641222_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อภิภู คือผู้นำพาคน ไปสู่ความจนอันประเสริฐ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1ieKnBjIgE2fnza2NT07jiPbPXcMNiU-gaSsz-dA2WfI/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Qfz9SGiQs-Bm7W60Q8UHAmijyicK8DDf/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/a2ShPYk8j1/
และ https://youtu.be/iNU4rtvQTEQ
สมณะฟ้าไท…วันนี้เป็นวันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้คนอยากไปฉลองปีใหม่กัน คนอยากได้สิ่งใหม่ๆแต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ทำพฤติกรรมเดิมทำให้กิเลสหนาคือปุถุชน
ชาวอโศกจัดงานปีใหม่ใช้ประโยคว่า Happy new you คือเริ่มต้นปีใหม่ ชีวิตใหม่พ่อครูจะเทศน์ข้ามปี วันที่ 31 ธันวาคมและวันที่ 1 มกราคม รายการภาคค่ำเน้นให้มีจิตสาธารณะกันมากขึ้น
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 20-21 ธ.ค. 2564
_สินอโศก : “น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ ดิฉันรับชมสดเท่าที่จะทำได้อยู่เสมอเจ้าค่ะ ดิฉันรับรู้ได้ว่าพ่อครูจะมีอารมณ์ขันแทรกอยู่ระหว่างกลางบ่อยๆ ทำให้ไม่เบื่อเลยเจ้าค่ะ”
พ่อครูว่า…อันนี้จริงนะ อาตมาเป็น Humorist ตัวจริง เป็นผู้ที่มีอารมณ์ขันอยู่เสมอเป็นธรรมดา
_รุ่งศรี แก้วดวงสี : กราบคารวะพ่อครูค่ะ ลูกสบายดีแล้ว เคยฟังหมอเขียวบอกว่าถ้าเราปฏิบัติธรรมคู่ครองและลูก ๆ จะทำตัวดีขึ้น ถึงแม้จะอยู่แบบถือศีลพรหมจรรย์ พ่อท่านเคยบอกว่าเรื่องคู่เราต้องหาทางออกเอาเอง และลูกก็ได้เห็นแล้วว่า แม้มีทางตันก็มักจะมีเหตุการณ์ช่วยให้เขาเข้าใจเสมอ การที่เราอยู่กับคู่ เพราะกลัวการพยาบาทจากเขาจะทำให้ต้องครองคู่กันข้ามภพชาติ หรือการอยู่เพื่อรอช่องทางออกอย่างประณีประนอม กับการหักดิบอันไหนมีบาปมากกว่ากันคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… ประนีประนอมดีกว่า หักดิบเดี๋ยวหมอจะไม่รับต่อให้
_พลอยแผ้ว ชาวหินฟ้า : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพนับถืออย่างสูงค่ะ
ต่อข้อถามที่ว่าทำไมศาสนาพุทธจึงต้องหยั่งลงณ.ประเทศไทยและทำไมพระยาธรรมมิกราชถึง 2 พระองค์จึงต้องเกิดมาเป็นคนไทย
ดิฉันได้ค้นคว้าและรวบรวมแต่ก็ไม่ทราบว่าจะครอบคลุมหรือไม่ดังนี้ค่ะ
-
ประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรและในโลกนี้มีเพียง2แห่งคือแหลมทองหรืออินโดจีนและป่าดงดิบในทวีปอาฟริกาซึ่งพำนักได้ยาก อินโดจีนมีความหลากหลายทางชีวภาพ, อุดมด้วยทอง, หยก, พลอยและอื่น ๆ ยากจะหาที่ใดเปรียบเทียบ
-
ในแหลมอินโดจีนด้วยกันมีพื้นภูมิที่ดีที่สุดกล่าวคือ
ก.ไม่มีภัยธรรมชาติรุนแรงเช่นแผ่นดินไหว, ภูเขาไฟระเบิดแต่มีนำ้ท่วมอันเป็นภัยธรรมชาติสถานเบากว่าภัยธรรมชาติอื่นๆ
ข.ไทยจะได้รับภัยจากพายุต่าง ๆ น้อยกว่าประเทศอื่นๆในย่านเดียวกัน จึงประสบภัยธรรมชาติน้อยกว่าประเทศอื่นๆ
-
เนื่องเพราะความอุดมสมบูรณ์ด้วยไม้สัก, ช้าง, สมุนไพร, อัญมณีและแร่ธาตุต่างๆไทยจึงเป็นตลาดการค้ามาตั้งแต่สมัยโบราณจึงมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม, จริตนิสัย, เผ่าพันธุ์มีการผสมกลมกลืนชาติพันธุ์จนยากที่จะกล่าวว่าบรรพบุรุษของไทยคือเชื้อชาติใดเพราะมีการหลอมรวมมาตั้งแต่ต้นของ ขอม, มอญ, ละว้า, อินเดีย, จีน, ฮอลันดา, เสปน, ฝรั่งเศสและอื่น ๆ จึงได้พันธุกรรมที่เข้มแข็งตามหลักของวิชาพันธุกรรมกล่าวคือไม่เจโตอย่างอินเดีย และไม่ปัญญาแบบจีนแต่เป็นแบบลูกผสมอันเป็นจริต, พฤติภาพที่ศาสนาพุทธหยั่งลงได้ง่ายกว่า
พ่อครูว่า… ที่บอกว่าอินเดียเป็นเจโต และปัญญาคือจีน ขอบอกว่าไม่ใช่ จีนนั้นคือเฉโก แต่อาจเฉโกอย่างดี เป็นความรู้โลกียะไม่ใช่ความรู้ฉลาดแบบโลกุตระ
ปัญญานั้นเป็นความฉลาดแบบโลกุตระ ยังไม่มีในจีนหรอกมีแต่ในเมืองไทย
-
พระพุทธเจ้าได้ส่งมหาสาวกออกเผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลก พระมหาสาวกเหล่านั้นจาริกไป ณ ประเทศต่าง ๆ ชาติแล้วชาติเล่าเพื่อสั่งสอนพระพุทธศาสนาตามกรรมและ ปัจจัยเพื่อค้นหาผู้รับพระธรรมของพระพุทธเจ้าและในที่สุดก็แรนดอม(RANDOM)มาเรื่อยในหลากหลายประเทศและในที่สุดก็มาสิริรวมที่ประเทศไทย พระยาธรรมิกราช 2 องค์จึงโคจรมาพบกันที่นี่
-
พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งสมณะทูตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั่วโลกเช่นเกิดผลดังข้อ4เช่นกัน
-
เนื่องเพราะเป็นถิ่นอุดมสมบูรณ์ผู้คนจึงไม่ตระหนี่หวงแหน เมื่อมีผู้อพยพหนีภัยใด ๆ มาขอร่วมอาศัยก็ไม่หวงแหนกลับเชื้อเชิญต้อนรับจึงเป็นที่รวมของผู้อพยพหนีภัยต่าง ๆ จึงเป็นที่รวมของผู้รักสงบ, เป็นไทและไม่เบียดเบียนมาอยู่ร่วมกัน
7.กรณีศึกษาพระบรมไตรโลกนารถรบกับพระเจ้าติโลกราชระหว่างกรุงศรีอยุธยาและเชียงใหม่ไม่มีใครชนะส่อว่าพระบารมีเสมอกันที่สุดพระบรมไตรโลกนารถขอบวชและขอให้พระเจ้าติโลกราชหาเครื่องบวชให้และขอบิณฑบาตเมืองเชลียงคือนัยยะส่อแสดงขยายยืนยันข้อ 4 ว่าที่แท้ก็พวกเดียวกันไม่ได้ยกเมฆหรือจินตนาการ แต่ปะติดปะต่อความอยากรู้
-
ในพื้นภูมินี้เดิมอยู่กันหลวมๆแบบเจ้าเมืองหรือหัวหน้าเผ่า เมื่อผู้มีบารมีผู้ใดเกิดที่เมืองใดก็ยอมรับนับถือเป็นกรณีพิเศษแต่ไม่มีการล่าเมืองขึ้นจวบจนสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่7ทรงแผ่ขยายการสร้างอโรคยาศาลาทั่วไปในถิ่นอินโดจีนผู้นำอื่น ๆ จึงเริ่มสะดุดและไหวตัวด้วยเห็นเงาการล่าอาณานิคมจึงเป็นเหตุให้พ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ช่วยกันขับไล่ขอมไปจากพื้นภูมินี้และต่อยอดด้วยการที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชคิดประดิษฐ์อักษรไทยเพื่อแสดงความเป็นตัวตนของประเทศไทยให้เด่นชัดยิ่งขึ้น
-
การเกิดประเทศไทยไม่ได้มาจากการล่าอาณานิคมแต่เกิดจากการสัมพันธ์เครือญาติและแรงศรัทธาในผู้นำ
-
ประเทศไทยมีประวัติการแย่งชิงราชสมบัติน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านนับเป็นความแปลกที่หาได้ยากในประเทศใด ๆ ผู้ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมหากษัตริย์มักนิยมบวชในทุกยุคทุกสมัยยากที่จะพบในประวัติศาสตร์ชาติอื่น ๆ
จึงขอกราบเรียนพ่อครูช่วยตรวจสอบว่าถูกหรือผิดประการใดค่ะ นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… ตอบอาตมาไม่มีปัญญาตรวจสอบ ทุกคนมีความรู้ดีด้านนี้เยอะ
_Thanaphat Samanchai (ธนาพัฒน์ สมานชัย) : กราบนมัสการพ่อท่านครับ พ่อท่านรู้จักครูบาเฮงไหมครับ ท่านทำคลิปลง tiktok อยู่อย่างไม่มีไฟฟ้า ใช้พลังงานแสงอาทิตย์
อภิภู คือผู้นำพาคน ไปสู่ความจนอันประเสริฐ
พ่อครูว่า…อาตมาตั้งใจจะขยายความ อภิภายตนะ ซึ่งที่จริงเป็นเรื่องสูง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าจะรับฟังรับรู้กันบ้าง เราก็เรียนอะไรมามาก ต่ำ สูง มีอีกเยอะก็เรียนสูงอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป
อภิภายตนะคือ การกระทบสัมผัสเกิดอายตนะมีสภาพเชื่อมต่อ ธรรมดาธรรมชาติมีกันเป็นธรรมดาธรรมชาติของทุกคน อายตนะก็มี 6 คู่ ตากระทบรูปก็เกิดอายตนะ หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กาย หรือ โผฏฐัพพะ กระทบกันภายนอกกับภายใน และภายใน จิตวิญญาณ มนายตนะกับธัมมายตนะ อีกคู่หนึ่งภายใน
อายตนะก็มี 6 คู่เป็นธรรมดาธรรมชาติของคน แต่เมื่อไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้มีภาษาบัญญัติ ไม่ได้มีการวิจัยวิจารณ์ ไม่ได้มีหลักทฤษฎี เขาก็ไม่ได้เรียนกันหรอกในทางเทวนิยม แต่ทางพุทธของเราเรียนรู้แล้วก็เข้าใจ นอกจากเข้าใจแล้วก็จัดการ ก็จะจัดการกับอายตนะ 6 นี้ได้
ผู้จัดการให้ได้เป็นสภาพความรู้ที่ยิ่งใหญ่ จากการรู้ที่เกิดจากนามรูป จึงเกิดอภิภายตนะ 8 ขึ้นมา
อภิภายตนะ 8 จึงไม่ใช่ความเป็นอายตนะ 6 หรือความเป็นอายตนะ 1 คู่เท่านั้น แต่มันเป็นความรู้พิเศษ ความสามารถพิเศษที่เกิดขึ้นในคน ผู้มีประสิทธิภาพสูงถึงขั้น มีอภิภายตนะ 8
ผู้มีอภิภายตนะ 8 เรียกโดยศัพท์ว่าเป็น อภิภู
อภิภู คือผู้มีความรู้ในระดับสูง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ สูงในระดับ สยังอภิญญา ขึ้นไปแต่ยังไม่ถึงสยัมภู อย่างอาตมา มีความรู้ระดับอภิภู
อภิภู จึงเป็นผู้ที่นำพาคนไปสู่ความจน อันสุขสำราญเบิกบานใจ พาไปสู่ความจนอันอุดมสมบูรณ์ พาไปสู่ความจนอันพ้นทุกข์พ้นสุข โอ้โห.. เป็นความจนมหัศจรรย์
พวกเราฟังแล้วไม่แปลกใช่ไหม ฟังแล้วเฉยๆ แต่ข้างนอกจะบอกว่าพูดอะไรกัน คนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเมื่อได้ฟังแล้วก็จะบอกว่า มาจากไหน พูดภาษาอะไร บ้าหรือเปล่า จะอย่างนั้นจริงๆ ตกใจจะไม่มากันเลยก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เอาแต่คนที่แสวงหาและเห็นว่าอย่างนี้ใช่เลย
อาตมาทุกวันนี้ ตามหาญาติ พยายามตามหา พี่น้อง ลูกเต้าเหล่าหลาน จะมาจะเป็นตัวน้อยตัวใหญ่ถ้าเป็นญาติก็มา ไม่ใช่ญาติไม่มาหรอก เจอแล้วรีบหนีเลยไม่เข้าไปใกล้ แต่คนที่เป็นญาติเมื่อเข้ามาใกล้แล้วจะรู้ว่า นี่เองหาทางเข้ามาอยู่ร่วมตรงนี้ ไล่ก็ไม่ไปอีกต่างหาก
เพราะฉะนั้นอภิภู คือผู้ที่มีความสามารถในการเจริญอภิภายตนะ 8 ได้
อภิภายตนะ 8 อยู่ในพระไตรปิฎก เริ่ม 11 ตั้งแต่ข้อ 349 เล่ม 10 ข้อ 100 ก็มี คำความเหมือนกันหมดเลย
อาตมาได้พูดหลังไมค์ มีผู้พิมพ์ตามที่อาตมาพูดแล้วรวบรวมให้ อ่านอันนี้ทุ่นแรงด้วย
เพราะตัวเองพูดเอง พิมพ์มาให้ไม่เยิ่นเย้อเกิน
“อภิภู” ผู้นำพาไปสู่ความจนอันศักดิ์สิทธิ์ ของชาวอโศก
:โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 22 ธ.ค. 64
อภิภายตนะ 8 หรือผู้ที่รู้ยิ่งรู้จริงในอายตนะ
อายตนะ แปลว่า สะพานเชื่อมระหว่าง 2 สภาพ สะพานเชื่อมสภาวะระหว่างรูปกับนาม มี ผัสสะ จึงเกิดอายตนะ รูปกับนามทำงานแปะกันปั๊บจึงเกิดอายตนะ
อายตนะก็มี 2 ขั้ว ขั้วหนึ่งเป็นขั้วรูปอีกขั้วหนึ่งเป็นขั้วนาม
อายตนะของคนก็มีได้ถึง 6 ตากระทบรูป 1 หูกระทบเสียง 2 จมูกกระทบกลิ่น 3 ลิ้นกระทบรส 4 ข้างนอกข้างในกระทบกัน 5 ข้างในข้างในกระทบกันอีกเป็น 6 เป็น 6 คู่เรียกว่าอายตนะ 6
ส่วน อายตนะ 8 คือ อภิภายตนะ 8 มันไม่ได้หมายถึงอายตนะพวกนั้นเท่านั้น ซึ่งก็อยู่ในฐานของอายตนะ 6 แต่มันหมายถึงคุณสมบัติความเก่งความสามารถ ของคนที่มีความรู้ในอายตนะ ได้ถึง 8 ชนิด
มีคำว่า อภิภู อภิภายตนะ และ อภิภุยฺย
อภิภู คือตัวบุคคลนั้น ที่ทรงไว้ ซึ่งความรู้ความจริงที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งเล็กนั้นๆ
อภิภายตนะ คือ อายตนะที่มีคุณสมบัติถึง “อภิ” ขั้นยิ่งใหญ่ เป็นคุณสมบัติของผู้อภิภู อีกทีหนึ่ง มีคุณสมบัติ คุณวิเศษ ของผู้อภิภู ถึง 8 อย่าง
อภิภายตนะ 8 ไม่หลับตาปฏิบัติ จึงเป็นข้อยืนยันว่าศาสนาพุทธไม่หลับตาปฏิบัติ ถ้าหลับตาปฏิบัติจะไม่มีคุณสมบัติคุณวิเศษที่ถึงขั้น อภิภายตนะ 8 ได้เลย ผู้ปฏิบัติหลับตานอกรีตพูดกันไม่รู้เรื่องหรอกกับอภิภายตนะ 8 จะไม่เกิดคุณวิเศษเหล่านี้ได้ เมื่อหลับตาปฏิบัติ พวกหลับตาปฏิบัติจะเป็นพวก เดียรถีย์
ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องมีความสามารถ ต้องเปิดรับสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ทวาร ไม่ใช่ว่าไปปิดความรู้สึกจะปิดความรับรู้เลยทั้ง 5 ทวาร รับรู้อยู่แต่ทวารใจคู่ที่ 6 คู่เดียว ไม่ใช่ ซึ่งศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อมแต่ชาวพุทธได้เสื่อมไปจากสัจธรรมที่ถูกต้องของศาสนา
อภิภุยฺย มันหมายถึง ความสามารถความเก่งของอภิภู ที่สามารถมีอิทธิพลอยู่เหนือสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่เหนือ ตั้งแต่รูป กำหนดเอารูปภายนอก แล้วกำหนดเอารูปภายใน เห็นรูปภายนอกพร้อมกันทั้งสองสภาพ รูปภายนอกและรูปภายในคู่กันเสมอไม่ขาด เป็นสองสภาพ
คุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่เรียกว่า อภิภู เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ
พวกหลับตาปฏิบัติ คือพวกเดียรถีย์ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องมีความสามารถ ต้องเปิดตาเห็นข้างนอกต้องเปิดเผยได้ยินเสียงข้างนอก จมูกรับกลิ่นข้างนอก ลิ้นกระทบรสอยู่ โผฏฐัพพะก็กระทบสัมผัสอยู่ ไม่ใช่ไปปิดความรู้สึก ปิดความรับรู้เลยทั้ง 5 ทวารนอก ไม่ใช่ ไปรู้อยู่แต่ทวารใจคู่ที่ 6 ไม่ใช่ !
พระพุทธเจ้าท่านบริภาษภิกษุสาติ ที่บอกว่า วิญญาณล่องลอย พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเธอมาตู่เราอย่างนี้เป็นการขุดศาสนาเรา ขุดนี่คือทำลายรากทำลายโคนของศาสนาพุทธเลย
ถ้าตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกไม่มี ไม่เรียกว่าวิญญาณในศาสนาพุทธ แต่เรียกว่า สัมภเวสี เป็นธาตุรู้ที่ไม่มีที่ยึดที่ตั้ง อยู่ที่ใจของแต่ละคน คนหลับตาก็อยู่ในจิตของตนเองคนเดียว จะให้จิตตนเองคิดอย่างไรไปอย่างไรมาอย่างไร ก็คุณคนเดียว นรกสวรรค์อะไรก็แล้วแต่ คุณปั้นเอง จริงไม่จริง เท็จหรือไม่เท็จ ก็ของคุณคนเดียว
เพราะฉะนั้นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้ตรัสรู้แบบหลับตาแล้วก็ไปอยู่คนเดียวไม่ใช่ ท่านตรัสรู้โลกมีโลกวิทู พวกหลับตาปฏิบัติน่าจะสะดุ้งเมื่อฟังอาตมา ว่าเราทำไมโง่ทำผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอนศาสนาพุทธไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
พวกหลับตาทั้งหลายแหล่ ปิด 5 ทวารนอกทั้งหมดเลยไปยึดเอาอยู่แต่ภายใน ภายในก็เลยกลายเป็นพวกนิรมาณกายเป็นสัมภเวสีต่างคนต่างสัมภเวสี ต่างคนต่างจิตวิญญาณของตัวเอง เป็นของตัวเองอยู่คนเดียว เรียกว่าวิญญาณสัมภเวสี
สัมภเวสี แปลว่าวิญญาณล่องลอย คือวิญญาณไม่มีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นที่ตั้งร่วมกันกับคนอื่นๆ สามารถรับรู้เกี่ยวข้องกัน รู้กันและกัน พูดกันรู้เรื่อง แต่นี่มันไม่มี นั่งสร้างนิรมิต เนรมิตเอาเองแต่ละคนปั้นไป ไม่มีความจริงเลยเป็นนิรมาณกาย
เสร็จแล้วมาทำทีเป็นว่า รู้ด้วยกันเป็นสัมโภคกาย ต่างคนรู้เรื่องกันตรงกันพูดกันรู้เรื่องกัน โมเมไป แต่ทุกคนเป็นอาทิสสมาณกาย คือพวกตาบอดทั้งหมด ไม่มีใครเห็นของใคร มีแต่ของตนเองอยู่ นิรมาณกาย นี่คือ กาย 3 ที่เป็นกันอยู่จริง พวกหลับตา เดียรถีย์ เป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลย จึงเป็นพวกที่น่าสงสารมากงมงายงมคลำไปแล้วสมมุติกันไป ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างพบแต่ของตนผู้เดียว เหมือนคนตาบอดชมว่าท้องฟ้าสีสวยดีนะเหมือนกัน คนตาดีบอกว่าเก่งนะเรายังไม่เห็นเลย
จึงเป็นพวกสัตตาวาสข้อที่ 1 เป็นพวกสัตตาวาสข้อที่ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน ต่างคนต่างสร้างภพสร้างชาติ สร้างตัวสร้างตนไปกัน ต่างคนต่างไปเลย จริงๆไม่ได้ตรงกันสักอย่าง แต่โมเมทำทีกันว่าสัมโภคกายรู้ร่วมกันไป แต่แท้จริงต่างคนต่างโมเมชั่น นี่เป็นโลกแห่งสมมุติแท้ๆ เป็นพวกปลอม 100%
เพราะฉะนั้นมันมีตั้งแต่สัตตาวาสข้อที่ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน เป็นมารเป็นมนุษย์เป็นพรหมก็สมมุติกันไปเอง เลอะเทอะกันไปหมด ต่างคนต่างสมมุติว่ากันไปสารพัดสารเพ แม้จะสำนักเดียวกัน อาจารย์เดียวกันสอนทฤษฎีเดียวกัน แต่พอเอาเข้าจริงก็กำหนดของตนเอง รูปนามที่มันปรุงแต่งขึ้นมา เรียกว่ากายก็ตาม ก็เป็นของตนเองเท่านั้น ซึ่งต่างจากของคนอื่นไปหมดเลยไม่ได้เหมือนกันสักอย่าง กายต่างกันสัญญาต่างกัน
พวกที่มิจฉาทิฏฐิก็เห็นต่างกันไป ส่วนพวกสัมมาทิฏฐิจะเห็นหนึ่งเดียวกัน สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น
เพราะฉะนั้นในข้อที่ 1 ของอภิภายตนะ รายละเอียดของผู้ที่เป็น อภิภู ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ผู้มีอำนาจเหนือที่แท้จริง เหนืออะไรต่างๆ เหนือ อะไรบ้าง
เหนือ ตั้งแต่ทวารภายนอกทวารภายในจะรู้ร่วมกันได้พร้อมกันเสมอ เร็วจนกระทั่งถือว่าพร้อม รู้ขณะที่ข้างนอกก็รู้กันอยู่ข้างในก็รู้กันอยู่ มีร่วมกันอยู่ไม่ขาดจากกัน เพราะว่าจิตมันเร็วกว่าแสง แสงมันจะกระทบข้างนอกแค่นั้น ข้างในมันเป็นจิตนั้นมันรู้อะไรต่ออะไรอีกมากมาย
เพราะฉะนั้นแสงกระทบกัน มันกระทบกันตั้งไม่รู้กี่ทีแล้ว จิตมันตามรู้ได้หมดทุกอย่าง มันเร็วกว่าแสงตั้งเท่าไร ความเร็วของจิตนั้น เร็วกว่าแสงตั้งไม่รู้กี่เท่า รู้หมด จิตมันเร็วกว่านาที วินาที ไม่ใช่ว่าอาตมาเก่งดูโทรทัศน์ทีละ 2 3 จอ ก็เพราะพวกนั้นมันช้ากว่าจิต
เพราะฉะนั้นข้างนอกข้างในจึงไม่ได้เป็นเรื่องยากเรื่องลำบากอะไรของ อภิภู
นอกใน กำหนดหมาย เรียกว่าสัญญา กำหนดรู้ได้เร็วได้หมดทั้งรูปภายนอก ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอก เสร็จแล้วถึงจะมีรายละเอียดเป็น ปริตตัง
ข้อแรก ปริตตะ ข้อที่ 2 ถึงจะเป็น อัปปมาณา
ท่านแปล ปริตตัง ว่า เล็ก แปล อัปปมาณา ว่าใหญ่ แปลว่าเล็กก็ได้ แต่มันยังไม่บริบูรณ์ควรจะแปลว่าน้อย มากกว่าเป็นเชิงปริมาณ ปริมาณเราไม่เรียกเล็กนะ ปริมาณเราจะเรียกว่าน้อย อัปปมาณา เราจะเรียกว่ามาก มากจนกระทั่ง Infinity มากจนประมาณไม่ได้
หรือจะเรียกว่าเล็กกับใหญ่ก็ด้วย น้อยกับมากก็ด้วย ปริตตังกับอัปปมาณา
ต่อมาคำว่า สุวัณณะ ทุพัณณา ท่านแปลว่า ผิวพรรณดีผิวพรรณทราม อาตมาว่า แปลว่าผิวเฉยๆ ก็เอาน้ำมันเอาแป้งมาทาสิ ซึ่งมันไม่ใช่ มันไม่ได้หมายถึงผิวพรรณแค่นี้ แต่มันหมายถึงขั้นชั้น ความสูงความต่ำ ความเจริญความเสื่อมทราม
ความเสื่อมทรามก็ ทุ ส่วน ความยิ่งใหญ่ ความเจริญก็ สุ
หมายถึงระดับขั้นชั้น ดีกรี ของความยิ่งใหญ่ความเจริญความประเสริฐ ความวิเศษ เรียกว่า สุพัณณะกับทุพัณณะ
อภิภู ท่านไปแปลในนี้ว่า ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว อภิภุยะ คุณสมบัติ อภิภุยยะ คือ ครอบงำหรือมีอิทธิพลเหนือรูปเหล่านั้นแล้ว ขั้นแรกเป็นขั้นรูป ข้อที่ 1 คือขั้นรูป
อภิภายตนะขั้นที่ 2 ก็รูปอยู่แต่เป็นอัปปมาณา ข้อที่ 3 ถึงจะไป อรูป
แต่ว่า ข้อที่ 1 เน้น รูปภายในเห็นรูปภายนอก ข้อที่ 1 เป็น ปริตตัง ข้อที่ 2 เป็น อัปปมาณา
ข้อที่ 3 ไปก็จะมี อรูป ก็มีปริตตะกับอัปปมาณา ข้อที่ 4 ก็อัปปมาณา แล้วก็มีสุพัณณะทุพัณณะ
ฟังแล้วคนที่ไม่เข้าใจว่าแตกต่างอย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร เพราะเห็นว่าไร้สาระ แต่พวกเรานี่เข้าใจว่า นี่แหละมันเกี่ยวถึงความเป็นคน พฤติกรรมของคน จิตใจของคน คุณสมบัติของคนจิตวิญญาณของคน แต่คนที่เขาไม่รู้จักพวกนี้เขาไม่เข้าใจ เขาไม่มีภูมิถึง เขาจะเห็นว่าอะไร ไม่พูดถึงว่าอะไรได้มากินแซ่บๆน่าจะดีกว่า ว่างั้น หรือวันนี้ได้เงินเท่าไหร่ยังง่ายกว่าเยอะ ก็ใช่ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เท่านั้น มันเป็นเรื่องของอภิธรรม
แล้วอภิภู เป็นคนในระดับใด ?
อภิภู เป็นคนในระดับ สยังอภิญญา สูงขึ้นไป.. สยังอภิญญา เข้าไปหาสยัมภู เป็นอภิภู
สยังอภิญญา เป็นคำกลางๆ รู้เอง ข้ามชาติมาเท่านั้น การรู้ข้ามชาติมานี้เล็กๆน้อยๆก็ได้ จนกระทั่ง รู้ได้อย่างดีรู้ได้อย่างมีสาระจริงๆเป็นขั้นคนสูง คนสูงขั้น อภิภู คนผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ต้องเป็นโพธิสัตว์ขั้น 7 ขั้น 8 ขึ้นไป
ทีนี้คำว่า ส่วนบุญ หมายความว่าความสามารถกำจัดกิเลสได้แล้ว ส่วนบุญคือส่วนที่กำจัดกิเลสได้แล้ว ไม่ไช่ได้อะไรมาให้ตนเป็นสมบัติแต่เป็นวิบัติ การได้ส่วนบุญจะเหมือนมีอภิภูไปทีละขั้นหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ใช่อย่างนั้น
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… เราฟังธรรมพ่อครูเทศน์ซ้ำแต่มีนัยยะ ละเอียดลึกซึ้ง แล้วเราก็ยังทำได้ไม่หมดด้วย การปฏิบัติธรรมมีรายละเอียด แม้ทำได้แล้ว จะอธิบายได้อย่างพ่อครูก็ทำได้ยากอีก
โพธิสัตว์จะต้องผ่านความยากลำบากมากมาย
พ่อครูว่า… อุปสรรคคือของหวานของมันของอร่อยของโพธิสัตว์
สู่แดนธรรม… อภิภู แปลว่าผู้ขย้ำก็ได้ ผู้ข่มขี่ ผู้ครอบงำได้ ผู้มีอิทธิพลอยู่เหนือ แปลได้หลายอย่างครับ
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักคำว่าบุญ แล้วรู้จักคำว่าส่วนบุญที่ได้ที่ทำสำเร็จ มันไม่ได้อะไรมาเป็นส่วนบุญ แต่กรรมของเราที่ทำสำเร็จ สร้างพลังงานที่ไปปราบกิเลสของเราเอง สำเร็จก็เป็นส่วนบุญ แต่มันยังไม่หมดกิเลสสิ้นอาสวะก็เป็น สาสวะ ไปเรื่อยๆจนหมดสิ้นอาสวะ กำจัดกิเลสได้หมดแล้ว
แต่อภิภูนี้เลยไปจากนั้นแล้ว เป็นผู้ทำลายกิเลสพวกนี้ได้แล้ว โพธิสัตว์ 4 ระดับ ระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอาริยบุคคล ถึงขั้น อรหันต์ ก็เป็นอาริยบุคคลเต็ม
พอเลยจากอาริยบุคคลเต็มขั้นที่ 4 ไปสู่ขั้นที่ 5 ก็เป็นอนุโพธิสัตว์ ก็หมายความว่าจะเริ่ม บำเพ็ญพุทธภูมิ ขั้นแรก อนุโพธิสัตว์
ผู้ที่บำเพ็ญภูมิขั้นแรกนี้ยังไม่เป็น อภิภู หรอก
เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
อนุโพธิสัตว์ยังไม่เป็นขั้น อภิภู
แม้แต่ขั้นที่ 7 ก็ค่อยๆสะสมไปเป็นลำดับ ขนาดอาตมาสะสมอภิภู ไปเรื่อยๆ มหาโพธิสัตว์ถึงเรียก อภิภูได้เต็มปาก
อาตมาพยายามอธิบายนี้เป็นการสะสมความเป็น อภิภุยฺยะ ไปเรื่อยๆ
สมณะฟ้าไท… ระดับ 5 และ 6 สั่งสมความเป็น สยังอภิญญา ได้หรือไม่
พ่อครูว่า… ใช่ สยังอภิญญา คือผู้สั่งสมความเป็นอภิภู
สู่แดนธรรม… พ่อท่านตั้งระดับอภิภู ไว้สูงเกินไปไหมครับ เพราะผมเห็นว่า ชาวอโศกที่ครอบงำรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสได้ก็น่าจะเป็นอภิภู
พ่อครูว่า… ต้องสะสม เลย 50 หน่วยขึ้นไป แต่คุณไม่สะสมเลย จะเป็นได้อย่างไร
สู่แดนธรรม… เพราะมีคำว่าปริตตาครับที่พระพุทธเจ้าชี้ช่องให้
พ่อครูว่า… ปริตตา อย่าว่าเล็กน้อยนะ แต่เป็นเรื่องละเอียดสูงส่ง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปเข้าใจปริตตาก็ดี อัปปมาณาก็ดี มีสิริมหามายา ก็รู้ประดับปัญญาไปก็แล้วกัน
สามารถมีในระดับ โสดาบัน มีอภิภุยยะไปเรื่อยๆได้ไหม? สามารถมีอภิภุยยะในบางเรื่องได้ไหม?
สามารถมีอภิภุย ในบางเรื่อง แต่คำตอบคือ จริงๆแล้ว ยังไม่ได้ ยังไม่ควรเรียก เพราะว่า อภิภุย ท่านแปลว่า ผู้ที่ครอบงำได้แล้วนะ มีอิทธิพลเหนือสิ่งเหล่านั้นเสร็จแล้ว
อาตมาเป็นผู้ที่มีภูมิบางอย่างอธิบายได้แล้ว แต่ก็ยังเป็นไม่ได้ก็มีหลายอัน ซึ่งเป็นวิสัย ขึ้นไปหาพุทธะวิสัยที่อาตมาก็มี ฌานวิสัย
ฌานนี่ไม่ได้แปลว่า แค่ นั่งหลับตาตื้นๆง่ายๆ เข้าไปอยู่ในภพ ไม่ใช่ แต่ฌานนี้คือ ปัญญา ฌาน อยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นเริ่มมีปัญญาที่ทำปรมัตถธรรม รู้จักกิเลสทำให้กิเลสลดลง พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า
นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ปัญญา นัตถิ อฌายโต
ยัมหิ ฌานัญจะ ปัญญา จ ส เว นิพพานสันติเก
ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน
ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน
(พตปฎ. เล่ม ๒๕ ข้อ ๓๕)
ปัญญาของพุทธเป็น จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก ลืมตามีแสงสว่าง หลับตาไม่มีปัญญาไม่มีฌานหรอก เอาพระบาลีเอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมายืนยันแต่เขาก็ไม่เข้าใจ แต่พวกคุณเข้าใจ ปัญญาเกิดไม่ได้ในที่ไม่มีแสงสว่างไม่มีดวงตาที่จะสัมผัสรูปนามกระทบกัน
จะมีได้ต้องมี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก ที่อยู่ในแสงสว่างกว้างๆ หลับตาปี๋ มีแต่ความมืดกับความบอดไม่มีปัญญา พวกหลับตาปฏิบัติน่าจะฉุกคิด สะดุ้งเฮือกๆ ว่า หลงผิดมาตั้งนาน แล้วพวกสำนักนั่งหลับตาก็มีตั้งเยอะ สำนักลืมตาพูดมีกี่สำนักกัน มาเป็นอย่างที่อาตมาพูดนี้มีกี่สำนัก…น่าจะมีสำนักอื่นบ้างนะ คุณพบแต่อาตมาไม่ได้พบคนอื่นก็เลยว่าไม่มี
สมณะฟ้าไท… ส่วนใหญ่ สมาธิก็ว่านั่งหลับตา สวนโมกข์ก็สอนนั่งหลับตา
พ่อครูว่า… ท่านก็สอน อานาปานสติเล่มเบ้อเร่อ ท่านก็ยังไม่ชัดเจน
สู่แดนธรรม… ที่ผมเคยเรียนมาก็ว่า ต้องนั่งทำสมาธิจนแสงสว่างเกิดนั่นแหละปัญญาถึงจะมา ผมก็รอแต่ไม่เกิดสักที
พ่อครูว่า… อาตมาเคยอธิบายไปหลายทีว่า คุณหลับตาลง ไม่มีแสงสว่างได้เลยมีแต่ความมืด แต่ที่คุณเห็นเป็นแสงสว่างแสงสีต่างๆขึ้นมานั้นเป็น อุปาทานทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ยึดติดปั้นเองสร้างเองขึ้นมาทั้งนั้น ซึ่งมันไม่มี แต่คนอุปาทาน มีมานานแสนนานไม่รู้กี่ชาติแล้ว มันก็ล้างยากเท่านั้นเอง
ถ้าคุณเข้าใจสัมมาทิฏฐิแล้วก็เอาให้ชัด หลับตาแล้วมืดอย่างเดียว ลืมตามันก็มีแสง ความจริงมีมากมีน้อยอย่างไร
สู่แดนธรรม… ผมเคยตามพิสูจน์ว่าแสงสว่างที่ครูบาอาจารย์ว่านั้นเกิดขึ้นอย่างไร ผมก็เลยศึกษาจากพวกแพทย์ บอกว่าเป็นการทำงานของสมอง ที่หลั่งสารเคมีออกมาทำให้เกิดแสงสว่าง
พ่อครูว่า… วิทยาศาสตร์ทางแพทย์ก็เลยอุปาทานเละเหมือนกัน แสงนี่แหละใน อภิภายตนะพระพุทธเจ้าตรัสถึงแสงสีเขียวสีแดงสีขาวไว้ชัดเลย จะรู้ความจริงเลยว่ามันไม่มี มันมีก็ต้องมีแสงจริง มีเหลืองมีเขียวมีแดงในแสงจริงๆ หลับตาแล้วจะมีแสงสีอะไร แล้วคุณก็บอกว่ามีสารเคมีหลั่ง มันอุปาทานทั้งนั้น
อาโลก ตาก็มีรูปเป็นอาโลก หูก็มีเสียงเป็นอาโลก จมูกก็มีกลิ่นเป็นอาโลก ลิ้นก็มีรสเป็นอาโลก
อรหันต์ หลับตาก็มีความมืดเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าไม่ใช่อรหันต์หลับตาแล้วมีแสงสีต่างๆก็เป็น กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน
ภูมิต่ำกว่านั้นยังไม่ต้องแหยม อธิบายไว้เป็นเส้นทางในการนำทางเท่านั้น ซึ่งมั่นใจว่าสัมมาทิฏฐิ ไม่ผิดหรอก แต่ว่า มันต้องพูดไว้
อภิภู นั้น ยังภูมิต่ำกว่า สยัมภู
สยังอภิญญา ยังภูมิต่ำกว่า อภิภู
สยังอภิญญา คือผู้ดำเนินไปสู่ อภิภู
สยังอภิญญา คือ ผู้ที่มีแล้วของตนเอง ข้ามชาติมา อย่างอาตมานี่ชัดเลย ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเลยในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 สยังอภิญญา สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
อาตมาเป็นคนนั้นระบุเป็นบุคคลจึงตัวตนจริงในยุคนี้ แล้วอาตมาก็ยืนยันว่าใช่คนนี้ แล้วคนที่เขาไม่เชื่อมันก็น่าสงสารไป แต่คนที่เข้าใจแล้ว ก็โอ้โห แล้วมันมีจริงเป็นจริงได้อย่างไร
เป็นจริงก็คือ 1 รู้ธรรมะในขั้นโลกุตระ รู้โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ สูงกว่าอรหันต์ อย่างน้อยก็ขั้นที่ 7 ขึ้นไป
อาตมาก็บอกว่าอาตมาเป็นขั้นที่ 7 ที่จริงจะปีนไปหาขั้นที่ 8 บ้างแล้วอย่างไรอาตมาก็ไม่จำเป็นจะต้องไปพูด อธิบายแต่ขั้นที่ 7 นี้ คนอื่นๆก็ยังภูมิไม่ถึงอาตมา อาตมาจึงไม่จำเป็นต้องยกตัวเองเป็นขั้นที่ 8 ขั้นที่ 9 มันไม่มีขั้นที่ 7 ให้อาตมาซ้อนชั้นขึ้นไปอีกแล้วจะไปพูดทำไม อาตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วเป็นไก่ตัวคนพี่แล้ว แล้วจะมีไก่ตัวพี่ของที่ไหนขึ้นไปอีก ลมๆแล้งๆเปล่า
ชาตินี้ถึงบอกว่าใครเป็นไก่ตัวพี่ก็ปรากฏตัวหน่อยน้องจะได้อาศัยบ้าง อาตมาไม่ได้ริษยา และไม่ได้ห้ามนะ ก็ไม่เห็นจะมีใครโผล่มา ถึงโผล่ออกมาแล้วอธิบายไม่ได้ก็หน้าแตก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าโผล่มา คงประมาณกันแล้วว่าไม่ใช่ของเล่น หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยนะ ก็ยังไม่มีใครกล้าโผล่มา
เราก็ขยายสภาพจริง
-
ทั้งอธิบาย 2. นำพาให้ปฏิบัติ 3. สำเร็จผลเป็นไปได้
4.รวมตัวกันเป็นหมู่ เป็นสังคม
-
มีคุณวิเศษถึงขั้น เมื่อมาเป็นสังคมแล้วมีวัฒนธรรม
มีทั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่รวมกัน มีลาภที่ได้มาโดยธรรมก็นำมารวมกันเป็นกองกลาง กินใช้ร่วมกัน เป็นสาธารณโภคี แล้วก็อยู่ร่วมกันอย่างเสมอสมานกัน ทั้ง ศีลสามัญญตาออก ทิฏฐิสามัญญตา ครบตามสาราณียธรรม 6
แล้วแต่ละคนก็ยืนยันอีกว่า สั่งสมคุณสมบัติวรรณะ 9 แต่ละคนเป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนมามักน้อย มากล้าจน มาตั้งใจ จนเต็มใจจน จนเป็นคนจนสำเร็จจริง ไม่ใช่จนเล่นๆ แต่จนจริงๆ ไม่สะสมไม่ต้องมีอะไรเลย อยู่กันอย่างสุดยอดเศรษฐศาสตร์ เป็นคนจน เป็นความจริงที่ทวนกระแสโลกเขา เขาให้ไปรวยเราไม่เอา เรามาจน ไม่บ้าด้วยนะ
จนก็พอ เพียงพอ คนรวยนั่นมันไม่มีเพียงพอหรอก แต่คนจนเราเพียงพอได้เพราะมันจนถึง 0 แล้วไม่มีทางเป็นอื่นอีก มันก็พอเท่ากัน จึงมีความเสมอภาคกัน เพราะมันจนเท่ากันหมดเลย
เอ้า! รับสมัครงานล้านตำแหน่ง ทุกคนมาทำงานที่นี่ได้เงินเดือนเท่ากันกับเจ้าของร้านเลย เท่ากันกับผู้อำนวยการเลย เงินเดือน 0 บาทเท่ากันหมด ท่านหนักแน่นบอก อย่างนี้มีด้วยหรือ มาสมัครเลย เลยอยู่เลยไม่ไปเลย พวกคนงานบ้านคำกลาง บ้านกุดระงุมมาทำงานอยู่ที่นี่เงินเดือนสูงกว่าเจ้าของอีก ซื้อรถแบคโฮรถปิคอัพรถเก๋งได้เลย แต่พวกเรานี้จน 0 เป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์
สังคมอย่างนี้จึงกลายเป็นสังคมวิเศษ สังคมพระศรีอาริย์ สังคมคนเจริญที่มีคุณสมบัติ คุณวิเศษที่ลอกเลียนกันได้ก็เชิญเลย ซึ่งมันไม่ใช่จะลอกเลียนกันได้ง่ายๆ มาเสแสร้งแกล้งเป็น มันทำไม่ได้ มันต้องเป็นจริง มันไม่จริงมันไม่ได้เลย อยู่ไม่ได้ เป็นไม่ได้ อย่างไรก็ไม่เหมือน อย่างไรก็ไม่คือ ถึงคือ ทำเต๊ะท่าได้หน่อยเดียวก็ต้องดิ้นหนี โดยไม่ต้องไปไล่หรอก มันทนไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีคุณสมบัติทางจิตแท้ๆอยู่ไม่ได้หรอก
จึงไม่ได้เป็นเรื่องที่ไปเบียดเบียน ไม่ได้ผลักดันเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ผลักไส ไม่ได้ขับดัน ไม่ได้ไปทำร้ายทำลายอะไรกัน มีแต่เกื้ฃอกูลช่วยเหลือกัน เป็นของแปลกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่เขาควรยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชนิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม้แต่กินเนสบุ๊ค น่าจะบันทึกนะ วัฒนธรรมอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ วัฒนธรรมอย่างนี้ เป็นวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ในมรดกของโลก ประเทศไทยมีมรดกอันนี้อยู่ที่พวกเราทำ เป็นมรดกของพระพุทธเจ้าตกทอดมาถึงเรา เป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่มากเลยมรดกของโลก มาถึงวันนี้ยังทำได้เป็นวัฒนธรรมอย่างนี้ มันเป็นเรื่องสัจจะจริงๆเองเลย เป็นสัจจะของแต่ละคนๆ จริงเอง มันสุดยอดอย่างนั้น
จึงเป็นการพิสูจน์คน พิสูจน์จิตวิญญาณที่ได้ฝึกปรือเรียนรู้อาริยธรรมของพระพุทธเจ้า มันจึงเป็นคนพิเศษจริงๆเป็นคนวิเศษจริงๆ ที่ไม่เหมือนโลกียะเลย
ส่วนคนที่จริงแล้วไล่อย่างไรก็ไม่ไป นอกจากว่า คุณจะแย่จนกระทั่งไล่คุณก็ไม่ไป ต้องหาตำรวจมาจับออกไป ซึ่งเราก็เคยมีแต่มีน้อยมาก ทำมา 50 ปีก็น่าจะแค่ 1-2 คน แบบนั้นก็มันแย่แล้ว ก็หน้าด้านหน้าทนเกินไป ไม่ออกได้ยังไงคุณแย่กว่าเกณฑ์เขาเหลือเกินไม่ไหว
มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่มันย้อนแย้ง Incredible เป็นเรื่องไม่น่าเป็นไปได้เลย เป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยังไง มันไม่น่าจะเป็นไปได้สิอย่างนี้ มันเหนือกว่า Impossible อีก
เราคนจน ทำไมขายต่ำกว่าทุนแล้วแจกได้อีกด้วย มีนายทุนลึกลับที่ไหนส่งเงินให้หรืออย่างไร ก็ไม่ใช่ …มีที่จิตของพวกคุณเป็นตัวเบื้องหลัง เป็นนายทุนให ญ่ เป็นเรื่องของแรงงานพลังงานของแต่ละคน ที่มีคุณสมบัติวรรณะ 9 กินน้อยใช้น้อย ชีวิตไม่เปลืองไม่ผลาญ แต่ขยันสร้างสรร
นอกจากกินน้อยใช้น้อย ไม่เปลืองไม่ผลาญ แล้วไม่สะสมที่ตัวด้วย เอามารวมไว้กับส่วนกลาง ทุกคนมีทิศทางเดียวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน มันจึงมารวมอยู่ที่นี่หมดเลย มหาสมุทรนี้ใหญ่ แม่น้ำเล็กแม่น้ำน้อยไหลมาอยู่ที่นี่หมดเลย มาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วเรียกชื่อเดียวกันหมดเลย แม่น้ำร้อยพันสาย มารวมกันที่นี่หายไปหมดเลยชื่อเดิม เป็นหนึ่งเดียวคือมหาสมุทรนี้ ใครๆก็เป็นตระกูล “จน” หมด
นามสกุล “จน” ของชาวอโศก เท่าที่นับได้ตอนนี้
-
จนดีจริง
-
มุ่งมาจน
-
กล้าจน
-
ตั้งใจจน
-
เต็มใจจน
-
พร้อมจน
-
มาจน
-
จนสุขสำราญ
-
จนอีหลี
-
จนอีหลีอีหลอ
-
จนทุกชาติ
-
จนแล้วจนรอด
-
จนสำเร็จ
-
จนนะจน