641231_พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า ส่งท้ายปีเก่า งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดิน สวดอภิธรรมส่งท้ายปีเก่าให้เข้าถึงนิพพาน
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1Kc0JjitT6ivEjl3ckx6LefM7AF8i0Opq9bkFRV5y9f8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/ae4DifaFTR/
และ https://youtu.be/cus88fqkSd0
สวดอภิธรรมส่งท้ายปีเก่าให้เข้าถึงนิพพาน
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
ปีเก่ากำลังจะผ่านไป โลกก็สมมุติขึ้นมาเก่าๆใหม่ๆมีคู่ สิ่งใดเกิดมามี 2 ถ้ามันไม่มีจิตวิญญาณมันก็ไม่รู้เรื่อง ดินน้ำไฟลม พลังงานสสารมันก็ต้องมีสองที่ร่วมกันสังเคราะห์สังขารกันไปด้วยกันมาด้วยกัน แยกกันรวมกัน แยกกันกับรวมกันก็เป็นสองเหมือนกัน ก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอดกาลนาน
ในโลกที่มีจิตวิญญาณขึ้นมาก็จะรู้ ไอ้ตัวที่มันเป็นสสารพลังงานมันไม่รู้ พลังงานมาเป็นบวกเป็นลบ คนก็เข้าใจมีจิตวิญญาณมาเรียนรู้ ดินน้ำลมไฟ มารวมกันเกาะตัวกัน ออกซิเจนเกาะตัวกันกับไฮโดรเจน เป็นธาตุน้ำ วิทยาศาสตร์ก็รู้ มันเป็นอากาศแท้ๆมารวมกันมันก็เป็นหยดน้ำ อาโปธาตุ อะไรต่ออะไรก็มารวมกลุ่มกัน
แต่ทีนี้มันกลายเป็นชีวะแล้ว อย่างเช่นพืชพวกนี้ ดอกไม้มันกลายเป็นชีวะ มันก็เลยไม่เหมือนดิน เพราะมันมีสังขารตัวมันเอง มันก็เลยเป็นพืช
พลังงานก็มีอะไรเป็นตัวธาตุอะไรผสมกัน กะหล่ำปลีมีธาตุอะไรผสมกันเป็นกะหล่ำปลี ดอกกุหลาบสีแดงๆเอามา 999 ดอก เขาร้องเพลงกัน มันก็มี มันก็รู้ของมัน มันก็เอาแต่ธาตุมาสังเคราะห์ตัวมันเองเป็นดอกกุหลาบอยู่อย่างนี้ ตามเชื้อของมัน กะหล่ำปลีก็เหมือนกัน
พอเกิดมาเป็นคนมีจิตวิญญาณมีธาตุรู้ ก็กำหนดรู้และเอามาใช้ ดีไม่ดีก็เอามาทำลาย ทำลายก็ยังไม่เท่าไหร่ เอามาทำร้ายทำเลว มันก็มีอย่างนี้ ภาษาสื่อเป็นภาษาไทยให้รู้สภาพที่คนมีกรรมกิริยา กระทำอย่างนั้นๆ มันควรหรือไม่ควร มันดีหรือมันชั่ว
ถ้าคนไม่มาศึกษามาสำเหนียกสำนึกบ้างเลย มันก็ทำไป อยากทำอะไรตามกิเลส อยากทำอย่างนี้ ชั่วดีไม่รู้ กูก็ทำ กรรมกิริยานี้ดี กรรมกิริยานี้ก็ไม่รู้ อยากทำชั่วเท่าไหร่ก็ทำทำเลวเท่าไหร่ก็ทำ ทำร้ายเท่าไหร่ก็ทำ มันก็เป็นคนที่ไม่เอาไหนเลย เกิดมาไม่รู้จักกรรมวิบาก ทำแต่กรรมชั่วตลอดชีวิต
เพราะฉะนั้น คนก็สอนกันมาแนะนำกัน พ่อแม่ก็สอนลูก พี่น้องสอนกันเพื่อนฝูงสอนกัน ครูบาอาจารย์สอนลูกศิษย์ไป เพื่อจะนำพากันไปสู่ที่เจริญ
คนที่นำพาคนอื่นไปสู่ที่เจริญได้ เรียกว่าเป็นครู ภาษาไทย ซึ่งก็เอามาจากภาษาบาลี ว่า คุรุ เรียกว่าเป็น ปุโรหิต เป็นผู้สอน เป็นผู้ให้ความรู้ต่อ จะได้พัฒนาขึ้นมา คนก็มีการก้าวหน้าพัฒนาขึ้นมา รักษาสภาพที่จะเป็นคนดี ทำดีไม่ทำชั่ว ทำดีไม่ทำชั่ว แต่เขาไม่ได้เรียนรู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน
ศาสนาเทวนิยมก็รู้แต่ดีกับชั่วเป็นโลกียะ ทำแต่ดีไม่ทำชั่ว มันก็ดีระดับหนึ่งโลกียะ เทวนิยมทั้งหลายแหล่ก็รู้กันแค่นี้ เพราะไม่สามารถหยั่งเข้าไปรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่รู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของการเคลื่อนไหว ของจิตของวิญญาณ จิตใจของคนของตัวเอง ไม่รู้จักการเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวไปอย่างนั้นอย่างนี้ เคลื่อนไหวก็มีอาการอย่างนั้นอย่างนี้
เด็กๆฟังรู้เรื่องไหม ใจของเรามันมีอาการ มันเป็นอาการร้ายๆ อาการดีๆ อาการแรงๆ อาการเบาๆ อาการดีเป็นอย่างไร อาการชั่วหรืออาการเลวอาการร้ายเป็นอย่างไร รู้ตัวไหมเด็กๆรู้ตัวไหม อ่านออกไหมจิตใจ …ออก ออกบ้างไม่ออกบ้าง ซึ่งก็รู้ทุกตัวไม่ได้หรอกมันไม่ทัน
เพราะฉะนั้นเรารู้ตัวทัน อ่านอาการจิตของเรารู้ตัวทัน อาการตอนนี้เป็นอาการไม่ดีนะ อาการมันชั่ว อาการเลวๆ เอ๊..อย่างนี้มันไม่ดีนะ นี่แหละคือปรมัตถ์หรืออภิธรรมของพระพุทธเจ้า
ไอ้ที่เขาสวดพระอภิธรรมกันยันรุ่งอะไรก็แล้วแต่ เขาก็ได้แต่สวดตัวหนังสือ เขาไม่ได้เข้ามาเรียนรู้ความจริงรู้ใจเราเองว่ามีอาการอย่างไร เราอ่านใจเราว่าอาการมันเป็นอย่างนี้ อาการมันเปลี่ยนไป เปลี่ยนได้ไหม..
บางทีมันไม่ยอมเปลี่ยน มันจะทำอย่างนี้แม้ว่ามันชั่วนะ รู้ว่ามันชั่วมันไม่ดี แต่มันไม่ยอมเปลี่ยน มันจะเอาให้ได้จะทำอย่างนี้แหละ ไอ้นี่ก็ดื้อดึงดันมาก เป็นคนดื้อดึงดันมาก แก้ยาก
แต่ถ้าคนธรรมดาสามัญไม่ดื้อดึงดันขนาดนั้นถ้ารู้ว่ามันชั่ว ก็จะไม่ทำ อย่าทำ อันนี้แหละคือสุดยอดอภิธรรม สุดยอดปรมัตถ์การศึกษาธรรมะ นี่แหละเรียนรู้ตรงนี้
ฟังดูชัดเจนไหมเข้าใจไหม ใครฟังแล้วไม่เข้าใจผู้ใหญ่ด้วยเด็กด้วย ยกมือ นี่แหละคือความจริงอภิธรรมแท้เลย.. แล้วแก้ไขปรับปรุง
มันมีความจำ มันมีความติดยึด เรียกด้วยศัพท์วิชาการว่าอุปาทาน มันมีความจำอย่างนี้ จำจนกระทั่งไม่ต้องจำมันติดเลย ติดตัวเองเลยเป็นอุปาทาน ยึดอยู่อย่างนั้น มันก็ทำเป็นอัตโนมัติเลยนะ ก็ต้องรู้ให้ทันว่า อาการของใจเราเป็นอย่างนี้ทำอย่างนี้อยู่เรื่อยเลยเป็นอัตโนมัติ รู้ให้ทัน ว่า เอ็งทำชั่วนะ อาการอย่างนี้ของตนเองเป็นอาการชั่ว จิตใจเราเอง
ผู้ที่ 1 อ่านอาการอย่างนี้ของตนเองได้เรียกว่าเป็นผู้รู้ สักกะและแยกออกว่าอาการอย่างนี้คืออาการชั่วไม่ใช่อาการดีเรียกว่ารู้กาย
ผู้ที่รู้อาการของตัวเองเกิดปั๊บแล้วก็แยกออกว่ามันดีหรือชั่ว ผู้นั้นรู้ สักกายะ พระพุทธเจ้าสอนสังโยชน์ข้อที่ 1 ให้พ้น สักกายทิฏฐิ
ทิฏฐิ แปลว่าความเห็น มีภาษาวิชาการอีกคำหนึ่งคือ ปัสสติ ซึ่งแปลว่าเห็นความเห็น ปัสสติ ไม่ใช่ความเห็นไม่ใช่นามธรรม แต่เป็นตัวคำนามเลย ปัสสติเป็นตัวสำเร็จรูปของตากระทบรูป หูกระทบเสียง ภาษาเรียกว่าเห็น ปัสสติ คือการได้ยินเสียง ปัสสติ คือตากระทบรูป ปัสสติ คือหูกระทบเสียง ปัสสติ คือ จมูกได้รับกลิ่น ปัสสติ คือลิ้นแตะรับรส โผฏฐัพพะ เย็นร้อนอ่อนแข็งสัมผัสทั่วสรรพางค์กายกระทบกันแล้วเกิดสภาพรับรู้ ผู้ที่เข้าใจเรียกว่าพ้นสักกายทิฏฐิ
ที่อาตมาอธิบายขยายความเรียกว่า อุเทส ให้ฟังว่าอาการอย่างนี้มีลักษณะต่างกันเรียกว่า ลิงคะ แล้วคุณก็กำหนดอาการนั้น กำหนดเครื่องหมายอาการของจิตนั้นซึ่งมันเป็นนามธรรม กำหนดเป็นนิมิต นิมิตมันตัวนี้หมายถึงอย่างนี้
เราสามารถเห็นจริงไม่รู้สึกสามารถสัมผัสอาการนั้นเรียกว่า ปัสสติ ฟังที่อาตมาเข้าใจเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่เข้าใจยังไม่รู้ก็เรียกว่ามิจฉาชีพ รู้ก็เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
รู้เฉยๆ ทิฏฐิ แต่ไม่ได้สัมผัสจริงไม่ได้อ่านจริงไม่ได้รู้สึกจริงไม่ได้กระทบจริงไม่ได้มีเหตุปัจจัยของรูปนาม แล้วเห็นเป็นปัสสติจริงๆได้ยินจริงๆได้กลิ่นจริงๆได้รสจริงๆ กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งจริงๆ ถ้ายังไม่เกิดยังไม่มี ปัสสติ เกิดแล้วก็มี ปัสสติ นี่เป็นรายละเอียดของอภิธรรม
ทุกวันนี้เรียนรู้กันแต่ภาษา พวกหนึ่งเรียนรู้ภาษาอภิธรรมเยอะแยะ แล้วเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติอย่างนี้ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่เรียนแล้ว อภิธรรม นั่งหลับตาตะพึด นั่งหลับตาไป หลับตาแล้วจะไปนิพพานหลับตาแล้วก็จะดับ มันก็ดับสัญญา ดับเวทนา ดับความรับรู้ ภาษาไทยก็คือ ความรับรู้ความรู้สึก เวทนาความรู้สึก กำหนดรับรู้คือสัญญา แต่ไปดับสัญญา ดับเวทนา ดับอาการนั้นในจิตของตนเอง มันก็ทำให้ตัวเองโง่ลงๆ หรือโง่ขึ้นๆ โง่หนักก็แล้วกัน มันโง่หนักขึ้น มากเข้าทุกที นี่เขาก็ทำอยู่อย่างนี้อย่างงมงายน่าสงสาร ศึกษาธรรมะกันทุกวันนี้ พวกนั่งหลับตาเป็นโมฆะทั้งนั้น
แหม.. วันนี้วันสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไม่ละเว้นเลยนะนี่ว่าเขา การตำหนิมันละเว้นไม่ได้หรอก การตำหนิมันเป็นเรื่องเจริญ ถ้าไม่มีการตำหนิหรือคนไม่มีปัญญาจะตำหนิเขา ที่นั่นที่ใดไม่มีผู้มีปัญญาที่จะตำหนิคนได้ ที่นั่นไม่ใช่ที่เจริญ ที่ที่มีคนตำหนิคนได้และตำหนิได้ถูกต้องตามสิ่งที่ควรตำหนิด้วย ที่นั่นเจริญ รู้ไหมว่าสังคมนั้นเป็นสังคมที่ไหน …ที่อโศก!(เสียงตอบจากญาติธรรม) โอ้ ทำไมฉลาดจังรู้ความจริงตามความเป็นจริง
อ้าว เรื่องจริงนะ พวกชาวอโศกเราอาตมาเป็นผู้นำพาเอาโลกุตระธรรม
เอาปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า มาอธิบายมาอุเทศ หรือนิเทศบ้าง อธิบายขยายความอย่างสั้นอย่างยาวไปเรื่อยๆ แล้วพวกเราก็ได้รับฟัง ขยายเป็นภาษาไทยเรียกว่าเป็นภาษาถิ่น ภาษาปากภาษาพ่อภาษาแม่ Mother tongue ภาษาพ่อภาษาแม่ภาษาฝรั่งเรียกว่า mother tongue
อย่าง ด.ญ.น้ำตาล(น้ำธารธรรม) ก็ต้องรู้ภาษาฝรั่งมาก่อน แม่เป็นคนไทย แต่ก่อนมาอยู่ที่นี่ไม่รู้ภาษาไทยเลยนะ เพราะอยู่ที่ต่างประเทศแม่ก็พูดแต่ภาษาฝรั่งก็เลยไม่รู้ พอมาอยู่ที่นี่ก็รู้ ได้อีก 2 ภาษานอกจากภาษาไทยแล้วได้ภาษาลาว(อีสาน)อีกนะ
คนเราก็ใช้อาศัยภาษานี้สื่อ สัตว์เดรัจฉานมันมีภาษาเหมือนกันแต่ภาษามันน้อยไม่เหมือนคน มันก็ส่งเสียงกันรู้กันนิดๆหน่อยๆที่มันรู้ อย่างนั้นอย่างนี้มันก็รู้กันมันก็เข้าใจกัน ตามประสา
ประสา คำนี้ก็คือภาษานั่นแหละมันก่อนและเพี้ยนมาจากคำว่าภาษา ตามประสา ตามที่สื่อภาษา แล้วก็รู้ตามสิ่งที่สื่อตามประสา ตามภาษาตามประสา แล้วเราก็เข้าใจกันได้
อาตมาเกิดมาชาตินี้ได้ภาษาที่จะสื่อมาเป็นภาษาไทยกับภาษาอีสาน อย่างเก่งนะได้ตั้ง 2 ภาษา ลาวที่อีสานพูด เหมือนกับที่ประเทศลาวพูดจริงๆ อาจจะมีบางคำที่ไม่เหมือนกันสำเนียงไม่เหมือนกันนิดหน่อย นอกนั้นก็สื่อเหมือนกันหมด เพราะดินแดนเดียวกันแบ่งเขตกันไปแบ่งเขตกันมา
เอกพีชี สกิทาคามี สยังอภิญญา อภิภู สยัมภู
เราได้เรียนรู้ความจริงเกิดมาในชาติหนึ่งชาติหนึ่ง ได้มาเรียนรู้สิ่งประเสริฐที่สุด ที่อาตมาพยายามพูดคำว่า
“ความว่า” พระพุทธเจ้านี้เกิดเป็นคนเหมือนเรา เหมือนกันทุกคน พระพุทธเจ้าเกิดเป็นคนเหมือนกับเราทุกคน เสร็จแล้วท่านเห็นความสำคัญของมนุษยชาติ ของชีวิตทั้งชีวิต ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้สิ่งที่ดีที่สุด สูงที่สุดสำคัญที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดตรัสรู้ความรู้ธรรมะโลกุตระ
เสร็จแล้วชาติสุดท้ายท่านมีหมดทุกอย่างที่โลกเขาจะมี แผ่นดิน ตำแหน่ง ยศศักดิ์หน้าที่ อำนาจต่างๆ ทรัพย์ศฤงคารมีหมด ท่านก็ไม่เอา จากใส่รองเท้าทองก็ทิ้งรองเท้าทองมาเดินพระบาทเปล่า เสื้อผ้าหน้าแพรเครื่องทรงที่เคยหรูหรา ถอดออกหมด นุ่งผ้าบังสุกุลห่มผ้าบังสุกุลแทน แล้วก็ทำงาน เผยแพร่โลกุตรธรรมตลอดพระชนม์ชีพ
เพราะฉะนั้นธรรมะนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะโลกุตรธรรม ที่คนคนหนึ่งที่ชื่อว่าพระพุทธเจ้าใช้เวลาตลอดพระชนม์ชีพมาจนกระทั่งถึงชาติสุดท้ายสำเร็จสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า ก็อยู่กับสิ่งที่สำคัญที่สุดไปจนกว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ปรินิพพานไปแล้ว หายไปแล้วพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อสุดท้าย
ท่านก็บอกว่าเธอจะเห็นกายเราในขณะที่เรายังมีชีวิต เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว กายเราก็จะไม่มีแล้วเหมือนพวงมะม่วงตัดขั้ว ตกลงมาสู่พื้นแตกกระจาย พวงมะม่วงมันก็หายไปไม่มีอีกแล้ว ไม่รวมตัวติดกันอีกแล้ว ก็หมายความว่าธาตุรู้ที่เป็นธาตุจิตวิญญาณของพระองค์ แยกเป็นดินน้ำไฟลมไปหมดแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลม กระจาย ไม่รวมตัวกันติดอีกเลย หมดพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็หายไปแล้วจบ ธาตุหรืออัตตาของท่าน ที่จะจับตัวกันอีกแล้ว หมุนเวียนตายเกิดเกิดตายชาติแล้วชาติเล่า
ซึ่งความตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้านี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางชีวะ ทางจิตวิทยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเราเอาชีวิตวันนี้ ตั้งแต่เรารู้มาจนกระทั่งถึงวันนี้ แล้วเราก็เอาชีวิตมาเรียนสิ่งนี้ ประพฤติสิ่งนี้ ให้ได้รับประโยชน์ได้รับผลของความจริงความรู้และความจริง ปฏิบัติให้เกิดความจริงได้จนถึงเท่าที่เราได้แต่ละคนๆ
คุณทุกคนที่มาทำ ได้มากหรือน้อยในเวลาสั้นหรือยาวก็แล้วแต่ เห็นจริงว่าสิ่งนี้ดีที่สุดแล้ว คนนั้นมีความเห็นเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ว่าไม่มีอะไรหรอก เกิดมากี่ชาติกี่ชาติก็อันนี้แหละดีที่สุด แม้คุณจะไม่มีภูมิเป็นระดับโพธิสัตว์ มีภูมิในระดับกัลยาณชนนี่แหละ แล้วก็เป็นอาริยชน เป็นคนที่มีโลกุตรธรรมรู้โลกุตรธรรม แล้วก็ได้ประพฤติแก่ตัวเองนี้ คุณมีความเห็นความเข้าใจเท่ากันกับของพระพุทธเจ้า ยิ่งใหญ่นะ ยิ่งใหญ่ อภิภูเลยนะ
อภิภู แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ เพราะมีความรู้จุดสำคัญจุดเดียวกันกับของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นเรื่องพูดตลกพูดเทียบเคียงเล่น แต่เป็นเรื่องจริงความจริงที่ย้ำให้ฟัง
เพราะฉะนั้นพวกเราเกิดมาในชาตินี้ไปเสียเวลาอยู่ทางโลกบ้าง พอมาเจอทางนี้ก็มาเอาทางนี้ พวกคุณไม่เสียชาติเกิดแล้ว แต่พวกที่เสียเวลาไป ล่าลาภยศสรรเสริญ ติดลาภ ยศ สรรเสริญ พวกข้างนอกที่ไม่เอาทางนี้ยังเสียชาติเกิดอยู่อีกนาน
คำว่า “เสียชาติเกิด” คำนี้มันหมายถึงขั้น ยังไม่เป็นพระโสดาบัน แต่พวกคุณนี้เป็นโสดาบันขึ้นไปแล้ว ไม่เสียชาติเกิดแล้ว เกิดชาติหน้าต้องมาเป็นโลกุตระบุคคล โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
ถ้าเป็นโสดาบันขั้นต้น แย่ที่สุดคุณเกิดมาอีกที 7 ชาติ เรียกว่าโสดาบันขี้กะโล้โท้ เกิดอีก 7 ชาติก็ได้บรรลุธรรม ถ้าเก่งขึ้นมากกว่านั้นก็เป็นโกลังโกละ 6 ชาติบ้างห้าชาติบ้าง 4 ชาติบ้างสามชาติบ้างสองชาติบ้าง
ถ้าเกิดมาชาติเดียวบรรลุอรหันต์เลย เรียกว่า เอกพีชี ชาติเดียว
มันมีคำอยู่ 2 คำ คำหนึ่งว่าเกิดชาติเดียวเหมือนกันคือ สกิทาคามี
สกิทาคามี กับ เอกพีชี แปลว่าเกิดมาอีกชาติเดียวมันต่างกันอย่างไร
คำว่าเอกพีชีคือ โสดาบัน
ส่วน สกิทาคามีคือพ้นจากความเป็นโสดาบันแล้ว อย่างไรอย่างไรเกิดมาก็จะเป็นสกิทาคามี แต่โสดาบันนั้นเกิดมาอย่างไรก็เป็นโสดาบัน แต่โสดาบันคนนี้ สามารถเรียนตรงเรียนเต็ม ชาตินี้ชาติเดียวสามารถบรรลุอรหันต์ได้เลย อาจจะมีภูมิเก่ามีบารมีเก่า หรืออาจจะบารมีเก่าไม่พอ แต่มาทำเอาใหม่นี้บารมีใหม่ ขยันพากเพียร เออ ชาตินี้ชาติเดียวได้เป็นอรหันต์เป็น เอกพีชี
เห็นความ ต่างกันไหม เอกพีชีกับ สกิทาคามี ฟังแล้วเข้าใจไหมเข้าใจนะมีคนตัวเองในของตัวเองข้ามชาติภาษาอังกฤษภิญญาพัชญ์สะสมความเป็นธรรม
รายละเอียดพวกนี้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขั้นสยังอภิญญา
สยังอภิญญา หมายความว่ารู้ข้ามชาติได้ มีของตัวเองในตัวเองข้ามชาติมาได้เรื่อยๆ สยังอภิญญา
สยังอภิญญา ก็สั่งสมความ อภิภู สั่งสมความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ อภิภู แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ สะสม ให้เป็นผู้เจริญขึ้นๆ ยิ่งใหญ่จนเป็น สยัมภู คือเป็นพระพุทธเจ้าเลย
จาก สยังอภิญญา มาเป็นอภิภู แล้ว ไปเป็นสยัมภู
เพราะฉะนั้นคำว่า อภิภู นี่ จึงหมายถึงคน อาริยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่สำคัญเลยทีเดียว มีภูมิธรรมชั้นสูงทันที
แม้ว่าเกิดมาในชาติไหนก็ตาม ถ้ามีคุณธรรมขั้นอภิภูมาด้วย คนนั้นก็เป็นอภิภู มาแต่
ชาติก่อนๆ เป็นสยังอภิญญาที่มีคุณธรรมถึงขั้นอภิภูมาก่อนเลย
อาตมาอยู่ในขั้น 7 เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ได้มีอภิภูติดตัวมาแต่ต้น อภิภูมาค่อยๆเติมตามหลังมา มันมีเก่าก็ได้ แต่ตัวเองระลึกเอามาใช้ในปัจจุบันยังไม่ได้ ก็ดึงขึ้นมา จนกระทั่งเอามาใช้ได้
อย่างอาตมานี้ เพิ่งมาพูดถึงอภิภู ปีนี้เอง บรรยายธรรมะมา 51 ปี ไม่ได้บรรยาย อภิภู เพิ่งมาอธิบายปีนี้เอง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
อาตมาถึงบอกว่า อภิภู พวกเราได้ฟังเป็นกุศลของหูมากเลยนะ ฟังไปก่อน
_ฝั่งบุญ… ถามเรื่องเอกพีชีต่างจากสกทาคามีอย่างไร เพราะฟังไม่ทัน
พ่อครูว่า… สกทาคามี อย่างไรๆ คุณเกิดมาจากชาตินี้ ชาตินี้คุณมีภูมิธรรมเต็ม โสดาบัน เกิดชาติหน้าอย่างไรคุณก็เป็นสกิทาคามีแน่นอน แต่เอกพีชี ยังไม่ถึงขั้นสกิทาคามีหรอก เกิดชาติหน้าก็ยังเป็นโสดา แต่สามารถทำให้ตนเอง เป็นอรหันต์ได้ในชาตินั้น เหมือนกันกับสกิทาคามี
ไม่ใช่อรหันต์ก็เป็นอนาคามีขึ้นไป อนาคามีหมายความว่า คนที่ตายจากร่างกายที่ต้องใช้อาศัยดินน้ำไฟลมนี้ แล้วก็มีธาตุนามธรรมของเราเข้ามาร่วม เป็นกาย กายนี้ต้องเป็น 2 มีทั้งจิตทั้งร่าง ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อมจนกระทั่งในเมืองไทยภาษาไทยเรียกว่ากาย แต่เข้าใจเพียงแต่ว่าเป็นร่างเป็นสรีระไม่มีนามไปร่วมด้วย นี่แหละคือมิจฉาทิฏฐิ ไปไม่รอด ศึกษาธรรมะให้ตายอย่างไรก็ไม่บรรลุธรรม
อย่างพวกหลับตานี้ทิ้งกายภายนอกเลย จึงเป็นโมฆะบุรุษ เป็นพวกโง่งมงายดักดานเลยจะไม่มีสิทธิ์ได้บรรลุอรหันต์ เพราะว่าทิ้งกายทิ้งส่วนนอก
เมื่อทิ้งกายทิ้งส่วนนอกแล้ว มันเป็นเหมือนคนพิการแล้ว มีแต่จิตพิการ จิตไม่มีกาย คือจิตพิการ สำหรับคนที่เป็นคน เพราะเป็นคนต้องมีทั้งร่างภายนอกต้องมีธาตุรู้รับรู้ภายนอกอยู่ ถ้าไม่รู้มันก็ไม่ครบแต่ภายในแล้วหลงผิดอีกว่าไปตรัสรู้อยู่แต่ภายในข้างนอกไม่ต้องเกี่ยวเลยอย่าไปรับรู้ อย่างพวกที่สอนหลับตากันหลงผิดหนักๆ บอกว่าอย่าให้จิตส่งออกนอกจิตต้องอยู่แต่ข้างในข้างใน มันก็เลยยิ่งโง่งมงายหนักเข้าไปใหญ่เลย ไม่มีวันที่จะบรรลุเลย แล้วเขาก็หลงว่านั่นแหละคือสิ่งที่ถูกต้อง แล้วเขาก็ดับได้ด้วยนะ ดับเขาก็ว่านั่นแหละคือนิโรธนิพพาน ดับไม่รับรู้อะไรเลย ดับเวทนา สัญญาเป็นอสัญญีสัตว์ ไม่กำหนดรู้สัญญากำหนดรู้อะไรเลย
พวกนี้ก็น่าสงสารมากเลย เพราะว่าไม่รู้จะช่วยเขาได้อย่างไร เพราะเขาไปยึดมั่นถือมั่นอย่างโน้นตามครูบาอาจารย์ของเขาไป แล้วเขาก็ไม่เชื่อถือโพธิรักษ์ด้วย โพธิรักษ์มาพูดอะไรพวกนี้ก็บอกว่านอกรีตนอกเรื่องนอกราว เถรสมาคม อัปเปหิออกมาแล้ว คนก็เชื่อเถรสมาคม ทั้งๆที่เถรสมาคมนั่นแหละคือโมฆะจากศาสนาพุทธ ..เขาก็ต้องเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ อาตมานี้พูดความจริงเท่านั้นไม่ใช่ไปดูถูกดูแคลนอะไรเขาหรอก
แต่เขาก็เป็นจริงอย่างนั้นเขาจะเข้าใจเขาจะสำนึกศึกษาดูให้ดีๆก็แล้วแต่คนมีปฏิภาณไหวพริบ ถ้ารู้ว่าที่อาตมาพูดนี้ถูกต้อง เขาเองที่งมงายอยู่กับความผิดเขาก็แก้ไขเขาก็เจริญ แต่ถ้าเขาฟังแล้วเขาก็ยังยึดถืออย่างผิดๆของเขานั่นแหละมันก็ไม่เจริญ ทำไงได้คนก็ช่วยกันไม่ได้ของใครของมัน
พวกเราจึงเป็นพวกที่โชคดีมาก อาตมาบรรยายธรรมะตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งถึงตอนนี้ 07.13 น. เหลืออีก 44 นาทีก็หมดเวลา
ขั้นอภิภู เป็นคุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ อย่างอาตมา สยังอภิญญา เรียนรู้ไป อภิภู คนเราก็เรียนรู้เอาไว้คุย ไม่ได้ว่าหรอกพูดความจริง ไม่ได้ว่าอะไร
อภิภู ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีคุณสมบัติติดตัวแล้ว คุณสมบัติติดตัวนั้นคืออะไร คือ เป็นกายแล้ว แต่ในอภิภายตนะ 8 ข้อที่ 1 ไม่มีคำว่า กายในพยัญชนะอภิภายตนะ 8 แต่มีธรรมะ มีสัจจะของความเป็น กาย อยู่ในนั้น
_พระไตรปิฎกเล่ม 10
ข้อ ๑๐๐ ดูกรอานนท์ อภิภายตนะ ๘ ประการ เหล่านี้แล ๘ ประการเป็นไฉน คือ
ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กซึ่งมีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่หนึ่ง ฯ
พ่อครูว่า… รูปภายในกับรูปภายนอก กำหนดรู้กาย ได้พร้อมกันเลย กาย ต้องมีภายนอกและภายในเสมอ
_ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ ซึ่งมีผิวพรรณดี และมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้วมีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่สอง ฯ
ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็ก(ปริตตัง) ซึ่งมีผิวพรรณดี และมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่สาม ฯ
ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่(อัปปมาณา) ซึ่งมีผิวพรรณ ดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่สี่ ฯ
พ่อครูว่า… ในอภิภายตนะ ข้อต่างๆจะรู้ลงไปในรายละเอียดต่างๆ ตั้งแต่ขนาด จนถึงกระทั่งสีสัน
สู่แดนธรรม… อธิบายอภิภายตนะ เผื่อเด็กๆให้เข้าใจง่ายขึ้น
พ่อครูว่า… ขอขยายอภิภายตนะ คือ อภิภู+อายตนะ
อายตนะคือสภาพ 2 สภาพ 2 ของการกระทบกัน ตาอาตมากระทบกะหล่ำปลี อย่างนี้เป็นต้นก็เรียกว่าอายตนะ ถ้าไม่กระทบอะไรมันก็ไม่มีสภาพสะพานเชื่อม เมื่อมีตากระทบอันนี้ก็มีสะพานเชื่อมเรียกว่าอายตนะ ขยายแปลตรงนี้ให้ฟังนิดหน่อย
พวกเรานี้ได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญที่สุดเท่ากับ กับที่พระพุทธเจ้าหรือว่าอันนี้สำคัญที่สุดในชีวิต สุดท้ายเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วก็ทำในสิ่งที่ทำมาตลอดพระชนม์ชีพจนกระทั่งปรินิพพานหายไปเลยเป็นปริโยสานหายไปเลยในชาติสุดท้าย ท่านก็มาทำงานที่ยอดเยี่ยมที่สุด ที่ได้ค้นหามาตลอดไม่รู้กี่ ล้านๆๆปี พวกเราก็เหมือนกัน ก็สบาย พระพุทธเจ้าท่านค้นพบจุดสำคัญมาก่อนมาออกมาบอกเราเลยลัด ไม่ต้องไปตามเสียเวลาค้นคว้ากว่าจะเป็นพระพุทธเจ้ารู้เท่ากัน
เพราะว่าพระพุทธเจ้าค้นพบนั้นในสิ่งที่ไม่มีใครรู้ได้แล้ว ท่านต้องมาเป็นผู้รู้คนแรกในเรื่องสุดท้ายอันนี้ ตอนนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก่อนเอามาประกาศเอาไว้ เมื่อประกาศเอาไว้พวกเราก็ได้รับทราบ เราก็ลัดเราก็สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ไม่ต้องเสียเวลานานเท่ากับพระพุทธเจ้า
หรือว่าเราเองบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วสามารถจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายแล้วเลิกไปเลย เป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ แต่คุณจะยังไม่ยอมตายจะเกิดอีก มาเป็นโพธิสัตว์ต่อ เป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ เป็น นิยตโพธิสัตว์ต่อไม่มีใครห้ามทำได้ จะไปปรินิพพานเป็นปริโยสานตอนไหนก็ได้ ตอนจบพระอรหันต์แล้ว ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าแต่ต่อไป ไปๆมาๆก็บอกว่าไม่ไหวแล้วรีไทร์กลางทาง เลิก ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้เป็นสิทธิของเรา แล้วก็เลิกไปเยอะ ไปไม่ถึงที่หมายไปไม่ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าเยอะไม่ใช่น้อย ที่ตั้งไปนั้น 100 จะได้สัก 5 ก็ยาก ตั้งเป็นโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้า 100 คนจะได้สัก 5 ก็ยาก อาตมาก็ไม่รู้จำนวนประมาณตรงนี้ท่านเคยตรัสไว้ไหมพระพุทธเจ้า อาตมาก็ใช้ปฏิภาณไหวพริบพูดไป น่าจะมีพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้บ้างตรงนี้
100 คนที่ตั้งปณิธานจะเป็นพระพุทธเจ้า สุดท้ายรีไทร์ออกไปเสียมากจะได้เป็นพระพุทธเจ้าสัก 5 ไม่รู้ว่ามีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ไหม แต่ไม่เป็นปัญหาหรอก
สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยพูดไว้ว่าพระโพธิสัตว์เพื่อนๆกันรีไทร์ไปเยอะแล้ว
พ่อครูว่า… ขนาดเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ยังรีไทร์ไป จริงๆแล้วระดับ 7 ไม่ได้หมายความว่ารีไทร์ไม่ได้ ระดับ 7 หมายความว่ามีสิทธิ์ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า สอบเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าได้แล้ว ระดับ 5 ระดับ 6 ก็ยัง ยังไปเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังไม่ได้เป็นอุดมศึกษา ระดับ 7 ขึ้นไปถึงจะเป็นอุดมศึกษา สามารถเข้ามหาวิทยาลัยเป็นพุทธเจ้าได้ ถ้าต่ำกว่านั้น อนิยตโพธิสัตว์ ฟอนุโพธิสัตว์ไม่ได้
เป็นสิ่งที่พระสมณโคดมไม่ได้อธิบายไว้เท่าไหร่ เพราะท่านสอนจบอรหันต์เท่านั้น ท่านไม่เกี่ยวกับโพธิสัตว์ ท่านสอนใบไม้กำมือเดียว หมายความว่าสอนให้เรียนรู้จบอรหันต์เท่านั้น ให้รู้กิเลส จิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วก็ดับกิเลสให้แก่ตนเอง ไม่ต้องไปรู้กว้างรู้มากเหมือนอย่างที่อาตมาอธิบาย พระพุทธเจ้าท่านสอนอรหันต์ไว้แล้ว อาตมาจะจำเป็นไปสอนทำไม ก็พระพุทธเจ้าท่านสอนไปแล้วอาตมาก็มาสอนต่อโพธิสัตว์ ไม่ใช่ว่าอาตมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้า แต่อาตมาจะไปซ้ำซ้อนทำไม ก็สอนด้วยแต่พระพุทธเจ้าท่านปูทางไว้แล้ว คนไม่รู้ก็รู้ตามมาตามมา แต่ถ้าคนรู้แล้วก็มาเรียนโพธิสัตว์ต่อเหมือนอย่างอาตมา เป็นขั้นๆ
สู่แดนธรรม… สอนอรหันต์ เหมือนกับวันสิ้นปีเก่า โพธิสัตว์เหมือนวันขึ้นปีใหม่
คนที่แพ้ไม่เป็นก็เป็นคนเดรัจฉาน
พ่อครูว่า… พูดถึงเรื่องพวกเรา พวกเรานี้เป็นคนมหัศจรรย์ เป็นคนมหัศจรรย์ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดเรื่องจริงพูดความจริง เป็นคนมหัศจรรย์
มหัศจรรย์ตรงไหน แค่ไม่ฆ่าสัตว์ ก็เป็นคนมหัศจรรย์แล้ว
คนไม่ฆ่าสัตว์หมายถึงว่า ไม่ฆ่าคนด้วยนะ อันนี้แหละสำคัญ คน คนนี้แหละอย่างไรๆก็ไม่ฆ่าคน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ฆ่าสัตว์ โดยเฉพาะไม่กล้าใครไม่ฆ่าคน คนอื่นมาฆ่าเรา เราก็ยังยอม คนนี้แหละคือคนมหัศจรรย์
คนใดที่ยังฆ่าเขาตอบ ทำร้ายเขาตอบ คนนั้นยังไม่ใช่คนมหัศจรรย์
คนที่เขาทำร้ายเรามันจะเป็นอยู่ 2 อย่าง
-
ไม่มีทางสู้ สู้เขาไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้เขาทำร้าย
-
คนมีทางสู้และสู้ได้ด้วย แต่ไม่ยอมทำเขา ยอมแพ้เขา นี่คือคนไม่มีตัวตน คนที่ยอมแพ้เขาคือคนไม่มีอัตตาไม่มีตัวตน