650105_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาวอโศกมีความมหัศจรรย์ได้ตามปหาราทสูตร ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1tfK4ddbe0dtI1BVfG9XK6AspiR8MqdN6Y2XGMaKsEK4/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1qXKzz2-s5tMcgTiXzwHeZ7Q7AFk3LGvF/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1169232763481041 และ สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันพุธที่ 5 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้อาจจะเห็นภาพพิเศษที่พ่อครูออกอากาศอยู่ในห้องทำงาน เนื่องจากมีสมาชิกบ้านราชฯ ตรวจเอทีเค covid แล้วผลเป็นบวก ก็เลยต้องมีมาตรการป้องกันสูงสุด แต่ยังต้องรอตรวจยืนยันด้วย pcr อีกทีนึง แต่ก็ไม่ประมาท ให้พ่อครูอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยสูงสุด เราเป็น New Normal รักกันก็อยู่ห่างกันหน่อย อยู่ใกล้กันก็ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ เป็นนิวน้องม่อนของสังคมยุคนี้ พ่อครูว่า… ต้องใช้สำนวน สวัสดีปีใหม่ แต่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว วันนี้ก็เป็นวันพิเศษที่บ้านราชฯ เราได้รับอะไรเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องสากลมาก แล้วเราก็ไม่ได้อยากจะนิยมสากลอย่างที่ไม่น่านิยม มันก็สุดท้าย มันเก่งจริงๆ covid มาจนได้ จริงๆไปโทษโควิดไม่ได้ เราไปหามันมาเอง เราไม่ระมัดระวังตัวอันนี้ไปโทษ covid ไม่ได้ มันไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร พวกเรานี้เป็นคน เป็นมนุษย์ จะต้องเฉลียวฉลาด ต้องทำความหลุดพ้น หลุดพ้นในอะไรต่างๆที่ควรหลุดพ้น ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าพระหลุดพ้นนี้สุดยอดมหัศจรรย์สูงสุด เป็นความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว เพราะฉะนั้นวันนี้ก็มาพูดถึงความมหัศจรรย์อย่างสำคัญเลยทีเดียว SMS วันที่ 3-4 มกราคม 2565 _มุ่ง ตรงธรรม : การตอบข้อสอบเป็นเรื่องการฝึกฝนให้ยอมรับความจริง และวางใจไม่เอาถูกไม่เอาผิด พ่อครูว่า…ก็เขาจะพยายามให้ตอบให้ถูก แต่จะมาวางไม่ถูกไม่ผิด ก็ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ ปัสสติกับเวทนาต่างกันอย่างไร _เรืองรุ่ง พลังบุญ : กราบนมัสการเจ้าค่ะ ปัสสะติกับเวทนาเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรคะ ? พ่อครูว่า…ปัสสติ แปลว่า เห็น เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรสพวกนี้ แล้วมันก็เกิดสภาวะนั้นขึ้นมา เรียกสำนวนตัวต้น ตากระทบรูปก็เห็น หูกระทบเสียงก็เป็นลักษณะปัสสติ แต่หูกระทบเสียงเราไม่เรียกว่า เห็น เราเรียกว่า ได้ยิน จมูกกระทบกลิ่น ก็ปัสสติ แต่เราไม่เรียกว่า เห็น เราเรียกว่าได้กลิ่น ปัสสติ เป็น Common noun ของพระพุทธเจ้า หมายความถึงทวารทั้ง 5 ตาหูจมูกลิ้นกาย ต่างกับทิฏฐิ กว้างที่เป็นความเห็นความกว้างซึ่งกว้างกว่า ปัสสติ แล้วเทียบกันกับเวทนา เวทนานั้น ลึกเข้าไปอีก สัมผัสแล้วจึงเกิดความรู้สึก เพราะฉะนั้นมีผัสสะจึงเกิดเวทนา ผัสสะนี้ กับ ปัสสะ หรือปัสสติ ปัสสะเห็น ผัสสะกระทบ ถ้ายังไม่กระทบ เห็นยังไม่เกิด นอกจากเห็นยังไม่เกิดแล้ว เวทนายังอีกไกล ยิ่งไกลกว่าปัสสะ พอเข้าใจนะ ปัสสะกับเวทนา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร คำอธิบายของพระพุทธเจ้า ภาษาต่างๆที่เป็นปรมัตถ์ มันเป็นธาตุรู้ทั้งนั้น รู้ๆๆๆ ทุกคำ ปัสสติก็รู้ เวทนาก็รู้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ทั้ง 5 เป็นรู้ทั้งนั้น เป็นการรับรู้ แต่ไม่ใช่รู้อย่างรู้แจ้ง รู้จริง รู้ชัดอะไร แต่เริ่มรับรู้ คำว่ารู้ภาษาไทยคำเดียว โอ้โห มันคลุมหมด ศึกษาไปดีๆ กามภพต่างกับกามตัณหาอย่างไร _ทนสู้ : ขอถามพ่อครูครับ 1.กามภพและกามตัณหา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? อะไรเกิดก่อน อะไรเกิดหลัง 2.กามสัญญาและความดำริในกาม เหมือนหรือต่างกันอย่างไร และทั้งสองอย่างเกิดในลำดับของ กามภพ หรือ กามตัณหาครับ รบกวนพ่อครูช่วยไขครับ กราบขอบพระคุณครับ พ่อครูว่า… กาม หมายความว่า รสความอยากใคร่ ซึ่งถ้าคำว่ากามแล้วคือภายนอก ภายนอกมี 5 เรียกว่า กามคุณ 5 หรือ กามโทษ 5 เราได้ยินแต่คำว่ากามคุณเป็นส่วนใหญ่ แต่กามโทษ เราไม่ค่อยได้ยินกัน กามโทษ ภาษาบาลีคือ กามาทีนวะ อาทีนวะ แปลว่าโทษ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่คุณ มันเป็น อาทีนวะ กามคือโทษ แต่ก็ไปชอบกันไปยินดีกันไปมีกันเสียส่วนใหญ่ทั้งโลกเลย เทวนิยม ถึงขั้นศาสดาของศาสนาเทวนิยม ก็ยังไม่รู้จักเรื่อง กาม ยังเสพรสกามกันอยู่ แม้แต่ศาสดาที่เป็นศาสดาของศาสนา ก็ยังมีเรื่องกาม ยังมีคู่สามีภรรยาอะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งต้องเรียนรู้ว่า ศาสนาพุทธนั้น หมดกาม หมดความอยากความใคร่อันนี้ ความใคร่ ความอยากอันนี้แหละมันใกล้กันกับ ส่วนคำว่าภพ นั้นเป็นแดนเกิด ถ้าจะเรียกด้วยภาษาวิทยาศาสตร์ ภพเป็น Static ตัณหาเป็น Dynamic หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ภพ เป็นรูป ตัณหาเป็นนาม ต่างกันอย่างนี้ เหมือนกันอย่างไร?…มันยังไม่จบ มันเป็นกิเลสทั้งคู่ ต้องหมดภพหมดชาติหมดปัญหาหมดอุปาทาน สู่แดนธรรม… ภพ เป็นธนาคารของตัณหาได้ไหม? พ่อครูว่า… ปฏิภาณของสู่แดนธรรมที่ว่า “ภพ เป็นธนาคารของตัณหาได้ไหม?”…ได้ ตัณหาก็มี รายละเอียดอีก กามสัญญากับดำริในกามต่างกันอย่างไร กามสัญญา และความดำริในกาม เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ทั้งสองอย่างเกิดในลำดับของ กามภพ หรือกามตัณหา ครับ ฟังดีๆ เรียนไปเรื่อยๆ ค่อยๆเข้าใจภาษาที่จะสื่อสภาวะธรรม สัญญาแปลว่าการกำหนดหมายหรือความจำ ส่วนดำรินั้น คือการ ตริตรึก ไตร่ตรองนึกคิด สังกัปปะ เป็นภาษาบาลี ส่วนสัญญาเป็นการกำหนดรู้ เรียกว่าสัญญา กำหนดรู้อันนั้น ส่วนดำรินั้นจะเกิดขึ้นที่จิตอะไร สังกัปปะ โดยธรรมชาติเลย สัญญาก็เป็นธรรมชาติ กำหนดรู้อันนั้นอันนี้เป็นธรรมดาที่ก็ใช้กันมาประจำ สัญญานี้ใช้มากในคน สัญญาหรือสัญญาณ สัญชาตญาณอย่างนี้เป็นต้น มันจะเกิดไปโดยอัตโนมัติเลย ความดำริในกาม กับกามสัญญา กาม การกำหนดลงไปเลย มันจะมีเจตนามุ่งหมาย ต้องการ ส่วน ดำรินี้เริ่ม เริ่มเกิดแล้วก็เข้าไปไตร่ตรองดำริ มีความหมายหลายอย่างในสังกัปปะ ไตร่ตรอง ตรวจตรา แยกแยะต่างๆ ซึ่ง สังกัปปะ พระพุทธเจ้าแยกไปถึงสังกัปปะ 7 เรียนรู้ให้ดีแล้วจะเรียนรู้ถึงสังกัปปะ 7 ตั้งแต่ ดำริ ดำริจริงๆ ท่านใช้คำว่า ตักกะ วิตักกะ ก็เรียกว่า เอามาแยกแยะให้ยิ่ง ตัวไหนไม่ต้องการที่จะให้อยู่ในจิต ในเจตสิก ก็ฆ่าออก ล้างออก ดับไป ให้เหลือเจตสิกที่ดีที่ต้องการ ทำได้สำเร็จ เรียกว่าสังกัปปะ เป็นสัมมาสังกัปปะ ผลสำเร็จของสังกัปปะ 7 ไตร่ตรอง ตรวจตรา เลือกเฟ้น เสร็จแล้วก็กำจัด กำจัดตัวที่ไม่ดีให้หายไปดับไปได้ แล้วก็สั่งสมลงไป อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แล้วใส่คลังเข้าไปเรียกว่าวจีสังขาร วจีสังขารยังไม่ใช่วจีกรรมไม่ใช่ภาษาคำพูดภายนอกนะ แต่อยู่ภายใน เป็นเรื่องที่มีภาษาจะพูดออกมาได้แล้ว ถ้ายังไม่มีภาษามันก็ยังเรียกว่า ปฏิฆสัมผัสโส คือ เกิดสภาวะนั้นขึ้นมา แล้วสัมผัสสภาวะนั้นขึ้นมาเป็น ปฏิฆสัมผัสโส สภาวะนี้ยังไม่ได้ตั้งภาษาเรียกก็ไม่มีภาษาเรียกแต่รู้ว่ามันเป็นอาการอย่างนี้ ลักษณะอาการ ลิงค อย่างนี้แตกต่างกันอย่างนั้นมันเป็นอย่างนี้ ถ้าตั้งชื่อไปเรียกว่า อธิวจนสัมผัสโส ตั้งบัญญัติภาษาใส่ชื่อเข้าไปเป็น อธิวจนสัมผัสโส ถ้าไม่ได้ตั้งชื่อเรียกว่า ปฏิฆสัมผัสโส อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งที่ไม่ค่อยได้อธิบายเท่าไหร่ สรุปแล้ว กามสัญญาก็คือกำหนด จะเรียกว่า หยาบกว่ากามสังกัปปะ ความดำริในกาม ก็หยาบกว่ากัน กามสังกัปปะ ละเอียดลออกว่าเยอะเลย สังกัปปะ 7 เป็นกระบวนการของการปฏิบัติธรรมในมรรคมีองค์ 8 ซึ่งสังกัปปะจะมี 7 ข้อ เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ มี 7 สัมมาวาจามี 4 สัมมากัมมันตะมี 3 สัมมาอาชีวะมี 5 อย่างนี้เป็นต้น ไขความให้คุณทนสู้ ดีทนสู้ไป ศึกษาดีๆ สิ่งเหล่านี้ _จิตรานันท์ สกุลชัยพรเลิศ… ศรัทธาและชอบโครงการทุกอย่างของชาวสันติอโศก ครั้งแรกที่มาเจอก็เตรียมของมาถวายพระครู (อาตมาไม่ได้เป็นพระครู อาตมาไม่ได้เป็นพระ อาตมาเป็นสมณะ คุณก็ค่อยๆศึกษา) พอมาถึงทุกท่านบอกว่า ท่านพระครู จะไม่รับ ดิฉันจึงมอบไว้ส่วนกลาง อีกครั้งมาเจอที่แจกผักฟรี อยากบริจาคเงิน ทุกคนบอกว่าไม่มีกล่องรับ แล้วที่นี่ไม่รับเงินบริจาค ดิฉันเลยเดินเก็บขยะบ้าง ซื้อสินค้าบ้าง ดิฉันมีบุญมากที่ได้มาพบโครงการที่มีแต่ให้ ดิฉันเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็พบโครงการลุงจำลองที่กาญจนบุรี เห็นโครงการดีๆก็อยากจะมีส่วนร่วม จนคุณลุงจำลองตั้งชื่อให้ดิฉันว่าคุณป้าใจดี วันนี้ดีใจมาก ที่ชาวอโศกยินดีรับ รับสิ่งที่ดิฉันนำมามอบให้ ดิฉันนำเครื่องจักรอุตสาหกรรม 1 ตัว ส่งมอบได้สำเร็จ ดิฉันคิดว่าคงมีประโยชน์ต่อชาวอโศก ขอบคุณที่ยินดีรับมอบ ดิฉันปลื้มใจมากๆที่มีส่วนสร้างสิ่งดีๆร่วมกับชาวอโศก สุดท้ายขอให้พระครูและทุกคนที่สันติอโศก มีความสุขแข็งแรง และสร้างสิ่งดีๆให้สังคมและประเทศ ขอบคุณ พ่อครูว่า…คุณ จิตรานันท์พึ่งเห็น แต่ที่จริงเห็นมานานแล้วเห็นคุณจำลองมานานแล้ว ก็ช้าๆก็รีบๆเข้า สนใจเข้า ดีแล้วล่ะ อาตมาก็ต้องบอกว่าดี พ่อครูว่า…ที่นี้มาถึงความมหัศจรรย์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ ปหาราทสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อ 109 มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ฟังดูเป็นเรื่องโลกๆเป็นเรื่องของ กว้างๆโลกๆ อธิบายไว้ กล่าวถึงไว้ แต่ในเนื้อหาสาระแล้วมันลึกซึ้งมากเลย ลองอ่านดูก่อน ปหาราทสูตร เล่ม 23 [๑๐๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต ใกล้กรุงเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะจอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า ดูกรปหาราทะพวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ ท้าวปหาราทะจอมอสูรกราบทูลว่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน…เป็นความมหัศจรรย์มากที่เปรียบเทียบมหาสมุทรกับธรรมวินัยได้เหมือนกันเป๊ะ พ่อครูว่า…แล้วเดี๋ยวนี้มีตัวอย่างคนจริงๆด้วย เดี๋ยวจะได้ฟังกัน แต่ตอนนี้ขออ่านไปให้จบก่อน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทร ฯ พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ ป. มี ๘ ประการ พระเจ้าข้า ๘ ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอไม่ล้นฝั่ง นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๒ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ และในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๓ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ อีกประการหนึ่ง แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและ โคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำ เหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมเปลี่ยนนามและโคตรเดิมหมด ถึงความ นับว่ามหาสมุทรนั่นเอง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๔ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ พ่อครูว่า… ชาวอโศกมาจากนามสกุลไหน แซ่ไหน ก็มาเป็นนามสกุล จน กันหมด คือมาเป็นคนจน หมดตัวหมดตนกัน อีกประการหนึ่ง แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่แม่น้ำทุกสายในโลกย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๕ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ พ่อครูว่า…ถ้าว่าจริงๆแล้วมันมีเต็มมีพร่องอยู่ แต่มันไม่ไปไหนมันรวมอยู่ตรงนี้แหละมีน้อยลงมากขึ้นอยู่เท่านั้น แต่มันไม่ไปไหน เพราะแรงดึงดูดของโลก อันนี้มหัศจรรย์ อธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ให้ฟัง ถูกแรงดึงดูดของโลกดึงดูดเอาไว้ เพราะฉะนั้นมันจะมีน้ำขึ้น น้ำลง ๆๆๆ เรียกกันอย่างสั้นๆลัดๆ ทะเลน้ำขึ้นน้ำลง แต่ในบรรยากาศของน้ำ มันมีค่อยๆระเหยขึ้นไป สู่ที่สูงไกลไปในอวกาศ จะเรียกว่า นอกโลกออกไป แล้วค่อยๆจับตัวอีก อากาศเย็นจัดจับตัวกัน หนักลงๆๆ ก็ถูกอากาศร้อนสลายเป็นน้ำหมุนเวียนอยู่อย่างนั้น นี่ก็เป็นธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ ขออธิบายแทรกไว้นิดนึง แต่ท่านไม่เอามุมนี้มาพูด แต่ท่านเอามุมไม่เต็มไม่พร่องมาพูด อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๖ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรนั้นมีรัตนะ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๗ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของพวกสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆและสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ก็มีอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้น มีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐โยชน์ ก็มีอยู่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๘ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้แลธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้บ้างหรือ ฯ พ. ดูกรปหาราทะ ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้ ฯ ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่ ฯ สอนเป็นลำดับต้องสอนเร่ิมต้นที่ศีลไปสู่สมาธิและปัญญา พ. มี ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(พ่อครูว่า…น่าจะแก้เป็นโดยลัด จะถูกต้อง) ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(โดยลัด) นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ พ่อครูว่า…คำว่าฌาน เดี๋ยวนี้กลายเป็นเพ่งเข้าไปหยุดเป็นสมถะ ฌานของศาสนา เดียรถีย์ เป็นอย่างนี้มาตลอดแต่ไหนแต่ไร พระเจ้าจึงได้มาสอนพุทธคุณ 1 ใน 9 ก็คือจรณะ 15 วิชชา 8 ต้องมีการสังวรศีล อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วมี สัทธรรม 7 มีฌาน อีก 4 วิชชา 8 มีปัญญา เป็นความเฉลียวฉลาดความรู้ของพระพุทธเจ้าโดยตรง ช่วยให้เกิดความรู้อยู่ตลอดเวลากับกระบวนการจรณะ 15 ศาสนาพุทธเสื่อมจรณะ 15 หายไป ฌานก็ไปเอาฌานฤาษี ได้แต่นั่งเพ่งหลับตา ซึ่งก็ทำมาแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่เริ่มรู้กันเรื่อง ฌาน แล้ว พระพุทธเจ้า ท่านก็มาตรัสรู้ ฌาน ของท่านเป็นพลังงานเผาไม่ใช่พลังงานเย็น พลังงานดูด พลังงานเกาะ พลังงานแน่น พลังงานติดดับ เกาะตัวอยู่นิรันดร มันปฏิโสตัง ทวนกระแสจริงๆ ฌานของท่าน ปฏิโสตัง เป็นโลกุตระ ตรงกันข้ามกับการเกาะตัวจับตัวของจิต ฟังดีๆนะ ฌานวิสัยเป็น อจินไตย 1 ใน 4 เป็นเรื่องคิดเอาเองไม่ได้ ต้องผู้รู้ที่เป็นสัตบุรุษคือเป็นพระพุทธเจ้าคือผู้อยู่ในฐานะครู จะอธิบาย ฌานวิสัย พระพุทธเจ้าได้ อย่างโพธิรักษ์เป็นต้น ที่อธิบายกันอยู่ทั้งหลายแหล่ ขออภัย ต้องพูดความจริง ท่านอธิบายไม่ถูกกัน ฌาน พระพุทธเจ้านี้ ท่านอธิบายไม่ถูก ไม่ถูก ท่านจะอธิบายว่า ฌาน ลืมตามันก็เป็นเพียง สมถะ ไม่ใช่ฌาน ที่จะไปเจาะลึก เป็นลำดับ ลาดลุ่มเป็นลำดับ แยกเป็น ศีลข้อ 1 2 3 แยกเป็น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เรียนกันที่ไหน แยกกันได้อย่างไรก็ไม่รู้ความแตกต่างพิสดาร ก็เลยปฏิบัติกันมั่วๆ ปฏิบัติไม่ถูก ไม่ปฏิบัติศีลกันด้วย ยิ่งลัดตัดความโยนทิ้ง ไปเอาแต่สะกดจิต นี่คือความเสื่อมที่ชัดเจน เสื่อมหมดเลยศาสนาพุทธ เสื่อมกันจนเป็น เดียรถีย์ 100% ออกนอกศาสนาพุทธไปเต็มที่ ศาสนาพุทธไม่เหลือตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ อาณิสูตร ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระธรรม ท่านเทียบเป็นกลอง หรือตะโพน ที่เรียกว่ากลองอานกะ มีไม้ มีหนังกลอง มีเชือกรัด เป็นของกลองอานกะแต่เดิม ของพระพุทธเจ้าเดิม ต่อมาก็แตก ลิไป ก็หาไม้อื่นมาแทน หนังก็เอาหนังใหม่ ชื่ออานกะอย่างเก่า แต่กลองเป็นของใหม่หมดเลย อาตมาเกิดมาในยุคนี้ก็มาแก้ไข ที่จริงรู้ แต่ค่อยๆพูดค่อยๆแก้ไขมา ค่อยๆพยายามที่จะให้เปลี่ยนแปลงจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังยากอยู่ แต่ก็ยังมีคนมีดวงตาเห็นธรรมได้ อย่างสู่แดนธรรม เคยหลงไปทางโน้น แต่ตอนนี้เข้าใจทางนี้แล้ว มาปฏิบัติทางนี้ ก็เห็นยังบอกเพื่อนๆเลยว่ามาทางนี้เถอะ ทางนั้นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ อันนี้ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าตรัสเปรียบเทียบเอาไว้เหมือนกับโจรที่ฆ่าที่ทำลายศาสนา พระราชารู้จักว่าโจรที่ฆ่าทำลาย ก็บอกว่า จะปล่อยให้เป็นผู้ทำลายอยู่หรือ ไปฆ่าเสีย บอกเจ้าพนักงาน ให้เอาไปแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็น หมดหอกไปก็ไม่ตาย ในโลกเอกภพนี้จะมีโจรที่อยู่เป็นประจำนิรันดร คือโจรที่รู้จักวิญญาณ แยกภาวะ 2 ไม่ออก ไปอ่านดีๆในปุตตมังสสูตร ข้อที่ 4 มีรูปนามกับวิญญาณ ไม่รู้จักวิญญาณแนะแยกรูปนามไม่ออก ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท แยกเป็น 2 เทวะ แยกรูปกับนามไม่ได้ เท่านี้แหละคือสัมมาทิฏฐิ มันยังไม่มีสัมมาทิฏฐิก็ทำไม่ได้ แม้ชาวพุทธในเมืองไทยทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ อาตมาเขียนเรื่องปัญญา 8 พูดเกี่ยวพันถึงกาย เกี่ยวพันถึงเทวะ เกี่ยวพันถึงภาวะ 2 เกี่ยวพันถึงรูปนาม จะ 800 หน้าแล้วนะตอนนี้ ยังไม่ได้จบ ก็ว่าจะจบแต่มารีไร้ท์อีก ทั้งพูด ทั้งแทงด้วยหอก ทั้งเขียน สมณะเดินดิน… ความมหัศจรรย์ข้อที่ 1 ที่เขาพูดกันว่า สำนักสันติอโศกศึกษาเรื่องศีล จะไปศึกษาเรื่องสมาธิต้องไปธรรมกาย จะศึกษาเรื่องปัญญาต้องไปสวนโมกข์ ในฐานะที่ผมเป็นผู้ศึกษาปฏิบัติธรรมะ จะปฏิบัติเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย อาจารย์ที่สอนจะต้องลดอัตตา มานะ ถ้าไม่ลดอัตตา มานะ ก็จะสอนแต่เรื่องสูงๆ ไม่สอนเรื่องศีล ที่เขาถือว่าเป็นเรื่องต่ำ แต่จริงๆแล้วถ้าไม่เข้าใจความหมายอัศจรรย์นี้พอ แต่ก็มีคนชมพ่อครูว่า ท่านสอนต่ำๆแต่กระทำอย่างสูง แต่พวกที่สอนอย่างสูงนั้นกระทำอย่างต่ำ เช่น คนที่สอนธรรมะสูง แต่ก็ไปกินเบียร์อยู่ เป็นต้น พ่อครูว่า… พูดถึงอาจารย์ไสว แก้วสม สายท่านพุทธทาส สายปัญญา ซึ่งไม่ใช่ปัญญาแท้ สมณะเดินดิน… ถ้าจะงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย คนสอนต้องมีอัตตา หากมีอัตตาก็จะสอนแต่ภาษาสูงๆ ลูกศิษย์ก็จะคุยแต่ภาษาสูงๆ แต่พ่อครูมาเน้นเรื่องอบายมุขเรื่องของศีลก่อน แล้วคงไม่มีใครอธิบายเชื่อมโยงเป็นสมังคีธรรม ของศีล ของจรณะ 15 วิชชา 8 ชาวอโศกมีความมหัศจรรย์ได้ตามปหาราทสูตร พ่อครูว่า… เอาหลักธรรมสาราณียธรรม 6 มาอธิบาย แม้แต่คำว่าใจพอ มักน้อยกล้าจน อะไรบกพร่องก็ขัดเกลา สัลเลข ธูตะ จนขัดเกลาอาการต่างๆให้น่าเลื่อมใส ปาสาทิโก จน อปจยะ ไม่สะสมหมดตัวหมดตน แต่ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ยอดขยัน แต่ไม่ให้เสียสุขภาพ รู้จักพักรู้จักเพียร ขยันสร้างสรรค์ไปแล้วไม่เอาอะไรเป็นของตัวของตน อาศัยกินอยู่กับส่วนกลาง สบายๆ ผู้เข้าใจสัจธรรมอย่างนี้จริงๆและทำอย่างนี้ได้จริงๆพิสูจน์ได้มหัศจรรย์มาก นี่พวกนี้เป็นคนมหัศจรรย์ พอมาถึงคำว่ามหัศจรรย์ก็อยากจะชี้เข้าไปให้เห็นว่า นี่แหละคือคนมหัศจรรย์มีวรรณะ 9 แล้วอยู่กันอย่างสังคมมีสาราณียธรรม เกิดจริงเป็นจริงไหมในยุคใกล้กลียุค ขณะนี้ 2,500 กว่าปี ศาสนาพุทธผ่านมา เสื่อมสูญ อาตมามากอบกู้ตั้งแต่มันไม่มีจริง เหลือแต่คำว่าโลกุตระแต่เนื้อแท้โลกุตระไม่มี ขาวอโศกทำได้ แล้วนับวันจะทวีมากยิ่งขึ้นเพราะคนแสวงหาในโลก แสวงหาโลกุตระธรรมซึ่งยากไม่ง่าย แต่เขาก็จะได้ไปตามลำดับ เขาจะมีความเจริญ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าถึงวาระนั้น คนยอมรับนับถือแล้ว ก็ไม่ต้องอยากใหญ่อยากโตอะไร พูดถึงตรงนี้แล้วอาตมาเปิดอกพูดให้ฟังชัดๆเลยว่า ไอ้ความเป็นใหญ่นี้เป็นความหนัก พูดจริงๆ ไม่ได้เป็นคนรังเกียจ แต่มันเป็นภาระ ไม่ใช่เป็นคนรังเกียจภาระ งั้นก็กล้าอยู่ ไม่ต้องเอา เป็นสิริมหามายาเป็น dialectic เป็นคำสองคำย้อนแย้งกันในตัว ดีนะ มีภาษาฝรั่งคำว่า dialectic เป็น 2 อย่างที่ย้อนแย้งในตัว เป็นสัจจะไม่ใช่เรื่องมายาไม่ใช่เรื่องเล่นกล แต่เป็นเรื่องใช่ มันเป็นเรื่องที่ยากที่จะรู้ว่าแล้วใช่จริงๆนั่นมันอันไหนหน้าไหน หน้าที่ใช่น่ะ นี่แหละเป็นสัจจะที่ต้องมีภูมิปัญญาจริง มีภูมิธรรมรู้แจ้งรู้จริงอันนี้ เพราะฉะนั้นความซ้อนของภาษาสิริมหามายา มันเหมือนตลกๆและมันเหมือนมายากลเหมือนจะกลับกรอกกลับไปกลับมา แต่ไม่ใช่ ภาษาของสิริมหามายานั้นใช้หน้าไหน ด้านไหนหน้านั้นคือสัจจะมีหนึ่งเดียว ถ้าอาตมาพูดไปนี้ คนฟังแล้วเขาหัวเราะฟันร่วง ว่า อาตมาพูดผิดไม่เป็น คนก็ฟังนี่มันบ้าหลงตนเองอะไรนักหนา พูดผิดไม่เป็น ไม่ใช่พยายามแต่เป็นอัตโนมัติไปแล้ว พูดอะไรออกมามีแต่จริงหมดเลยไม่มีคำที่ไม่จริง นอกจากบางอารมณ์ที่จะเล่นรู้อยู่ว่าเราพูดเล่น พูดเล่นกับพวกเรา เล่นก็คือเล่น แต่ถ้าจริงมันพูดเล่นไม่ได้ เวลาอย่างนี้ไม่ได้พูดเล่น แต่บางครั้งจะสนุกแทรกไปบ้างนิดหน่อย เบาๆแทรก เป็นวิธีการศิลปะ ให้มันเบานิดนึงไม่เช่นนั้นมันจะหนักเกินไป ตีเข้าเป้า คนผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้ามีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 ชาวอโศกทำได้แล้วเป็นความมหัศจรรย์แล้ว แม้จะมีกลุ่มน้อย แต่ก็ขอยืนยันว่าเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องเล่นลิเก เล่นละคร หรือกดข่มทำ…ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องที่เขามาเอง มาอย่างจริงใจมาเห็นจริง ไม่เคยไปล่อลวงไม่เคยไปหว่านล้อม เขาเกิดปัญญาของเขาจริงๆ แล้วเขาก็เห็นว่า อย่างนี้นั่นใช่ เขามายังมีปัญญา คนที่มาอยู่กับชาวอโศกไม่มีคนถูกหลอก ทุกคนมีอิสระเสรีภาพมา ด้วยปัญญาของตัวเอง ปฏิภาณของตัวเองจริงๆเลย อาตมาจึงไม่ต้องกลัว อาตมาไม่กลัวคนไม่มีปัญญาจริงๆเดี๋ยวก็ถูกเด้งออกไป ก็มีเห็นอยู่เยอะแยะไป ออกไป มาไม่จริงไม่ใช่ของจริง มีออกไป ถึงขั้นมาบวชแล้วก็ยังออกไปเลย ออกไปเพราะฐานไม่ถึงก็ยังอยู่ ไอ้ที่ฐานไม่ถึงจริงๆ ไม่ใช่ ก็กระเด็นไปอยู่ข้างนอกแล้ว ตอนนี้ก็มีจริงๆ มีทุกระดับ เรื่องเหล่านี้เป็นสัจจะความจริงที่เกิดจริงเป็นจริงในมนุษยชาติและในสังคม ในยุคนี้ก็เห็นจริงในชาวอโศก ติดตามมาศึกษากัน อาตมาไม่กลัวเลยนะว่า ชาวอโศกจะไม่มีคนรู้จัก อาตมาไม่กลัวชาวอโศกจะไม่มีคนรู้จัก คนจะรู้จักในอนาคตมากขึ้น คนที่รู้จักชาวอโศกมากจริงๆ จะต้องยอมรับนับถือ เพราะฉะนั้นอาตมาไม่กลัวคนไม่ยอมรับจะไม่กลัวคนนับถือ เขาเห็นจริงเขายอมรับจริงเขานับถือจริง ของเขาเอง อาตมาไม่ได้ไปบังคับ ไปบอกเขาว่าให้เลิกนับถือ เลิกยอมรับ เขาก็ไม่เลิก เพราะเขาเชื่อตัวเขาเอง การที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่านี่เป็นความเชื่อของตัวเองไม่ได้เชื่อใคร นี่คือสุดยอดของอิสรเสรีภาพในศาสนาพุทธ อาตมาไม่ต้องการคนที่มาเชื่อเพราะว่าเราหลอกล่อ เราหว่านล้อมประเล้าประโลมมา ไม่ต้องการ คุณเชื่อคุณเชื่อของคุณเองคุณมา คุณมาของคุณเอง มาแล้วไล่ก็ไม่ไปด้วย นอกจากว่าคุณจะแย่จริงๆ ถึงจะไล่ไม่ไปก็ให้ตำรวจมาเอาออกไป เพราะมันไม่ไหวจริงๆ แต่ถ้าคุณยังไหวอยู่ไม่ไป ยังไงเขาก็ให้อยู่ ถ้าคุณไม่แย่จริงๆจนกระทั่งให้เอาตำรวจมาเอาออกไป นี่เป็นสัจจะจริงๆเลย สิ่งเหล่านี้จะปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อาตมาเองยังเผื่อพอ ยังไม่ยอมตายง่ายๆ เผื่อพอ จึงลากสังขาร ใช้คำว่าลากสังขารไปเรื่อยๆโดยที่ผู้อื่นก็ช่วยที่จะให้อาตมามีอายุสังขาร ต่อไปอีก เพราะเขาเห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ อาตมาก็เต็มใจที่จะเป็นอย่างนั้น และที่สำคัญคือพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า ถึงสภาพที่สร้างสัมประสิทธิ์ ที่จะต่ออายุขัย อันนี้แหละ สำคัญ ที่สร้างสภาวะ ต่ออายุขัย หมอก็ดี นักวิทยาศาสตร์ก็ดี ตั้งแต่จิ๋นซี พยายามหายาอายุวัฒนะ สูตรของพระพุทธเจ้านี่แหละ ต่อได้ ขยายได้ สูตรของผู้อื่นก็ไม่มีคุณสมบัติเท่าเทียม แต่ก็ได้ ก็ต้องมีตาย อย่างไรอย่างไรก็มีประมาณ 1 ซึ่งอาตมาตามอายุขัยนั้นตายไปแล้ว ตอนนี้ก็พยายามอยู่ต่อ ถ้าอาตมาอยู่ได้ต่ออายุขัยเกิน 72 ปี มาได้ถึง 36 + 72 เป็นเท่าไหร่ 108 ปี ถ้าอาตมาหยุดอายุขัยไปได้ถึง 108 จะเป็นปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ ถึง 3 นักษัตร 36 อีกชุดหนึ่ง อาตมาอายุขัยแค่ 3 มี 2 ชุด ชุดแรกเป็นฆราวาส 36 ปี มาเป็นนักบวชอีก 36 ปีก็เป็น 72 อาตมาต้องตาย แต่ว่าอาตมาพิสูจน์สัมประสิทธิ์ของพระพุทธเจ้า เลย 72 มาได้ตอนนี้ 88 ย่าง 87 ปี 6 เดือน พอดีวันที่ 5 ธันวาคม ของในหลวง ของอาตมา 5 มิถุนายน เกิดกันคนละครึ่งปี นี่ก็เป็นอจินไตยอันหนึ่ง วันนี้วันที่ 5 มกราคมเลยมา 6 เดือนแล้ว มาเป็นเดือนที่ 7 อีก 1 เดือน เป็น 87 ปี 7 เดือน แล้วก็จะพยายามอีกโดยการพิสูจน์ ไม่ใช่พิสูจน์เล่น เมื่อยนะ มันเมื่อย ต้องพยายามทุกอย่างที่จะต้องพยายามสร้าง องค์ประกอบของมัน ให้มันต่อไปได้เรื่อยๆ แต่เวลามันไม่ให้ต่อแล้ว สมณะเดินดิน… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin5 มกราคม 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650101_พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า วันขึ้นปีใหม่ งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดินNextNext post:1Хбет – веселье с эксклюзивами, VIP-программой и топ-бонусами!Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024