650110 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1GyNDqbB54S3Mx_uY14dTZHX_JoV8avlJMaI7K9Pmrsk/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1AJtBMmyD-3BXxGxnaPV4jWmbHpdwD72S/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/456935932602387 และ สู่แดนธรรม…เปิดรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ครั้งแรกของปี 2565 พ่อครูให้โศลกว่า คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ พ่อท่านเคยบอกพวกเราไว้นานแล้วว่า ประเทศไทยถ้าหากรวมตัวกันดีๆแล้ว สร้างคุณานุประการให้แก่ชาวโลก ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจฝ่ายกรุณา พ่อครูว่า… เขาให้อาตมา ประชาสัมพันธ์เรื่องค่าย เขาจัดค่ายกัน ขอเชิญท่านผู้สนใจ เข้าร่วม ค่ายอุโบสถศีลชาวอโศก ออนไลน์ ครั้งที่ 2 “เริ่มปีใหม่ สร้างอาหารใจให้พ้นทุกข์” วันที่ศุกร์ที่ 14 – อาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2565 ยุคโควิดปิดเมือง กับชีวิต New normal Practice Dhamma from home เรายกวัดมาไว้ที่บ้านคุณแล้ว ขอเชิญมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ บวร ออนไลน์ชาวอโศก ท่านสามารถเข้าร่วมค่ายโดยรับใบสมัครและรับลิงค์* zoom เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมค่ายออนไลน์โดย สแกน QR Code บนหน้าจอรายการนี้ เพื่อเข้าร่วมห้องไลน์ Open chat ค่ายออนไลน์ชาวอโศก แต่หากท่านอยู่ต่างประเทศไม่สามารถเข้า Open chat ได้ ให้แอดไลน์ไอดี asokecamp มาเป็นเพื่อนไลน์กับแอดมินค่าย เพื่อจะได้ส่งรายละเอียดให้ จากนั้นท่านจะได้รับ ลิงค์เข้า. Zoom และหากท่านใช้ Zoom ไม่เป็น สามารถแชทกับแอดมิน เพื่อให้สอนการใช้ Zoom แก่ท่านได้ พ่อครูว่า… อาตมาไม่ค่อยเป็นเลยเรื่องไลน์ เรื่องอะไรพวกนี้ อ่านให้ฟังเที่ยวหนึ่งก็พอ SMS วันที่ 7-8 มกราคม 2565 อนุปคัมมะ ต่างกันกับมัชฌิมาปฏิปทา อย่างไร _สว่างแสง ขวัญดาว : รายการของท่านเดินดินดีมากค่ะ ที่นำคณะปลูกข้าวไร่ของอาจารย์ร่วมจิตมานำเสนอ เพราะข้าวไร่ปลูกง่าย ทนแล้ง ไม่ต้องปลูกในน้ำ เหมาะสมกับยุคนี้ที่เศรษฐกิจตกต่ำมาก ใครอยากได้พันธ์ข้าวอาจารย์ก็อมรมให้ มีการติดตามเป็นพี่เลี้ยงให้อีก และยายหรอยในรายการท่านฟ้าไทก็เป็นคนจนที่มหัศจรรย์มากค่ะ กราบเรียนถามพ่อครูค่ะ อนุปคัมมะ ต่างกันกับ มัชฌิมาปฏิปทา อย่างไรคะ พ่อครูว่า… ต่างกันคือ อนุปคัมมะ คุณธรรมของผู้ปฏิบัติที่ เป็นผลแล้ว เป็นผู้มีอิทธิพลอยู่เหนือสิ่งแวดล้อม โดยไม่เข้าไปใกล้อะไรสักอย่าง เรียกว่า อนุปคัมมะ แต่รู้ว่าเขามีแล้ว ซึ่งเป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธ เห็นเขาจนเห็นเขารวย เราก็รู้ เห็นเขามีอำนาจบาตรใหญ่ เห็นเขาไม่มีอำนาจบาตรใหญ่ เห็นเขารักเห็นเขาชังรู้หมด ในโลกมันมีสภาพแตกต่างกัน มากน้อยต่างกันอย่างไรเท่าไหร่รู้เห็น แต่ท่านไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักอย่าง เข้าใจผิดกันไปไกลแล้วไม่ได้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า มัชฌิมาปฏิปทา มาจาก 2 คำ คือ มัชฌิมากับปฏิปทา มัชฌิมาคือความเป็นกลาง หรือ คนที่เป็นกลางแล้วคือคนที่ อนุปคัมมะ แล้ว คือคนเป็นกลางแล้ว ปฏิปทาแปลว่าข้อปฏิบัติหรือข้อประพฤติเพื่อจะให้ไปเป็นคนที่เป็น อนุปคัมมะ เป็นคนที่มีคุณสมบัติ วิเศษ ที่รู้อะไรทุกอย่างแต่ไม่ได้ไปเข้าข้างอะไรไม่ได้ไปหลงตกอยู่ในฝ่ายไหนเลย เพราะฉะนั้นข้อปฏิบัติที่จะไปเป็นมัชฌิมาหรือไปเป็น อนุปคัมมะ จึงคือหลักประพฤติ เพื่อจะมาเป็นบุคคลผู้เป็น อนุปคัมมะ ชัดเจนนะ _เดชา อำพร : คำหยอกแซว(กึ่งวิจารณ์)ในวาระปีใหม่2565..ทั้ง3ท่านเลยนะ.. 1.ชื่อย่อยรายการพุทธฯตามภูมิวันเสาร์–>รายการ”สมณะรุ่นใหญ่ช่วยไขปัญหาชีวิต” 2.ท่านเดินดิน–>ฟังปรัชญา(ฉายา)แฝงมุขตลกจาก”คณะเดินดินชวนยิ้ม” …”พุทธแบบอโศก..โลกสวยเสมอ”… และ…..”อวยประเทศไทยไว้ก่อน”… 3.ท่านบินบน–>”ยังดั้งเดิม,ขวาสุด,ขรึมขลัง,น้อมฟังผู้อื่น..แต่แฝงพลังใฝ่หาสัจจะ” 4.ท่านจันทร์–>”ผู้พยายามแสวงหาความเป็นกลาง คืออวยทุกฝ่าย,ไม่แสวงหาศัตรู” ด้วยความเคารพทั้ง3ท่านครับ… การวิจารณ์ด้วยคำพูดแรงๆช่วยให้สังคมไทยดีขึ้น..แต่การอวยไม่สู้เป็นประโยชน์.. เพราะจะสร้างนิสัยชอบเชลียร์ผู้ใหญ่ให้กับสังคมไทย..และคนกลุ่มนี้ยังได้พูดเร่งเร้าให้อย.ต้องเข้าไปสุ่มตรวจสารพิษหรือสารปลอมปนในอาหารทั้งเนื้อสัตว์และพืชผักผลไม้..ทั้งในศูนย์การค้าและในท้องตลาดอย่างแข็งขันเข้มข้น,เอาจริงเอาจัง.. ให้สมกับที่ท่านทั้งหลายได้รับเป็นเงินเดือนทุกเดือนจากภาษีของประชาชนด้วย.. ต้องอย่าให้มีระบบเงินทอนหรือเงินใต้โต๊ะ ที่พอมีการส่งเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็จะผ่านอย่างสบายบรื๋อออ..ไปหมด..ดังที่เขาร่ำรือกัน.. แล้วเช่นนี้.. ประชาชนจะฝากความหวังทางสุขภาพไว้กับองค์กรใด? พ่อครูว่า…ผู้ที่ทำงานจริงก็มีนะ..ไปติเตียนเขาซะหมด ข้อบกพร่อง ไม่สุจริตก็มีบ้างเป็นธรรมดา แต่เอาเถอะ คุณติเตียนมาก็ดีแล้ว เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงกันไป _พุทธพิมพ์ไพร (ลานนาอโศก) : จากการได้ฟังธรรมของพ่อครูในรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ของวันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ่อครูเทศน์เรื่องศีล วันนั้นมีเนื้อหาช่วงนึง ที่พ่อครูเทศน์ว่า “สัตว์ตัวนึงที่คุณฆ่า สัตว์ตัวนั้นอาจจะกำลังบำเพ็ญ อีกล้าน ล้านปี อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่าไปทำร้าย ฆ่าเขา ให้รักษาศีลให้ดี” ตนเองฟังแล้วได้คิดไตร่ตรองตาม รู้สึกว่าต้องขอกราบขอบพระคุณพ่อครูที่สอน เปิดเผยธรรมะของพระพุทธเจ้า ช่วยให้เรารอดพ้นจากการที่ก่อวิบาก ด้วยความไม่รู้ ช่วยชีวิตเราทั้งชาตินี้และทุกๆชาติของเรา ต่อจากนี้ที่จะไปก่อวิบากในเรื่องเบียดเบียนทำร้ายชีวิตผู้อื่น ที่ผ่านมาก็ตัวพุทธเองได้ทานอาหารมังสวิรัติตั้งแต่อายุ 15 หลังจากเข้าค่ายยุวพุทธตอนนี้ทานมาได้ 32 ปีแล้ว ที่ผ่านมาก็รู้ว่าดี ตัดการเบียดเบียน…ยิ่งได้ฟังเทศน์ของพ่อครูเมื่อวันที่ 7 ก็ยิ่งซาบซึ้ง ถึงความสำคัญของการทานมังสวิรัติเป็นอย่างยิ่ง เนื่องในวันเกิดที่ 8 มกราคม จึงขอตั้งจิตอธิษฐานทานอาหารมังสวิรัติตลอดไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า กราบขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูงที่ให้ชีวิตใหม่ ทางธรรม และมอบสังคมสิ่งแวดล้อมสาธารณโภคี สังคมสัปปายะ ที่ทำให้พุทธ ได้มาอาศัยฝึกขัดเกลาตนให้ได้สู่สิ่งที่มนุษย์คนนึงเกิดมาควรเป็นให้ได้ในชีวิต พ่อครูว่า…ชาติหน้าจำให้ได้นะ อุแว้ขึ้นมาแล้ว พอจะกินข้าว แม่เอาเนื้อสัตว์มาป้อน ก็ไม่กินเนื้อสัตว์ หนูกินมังสวิรัติมาแต่ชาติก่อนแล้ว ก็เห็นความสำคัญในความสำคัญที่อาตมาพาทำแล้วก็เข้าใจ.. พวกพญานาค คือพวกหลับตาปฏิบัติ ไม่เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ พ่อครูว่า… อาตมายังตั้งใจจะอธิบายเรื่อง ความมหัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมา ใน ปหาราทสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อ 109 ข้อที่ 1 พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ ป. มี ๘ ประการ พระเจ้าข้า พ่อครูว่า…มีความรอบรู้อย่างยิ่ง ที่จริงความมหัศจรรย์ 8 ประการนี้เป็นของศาสนาพุทธ แต่ก่อน พราหมณ์ เป็นผู้ที่มี สุรภาโว แต่ต่อมาได้เสื่อมไปเป็นอสูรแล้ว ไม่กล้าจะมาเป็นโลกุตระไม่กล้าจะมาศึกษาศาสนาพุทธ ไปเอาศาสนาอะไรที่ตัวเองหลงไปนาน กับอสูร ไปเป็นอสูรกับเขาหมด ๘ ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ พ่อครูว่า… ขนาดเป็นอสูรยังอภิรมย์กับความมหัศจรรย์ที่เป็นลำดับ ข้อที่ 1 เป็นลำดับ ไล่เรียงมา ตามลำดับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ไล่ลำดับไม่สลับ ไม่ก้าวกระโดด ไม่ใจร้อน ไปตามลำดับ อันนี้แค่นี้ พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นความมหัศจรรย์แล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาก็ขอขยายความ แค่เป็นลำดับไม่ลัดขั้นตอน เช่น จรณะ 15 มีศีล ข้อ 1 สำรวมอินทรีย์เป็นข้อที่ 2 โภชเนมัตตัญญุตาเป็นข้อที่ 3 ชาคริยานุโยคะเป็นข้อที่ 4 ศรัทธาข้อ 5 หิริข้อ 6 โอตตัปปะ ข้อที่ 7 พหุสัจจะข้อที่ 8 วิริยะเป็นข้อที่ 9 สติเป็นข้อที่ 10 ปัญญา ข้อที่11 ฌาน 1 2 3 4 เป็นข้อที่ 12 13 14 15 เป็นลำดับไล่เรียงไป ไม่ลัดไม่ตัด ไม่ตัดทิ้งอะไร นี่คือความมหัศจรรย์ของศาสนาพุทธแต่ทุกวันนี้ชาวพุทธเสื่อมไปจากศาสนาพุทธแล้ว จะปฏิบัติฉันเป็นอย่างไร ไม่มีอะไรเลยนั่งหลับตา จึงจะเกิด ฌาน 1 2 3 4 อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับพระไตรปิฎกก็อย่าไปอ่าน ทำฌานจะะเกิดฌาน นั่งหลับตาสมาธิอย่างเดียว เดี๋ยวก็มีเอง นี่คือมิจฉาทิฏฐิ หรืออวิชชาที่ตกขอบ ออกนอกศาสนาพุทธไปไกล สุดโลกเลย เป็นโลก เดียรถีย์ เป็นโลกที่ออกนอกศาสนาพุทธไปไกลลิบแล้วเอามาใส่ในศาสนาพุทธ ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมต่ำผิดพลาดไปไกล คนพวกนี้ อาตมาไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ว่าแต่คนพวกนี้ทำบาป เป็นโจรผู้ทำลายศาสนา ทำลายจิตวิญญาณ ทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสอยู่ในอาหารสูตร ข้อที่ 4 เป็นโจรผู้ทำลายศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าท่านก็สมมุติว่ามีพระราชา เห็นโจรมาทำร้ายทำลายสิ่งที่ไม่ควรทำร้าย ก็ให้เจ้าพนักงานไปฆ่า แทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า 100 เล่ม แทงเสร็จแล้วก็กลับมา พระราชาเจออีกก็ถามว่าเป็นยังไงตายแล้วหรือยังโจร ก็ยังไม่ตายพระเจ้าข้า เอาไปฆ่าให้ตายด้วยหอก 100 เล่มอีกไป เจ้าพนักงานก็ไปแทงด้วยหอกอีก 100 เล่ม เสร็จแล้วตอนเย็น พระราชาเจอพนักงานอีกก็บอกว่าตายหรือยัง ยังพระเจ้าค่ะ ก็เอาไปฆ่าอีกด้วยหอก 100 เล่มไปแทงฆ่าให้ตายอีก เจ้าพนักงานก็เอาไปแทง เอาหอก 100 เล่มไปแทง คือ เขาไม่รู้สึกรู้สา แทงเท่าไหร่ก็ไม่เข้า แทงเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกไม่สะกิดเขาเลย เขาก็ยังจมอยู่ในวังวน จมอยู่ในที่มืด จมในอวิชชา อันนั้นอย่างเก่านั่นแหละ อันนี้อาตมาก็ อยากจะขยายความให้พิสดารไปอีก ถึงขั้นเป็นพญานาค ที่นอนเฝ้าถาดทองคำของพระพุทธเจ้า เป็นการนอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น หลับตลอดกาลนานเลย เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมา ในโลกนี้ หรือในชีวิตของเขาชีวิตของพญานาค เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมาสักทีหนึ่งก็ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง อุบัติขึ้นมาในโลก อุบัติมาแล้วท่านก็ลอยถาดทวนน้ำมา ซึ่งเป็นธรรมาธิษฐาน เสร็จแล้วก็จมลงมาตรง กองถาดพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ จะดังอย่างไรก็แล้วแต่ เราก็พูดเป็นกิ๊กก็ได้ พญานาคก็จะได้ยินแต่แค่เสียงถาดทองที่เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ลอยมาแล้วกระทบถาดทองของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ อย่างเดียวๆ นอกนั้นหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอะไรสักอย่างรู้ได้แค่นี้ โอ้โห อุทาหรณ์ของพระเจ้านี้สุดยอด ทำไมถึงได้โง่ดักดานโง่ดึกดำบรรพ์โง่อยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทร นอนหลับ พอได้ยินเสียง กริ๊ก แล้วก็หลับไปอีกอย่างเก่า รอให้พระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นอีกมาลอยถาดอีกก็ดังอีก กริ๊ก ก็ตื่นมาอีกครั้งหนึ่ง นี่คืออุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้าสลบไสลไม่รู้เรื่องเลยใครจะพูดอย่างไรมีอย่างไร กูไม่รู้เรื่องทั้งนั้น จมอยู่ในสิ่งที่กูยึดถือ งมงายกูมืดบอดอยู่อย่างนี้ สู่แดนธรรม… เป็นการหลับอยู่ในภวังค์ก็เป็นพญานาค เขาถือว่าไม่ได้สนใจโลกปรุงแต่งแล้ว ครับผมเข้าใจว่าเขาไม่ได้ปรุงแต่งกับโลก เขาว่าหลุดพ้นจากโลกภูมิแต่งด้วยซ้ำไป แต่มันเป็นโลกที่ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พ่อครูว่า… ก็น่าสงสารไม่รู้จะทำอย่างไรคือมันเยอะอันตรายก็สงสาร คนไทยที่ไปหลงงมงายนั่งหลับตา ขอยืนยันอีกๆๆๆ เลยว่า ลัทธิพุทธไม่หลับตา ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ใช่หลับตา ชาคริยาคือตื่น ตื่นๆไม่ใช่หลับ ฝึกตื่นเสมอไม่ใช่ฝึกหลับ ไม่ใช่เป็นเพียรหลับ ไม่ใช่ไปเพียร นิทรานุโยคะ หรือว่า ไสยานุโยคะ อะไร มันไม่ใช่ มันต้องชาคริยานะ สำรวมอินทรีย์คือตา หู จมูก ลิ้น กายต้องเปิด อินทรีย์ทั้ง 6 ต้องเปิด สำรวมสังวรเสมอเมื่อกระทบสัมผัสต้องเรียนรู้ ศาสนาพุทธต้องเรียนรู้ตื่นๆกระทบอย่างนี้ หลับตานั้นเป็นเรื่องนอกศาสนาพุทธจริงๆ ตีทิ้งไปได้เลย อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาพูดชัดพูดเพราะพูดแรง สู่แดนธรรม… แม้แต่คำว่า ชาคริยา คำว่าชา คำเดียว ก็ต้องบอกว่า รู้จากการเห็น จึงจะเรียกว่า ชา พ่อครูว่า… สำรวมอินทรีย์แล้วต้องเรียนรู้ โภชเนมัตตัญญุตา กิเลสรวมอยู่ตรงนี้ทั้งนั้นเลย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่จะกระทบลิ้นสัมผัส แล้วเป็นรส เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเราต้องไม่งมงายอยู่กับสิ่งนั้น อย่างมหาบัว กินหมาก รสทางลิ้นไม่รู้เรื่องเลยไม่รู้จักกามคุณถ้าไม่รู้จักการติดยึดไม่รู้เลย แล้วคนก็ไปลงว่าเป็นอะไรหัน อาตมาจึงได้สุดสงสารจริงๆเลย ไม่ใช่ไปว่าอาตมาจะไปเกลียดชังมหาบัวแต่สงสารท่าน แล้วก็สงสารคนที่ไปหลงงมงายตามมหาบัว ไปหลงเป็นอรหันต์ ไปหลงเป็นคนตามที่ท่านได้หลอก ขอยืนยันว่าท่านหลอก อกาตมาไม่คิดว่าท่านไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นกิเลส พอตามประวัติเคยได้ยินว่าท่านเคยได้หยุดกินหมาก แต่ท่านหยุดไม่ได้ ท่านก็เลยกลบเกลื่อนเลย กลบเกลื่อนว่า นี่มันไม่ใช่กิเลส มันเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ กลบเกลื่อนไปเลย มันเป็นอันตรายต่อนิพพาน โกหกซ้ำโกหกซ้อน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคนที่โกหกทั้งๆที่รู้ คนๆนี้อย่าไปคบเป็นอันขาด ไม่มีอะไรที่จะไม่โกหก โกหกได้หมด โกหกทั้งๆที่ตนรู้ว่านี่คือการโกหก นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านะ เป็น สัมปชานมุสาวาท เป็นเรื่องที่สุดสงสาร ทำไมเสื่อมไปหนัก ศาสนาพุทธ ไปหลงงมงายกับผู้ที่มิจฉาทิฏฐิหนัก แล้วก็ไปหลงว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐสุดยอด มันโอ้โห คนละขั้วกับความจริง สู่แดนธรรม… ปัญหานี้ถูกมองว่า ท่านทั้งหลายปฏิบัติไม่เป็นตามลำดับก็เป็นปัญหาของพ่อท่าน พ่อท่านทำอย่างไรจึงทำให้เขาลดละให้ตามลำดับ พ่อครูว่า… ต้องมีลำดับสิ เมื่อปฏิบัติศีลและมีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ แล้ว สำรวมระวังระวังตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วตื่นรู้แยกกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้ไปเรื่อยๆ จึงจะเกิดศรัทธา จึงจะละอาย ประเด็นนี้แหละยิ่งใหญ่มาก ละอายอย่างแรงกล้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าใครได้คบสัตบุรุษคือคบกับพระพุทธเจ้า อธิบายธรรมะโลกุตระ ผู้ที่เข้าใจผู้ที่ชัดเจนแล้วโอ้โห ทำไมเราถึงได้โง่เง่า ทำไมเราถึงได้ผิดยึดนานจมอยู่ โอ้โห น่าเกลียดน่าละอาย ทำไมถึงโง่ มันรู้สึกถึงความโง่ของตัวเองอย่างชัดเจนเลยว่า แล้วจะรู้สึกละอาย เพราะฉะนั้นผู้ใดฟังธรรมะที่อาตมาพูด ยังไม่รู้สึกยังไม่ถอดถอน ยังไม่เข้าใจยังไม่เชื่อยังไม่รู้ไม่ศรัทธา แล้วก็ไม่เกิด หิริ ไม่เกิดความละอายขึ้นมานะ ก็คือยังไม่ตื่น สู่แดนธรรม… ผมเคยเห็นคนหนึ่งครับเขามาสารภาพว่า พอเขาได้อ่าน สิ่งที่พ่อท่านได้เขียนเรื่องเทวดา ที่พ่อท่านวิจัยเรื่องเวทนา ใน EQ โลกุตระ เขาอ่านแล้วมาสารภาพว่าอยากเข้ามากราบขออภัยท่าน ที่พ่อท่าน เมื่อก่อนเขาได้ดูหมิ่นดูถูกไป เขาเข้าใจได้เขาก็จะเป็นคนใหม่ขึ้นมา พ่อครูว่า… ใช่ทันทีเลย ..อย่างที่พระพุทธเจ้าอุทานว่า โอ้.. อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ มันถึงจะเปิดทางเข้ามาหาศาสนาพุทธ ไม่เช่นนั้นไม่เข้ามาหาศาสนาพุทธ พูดตรงๆเลย คนที่ฟังธรรมอาตมา แล้วต่อต้าน ไม่มีทางที่จะเข้าสู่ธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าได้ แล้วเขาจะไม่เกิดศรัทธา แล้วเขาจะไม่มีหิริ เขาจะยึดถืออย่างที่เขาเข้าใจเชื่อถืออยู่ตลอดเวลา ยิ่งยึดมากเท่าไหร่ เขายิ่งเห็นว่าเราพูดตรงกันข้าม เขาก็จะยิ่งว่า เขาเข้าใจผิดแล้วว่าอาตมา ยกตัวอย่างเช่น มหาประยุทธหรือท่านพุทธโฆษาจารย์ ถ้าท่าน เกิดดวงตานะ สัมมาทิฏฐิรู้ว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษจริง ท่านจะอายขนาดไหน ท่านทำไว้ขนาดนั้น แต่ อาตมาว่าไม่มีทางหรอก ตลอดชีวิตชาตินี้ ท่านจะไม่รู้สึก สู่แดนธรรม… ไม่รู้ว่าขออภัยนะครับ ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะพูด ไม่พูดก็ได้ครับ พ่อครูว่า… ที่อาตมาพูดนี้เปิดเผยความจริงไม่ได้ชิงชังท่านมหาประยุทธ์ ไม่ได้ชิงชังมหาบัว อาตมาไม่ชังไม่รัก ขอยืนยันว่าอาตมาเป็นอรหันต์ การพูดว่าอรหันต์ เปิดเผยว่าเป็นอรหันต์ มันเป็นความจำเป็นในยุคนี้ อาตมาจำเป็นต้องพูด จำเป็นต้องบอก จำเป็นต้องยืนยัน ขนาดนี้ยังไม่กระดิกหู มันอวดไปทำไมวะ ใครเขาก็จะรู้เองแหละว่าเป็นอรหันต์หรือไม่เป็นอรหันต์ ก็ขนาดบอกนี้ คุณยังไม่รู้เลย ยืนยันเอาพระไตรปิฎกมากางยืนยันเลย อาตมาพาพวกเราปฏิบัติจนเกิดสาราณียธรรม 6 เกิดวรรณะ 9 เกิดพุทธพจน์ 7 เกิดอะไรต่ออะไรเป็นจริงตรงตามพระพุทธเจ้าเลย คุณก็ยังไม่แวบไหวอะไรเลย เอ๊.. โพธิรักษ์น่าจะมีส่วนถูก สู่แดนธรรม… แสดงว่าเขามีแว่นส่องพระคนละอย่าง เขาเป็นนักดูพระเหมือนกันนะครับ ใช้แว่นขยายส่องพระ แต่คนละเกรดกัน เขาว่าพระอรหันต์ต้องอย่างที่เขาเข้าใจ พ่อครูว่า… ใช่อรหันต์ต้องอย่างที่เขาเข้าใจ ซึ่งอาตมาบอกว่าอาตมาไม่มีความอยากอวดอยากโชว์มีแต่ความเปิดเผยความจริง พูดความจริง อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น พูดจนหมดจนเกลี้ยงไม่เหลืออะไรแล้ว สู่แดนธรรม… จริงๆแล้วก็น่าเห็นใจพ่อท่านนะครับ คนไทยมีคตินิยมว่า ถ้าจะยกย่องกันต้องให้คนอื่นพูด แต่ทีนี้พ่อท่านไม่มีใครเป็นพี่ ไม่มีใครรู้ พ่อครูว่า… ไม่มีใครรู้ได้จึงจำเป็นต้องบอก จะให้คนอื่นบอก รอไปจนตายเขาก็ไม่รู้ไม่บอก ขนาดเอาพระไตรปิฎกมากางว่าอาตมาเป็นอย่างนี้อย่างนี้ ไล่ไปจนกระทั่งถึงตอนนี้ อภิภู อภิภู จริงๆแล้ว สยังอภิญญา จึงจะมี อภิภู ซึ่งต้องเป็นระดับ 8 ขึ้นไป อาตมาก็พยายามอธิบาย อภิภู ผู้ที่มีคุณสมบัติอภิภายตนะ 8 อภิภายตนะ 8 ไม่ใช่อายตนะ 6 ทีเดียว คนสามัญก็มีอายตนะ 6 คือตา หู จมูก ลิ้น กายใจ แต่อภิภายตนะ 8 ไม่ใช่อายตนะ 6 คู่นี้ แต่ก็อยู่ในฐานของ 6 คู่นี้ เป็นคุณสมบัติพิเศษที่ยิ่งใหญ่ของผู้ที่มีคุณสมบัตินั้น เป็นคุณสมบัติของ อนุปคัมมะ เป็นความยิ่งใหญ่ของ จิตที่อยู่เหนือ มีอิทธิพลอยู่เหนือความมี ความไม่มี แล้วก็ไม่เข้าไปใกล้ทั้งความมี ความไม่มี ไม่เข้าไปใกล้ความมีหรือไม่มีกิเลส ถึงจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติมัชฌิมาปฏิปทาสำเร็จ บรรลุผลเป็น อนุปคัมมะ อย่างนี้เป็นต้น เรื่องธรรมะที่ลึกซึ้ง อาตมาชาตินี้มาขยายความมาบอกว่า มนุษย์ที่จะบรรลุธรรมเป็นอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติจนกระทั่งเป็นกลุ่มชุมชน จนกระทั่งมีพฤติกรรม มีพฤติการณ์ ของคุณธรรมโลกุตระ เป็นหมวดเป็นหมู่ เป็นชุมชน ชุมชนโลกุตระ กระจายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ยากแสนยากแต่ก็มีจริงได้ เป็นจริงได้เป็นสังคมสาธารณโภคีที่มีสาราณียธรรม 6 อันพิสูจน์เป็นเรื่องพิสูจน์สัจธรรม ที่มีผลยืนยันแท้จริง ถ้าเผื่อว่าผู้นั้นฟังธรรมได้ดีและเกิดปัญญาจริง นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ ทำความตายในความเกิด ทำความเกิดในความตาย สู่แดนธรรม… ต้องทำความตายให้เป็นเหตุของการเกิด อยากให้พ่อท่านขยายความข้อความ พ่อครูว่า… ความตายของความเกิด อาตมาก็เคยบอกว่าจะอธิบาย ความตายของความเกิดหรือความเกิดของความตาย ความตายของความเกิดก็คือ การตายของกิเลส จิตจึงจะเกิด ถ้าการตายของกิเลสได้จิตจึงจะเกิด ถ้ากิเลสไม่ตายการเกิดของจิตไม่มี จะต้องรู้อะไรตายจริง แล้วก็จะรู้ว่าตายจริงแล้วจิตจึงเกิด เป็นอย่างนี้ อาตมาเคยบอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ รู้ได้อย่างไรว่าเป็นอรหันต์ ก็ถ้าอาตมาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอรหันต์แล้วจะบอกว่าเป็นอรหันต์ได้อย่างไร บอกว่าอรหันต์รู้ไม่ได้ นอกจากรู้ไม่ได้จะมีคนมาซักไซ้ถามไถ่อีก แล้วจะตอบเขาได้หรือ หน้าแตก หมอไม่รับเย็บเลยนะ ถ้าไปเปิดเผยขนาดนั้น สู่แดนธรรม… คำถามนี้ทำไมต้องถามด้วยครับ เพราะว่า เขาคงมีคติยึดถือว่า ต้องให้ผู้อื่นเป็นผู้บอกจึงจะใช่ พ่อครูว่า… ผู้อื่นจะมีผู้มาทำรู้อรหันต์ได้อย่างไร ไม่มี รู้ไม่ได้ถ้าเจ้าตัวไม่บอกผมจะรู้ได้อย่างไร ขนาดบอกแล้วอธิบายแล้วว่าอรหันต์เป็นอย่างนี้ ยังฟังไม่รู้เรื่องเลย แล้วก็จะไปเชื่ออรหันต์เดา ว่า องค์นี้ เป็นอรหันต์ ทำไมรู้ล่ะ ก็เดาเอาอย่างที่เขาว่า เขาไม่บอกก็เลยต้องเดาเอา ก็เลยมีแต่อรหันต์เดา ในสังคมทุกวันนี้ เมื่ออรหันต์จริงมาบอก ก็บอกก็บอกว่าไม่ใช่ อรหันต์จริงต้องไม่บอก เขาบอกว่าผู้ที่บอกว่าตัวเองบรรลุคือคนที่ไม่บรรลุ นี่คือปราชญ์เอกของศาสนาพุทธพูดอย่างนี้เลย มันขัดแย้งกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ โลหิจสูตร _โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” . พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ ๒ คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๕๘) พ่อครูว่า… นี่คือความเสื่อมของโลกุตรธรรม เหมือนกลองอานกะ คนเขาจะเชื่อภาษาแบบโลกีย์ พอใครมาบอกภาษาโลกุตระ เขาจะไม่เชื่อ ตรงกับที่พระพุทธเจ้าพูดไว้เป๊ะเลย ที่อาตมาพูดมันตรงกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ หรือจะมีใครมายืนยันอย่างอาตมา อาตมายืนยันแล้ว ทำงานนี้มาถึง 50 ปีแล้วนะ แล้วยังจะทำอีก ยังจะฝืนสังขารต่อไปให้ยืนยาวเท่าที่จะทำได้เพื่อยืนยันความจริงอันนี้ คนที่ไม่เชื่อจะได้เชื่อสักวันหนึ่ง จะเป็นสุภัททะคนสุดท้ายหรือไม่ สู่แดนธรรม… หัวข้อที่ชงไว้ให้กับพ่อท่าน คือ เรื่องลำดับของการทำให้ความตาย เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด ความเกิด ถ้าใครไม่สามารถทำเหตุตัวนี้ให้สิ้นสุดความตายได้ มันก็ไม่เป็นลำดับที่ต่อเนื่องไป พ่อครูว่า… คุณจะต้องรู้จักความตายที่ว่านี้ ที่เรียกว่านิพพานหรือนิโรธ ความดับ อีกศัพท์หนึ่ง ที่เป็นซินโนนีมหรือเป็นไวพจน์ก็คือความดับ ดับอะไร ก็ดับกิเลส ดับกิเลสตาย เมื่อกิเลสดับ จิตจึงเกิด คุณก็ต้องอ่านจิต เจตสิก รูป นิพพาน อ่าน อภิธรรมพวกนี้ได้ แล้วในจิตเจตสิกต่างๆ ตัวสำคัญที่สุดที่จะต้องรู้ก็คืออาการความเป็นตัณหา หรืออุปาทาน อาการของอุปาทานมันก็รู้ยาก เพราะมันเป็นตัวตั้ง ส่วนตัณหามันเป็นตัวเคลื่อน เป็นอาการของกิเลสที่มันเคลื่อน เป็น Dynamic อุปาทานเป็นกิเลส Static รู้ยากกว่า พอมีอาการเคลื่อนก็รู้ง่ายกว่า เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ตัณหา ตัณหาจะเกิดได้ในเวทนา พระพุทธเจ้าก็สอนเจาะเข้าไปที่เวทนา ให้เรียนรู้เวทนา โดยโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตระธรรม 37 พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดว่าโลกุตรธรรมมี 37 อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 31 ข้อ 620 โลกุตรธรรม 46 ท่านก็ตรัสไว้ชัด ว่าจะต้องมาเรียนรู้ โลกุตระข้อแรกคือกาย กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ ขณะนี้อาตมาก็ย้ำเรื่องกายมากเลย พยายามยืนยันให้เข้าใจคำว่ากาย เพราะคำว่ากายคำนี้ยิ่งใหญ่มาก ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงที่สุดจบ กายคือสภาวะ 2 กายไม่ใช่สภาวะเดียว แล้วกายไม่ใช่เป็นหมายเอาถึงสรีระด้วย กายหมายเอาจิต มโนวิญญาณ ด้วย นี่ก็เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า กาย ตถาคตเรียกว่าจิต มโน วิญญาณ พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 พวกเราพยายามปฏิบัติธรรมแล้วยืนยันตามพระไตรปิฎกมาตลอดเวลา ขนาดนั้นคนที่ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษาแสวงหา ก็ยังไม่พยายามเปลี่ยน อาตมาพยายามแกะรอยพระไตรปิฎก แล้วก็ยืนยันพระไตรปิฏก ว่าอันนี้หมายถึงอย่างนี้จริงๆตรง ตรงๆนะ ยืนยัน อาตมาว่า อาตมาสอนหรือแนะนำหรือพาปฏิบัติอยู่นี้ ยิ่งกว่าพวกพุทธวจน พวกที่ไปเรียบเรียงตัวหนังสือพุทธวจนะ เขาจะเอาแต่พุทธวจนะแล้วไม่ได้อธิบายอย่างที่อาตมายืนยันแล้วตรงไหม เขาเอาแต่ว่าใครไม่เอาตามพุทธพจน์ ไปเอาตามอรรถกถาจารย์ เอาตามสาวก ไม่เอานะ เขาคัดเอาคำของพระเถระออกหมดเลย เขาเอาแต่พระพุทธพจน์ พุทธวจนะอย่างเดียว เอาหัวเชื้ออย่างเดียว ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย ขณะที่พระเถระเถรีรุ่นในยุคพระพุทธเจ้าขยายความไว้ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็รับรองคำพูดของพระเถระเถรี เขาก็ไม่เอา เขาเก่งกว่าพระเถรีเถระในยุคพระพุทธเจ้าอีก อาตมาก็ว่าหมายสูงจริงๆพวกนี้ มาเข้าสู่คำว่ากาย คำว่ากาย เริ่มต้น มันมี 2 เริ่มต้น 1 พระพุทธเจ้าตรัสเป็นกลางๆของหลักสูตรว่า คุณจะต้องพ้น สักกายทิฏฐิ เริ่มต้นอีกอันหนึ่ง พระพุทธเจ้ามีหลักวินัยว่า พระอุปัชฌาย์จะต้องอธิบายแยกกายแยกจิต ให้ผู้ที่บวชขึ้นมาเป็นพระ เป็นภิกษุ ให้รู้จักกาย รู้จักแยกกายแยกจิตได้ให้เข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิเลยว่า เมื่อใดเป็นอุตุนิยาม จิตหรือพลังงานจิตนิยาม เมื่อใดเป็นอุตุ เมื่อใดเป็นพีชะ เมื่อใดเป็นจิต แล้วก็จะทำให้เป็นกรรมเป็นธรรมะ เรียกว่าธรรมนิยาม 5 ถ้าไม่เข้าใจอันนี้ไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ ถ้าไม่สามารถแยกกายแยกจิต ทำจิตไม่ให้เป็นกาย ไม่ให้มีกาย ทำจิตให้เหมือนอุตุ เป็นเหมือนดินน้ำไฟลม ซึ่งไม่เป็นชีวะ เป็นวัตถุธาตุ ถ้าทำไม่ได้ คุณก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ สู่แดนธรรม… ทำไม่ได้ก็ยังคา 2 อยู่ใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ทำไม่ได้ก็ยังมีกายอยู่ เพราะฉะนั้นจิตที่ไม่มี กายอยู่ กายเป็นชีวะ ไม่ใช่สรีระ ดินน้ำไฟลมอย่างเดียว ไม่ใช่ กายเป็นชีวะ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า กายนี้ ตถาคตเรียกว่าพระไตรปิฎกเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ พระไตรปิฏกเล่มที่ 16 ข้อ 230 จำข้อได้ผิดพลาดบ้าง เราไม่ได้ความจำเก่งเหมือนพระอานนท์ ท่านหนักแน่นยังจำพระไตรปิฎกเล่มนั้นเล่มนี้ได้เก่งกว่าอาตมา พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้จักกาย รู้จักจิต แยกกาย แยกจิตให้ได้สำหรับนักบวช ถ้าหากมาบวชแล้วแยกไม่ได้ก็เป็นโมฆะ แยกอุตุนิยาม แยกพีชะ อาการอย่างไรเป็นอุตุ อาการอย่างไรเป็นพีชะ อาการอย่างไรเป็นจิต แล้วก็ไปสร้างกรรมให้มันทรงไว้ซึ่งสภาพที่เป็นอุตุ เป็นพีชะ ทรงไว้ซึ่งสภาพเป็นจิตให้ได้ คุณเข้าใจอย่างนี้แล้วทำได้อย่างนี้จริงๆ คุณก็เป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าคุณเข้าใจไม่ได้ปฏิบัติบรรลุไม่ได้คุณก็ไม่ได้เป็นอรหันต์ ที่เรียกพระอรหันต์ต่างๆนั้นเขาเรียกกันไปหมดในยุคนี้ ที่ไปไล่เรียงกันมามีทั้ง 40-50 องค์ที่เป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้น ขออภัยที่พูดความจริงไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนใส่ความ แต่ต้องการพูดความจริงให้ฟัง ไม่เช่นนั้นจะไปหลงงมงายกันไปใหญ่ ขออภัยจริงๆ อรหันต์ต้องมาดูคนชาวอโศกต้องมาดูอาตมา ซึ่งอาตมายืนยันว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ยังไม่ได้มี สาเฐยจิต ไม่ได้มีจิตอยากอวดอะไร อาการที่เป็นสาเฐยจิต อาตมาก็รู้ว่าเป็นอย่างไร อาตมาไม่มีอะไรมันก็ยืนยันว่าไม่มี อาตมาจะไม่โกหก โกหกเป็นอนันตริยกรรมอย่างไร อาตมา ถ้าโกหกไม่มีหน้าผ่องใสอย่างนี้หรอก หน้ามันจะเป็นสัตว์นรกไปถ้าเป็นอนันตริยกรรม ขนาดพระเทวทัตยังถูกธรณีสูบเลย บิดเบี้ยวไปหมดเลย ถูกธรณีสูบ สู่แดนธรรม…มาปฏิบัติธรรมขนาดนี้แล้วยังจะเอาวิบากใส่ตัวเองทำไมอีก พ่อครูว่า… อะไรก็ไม่เอาแล้วยังจะมาเอาอะไรอีก เอานรก การแยกกายแยกจิตนี่ล่ะ พระพุทธเจ้าถึงได้สอนเป็นลำดับ ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ก็ดี ข้อที่ 1 ของโพธิปักขิยธรรมก็ดี ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ก็คือ สักกายทิฏฐิ คุณจะต้องทำความเห็นความเข้าใจความรู้ของคุณให้รู้จัก กาย อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วก็ต้องรู้กายนี้ กายนี้มันเป็นจิต ในตนนี้แหละ สักกายทิฏฐิ ต้องรู้ในตนให้ได้ กาย ของตนเป็นอย่างนี้ พ้นทิฏฐิ คือ พ้นจากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ ถ้าไม่พ้นมิจฉาทิฏฐิ ข้อต้นนี้เป็นสัมมาทิฏฐิที่ข้อต้นนี้ หมด ทั้งกระบวนไม่มีทางที่จะปฏิบัติธรรม สู่แดนธรรม.. เท่ากับขับรถหลงทางเข้าไปในซอยในกรุงเทพ พ่อครูว่า… ไม่ได้เลย ถ้าคุณไม่สัมมาทิฏฐิในเรื่องกาย คุณจะไปพิจารณากายในกายที่เป็นโพธิปักขิยธรรม คุณจะพิจารณาไม่ถูกเลย ยกตัวอย่าง เปิดพจนานุกรมบาลีไทยเลย กายะ คือ กอง ไม่ใช่เดียวนะ คือกอง ฝูง คือหมู่ คือ องค์ประชุม แล้ว กายคืออะไร คือหมวดแห่งเจตสิกธรรม คือได้แก่ เวทนา สัญญา และสังขาร เวทนา สัญญา สังขาร นี่แหละคือ กาย นี่เปิดพจนานุกรมอธิบายแล้วนะ เพราะฉะนั้นใครเข้าใจว่า กาย คือ สรีรังคือสรีระ คือร่างภายนอก ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิดักดานเลย แต่มีสรีระไหม มี เกี่ยว เป็นองค์ประชุมทั้งภายนอกและภายใน นี่ต้องมีความรู้อันนี้ แล้วภายในเป็นหลัก กาย เป็นเจตสิก พระพุทธเจ้ายืนยันว่า กายคือจิต มโน วิญญาณ พระไตรปิฏกเล่มที่ 16 ข้อ 620 ศึกษาดีๆ ทุกวันนี้พุทธศาสนาได้เสื่อมได้ผิดไปไกลมากเลย เป็นปราชญ์เอกขนาดไหนที่คุณนับถือ ขออภัยอย่าหาว่าลบหลู่เลย ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่มีบรรลุอาริยะ ไม่มีบรรลุอรหันต์ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องเป็นโลกุตระเป็นอารยธรรม ต้องบรรลุอรหันต์ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธเพียงศาสนาโลกียะ เทวนิยม เหมือนกับโลกเขาไปหมด ปฏิบัติให้ละชั่วประพฤติดี ศาสนาใดๆในโลกเขาก็ทำกัน ไม่มีศาสนาไหนเหมือนศาสนาพุทธ ที่ให้ละกิเลส แล้วดับสุข ดับทุกข์ มีศาสนาเดียวในโลก ให้ละกิเลสแล้วดับสุขดับทุกข์ ส่วนความชั่ว ความดีก็เรียนรู้ด้วย แล้วรู้ด้วยว่าดีชั่วไม่เที่ยง ดีชั่วคือการสมมติ แล้วแต่กลุ่มไหน ศาสนาพุทธก็มีดีชั่ว วงศาสนาอื่นก็มีดีชั่วแบบที่ศาสดาเขาว่า ก็ทำตามศาสดา ศาสนาใดก็มีดีชั่วตามที่ศาสนาเขาว่ากันไว้ซึ่งไม่เหมือนกันนะ ขัดแย้งกันอยู่ จนกระทั่งรบกัน เทวนิยมรบกันเลยแต่พุทธไม่รบ พุทธไม่มีรบ แยกนิกายอย่างไรก็ขัดแย้งกันแค่ปากหอก ไม่ได้ไปรบราฆ่าฟัน ตีรันฟันแทง ไม่ทำ ขึ้นต้นคำว่า กายก็ยืนยันได้ว่าเป็นหมวดแห่งเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร ฟังดีๆนะ ที่เข้าใจกาย เป็นสรีระ เป็นวัตถุธาตุ คุณผิดมานานมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เกี่ยวกับดินน้ำไฟลม ไม่เกี่ยวกับสรีระ ต้องเป็น 2 กายต้องเป็น 2 อีกคำ กายกรรม ตามพจนานุกรมแปลว่า สิ่งที่พึงกระทำทางกาย กรรมแปลว่าการกระทำ หรือแปลว่าการออกกำลังกาย ซึ่งที่จริงมันไม่ใช่ กายกรรม เป็นการกระทำทั้งภายนอกภายในของคุณนั่นแหละที่เรียกว่ากายกรรม ทั้งภายนอกและภายใน มีจิตเป็นประธาน สู่แดนธรรม… หนังอินเดีย การทำงานเขาพูดว่า กรรม กายกรรม แปลว่าการทำงานของกองจิตได้ไหมครับ พ่อครูว่า… กายจิตเป็นประธาน จะเคลื่อนไหวออกมาเป็น กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ก็มาจากประธานคือจิต แม้คุณไม่รู้ตัวก็คือเป็นอัตโนมัติเป็นสัญชาตญาณออกมาก็คือการกระทำของจิตออกมา แม้้คุณไม่รู้ตัวเป็นสัญชาตญาณ สะสมมากี่ชาติอยู่ในอนุสัยออกมาก็เป็นอย่างนั้นเลย คลอดมาแล้ว เด็กอุแว้ ออกมาก็กินนมได้เลย ไม่ว่าคนหรือสัตว์เดรัจฉาน หรือจิงโจ้ออกมาก็คลำหากระเป๋าแม่ อยู่ในกระเป๋าแม่ อย่างนี้เป็นต้น เป็นสัญชาตญาณ ต่อมา กายกัมมัญญตา ท่านก็แปลว่า ความคล่องแห่งกาย ความเป็นความควรของกองแห่งเวทนา สัญญา สังขาร กายกัมมัญญตา คำว่า กัมมัญญตา มีคำว่า กาย คำหนึ่ง เป็นการกระทำความเหมาะสมควรทางกาย หมายความว่ามีการกระทำ กัมมัญญะ ควบ มีอำนาจของจิต อัญญธาตุ ควบคุมกรรม กัมมัญญตาหรือกัมมัญญา มี อัญญธาตุหรืออัญญา ธาตุรู้ตัวใหม่ที่ควบคุมการ กระทำออกมาทางภายนอก เรียกว่า กายกัมมัญญตา ถ้าจิตกัมมัญญตา ก็แสดงว่ามันอยู่ในจิตไม่ออกมา มันเป็นการงานอันเหมาะควรของจิตของเรา คนอื่นก็ไม่เห็นกายกรรม วจีกรรมของเรา มีแต่มโนกรรม นี่คือ กายกัมกัมมัญตา กายกลิ กลิคือโทษ คือภัย เพราะฉะนั้นตัว กลิ คือตัวโทษตัวภัย ขยายกลิก็คือกิเลส ตัวสำคัญเลย ตัวที่เป็นตัวกิเลสนั่นแหละ เป็นตัวเชื้อโรค เชื้อร้ายที่มันอยู่ในจิตอยู่กับจิต ควบคุม กายกลิ ควบคุมตัวเรา เป็นโทษเป็นภัยออกมาทางกายตลอดเวลา ภายนอกไม่สำรวมอยู่ในจิตเท่านั้น สู่แดนธรรม… ที่ผมรู้จักคำว่ากลิ ก็ตรงกับ คำว่า กาฬ ที่แปลว่าดำ กาละ ก็แปลว่าดำ พ่อครูว่า… ความมืดความดำความโง่ กายลิ คือเป็นโทษ คือสิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย ถ้าเข้าใจว่า กายมีแต่ร่างภายนอก สิ่งชั่วช้ามีแต่เพียงภายนอกก็ไปทำอะไรกับมันไม่ได้เลย เช่น เป็นมะเร็ง เป็นแผล เป็นฝี เป็นตัวภายนอก แม้แต่เป็นขี้ไคล เป็นคราบอะไรก็แล้วแต่ สู่แดนธรรม… แต่จริงๆแล้ว หมายถึง กิเลส สิ่งชั่วช้าที่ครอบงำจิต พ่อครูว่า… ใช่ สิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในกายอยู่ในจิต กายคือจิต สิ่งชั่วช้าที่ครอบงำอยู่แล้วออกมาภายนอกด้วยเลย กายสวะ คือ ท่านแปลว่า ความหมักหมมแห่งร่างกาย แสดงว่า คนนี้ไม่อาบน้ำเลย ร้อยวันพันวันหมักหมมจัด เดินผ่านมาได้กลิ่นแต่ไกล ท่านแปลว่าความหมักหมมในร่างกาย ความสกปรกที่มีอยู่ในร่างกาย ฟังแล้วมันตื้นๆ นะ ความจริงแล้วอาสวะกิเลสหมักหมม กิเลสหมักดอง อยู่ในจิตของคุณออกมาแสดงออกทางกายเลย กายสวะ ออกมาเต็มที่เลย นี่คือการแปลของอาตมาหรือการขยายความของอาตมาเท่าที่อาตมามีภูมิ รู้ในสภาวะที่พยัญชนะบาลีว่าอย่างนี้ สู่แดนธรรม… ได้ความว่า พ่อท่านแปลอะไรก็แล้วแต่ จะเน้นเข้าหาภายใน เข้าหาปรมัตถ์ก่อน เรื่องที่รับรู้กับคนภายนอกเป็นเรื่องราว พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นเรื่องของอุตุเราพูดกับมันไม่รู้เรื่องหรอก มันก็เป็นของมันตาม พลังงาน เราไม่เกี่ยว เราไปทำอะไรกับมันไม่ได้ หรือแม้แต่พีชะ มันก็ไม่รู้เรื่องกับเรา ขนาดจิตนิยามเราก็สอนได้แต่คนที่เป็น เวไนยสัตว์ เพราะฉะนั้น ที่อาตมาสอนอธิบายอยู่นี้ คนที่มาฟังจึงเป็นเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนได้สัตว์ที่ฟังธรรมะรู้เรื่อง ที่ฟังธรรมะอาตมาไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจไม่มีประโยชน์ ยังเป็นอเวไนยสัตว์อยู่ สู่แดนธรรม… พ่อท่าน เคยยก เวไนย ระดับต้นๆ อบายมุขก็รับไม่ได้ คือขั้นต่ำ แต่ถ้าไม่สามารถเข้าใจโลกุตรธรรมได้ เขาเป็นเวไนยสัตว์ระดับโลกียะ แต่ว่าสำหรับโลกุตรธรรมเขาไม่ได้เป็นเวไนยสัตว์ พ่อครูอธิบายสภาพ อุตุ พีชะ ของเล็บ พีชะไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึก ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่บาปไม่บุญ พ่อครูว่า…ฟังดีๆนะ เป็นหัวใจศาสนาเลย ถ้าแยกกายแยกจิต ให้เป็นอุตุ เป็นพีชะ จิตนิยาม แยกอย่างนี้ ปรุงแต่งอย่างนี้เป็นพืชะ ปรุงแต่งนี้เป็นอุตุ ถ้าเข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิไม่ได้ คุณทำกรรมการกระทำให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ คุณก็ไม่ถึงธรรม จะเป็นอรหันต์ทำนิพพาน ทำนิโรธธรรม ทำไม่ถึง ทำไม่ได้ คุณต้องเข้าใจอุตุ พีชะ จิต อย่างสำคัญเลย ต้องแยกให้ชัด ถ้าแยกไม่ชัด ไม่เข้าใจ แล้วทำไม่ถูกไม่ตรง หมดทาง พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้จาก อวัยวะภายนอก มันมี ผมขนเล็บฟันหนัง เรียนรู้จากการพิจารณาเอาส่วนใดมาอธิบายก็ได้แยกกายแยกจิต จาก เอาเล็บมาเป็นตัวอย่าง เอาผมมาเป็นตัวอย่าง เอาขนมาเป็นตัวอย่าง เอาฟันมาเป็นตัวอย่าง เอาหนังมาเป็นตัวอย่างได้ทั้ง 5 ตัวอย่าง แต่อาตมาชอบที่จะเอาเล็บมาเป็นตัวอย่าง ผมมันก็ยาว เล็บมันก็ไม่ยาวไม่ใหญ่อะไร ฟันก็ละเอียดไปข้างใน แต่เล็บนี่มองเห็นด้วย อธิบายได้ง่ายกว่า เมื่อใดเล็บเป็นอุตุ เมื่อใดเล็บเป็นพืชะ เมื่อใด้เล็บเป็นจิต 3 สภาพนี่แหละ คุณต้องทำกรรมให้เกิด ถ้ารู้แล้วทำแล้วคุณจะทรงไว้ ถ้าสมบูรณ์แบบคุณก็เป็นนิพพาน เป็นนิโรธธรรม เล็บ ส่วนที่ถูกตัด ตัดออกมา เล็บที่มันยาวยืดออกมา แล้วคุณตัดออกมาหลุดออกจากร่างกายเล็บนั้นก็เป็น อุตุนิยาม หมดพีชะ หมดความเป็นชีวะ เหมือนต้นไม้ ถูกถอนออกจากสิ่งที่มันอาศัยอยู่ หากต้นไม้อยู่กับดินก็อีกเรื่องหักต้นไม้กินอากาศก็อีกเรื่อง เอาเล็บนี่แหละ ตัดเล็บออก คุณตัดไม่เจ็บ เล็บ ส่วนที่เลยออกจากระบบประสาท ชีวะ พีชะ มันเป็นชีวะพีชะ มันเลยออกมาจากระบบประสาทมันเป็นพืช ไม่มีความเจ็บปวดไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญาณ เล็บ ส่วนที่เลยออกจากเส้นประสาทมาที่มันยาวออกมาได้ ยังเลี้ยงด้วยอาหาร ยาวออกไปได้ อาตมาเคยอธิบายเลยเถิดว่า คนที่ยึดมั่นถือมั่นว่ากายเป็นของเรา เนื้อหนังมังสาผมขนฟันหนังและเป็นของเรา ตายไปแล้ว ผมก็ยังยาวออกมา แล้วก็ยังยาวออกมาอยู่ ไม่ถอดวิญญาณ พวกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ตายแล้วไม่เน่าเป็นต้น ผมก็ยังยาวออกมา เล็บก็ยาวออกมา ไม่เน่า พวกนี้มิจฉาทิฏฐิหนัก แล้วก็ไปเคารพกันว่าเป็นผู้ที่พลังจิตสูงมากตายแล้วไม่เน่า สู่แดนธรรม… นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นแรงเฉื่อย เป็นพลังงานที่ยังไม่สิ้น พ่อครูว่า… พลังงานไม่สิ้นเพราะอะไร เพราะเขายึดว่านี่คือกายของกูไม่ออกไป ทั้งๆที่จิตของคุณไปแล้วตายไปแล้วไม่เป็นจิตวิญญาณ แต่ถ้า พืชธาตุยึดยังอยู่ เหมือนมนุษย์พืชนั่นแหละถ้าคุณยังให้อาหารอยู่ กายนี้ก็ยังอยู่เหมือนที่อยู่ใน ICU นั่นแหละ ถอดสายออกเมื่อไหร่ก็เป็นมนุษย์ตาย ไม่ใช่มนุษย์พืช แต่ที่ยังหนักอยู่คือไม่ยอมตายก็เลยพยายามดึงตัวเองไว้ พีชะ ไม่มีเวทนาไม่มีความรู้สึก เจ็บปวดไม่มี บาปบุญไม่มี เพราะฉะนั้นเล็บที่มันพ้นปลายประสาทออกมายังเป็นพืช เป็นชีวะ ไม่เจ็บไม่ปวดไม่บาปไม่บุญ ไม่มีจองเวรจองกรรมไม่มีรักไม่มีชัง ตัดมันก็ขาดออกมาไม่เจ็บ ที่ขาดออกไปแล้วเป็นอุตุ ไม่มีเจริญแล้วมีแต่แห้ง เสื่อม แต่มันทน ขี้ไคลก็เปื่อยง่ายกว่าเล็บ ฟันก็ทน ส่วนที่ยังเป็นพีชะ เราต้องอ่านให้ได้ว่าเป็นพีชะเป็นชีวะ เพราะฉะนั้นเราต้องไปเทียบกับจิตนิยาม ถ้าจิตของเรามีเวทนามีความรู้สึก เหมือนอย่างเล็บ ส่วนที่ไม่ติดกับประสาทไม่เกี่ยวข้องกัน ให้ขาดจากประสาท แล้วจิตเป็นประสาทแต่ยังมีชีวิตอยู่กับตัวเรายังไม่ตาย จิตนิยามนี้ยังไม่ตาย ให้จิตนิยามมีอาการของพืชะ เอาอาการของพีชะ ให้เกิดความรู้สึกที่ไม่รู้สึกไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นต้น ทำให้เกิดอาการอย่างนี้ให้ได้ เพราะฉะนั้นอาการของความไม่สุขไม่ทุกข์จึงเป็นอาการของ อรหัตตผล ในศาสนาพุทธของเราเอาอย่างนี้ ไม่ใช่ดีชั่ว แต่อยู่ที่สุขที่ทุกข์ เป็นพื้นฐาน อทุกขมสุข จะเป็นไวพจน์กับคำว่าอุเบกขา ซึ่งต่างกัน อุเบกขาคือรู้ด้วยปัญญา ทำให้กิเลสมันออกไปหมดจนกระทั่งบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ตัวแรก ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตอุเบกขาไม่มีกิเลส ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างถาวรอย่างดี แต่ไม่สุขไม่ทุกข์ที่ไม่รู้เลย กดข่มเฉยๆ ที่เรียนหลับตาสะกดจิตก็ได้แค่ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ได้อุเบกขา อุเบกขาลึกกว่า อทุกขมสุข คือ รู้กิเลสแล้วฆ่ากิเลสตายไปจากจิต จึงจะเป็นอุเบกขา สู่แดนธรรม… ผมเคยสรุปอย่างนี้ว่า อุเบกขาคือผลที่เกิดจากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ตายไปแล้วความเกิดก็จะเกิดในอุเบกขา เกิดความบริสุทธิ์ พ่อครูว่า… ชีวิตของเรายังอยู่แต่ถ้าจิตของเราเป็นอุเบกขา คุณต้องเรียนรู้อุเบกขา 108 หรือเวทนา 108 ตรงแยกอุเบกขาเป็น 2 ฝ่าย เคหสิตะเป็นมโนปวิจาร 18 และทำให้เป็นเนกขัมมะ เป็นมโนปวิจารอีก 18 ต้องเรียนรู้ 2 ขั้วมโนปวิจารให้ได้ คุณจึงจะอ่านกระทบสัมผัสแล้วเกิดจิตแยกเป็นเนกขัมมะและเคหสิตะ ทำให้เป็นอุเบกขา เนกขัมมะ คือบริสุทธิ์จากกิเลส จะได้เป็นคราวๆ ก็เรียกว่า ตทังคปหาน ทำได้ดีขึ้น ดีขึ้น นอกจากตทังคปหาน ก็เป็น ปฏิปัสสัทธิปหาน เป็นนิสสรณปหาน ก็เก่งขึ้นไปตามลำดับ นี่แหละ ถ้าเข้าใจกายไม่ได้เลย แยกว่ามันเป็นชีวะหรือไม่เป็นชีวะ เป็นชีวะ แต่ทำให้เป็นพีชะให้ได้ทั้งๆที่มันเป็นจิตนิยาม เป็นจิตรู้ครบรู้ถ้วน แต่คุณสามารถทำให้จิตมันเป็น พีชะธาตุได้ จิตที่เป็นเหมือนกับพืช ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่มีกิเลส กิเลสตัวที่มันไปโง่ เป็นเวทนาสุขทุกข์ พอไม่มีกิเลส ไม่ไปยึดถือเวทนาว่าเป็นเรา สุขทุกข์ เวทนาก็เป็นกลางๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้น เจ็กไทยแขกฝรั่งก็เรียกไปตามพยัญชนะแต่ละที่ เห็นสีแดง ก็เป็นสีแดง เจ๊กแขกไทยฝรั่ง ก็เห็นสีแดงเหมือนกัน นี่คือเวทนาแท้ แต่อีกคนหนึ่งแดงสวย อีกคนนึงยังไม่สวยนั่นแหละคือเวทนาเก๊ นั่นแหละเรียนรู้ความจริงที่มันมีการแปลกแยกไปจากสิ่งที่เป็นจริงตามความเป็นจริง หนึ่งเดียว คุณแยกได้ แล้วก็ไม่ให้จิตของเราไปโง่งมงายตามที่เขาเป็น ที่เขาว่าสวยไม่สวย แต่รู้ลิงคะ รู้ความต่างได้ ว่าแดงนี้ แตกต่างจากแดงอันนี้ ไม่ใช่ว่าแดงขนาดนี้สวย แดงขนาดนี้ไม่สวย ถ้ายิ่งแดงขนาดนั้นไม่สวยใหญ่เลย ต้องแดงแบบเฉดนี้จึงจะสวย นั่นคือถ้าคุณสมมุติ คุณไปยึดติดทั้งนั้นเลย ที่ อธิบายไปเป็นปรมัตถ์ธรรม เป็นอภิธรรม ที่ยาก แต่ต้องเรียนอย่างนี้ นี่คือศาสนาพุทธ ถ้าไม่ได้เรียนอย่างนี้คุณก็ไม่ได้อะไร ถ้าเรียนอย่างนี้เข้าใจได้ดีถูกต้องทำได้ดี คุณก็มีจิตเป็นอรหันต์ หมดสุขหมดทุกข์ก็จบแล้วชีวิต ชีวิตหมดสุขหมดทุกข์ก็จบ ดีชั่วนั้นแน่นอนไม่ทำชั่วแน่นอน สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) โอวาทะปาติโมกข์เป็นของพระอรหันต์ไม่ใช่ของธรรมดา แปลว่าละชั่วประพฤติดีน่ะ ผิด ไม่ทำบาปแล้วบุญก็ไม่ต้องทำ แต่ไม่ต้องกล่าวคำว่าบุญ เพราะฉะนั้น สัพพปาปัสสะ แม้แต่บาปก็ไม่ทำ บุญนั้นไม่ทำอยู่แล้ว กรรม ของผู้ที่ทำอยู่นี้จึงมีแต่ กุสลสูปสัมปทา กรรมของผู้ที่ไม่ทำบุญไม่ทำบาปอีกแล้วคือผู้ที่มีกรรมแต่กุศลอย่างเดียว นี่เขาก็เข้าใจกันไม่ได้ สู่แดนธรรม… ไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์คนไหน สอนให้แยกกายแยกจิตได้อย่างพิสดารเช่นนี้ พ่อครูว่า… มี เขาสอนให้แยกกายแยกจิตด้วยนะสมาธิแล้วลอยออกไปภายนอก สู่แดนธรรม… พ่อท่านบอกสำทับ หากเข้าใจแยกกายแยกจิตไม่สัมมาทิฏฐิ ทำไม่ได้คุณก็ห่างไกลจากการบรรลุอรหันต์ …สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin10 มกราคม 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650110ปลูกสลัด สวนไม่ทำไม่ได้กินNextNext post:650112 รับมอบเครื่องสีข้าวกล้อง ขนาดกลางRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024