหละ นี่ก็เป็นสัจจะในธรรมวินัยอย่างชัดเจน เขาก็เรียนก็รู้กันลึกซึ้งมากมายจบเปรียญ 9 จบปริญญาเอกกัน สู่แดนธรรม… เราคิดกันว่าออกจากพวกเขาเป็นนานาสังวาส แต่เขาคิดว่าถ้าออกจากเถรสมาคมทำได้อย่างเดียวคือต้องสึก พ่อครูว่า… อันนั้นก็ต้องทำเป็นนิกายชัดๆ ซึ่งพูดไปก็เท่านั้นมันผ่านไปแล้วแต่มันเป็นความรู้ สู่แดนธรรม… ที่ผมถามไปว่า การกอบกู้มนุษยชาติพ่อท่านก็ตอบว่าต้องทำด้วยการเป็นคนวรรณะ 9 พ่อครูว่า… วรรณะ 9 ฟังดีๆนะ วรรณะ 9 เป็นขั้นชั้น the classes เป็นขั้นชั้นของมนุษย์จริงๆ เพราะถ้าเป็นผู้มีคุณธรรม จะเริ่มตั้งแต่เป็นคนเลี้ยงง่าย เลี้ยงได้เลยเลี้ยงอย่างหมูอย่างไก่เลย อย่าพูดอย่างหมูอย่างหมา มีอาหารให้กินก็อยู่สบาย เรื่องไม่มาก แล้วก็สอน เอาธรรมะมาสอนได้ง่าย สุโปสะ ตั้งใจฟัง อย่างที่พวกเราชาวอโศกไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มานั่งฟัง เทศน์ทีนึง ก็มานั่งฟังกันเต็มก็เข้าใจ สุโปสะ ง่าย แล้วก็มีจิตลึกที่จะมามากน้อย หรือแปลว่ากล้าจน ชอบที่จะเป็นคนจน อัปปิจฉะ กล้าจนหรือชอบที่จะเป็นคนจน ชอบจะมีน้อยๆ ไม่ชอบมีมาก เป็นจิตจริง ของคนที่มีจิตตัวนี้ ไม่ใช่เสแสร้ง ไม่ใช่เล่นลิเก ไม่ใช่แฟชั่นอะไร แต่เป็นเรื่องจริง จิตมันเกิดจริงๆเรียกว่าขั้นชั้นของจิตวิญญาณ เรียกว่าเป็นวิญญาณที่เจริญ ถ้าใครยังไปอยากรวย ปรารถนาจะไปรวยอยู่ ยังไม่ทวนกระแส ยังไม่หันมาเข้ากระแสพุทธศาสนา ยังไม่เข้ากระแสโลกุตระ เป็น New Normal ตลอดของพระพุทธเจ้านี้ มันไม่เคยเก่าเลย อกาลิโก ตลอดกาล เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็ต้องมากำหนดตัวเองว่าเราเป็นคนมักมากไปเรื่อยไม่รู้จักพอ ก็ต้องมีขอบเขตเรียกว่า สันตุฏฐิ รู้จักพอ ใจพอ หยุดแค่นี้นะ มีมากกว่านี้ไม่เอานะ สละออกจริงๆเท่านี้ก็พอ คนที่ใจพอสูงสุดก็คือ 0ก็พอ ที่จริงมันก็ต้องมีบริขารบ้างที่ต้องใช้ประกอบ เดี๋ยวนี้บริขารแม้แต่แว่นตา แม้แต่คอมพิวเตอร์ก็เป็นบริขาร ก็เคยอธิบายไปหมดแล้ว ที่มันจำเป็นไม่ใช่เป็นการบำเรอบำรุง แต่เป็นการทำงาน อาศัยใช้ประโยชน์ อย่างนี้เป็นต้น ก็รู้จัก สันตุฏฐิ สันโดษหรือใจพอ แต่เขาอธิบายคำว่าสันโดษไปเลอะเทอะ แปลว่าพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ อาตมาก็เคยอธิบายหลายทีแล้ว ก็ไปถามคุณเจริญที่ร่ำรวยในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเจริญโภคภัณฑ์หรือเจริญ สิริ เขาก็เพิ่งพอใจในสิ่งที่เขามีอยู่เขาก็สันโดษ คุณเจริญ ธนินท์ หรือคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี เขาก็พอใจ ในสิ่งที่เขาไม่อยู่ ไปแปลภาษาไทยและไปหมด ซึ่งมันต้องแปลว่ามีขีดจำกัดที่จะต้องพอ แล้วเข้ามาหาน้อยมาหา อัปปิจฉะด้วย ไม่ใช่พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ซึ่งมันจะรู้จักพอได้อย่างไร อย่างนั้น เป็นการแปลคนละเจตนารมณ์ออกนอกลู่นอกทาง อย่างนี้ที่เป็นการเลี่ยงบาลีของพระพุทธเจ้า สันโดษก็ดี จึงรู้ความจริงและเป็นคนขัดเกลาตนเอง ขัดเกลา ที่มันเป็นเลือดของโลกียะเป็นเลือดของคนปุถุชนคนโลกๆ ชัดเกลา เรียนรู้เข้าใจชัดเจนเลยว่าเดินทางโลกุตระเป็นเช่นนี้ ถ้าจะปล่อยตัวเป็นโลกียะก็เป็นเช่นนั้น จมอยู่กับโลกีย์ ไม่งอกไม่เงย สู่แดนธรรม… ขนาดมักน้อยสันโดษยังไม่พอยังต้องถูกขัดเกลาอีกครับ ขัดเอาอะไรออกอีกครับ พ่อครูว่า… ก็กิเลสที่เหลือจนกว่าจะจบ จนกว่าจะเป็นอรหันต์ ต้องสัลเลขะ ธูตะ คือตามหลักเกณฑ์ข้อปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่จะทำให้เคร่งครัดดีขึ้นไปเรื่อยๆ ตามหลักการที่เคร่งครัด ผู้ที่ทำได้ตามลำดับมันเป็น ศีลเคร่งหรือข้อปฏิบัติที่เคร่งขึ้น คนอื่นปฏิบัติไม่ง่ายแต่ผู้ที่ทำได้และไม่ยาก ผู้ที่เคร่งนั่นแหละ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากไปเรื่อยๆ เรียกว่า ธูตะ จนกระทั่งได้ไปตามสบาย มีอาการนั้นได้โดยไม่ต้องฝืน ไม่ต้องยาก ไม่ต้องลำบากอะไร เป็นฌาน ไม่ว่าจะเป็นข้อปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ก็ทำได้สบาย โดยไม่ได้ยากไม่ได้ลำบากอะไร เป็นฌานทั้ง 4 รู้ว่ามีเหตุปัจจัยอะไรก็วิตกวิจารแล้วทำจัดการก็ทำได้ จิตถ้ายังมีฌาน 1 2 3 มันก็จะมีอารมณ์จิตวิตกวิจาร แล้วก็ทำได้ดีขึ้นก็ดีใจ ปีติ แล้วก็รู้สึกว่าสุขใจ แต่เป็นสุขอย่างสงบนะ กรึ่มๆอยู่ จนกระทั่งสมบูรณ์เป็นอุเบกขา ก็เป็น ฌาน ข้อที่ 4 ซึ่งยังไม่ลงรายละเอียด เป็นสัจจะที่ยืนยันพิสูจน์ได้ตามที่อธิบายโดยเฉพาะในชาวอโศก ทำได้จนกระทั่งไม่เห็นมันยากอะไร มาอยู่อย่างนี้มาจน ก็มากินมาอยู่อย่างนี้ หลายคนมาตั้งแต่สาวๆ มาตั้งแต่หนุ่มๆ เดี๋ยวนี้ก็แก่ๆกันไป ตายกันไปก็เยอะแล้ว ก็ไม่คิดจะหนีไปไหน รู้เลยว่าอย่างนั้นไม่เอาแล้วอย่างโลกีย์ที่จะไปอย่างโน้น ก็อยู่อย่างนี้จนตาย แล้วก็สบายใจ พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ สบาย ซึ่งมันเป็นสังคมเป็นพฤติการณ์ของมนุษยชาติ ที่มันจบนะ นอกจาก ปาสาทิกะ แล้วก็มีอปจยะ มาอยู่อย่างนี้แล้วไม่ต้องสะสมอะไร ใช้ส่วนกลาง ใช้สาธารณโภคี ไม่ต้องไปสะสมอะไร สบาย ไม่ต้องแบกต้องหาม ไม่ต้องมานั่งคิดบัญชี เรื่องบัญชีที่จะต้องคิดตามธรรมตามสัจจะ ก็ให้ผู้ที่ต้องทำบัญชีเขาทำได้ ก็ต้องทำบ้าง ไม่ทำมันก็ไม่รู้ไปมาอย่างไรมันมีหรือไม่มี มีอยู่หรือไม่มีอยู่ มันก็ต้องศึกษา เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าทุกอย่างลงตัวตามคำสอนพระพุทธเจ้าไปเลยไม่ต้องสะสม เสร็จแล้วมาเป็นคนสุดท้ายเป็นวรรณะข้อที่ 9 วิริยารัมภะ ทุกคนขวนขวาย ตั้งใจพากเพียรมีชีวิต รู้ว่าขี้เกียจเป็นอบาย ซึ่งมันก็ไม่มีขี้เกียจแล้วพวกชาวอโศกอยู่ในนี้ ขี้เกียจมันน่าละอายจริงๆอยู่ในนี้ใครที่ขี้เกียจ ตัวเองรู้สึกตัวได้ก็จะละอาย จึงเป็นภูมิธรรมที่แท้จริง เป็นคนที่ วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร ถึงจะมีเลือดขี้เกียจเป็นคนขี้เกียจหนักหนามาอย่างไร มาอยู่ที่นี่มันก็ต้องขี้เกียจไม่ได้ มันก็ต้องละอาย ละอายอย่างแรงกล้า เพราะมาอยู่ในหมู่นี้ เราจะเป็นคนหมาหัวเน่าอยู่ในนี้ มาขี้เกียจให้เห็นกันขึ้นขนอย่างนี้ เพื่อนก็ว่าเอาแย่อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นพลังองค์รวมของหมู่กลุ่ม ที่ให้คุณขยันอยู่เสมอ พยายาม ท่านประยุทธ์ท่านแปลว่าระดมความเพียร วิริยารัมภะ ระดมความเพียร ก็ใช่ วรรณะ 9 เป็นคุณลักษณะคุณวิเศษอันน่ามหัศจรรย์ ของมนุษย์ ในยุคพระพุทธเจ้าทำได้ ในยุคนี้ก็ทำได้ แสดงว่าพุทธศาสนานี้มีฤทธิ์ แม้ในยุคนี้ก็ทำได้ เปิดเผยความจริงอธิบายความจริงนี้ คนยังมีดวงตา มีธุลีในดวงตาน้อยก็เห็นก็จึงได้มาเอา แม้ว่าจะมีน้อยคนกว่าในยุคพระพุทธเจ้า ก็แน่นอน คนที่จะมีบารมีย่อมมีน้อยลง เพราะศาสนาก็เสื่อมไปเรื่อยๆ คนเสื่อมจากศาสนาพุทธไปเรื่อย จนสุดท้ายมันก็จะหมดไปเลย แม้แต่ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า โลกุตรธรรมจะไม่มีแล้วนะเป็น กลองอานกะ พูดย้ำซ้ำซากไปไม่รู้กี่ทีแล้ว เพื่อยืนยันความจริงอันนี้ แต่มันก็รื้อฟื้นขึ้นมาได้ เพราะศาสนาพุทธยังไม่หมดเชื้อ ยังมีโลกุตระ สู่แดนธรรม… วรรณะ 9 ก็ไปพิจารณาลาดลุ่มลึกไปได้อีกใช่ไหมครับ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ อภิธรรมของศีลข้อ 1 ที่ชาวอโศกปฏิบัติได้ สมณะเดินดิน… ให้เห็นความลาดลุ่มลึก ของพระธรรมวินัย ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ พระอาจารย์ส่วนใหญ่ก็อยากจะสอนในเรื่องสูงๆ เรื่องต่ำๆจะไม่ค่อยอยากอธิบาย การที่จะสอนอย่างพ่อท่านได้จะต้องเป็นคนที่ไม่มีอัตตา ส่วนใหญ่อาจารย์เขาก็จะสอนแต่เรื่องสูงๆพานั่งหลับตาบรรลุไปเลย ซึ่งมันไม่เป็นไปตามลำดับขั้นอันน่าอัศจรรย์ เอาแต่ตัวสูงๆมาสอนกัน แต่ที่เขาสอนไม่ให้มีตัวตน เมื่อสอนเสร็จก็ไปฉลองอบายมุข บางคนก็ยังดื่มเบียร์อะไรอยู่ มันย้อนแย้ง ยังติดในอบายมุขหยาบๆอยู่ เวลาสอน พูดกันเรื่องหมดตัวหมดตนทั้งนั้น จึงเป็นการกลับหัวกลับหางไปหมด ไม่เป็นลำดับเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายอยู่ตลอด พ่อครูว่า… มีลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มาตลอดจริง คนที่สอนสูง โดยไม่มีพื้นฐานเป็นที่ตั้ง คนนั้นสูงขาลอย สูงเพ้อๆ สูงฟุ้งซ่าน สอนสูงที่เป็นจริงไม่ได้ คนที่มีปฏิภาณปัญญาจะรู้ว่า ถ้าคุณไม่มีที่ตั้งเป็นพื้นฐานอย่างแข็งแรง คุณจะสูงไปอย่างไรก็สูงไปไม่ได้มาก สูงไปไม่ได้จริง ต้องมีพื้นฐานเป็นที่ตั้ง เข้าใจสัจจะที่พูด ต้องมีพื้นฐานเป็นที่ตั้งให้ได้ คนไม่มีศีลเป็นพื้นฐานเป็นที่ตั้ง แล้วก็ไม่มีลำดับ อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีพื้นฐาน ขาลอย พวกเพ้อพก พวกจินตนาการ อยู่ในห้วงแห่งจินตนาการ เป็นศาสนาที่ไร้ความจริง ศาสนาที่ไม่มีเนื้อความจริง เป็นแต่ความคิด เป็นความฝัน เป็นแต่ความฟุ้งซ่านตรรกะทั้งนั้นเลย สมณะเดินดิน… มีคนอุปมา ถ้าคุณคิดอยากจะรวย อยู่เฉยๆคุณจะรวยได้หรือเปล่า ถ้าคิดเป็นพระอริยะเป็นพระอรหันต์มันยากยิ่งกว่าเป็นรวยใช่ไหมครับ แต่ถ้าคุณไม่มีข้อปฏิบัติอย่างไรเลย ให้คิดอย่างไร ก็ไม่มีทางได้เป็นพระอรหันต์ พ่อครูว่า… เปรียบเทียบทางโลกๆ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างที่ว่าแล้ว ยิ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่าความมหัศจรรย์ข้อที่ 1 ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีลำดับ ก็พูดถึงเมื่อกี้แล้วว่า ต้องมีพื้นฐานเป็นที่ตั้ง ถ้าไม่มีพื้นฐานการติดตั้งอย่างแข็งแรง คุณจะเจริญขึ้นไปให้สูงอย่างไรก็ เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเป็นเรื่องเพ้อพก พวกขาลอยทั้งนั้น วันหนึ่งก็ล้มคว่ำ ถ้ามีพื้นฐานเป็นที่ตั้งอย่างแข็งแรงแล้วมันไม่มีล้ม เพราะฉะนั้น ศีลเป็นพื้นฐาน ต้องเรียนรู้รายละเอียดของความเป็นจริงที่ว่า ศีลข้อที่ 1 หมายความว่าอะไร ประพฤติอะไร ประพฤติแล้วจะได้ผลอะไร เอาคำตรัสของพระพุทธเจ้ามาอธิบาย ง่ายๆไปเรื่อยๆ _ศีลข้อที่ 1 พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่. ศีลข้อที่ 2 พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่. ศีลข้อที่ 3 พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน. พ่อครูว่า… เอา 3 ข้อนี้มาสาธยาย พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่. อาตมาอ่านเนื้อความคำตรัสคำสอนของพระพุทธเจ้าอันนี้นี่เป็นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานของการศึกษาเป็นพื้นฐาน มีพื้นฐานที่เป็นที่ตั้ง ในการศึกษาศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้ คำนึง ให้มาเรียนรู้การเกี่ยวข้องกับสัตว์เป็นข้อต้น แต่คุณก็ไปเรียนปรมัตถ์ ไปเรียนอภิธรรม ไปเรียนอะไรต่ออะไรที่สวยหรูสูงส่ง เป็นเรื่องความรู้ขั้นสูงเขาเรียนกัน ไอ้นี่เขาถือว่าเป็นขั้นต่ำ ถือว่าศีลเป็นขั้นต่ำ ไม่ใช่ขั้นของปัญญาชน เป็นขั้นของกรรมกร เป็นขั้นของคนยังไม่ไปไหนเลย จึงต้องมาพูดถึงศีลอยู่ จริงๆแล้วคำว่าสัตว์ คือมนุษย์หรือคือสัตว์ในระดับคน สัตว์เดรัจฉานนั้นช่างหัวมันเถอะ ปล่อยมันไปตามยถากรรม อย่าไปยุ่งไปเกี่ยวอะไรกับมัน ไม่ต้องเอามากินไม่ต้องไปเกี่ยวเลย เพราะทุกอย่างมันมีกรรมวิบาก คุณจะไปสร้างกรรมวิบากกับสัตว์ทั้งหลายทำไม เก่าๆก่อนๆคุณก็ทำมานักต่อนักแล้ว เพราะฉะนั้นชาตินี้คุณเลิกได้เลยเกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ คนไม่รู้บอกเขาไม่ฟังก็ช่างเขา เราไม่ต้องไปเลี้ยงไม่ต้องไปช่วยเหลือ ไม่ต้องไปอะไรต่ออะไร อาจจะช่วยบ้างเล็กๆน้อยๆ ที่มันน่าสังเวชน่าสงสาร ซึ่งก็เป็นเรื่องสุดวิสัยจำนนจะต้องช่วยเหลือก็แล้วไป แต่ก็ไม่ต้องหรอกเพราะวิบากของใครก็ของใคร ถ้าคุณเข้าใจเรื่องกรรมวิบากได้ดี มาเกี่ยวข้องกับสัตว์ที่เป็นคนนี่แหละ เพราะฉะนั้นท่านบอกว่าอย่าฆ่าสัตว์อันนี้ก็คือ อย่าฆ่าคน เกิดมาเป็นคน อย่าฆ่าคน เพราะฉะนั้นผู้ที่มาบวชแล้วฆ่าคนก็ปาราชิกเลย ฆ่าคนนี่ปาราชิกเลย เมื่อมาบวช ปาราชิกคือ ไล่ออกจากศาสนาพุทธไปทั้งชาติเลย ชาตินี้ไปไกลๆเลยอย่ามายุ่ง ถ้าจะมาศึกษาก็ไล่ออกไปไม่ให้ฟังคำสอนเลย แต่ทุกวันนี้เขาไม่รู้เรื่องกันแล้ว อยู่ด้วยกันกับพวกปาราชิกเน่าเหม็น เละเทะไปหมด อาตมาถึงบอกว่าอยู่ด้วยไม่ได้ต้องลาออกมา ที่พูดไปนี้จริงๆนะ จะหาว่าหยิ่งผยอง ถือดีถือตัวก็ตามใจ เพราะฉะนั้นการมาศึกษาข้อแรก เลิกเลยเรื่องฆ่าสัตว์ข้อเดียวคำเดียวนี้แหละเลิกฆ่าสัตว์ คนไม่ฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย คนก็ไม่ฆ่า ข้อเดียวนี้โลกจะสงบขนาดไหน นอกจากไม่ฆ่าแล้วอยู่ด้วยกันอย่างมีความเอ็นดู กรุณา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์หรือเพื่อคนด้วยกันนี่แหละ หวังประโยชน์เพื่อคนทั้งปวงอยู่ คิดดูสิว่าสังคมจะเจริญแค่ไหน ยิ่งกว่าเจริญโภคภัณฑ์ด้วยนะ จริง เจริญยิ่งใหญ่เลย แม้แต่แค่ ศีลข้อเดียวข้อ 1 นี่ ปฏิบัติให้จริงให้ซาบซึ้ง ให้เข้าใจลึกซึ้งเลยว่า สัตว์เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก็ท่องก็พูดกันนะ สัตว์คือเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เดี๋ยวจะไปกินข้าวแล้ว กินแกงวัวแกงควายแกงไก่แกงเป็ดแกงปูแกงปลา กินกันอยู่นั่นแหละ เพื่อนกินเพื่อน พระพุทธเจ้าถึงมีอุทาหรณ์เรื่องการกินเนื้อลูก คนเป็นความงมงายของคนขนาดนั้น กินเนื้อลูก ฆ่าลูกกินแล้วก็ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วบอกว่าลูกน่ารักของเราหายไปไหน ก็บ้า ทำเป็นเนื้อเค็มกินก็ยังถามว่าลูกไปไหน คือ มันโง่งมงายจนไม่รู้ว่ากรรมที่ฆ่าลูกตัวเองกินอยู่หลัดๆ อุทาหรณ์ของพระเจ้าสุดแสบจริงๆ มันจะโง่ไปถึงขนาดในมนุษย์มนา อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้ 2,500 กว่าปีแล้ว มันได้เสื่อม มันได้เพี้ยนไป เพราะว่าลาภยศสรรเสริญ เป็นอันตรายแสบเผ็ดแก่การประพฤติพรหมจรรย์ หรือเป็นอันตราย อันแสบเผ็ดของพระอรหันต์ ต้องเลิกออกมา ขนาดพระพุทธเจ้าเองท่านยังไม่เอาเลย คุณเก่งกว่าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ไปอยู่กับลาภยศสรรเสริญ เก่งอย่างไร เพราะฉะนั้นมันคือความไม่รู้ ไม่รู้ฤทธิ์เดชอันแสบเผ็ดของลาภยศสักการะสรรเสริญ เป็นอันตรายแสบเผ็ดของผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดให้เหม็นขี้ฟันเลย กับพวกที่แบกลาภยศสรรเสริญในสังคม แล้วตัวเองบอกว่าจะปฏิบัติพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิไปสู่นิพพาน พูดเรื่องนิพพาน เมื่อเราอธิบายนิพพานก็หาว่าไม่ใช่ เขาก็บอกว่าต้องอย่างเขา พูดอย่างนั้นก็เหม็นขี้ฟันกันเท่านั้น ขออภัยที่อาตมาพูดชัด ภาษามันตีทิ้ง ภาษามันไปลบหลู่ ซึ่งสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ต้องลบหลู่ นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ ควรข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง พอจะมายกย่องทีไรก็มายกชาวอโศก พอจะข่มก็ต้องข่มผู้ที่ไม่ถูก สิ่งที่ไม่ถูก ซึ่งพูดที่ไรมันก็ถูกอย่างนั้น ผู้ที่แสวงหาไม่มีอคติในใจก็จะรู้ว่า อ๋อ.. อย่างชาวอโศกนี้ถูกต้องที่สุดเลย ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้เช่นนี้จริงๆเลย ผู้แสวงหาแล้วไม่มีอคติ จะมา ผู้ที่ยังมีอคติ ยังมีอวิชชา จิตยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังงมงายอยู่ ติดในลาภยศสรรเสริญ เขามาไม่ได้หรอก นอกจากมาไม่ได้ก็มองพวกเราเป็นพวกที่ผิด ซึ่งมันเป็นสัจจะนะไม่รู้จะว่าอย่างไร เขาก็ต้องเป็นอย่างนั้น เขาก็ต้องรู้สึกอย่างนั้น เขาก็ต้องเห็นอย่างนั้น สู่แดนธรรม… เป็นผลดีกับเราด้วย เพราะว่าถ้าคนอย่างนั้นมา เราก็ต้องเป็นภาระ พ่อครูว่า… เพราะว่าหากได้คนที่ติดยึดอย่างนั้นมาเราก็จะยาก ยิ่งจะแย่เลยนะ เพราะฉะนั้นในศีลข้อที่ 1 ข้อเดียว ใครจะบอกว่าอาตมาไม่พ้นไปไหน อธิบายอยู่แค่ศีล นั่นแหละ อาตมาอธิบายอภิธรรมในศีล เป็นขั้นความรู้ที่เข้าไปถึงจิต เจตสิก รูป นิพพานในศีลนี่แหละ สู่แดนธรรม… กิมัต แปลว่า อย่างไร สนธิกับคำว่าอัตถะ ซึ่งแปลว่าประโยชน์ คือได้ประโยชน์อย่างไรในการรักษาศีล พ่อครูว่า… อานิสงส์ของศีล การปฏิบัติศีลไปสุดยอดเลย รวบจบเลยก็ได้ ถึงข้อที่ 10 ประโยชน์ของการรักษาศีลก็คือวิมุตติญาณทัสสนะ มันคือข้อที่ 10 เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่มีศีลเป็นพื้นฐานเป็นที่ตั้ง วิมุตของคุณก็เป็นวิมุติที่ไม่มีศีลเป็นที่ตั้ง มันจึงเป็นวิมุตขาลอย เป็นวิมุตเพ้อเจ้อ เป็นวิมุตตรรกะ เป็นวิมุตไม่มีพื้นฐานอะไรเลย คุณก็เป็นขอมดำดินไม่รู้มาจากไหนโผล่แล้วก็มีวิมุต มุดแลัวก็โผล่มา ปฏิบัติศีล ไปเพื่ออะไร การได้อานิสงส์ ๑๐ ของศีล . ปฏิบัตินั้นเป็นไปเพื่อจิต ไม่ใช่ปฏิบัติศีลเป็นไปเพื่อกายวาจาเท่านั้น นี่เขาสอนกันอย่างนั้นก็เป็นการลบล้างคำสอนพระพุทธเจ้าเท่านั้น กุสลานิ สีลานิ อนุปุพเพนะ อรหัตตายะ ปูเรนตีติ ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ 1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) แน่นอนการปฏิบัติควบคุมกายวาจาต้องปฏิบัติมาเป็นพื้นฐานเริ่มต้นมาก่อน แต่อานิสงส์หรือผลประโยชน์จากการปฏิบัติศีลต้องถึงใจ กายกับวาจานั้นมันเป็นของที่คุณต้องทำก่อน คุณจะออกไปโรงเรียน คุณจะออกไปข้างนอก คุณต้องนุ่งผ้า คุณไม่นุ่งผ้าแล้วคุณก็ต้องไปเป็นพวกเชน แก้ผ้าโทงๆ พวกนี้ก็สุดโต่ง ของพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างนั้นต้องรู้สังคม ต้องรู้จักกาละ เทศะ ฐานะ การปฏิบัติศีลแล้วอานิสงส์ก็คือ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เอาตั้งแต่ข้อต้น ไม่ฆ่าสัตว์ คุณไม่ฆ่าสัตว์นี่แหละ สัตว์หรือตัวจริงก็คือมนุษย์นี่แหละ สัตว์มนุษย์นี่แหละ ฆ่ากันในปัจจุบันนี้อย่างน้อยคุณก็ต้องติดคุก เดือดเนื้อร้อนใจไหมหรือว่าคุณติดคุกก็สบายใจ ข้าวมีกิน สบายอยู่ในคุก นี่ก็คือเรื่องของคนที่ไม่มีทางไป ในนิยายของใครที่แต่ง เขียนเรื่องสั้น คนไม่มีทางไป เขาก็พยายามที่จะทำผิดเพื่อที่จะให้ตำรวจจับ แล้วก็จะได้เข้าคุกไปเขาจะได้มีทางอาศัยอยู่สบาย พยายามไปขโมย แย่งอาหารเขากิน เพื่อที่ตำรวจจับก็ปล่อยเฉย ไปทำอะไรต่างๆนานาสารพัดทำอะไรที่จับผิด ก็ไม่มีใครมาจับสักที คนแต่งชื่อ Henry เป็นนักประพันธ์ตีหัวเข้าบ้าน สุดท้ายทำอย่างไรตำรวจก็ไม่จับ เมื่อย ก็เลยเข้าไปนอนอยู่ในสวนสาธารณะ มันมีม้านั่ง นอน ไปนอนสบาย ทำผิดแล้วตำรวจอย่างไรก็ไม่จับ แต่เมื่อไปนอนพัก ตำรวจก็มาจับ เพราะว่าผิดกฎ ไปนอนในม้านั่งสาธารณะ ตำรวจก็จับ เป็นเรื่องสั้นที่เขียนหักมุม พระพุทธเจ้าให้เอาเรื่องของมนุษยชาติด้วยกัน บอกแล้วในศีลข้อที่ 1 มีเมตตากรุณาเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อกันและกัน ถ้าคนทั้งโลกมีศีลข้อ 1 ข้อเดียว ก็ไม่ต้องไปคิดสร้างอาวุธมาเข็นฆ่ากัน วางแม้แต่ไม้หน้าสาม ที่เป็นอาวุธ ไม่ต้องไปสร้างปืนผาหน้าไม้ ลูกระเบิดอะไรหรอก แม้แต่ไม้หน้าสามก็เป็นอาวุธได้ หลาวแหลนก็เป็นอาวุธได้ ไม่เอา วางหมด มีความเมตตา มีความกรุณาเอ็นดู หวังประโยชน์แก่กันและกันอยู่ เท่านี้แหละจบ ทั้งโลกเลย สู่แดนธรรม… อย่างนั้นอเมริกาคงรับไม่ได้เพราะเขาค้าอาวุธอยู่ พ่อครูว่า… อเมริการับไม่ได้เพราะเขาค้าอาวุธ คือ มันเป็นความคิดที่ดี คนสร้างอาวุธก็อย่างที่ว่า คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ อันนี้ไม่ได้ไปแกล้งว่า แต่เป็นเรื่องจริงๆเลย คือเป็นความคิดที่ต่ำมากเลย สร้างอาวุธมาฆ่ากัน คือไม่ได้รู้เลยรู้เรื่องเลยว่า ฆ่ากันทำไม มีอะไรแบ่งกันได้ก็แบ่งกัน นั้นคือจิตชั้นสูงของคน เพราะฉะนั้นคนจะสูงได้ก็ต้องมีความรู้จริงว่า เออ.. เกิดมาเป็นคนด้วยกัน เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ศาสดาก็มีสอน แต่ทำไมไม่สอนถึงเรื่องของชีวะ ชีวิต แล้ว อย่าไปฆ่ากัน วางศาสตราวางอาวุธ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านให้เลิกเสียจริงๆ ถ้าทำอย่างนี้ได้ทั้งโลก หวังประโยชน์เพื่อกันและกัน หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ซึ่งมันเป็นสัจจะ เท่านี้แหละจบแล้ว เรื่องทั้งโลกเลย ศีลข้อเดียวนี่ ไม่สร้าง ไม่มีอาวุธกันเลย สู่แดนธรรม… ที่เขาทำผมว่ามันมาจากทิฏฐิ พ่อครูว่า… มันมาจากอวิชชา มันมาจากความไม่รู้ มันหนักยิ่งกว่าทิฏฐิอีก ความไม่รู้เลย ว่าเกิดมาเป็นมวลมนุษย์ด้วยกันในโลก จะต้องอยู่ด้วยกันให้ได้ อยู่ด้วยกันอย่างมีเมตตากรุณา มุทิตา อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมีคำสอนอันนี้ชัดเจน แล้วเข้าใจและเห็นจริง จึงประพฤติจริง แล้วใครประพฤติจริง ก็คือชาวพุทธประพฤติจริง ชาวพุทธในเถรสมาคมประพฤติจริงไหม จริงบ้างไม่จริงบ้าง ไม่จริงเสียเยอะ ที่จริงๆก็คือชาวอโศก เมื่อประพฤติอย่างนี้กันได้จริง ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอายที่จะไปทำร้ายทำลายกัน ชาวอโศกที่เกิดความโกรธจะตบจะตีแค่นั้น แค่คิดก็ละอายกันแล้ว ก็ยับยั้งกัน ถึงไม่มีกรณี ไม่มีคดีที่จะเกิดอย่างนี้ให้ต้องพิพากษาต้องอะไรต่ออะไรกัน ในชาวอโศก 50 ปีมาแล้ว มีหมู่บ้าน มีชุมชน มีสังคม ไม่ได้มี แต่ถ้าอย่างทั้งโลกเขา โรงพักต้องบันทึกประจำวัน เดี๋ยวก็มาแล้ว มันด่ากัน มันฆ่ากัน มันตีกันยิงกัน โอย! เหนื่อยเลย สมณะเดินดิน… สู่แดนธรรมเขาเป็นตำรวจชุมชน ก็ไม่มีงานทำเลย พ่อครูว่า… รัฐเขต ก็เป็นตำรวจชุมชนบอกว่าไม่มีงานทำเลย ทำไมสังคมนี้ไม่มีการทำร้ายไม่มีการฆ่ากัน ไม่มีตีกัน สังคมอะไรวะ สู่แดนธรรม… คอยดูแต่ไฟป่าจะมาไม่มา พ่อครูว่า… มีตำรวจเอาไว้ไล่ควายที่จะมากินพืชพันธุ์ธัญญาหาร ควายของชาวบ้านชาวช่องเขา ถ้าไปกินหญ้าก็ไม่ว่าอะไร แต่มากินพืชพันธุ์ธัญญาหารเรา ข้าวปลูกไว้ในกระถางเข้ามากินยอดหมดเลย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… เจ้าของบอกว่าควายมากินหญ้าที่นี่แล้วขับถ่ายสะดวกเพราะไร้สารพิษ พ่อครูว่า… สัจจะความจริงพวกนี้มันเกิดขึ้น แล้วเอามาปฏิบัติตามสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ พิสูจน์ได้ ในยุคนี้ก็ยังพิสูจน์สัจจะธรรมได้ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ก็มีคนปฏิบัติได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ชาวอโศกซึ่งเป็นคนมหัศจรรย์ ปฏิบัติศีลข้อ 1 ได้ คนมหัศจรรย์ สมณะเดินดิน…สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin14 มกราคม 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650112_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม NextNext post:650117 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 จากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี อภิภูRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024