641224_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาติ 5 พาพ้น ขิฑฑาปโทสิกะและมโนปโทสิกะ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1oBGV8VbMGYZp9afQDKRRB04qa3xEf9oUsyeG48Nw-tc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1fwfZwybL8tlgWCbavF5ZZXnY__-2q5uD/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/R2si-NMXfLs
และ https://fb.watch/a5uK60D55R/
สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 ที่อุบลราชธานี อีกไม่กี่วันก็เข้าสู่งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า 2 วัน วันสิ้นปีกับวันขึ้นปีใหม่ ภาคเย็นมีรายการเชิญยายหร๋อย มาออกรายการ ให้เห็นจิตสาธารณะ
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 22-23 ธ.ค. 2564
_ประวัติ พระพุทธเจ้า : ตอนนี้สันติอโศกเปิดยังครับ / สนใจที่จะบวชที่สันติอโศก
พ่อครูว่า…ดี ตั้งใจดี แต่ตอนนี้เรายังไม่เปิดหมู่บ้าน แต่คนในๆ คนชาวอโศกถ้าพร้อมก็มาเป็นปะเป็นนาคกันได้ เชิญตอนนี้นักบวชมีน้อย แต่คนข้างนอกต้องมาติดตามต้องมาศึกษาใช้เวลา อย่างน้อย 4 ปี ต้องมาอยู่ดูศึกษา จึงมาบวชได้
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ การที่ลูกได้ใส่บาตรพระ ด้วยขนมและอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ แต่พระที่ลูกใส่บาตรท่านฉันเนื้อสัตว์ นั้น จะเป็นการที่ลูกให้การสนับสนุนพระที่ปฏิบัติผิดต่อพระพุทธศาสนาไหมคะ ลูกควรทำใจอย่างไร น้อมกราบนมัสการพ่อครูเมตตาช่วยชี้แนะลูกด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…ถูกแล้ว ทำถูกแล้ว ท่านจะฉันเนื้อสัตว์ก็ช่างท่าน เราใส่อาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ให้ท่าน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็เรื่องของท่าน ถูกแล้ว ไม่ต้องไปกังวลอะไรหรอก ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์แล้วขวนขวายเอาเนื้อสัตว์ไปให้ท่านฉันอันนี้ผิด
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · ค่ายธรรมะอโศกออนไลน์ฯพิสูจน์มาตรารัฐศบค.ทุกกฎพรก.ทุกกติกา พรบ.ควบคุมโรคฯด้วย social distancing DMHT ไม่เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ธรรมะหลายบวรอโศก’ไม่เป็นปัญหาในกิจกรรมพึ่งตนพอเพียงแบ่งปันทุกงานบุญพื้นบ้านฯทุกนิทรรศการพื้นเมืองวิถีใหม่ฯที่ทุกบวรกรุงสยามบวรท้องถิ่นไทยจัดทุกกิจกรรมวิถีใหม่ปลอดภัยทุกเทศกาลไทย ‘พิสูจน์ผลชัดแจ้งทุกบวรอโศก!
สุขภาพของพ่อครูกับกวฬิงการาหาร
_ใบฟ้า นาวาบุญนิยม ศ.24ธค.64:6.01น.
กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ กราบเสนอพ่อครูพิจารณาตามสมควรค่ะ
“คำถามจากใจลูก(ๆ)”เพื่อเป็นแนวทางในการฟื้นฟูสุขภาพ ด้าน อ.อาหาร ของพ่อครูดังนี้ค่ะ
1.อาหารที่ฉันได้คล่องโดยไม่ยากไม่ลำบาก(ยามเข้าสนามรบ)คืออาหารประเภทใด
2.อุณหภูมิของอาหารคือ ร้อน อุ่น เย็น มีผลต่อการฉันหรือไม่
3.ความเห็นในเรื่อง วัตถุดิบในการปรุงถวายต้อง”organic”100% หรือไม่
4.อาหารที่มักก่อให้เกิดอาการไอคืออาหารชนิดใด
5.การพูดคุยในระหว่างฉันอาหารมีผลต่อการไอหรือสำลักบ่อยครั้งหรือไม่
6.อาหารชนิดใด ที่ฉันแล้วรู้สึกถึง พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
7.การเป็น”independent man”ในการพิจารณาเลือกฉันอาหารที่จะถวาย ยังคงมีอยู่ประมาณใด
คำถามพ่วงคือ สุขภาพโดยรวมของพ่อครูเป็นอย่างไรคะ กราบขอบพระคุณ กราบนมัสการ ด้วยเศียรเกล้าฯค่ะ
พ่อครูว่า… อาตมาจะบ่นอยู่บ่อยๆตอนเริ่มรับประทานอาหารว่า เข้าสนามรบอีกแล้ว จริงๆแล้วมันฝืน พยายามตั้งใจกิน กินให้มันได้ครบจำนวน ทรมาน พอเพียงที่เขาจัดหามาให้มีอาหารอะไรก็ดูตามภูมิของตนเอง กินให้มันพอที่จะใช้ต่อวัน ก็ดีนะ แต่ละวันแต่ละวัน เข้าแล้วก็ออก เขาก็ตรวจสอบตลอด อุจจาระทุกวัน เช้ามาไม่นานหรอกประมาณ 7 โมงกว่าก็อุจจาระเรียบร้อยทุกวัน เขาก็ตรวจสอบลักษณะอุจจาระ เป็นก้อนเป็นเหลวมีสีสันก็ตรวจสอบทั้งนั้น ก็ดีช่วยกัน เขาก็ช่วยกันเพื่อไม่ให้มันผิดประหลาดพิการไปตามประโยชน์ที่ควรได้
จริงๆแล้วเป็นเรื่องจริงของอาตมาที่ฝืนสังขารฝืนอายุขัย อายุขัยนั้น 72 นี่ก็ฝืนเลย 1 นักษัตรมาเลย 84 ถ้าไป 96 ก็ 2 นักษัตร ถ้าไปร้อยแปดก็เป็น 3 นักษัตร
ตอนนี้ในใจลึกๆพยายามจะพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าว่าจะไปได้ไกลเท่าไหร่ก็แล้วแต่ มันก็เป็นการสร้างสัมประสิทธิ์ให้แก่ตนเอง ฝืนไปให้ได้ไกลสุด เป้าหมายที่กะไว้จริงๆ ถ้าได้จริงๆ น่าจะได้ 133 ปี เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วย แล้วก็ได้ทำงานไปด้วย
การพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยการเอาชีวิตจริงๆมาพิสูจน์ โดยองค์ประกอบของเรา มันละเอียดเกินกว่าที่อาตมาจะอธิบาย มันเป็นเรื่องจริงที่ ทั้งพลังงานดินน้ำไฟลม จิตวิญญาณ วัสดุ สสาร ต่างๆนานา เราต้องปรุงแต่งให้พร้อมเลยได้สัดส่วนที่มันจะสามารถสังขารกันอยู่รอด ไปรอด ดูแต่ว่าจะขาดใจเมื่อไหร่ ไปเมื่อไหร่ก็ลองดู
-
อาหารชนิดใดที่ฉันได้คล่องก็บอกว่า มันฝืนทุกอย่าง
-
อาหารที่ร้อนก็ลวกปาก มันเย็นเกินไปก็ไม่ไหว ก็ไม่ร้อนจัดเย็นจัดกินได้ทั้งนั้น
-
อาหารที่ปรุงมาถวายเขาก็พยายามอยู่แล้ว ขนาดไร้สารพิษกับปลอดสารพิษ เขาก็ยังเอาคำว่าไร้สารพิษ แค่ปลอดสารพิษคุณภาพยังไม่ถึงไร้สารพิษนะ ปลอดสารพิษคือพยายามรักษาไม่ให้มีสารพิษ แต่ก็ยังใส่สารเคมีอยู่ แต่ก็เก็บเกี่ยวในระยะเวลาที่ปลอดสารพิษ เขาก็ทำอยู่แล้ว พยายามอยู่แล้ว
-
อาหารที่ก่อให้เกิดการไอนั้นอาตมาไม่รู้ เพราะว่ามันยังยาก เขาก็พยายามจะบอกว่าเป็นอันนั้นอันนี้ โดยเฉพาะบอกง่ายๆคืออาหารมันแห้งๆ จะทำให้ไอก็เป็นสามัญสำนึกตื้นๆ อาหารที่เข้าไปในปากแล้วมันจะแห้งขนาดไหนมันก็ไปปนกับน้ำลาย น้ำย่อยภายในตลอดเวลามันแห้งไม่ได้หรอก ก็เลยไปเอาความเข้าใจง่ายๆ คิดว่าอาหารแห้งจะไปเกาะกับหลอดอาหาร หลอดคอ ติดคอ ก็เป็นความรู้สึกความเข้าใจง่ายๆตื้นๆ ซึ่งจริงๆแล้วจะแห้งขนาดไหนเข้าไปในคอแล้ว มันไม่แห้งหรอกเพราะมันจะมีน้ำมีเมือก ตลอดทางของมันไม่มีแห้งได้หรอก มันอยู่ที่เหตุปัจจัยมากกว่านั้นก็คือมีกระเปาะ ที่มันทำงานชนิดใด หมอก็ยังไม่รู้รายละเอียดว่ามันเก่งขนาดไหน มันจะมีช่องทางออกมาอย่างไร ปรุงแต่งอย่างไรให้เกิดอาการ แต่ที่อาตมารู้ตัวก็คือ เวลาจะไอมันจะมีอาการคันในคอ มันคันมันจึงต้องไอ ไม่ไอไม่ได้เหมือนอาการคันคุณก็ต้องเกา คล้ายๆอย่างนั้น ก็ดูไป
-
ไม่ได้สังเกตหรอกอาหารใดที่เพิ่มพลังงานชัดเจน ไม่รู้สิ ตอนนี้เขาให้ดื่มน้ำให้มาก เดี๋ยวก็ให้ดื่มน้ำดื่มน้ำ นี่จะมากหน่อย คิดง่ายๆว่าน้ำจะทำให้มันไม่แห้ง ซึ่งจะลดอาการไอ ถ้ามันแห้งมันก็ติดก็ทำให้ไอ ก็ตีความอย่างนั้นง่ายๆ อาตมาก็ดื่มจนพุงกางหลายที
-
การเป็น independent Man เขาเสนอมาอาตมาก็เลือกได้ มีอิสระเสรีภาพพอที่จะเลือก แต่เขาเสนอมา เขาพยายามฉันไม่ได้ขัดแย้งอะไร เจตนาดีปรารถนาดีอาตมาก็นับถือความปรารถนาดีที่ให้กันมาก็ทำไป
-
สุขภาพโดยรวม ก็ถูไปไถไปได้ ตอบง่ายๆอย่างนี้ จริงนะ.. มันไม่ได้หมายความว่าเหมือนหนุ่ม 20 กระปรี้กระเปร่า แคล่วคล่อง ทำอะไรไม่ได้เหนื่อยง่าย ไม่ต้องมานอนพัก ก็ไม่ใช่ อันนี้ทำอะไรไปบ้างก็เหนื่อยแล้วต้องพัก ก็พักไปทำไป ซึ่งก็ดี ตรงที่ว่า พวกเราเข้าใจแล้วยกให้อาตมาแล้ว จะอยู่อย่างไรจะเป็นอย่างไรเชิญเลย เขารับผิดชอบช่วยกันทั้งนั้น อาตมาอยู่ให้สบายเอาชีวิตรอดให้ได้ไปเรื่อยๆก็แล้วกัน ทุกคนยกให้ ตรงนี้ก็ต้องขอบคุณทุกคน ก็พยายามไป สังขารก็ถูไปไถไป มันเป็นการพิสูจน์การต่ออายุไขของเราด้วย เหตุปัจจัยทั้งหมด 8 อ. นั่นแหละ ก็พยายาม ก็เป็นการพิสูจน์ 8 อ. ด้วย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน….พ่อท่านพยายามเน้น 8 อ. แต่พวกเราเวลาอินกับศาสตร์ไหนก็ทุ่มเทจนลืม 8 อ.
การนั่งหลับตาเป็นศาสนาเทวนิยมอย่างไร
_จากคนบ้านนอกคอกนา : อิฉันตามฟังหลวงพ่อมาพักนึงพักใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้เกิดสงสัยขึ้นมาว่าที่หลวงพ่อพูดถึงศาสนาเทวนิยมนั้นมันเกี่ยวข้องกันยังไงกับการนั่งหลับตาล่ะเจ้าค่ะ ขอบคุณหลวงพ่อมากเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… เรื่องนี้ยาวแน่นอน
การนั่งหลับตา นี่ หลับตาทำไม การนั่งหลับตา ของคนทั่วไปในโลกทั้งโลกเลย นั่งหลับตาชนิดหนึ่งที่ถือว่า การนั่งหลับตาทำสมาธิ ภาษาไทยก็เอาคำว่า สมาธิของบาลี มาเรียกการนั่งหลับตาและเกิดสมาธิ
สมาธิแปลเป็นไทยว่าจิตตั้งมั่น จิตมันแข็งแรงตามที่เขาต้องการ เขาจะมีสัญญามีทิฏฐิอย่างไรเขาต้องการอย่างนั้น อย่างที่ เขาเข้าใจว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นให้มันได้จิตอย่างนั้น
-
มีจิตนิ่ง 2. จิตมันรวมแน่น ทั้งนิ่งและก็รวมแน่น อะไรมากระทบกระแทกกระทุ้งอย่างไรมันก็ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ นิ่ง แน่น นาน ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย อะไรมากระทบกระแทกกระเทือนอย่างไร มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ เขาหมายถึงอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นลักษณะของ สมถะ ฟังประเด็นนี้ให้ดีนะ แล้วจะชัดเจนเลย
นี่คือสมาธิของคนทั่วไปทั้งโลกเรียกว่าพวกชาวเทวนิยม หรือ ชาวโลกียะทั้งหลายโลกๆ ธรรมดาคนสามัญในโลกเป็นโลกียะ
ทีนี้ คำว่าสมาธิของพระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์ของท่านคำว่า สมาหิตะหรือสมาหิโต พยัญชนะนี้อยู่ใน เจโตปริยญาณ 16 แปลว่า จิตตั้งมั่นดังที่เขาหมายถึง อย่างเดียวกัน แต่ไม่ต้องไปหลับไม่ต้องไปสะกดจิตไม่รับรู้นิ่งแน่นนาน ไม่ใช่อย่างนั้น
จิตเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคือ จิตที่ไม่นิ่ง แต่คล่องแคล่ว ว่องไว ทั้งภายนอกภายในด้วย กายปาคุญญตา ทั้ง จิตตปาคุญญตา มีความแคล่วคล่อง ว่องไว ปราดเปรียวทั้งหมดเลย แต่ไอ้ที่นิ่งนั้นคือ กิเลสมันหายไปจากจิตเลย ตัวnewsance ตัวกวนไม่มีมาเลย จะเรียกว่าผีมารซาตานก็แล้วแต่ คือ กลิ ตัวที่เป็นภัยเป็นโทษของจิต นี่คือนัยยะละเอียด จับตัวนี้ให้ได้ ตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด ละเอียดมาก จนมันเกลี้ยง จิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อย่างตั้งมั่นแข็งแรงเที่ยงแท้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
หมายความว่าสะอาดชนิดที่เรียกว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ไม่ใช่ไปหยุดนิ่งแข็งเฉย ไม่ใช่ แต่คล่องแคล่วมีปัญญาเข้าร่วมอย่างสำคัญเลย แล้วรู้ดีรู้ชั่วรู้โลกียะ โลกุตระ ชัดเจนหมด แล้วทำให้สุดยอดของโลกียะ สุดยอดของโลกุตระ สุดยอดเบื้องต้นคืออรหันต์ โพธิสัตว์ระดับ 4 อย่างนี้เป็นต้น สูงกว่านั้นก็เจริญไปได้ จะต้องเกี่ยวข้องกับความกว้างของจิตที่แตกต่างของแต่ละคน คนคนหนึ่งก็มีแง่มีประเด็นเยอะด้วยและอีกหลายๆคนในโลกใบนี้นับไม่ถ้วนไม่มีวันจบง่ายๆ แต่ให้มากที่สุด
เพราะฉะนั้นผู้ใดทำให้มากที่สุด ผู้นั้นจบอภิภายตนะ 8 เป็น อภิภู ที่อาตมากำลังอธิบายถึงตรงนี้ จนครอบงำสถานะพวกนั้นได้ มีอิทธิพลเหนือสถานะด้วยความมี อภิภุยฺยะ
นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาศึกษาตามก็พอมีหลักฐาน อาตมามีสภาวะลึกซึ้งเหล่านั้น สภาวะที่ละเอียดลึกซึ้งนั้นจะละเอียดกว่าพยัญชนะที่ท่านว่ากันไว้ โดยเฉพาะที่แปลเป็นภาษาไทย ก็แปลไม่ถึง
อาตมาว่ามาจากบาลีนั้นเข้าถึงมากกว่า เข้าถึงสภาวะมากกว่า เริ่มตั้งแต่ ก หมายถึงสภาวะอย่างไร ข หมายถึงสภาวะเอง ค ฆ ง มีสภาวะอย่างไร อาตมาเข้าใจสภาวะของพยัญชนะเหล่านี้
รากเหง้าของภาษาบาลี
วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง
วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ
วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น
วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
สมาธินั่งหลับตาทำจิตให้นิ่ง โลกียะเขาเข้าใจว่าทำจิตให้ทื่อหยุดนิ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับจิตของพระพุทธ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้ทำให้จิตหยุดนิ่ง แต่เอาเหตุปัจจัยที่ทำให้จิตไม่บริสุทธิ์ออกไป ที่มันเป็นเหตุแห่งความไม่ดีพาให้ไม่รู้ ไม่พาให้ฉลาดเฉลียว ไม่พาให้เป็นอาริยะ พาไม่เข้าใจโลกุตระ นั่นแหละเอาจิตเหล่านั้นออก จนมันออกไปได้จริงด้วยว่าเนกขัมมะ ออกได้หมด ก็ได้จิตตัวที่มีประสิทธิภาพที่ไม่มีภาษาเรียกแล้ว เป็นจิตที่มีประสิทธิภาพ ทั้งรู้ทั้งฉลาด ทั้งเป็นได้ในตัวเอง แล้วเป็นจิตประเสริฐ เป็นจิตยิ่งใหญ่ เป็นทั้งเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นทุกอย่างเลย เป็นทั้งพระพรหม เป็นทั้งพระโพธิสัตว์ เป็นทั้งผู้ปราบ
ผู้ปราบบางทีก็แย่งกันระหว่างพระศิวะกับพระราม ท่านแย่งกันเป็นผู้ปราบ ผู้ที่เป็น กลางเรียกว่าพระพรหม ตรีมูรติมี พระศิวะ พระราม พระพรหม ก็แย่งกันไม่เป็นไร แย่งกันเพื่อที่จะช่วยมนุษย์ พระศิวะช่วยในลักษณะปราบ พระรามช่วยในลักษณะสร้างสรรค์ ส่วนพระพรหมก็เป็นกลาง
สู่แดนธรรม… เขาไม่สามารถหลุดออกจากเทวนิยมหลับตาทำสมาธิ นึกถึงตอนเจ้าชายสิทธัตถะอยู่กับ อาฬารดาบส อุทกดาบส อย่างนั้นใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… คำว่า สมาธิของเทวนิยม จะต้องสะกดจิตให้เป็นแท่งเป็นก้อน แน่นนิ่งหนึบหนับอยู่อย่างนั้นไม่กระดิกอะไร ไม่ออกมา ใครก็เข้าใจ
แต่ของพระพุทธเจ้าไปเอาเหตุตัวผี ตัวซาตาน ตัวร้าย ตัวกลิ ที่ทำให้จิตไม่แคล่วคล่องว่องไว ไม่ปราดเปรียว มีอิสระเสรีภาพ มีประสิทธิภาพ มีความประเสริฐสูงส่งยิ่งใหญ่ ไอ้ตัวนี้แหละ ตัวกลิ หยาบ กลาง ละเอียด เรียกว่ากิเลสทั้งหลายแหล่ ที่เป็นตัวการ
ของพระพุทธเจ้าจึงเรียนรู้เหตุ ดับเหตุแล้วทุกอย่างดับหมด เหลือแต่สิ่งที่ประเสริฐ ไม่ต้องไปกดไปข่ม ของพระพุทธเจ้านั้น Dynamic ของฤาษีเทวนิยมมัน Static สรุปเข้าหาวิทยาศาสตร์ 2 ตัวนี้ จบ เทวนิยมอีกฟากโลกียะ จะไปจบที่แค่ Static ของพระพุทธเจ้าเป็น Dynamic และมี Static ด้วย มี 2 อย่าง
สู่แดนธรรม… ในศาสนาพุทธเมืองไทย เป้าหมายคนเก่งสุดยอดไปถึงแค่ อุทกดาบส อาฬารดาบส แต่พวกหลวงปู่หลวงพ่อในเมืองไทยที่ทำก็ยังไม่เก่งเท่าหรอก แต่แม้เก่งถึง เจ้าชายสิทธัตถะก็ยังเห็นว่าไม่ถูกทาง ยังติดในภพ การไม่ออกจากภพไปไหนได้ แบบนี้เรียกเป็นเทวนิยมใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ได้ เทวนิยมเป็นภาษารวม จิตจะสร้างพลังงานที่ตัวเองหยุดๆๆๆ ทำให้แน่ให้นิ่งได้ มันก็ได้ ความสามารถนั้นมันก็ทำได้ ตายแล้วก็เป็นอย่างนี้ นรกไม่รู้ไม่เห็นอะไร
เหมือนพระพุทธเจ้าอุทานว่า ฉิบหายแล้วหนอ จะช่วยได้อย่างไรกับ อาฬารดาบส อุทกดาบส เพราะตัวเองติดในความแข็งสร้างเกราะไม่ให้ใครเข้าไปช่วยได้เลย แข็งแน่นนานไกล หนีออกจากคนอื่นไม่ให้เกี่ยวข้อง ตัวเองก็ไปของตัวเองไม่รู้อยู่ไหน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าฉิบหายแล้ว อันนี้ช่วยไม่ได้เลย ต้องปล่อยเขาไปตามวิบากเขาไปเอง ซึ่งมันเป็นตัวอย่างที่สุดโต่งขนาดหนัก
สรุปลง พวกนั่งหลับตาจะไปเก่งที่สุด อุทกดาบส หรือ อาฬารดาบส เท่านั้น เลิกได้แล้ว อย่าดันทุรังเลย อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร พูดแล้วพูดอีกก็เหมือน โจรที่พระราชาให้เอาไปฆ่าด้วยหอก 100 เล่มเช้ากลางวันเย็นก็ยังเฉย ใครจะแทงอย่างไร ท้วงติงอย่างไร ใครจะมาเตือนอย่างไร ก็ติดยึดของตนเองอยู่ ที่ติดยึดของตน ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเลย ก็ตายๆๆ
ซึ่ง อาตมาก็ได้แต่สงสาร ได้แต่พูด อาตมาพูดยิ่งกว่าหอก 100 เล่มเช้ากลางวันเย็น (เสียงดัง น่าจะยางรถแตก)
ก็น่าจะมีปฏิภาณเข้าใจ นั่งหลับตาสะกดจิต ให้มันแข็ง ให้มันนิ่ง ให้มันแน่น ให้มันนานแบบนั้น มันไม่ใช่ผลทำให้จิตเจริญ จิตประเสริฐ จิตมีคุณค่า จิตมีประโยชน์อะไรเลย มันทำให้ตัวเองทั้งร่างกายทั้งพฤติกรรม กิริยาต่างๆ หยุดแข็ง ยิ่งกว่าเป็นแท่งเป็นก้อนอะไรไป จิตก็หยุด วาจาก็หยุด กายกรรมก็หยุด หยุดให้นิ่งไปได้นาน ฝึกนั่งสมาธิไปเข้าสมาบัติ 7 วันเขาก็เรียกว่าเก่ง ตัวเลข 7 เป็นเลขที่เป็นพลังงานสูงสุดแล้ว นั่งให้มันเก่งนั่งได้ 7 วัน ออกมาแล้วโอ้โห ยอดสมาธิ มานั่งเลี้ยงกัน เอาอะไรมาเลี้ยงกันบอกว่าสุดยอดแล้ว เข้าสมาบัติเข้านิโรธ ก็ไปหลงความเลอะเทอะนอกเรื่องนอกราวอย่างนั้นกัน
สู่แดนธรรม… พระปฏิบัติรุ่นใหม่จะบอกว่า วิปัสสนาขณะนั่งหลับตา เขาได้สมาธิแล้ววิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ได้
พ่อครูว่า… คำว่าพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ได้มันเป็นจินตนาการ ไตรลักษณ์คือ ความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ก็ได้แต่ความคิด เขานั่งหลับตาก็ได้แต่สร้างความคิด อะไรมันเกิดมันเกิดอย่างไร เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป มันไม่จบหรอก สายเทวนิยม สายไม่รู้อนัตตตา ไม่รู้ปรินิพพานปริโยสานเขาจึงไม่จบ เทวนิยมสุดท้ายก็ไปอยู่กับพระเจ้า
คำว่าตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้า เป็นคำตอบของความจำนน จำนนของเขาตายแล้วเสร็จไปอยู่กับพระเจ้าแล้วก็จบ พูดอะไรไม่ออก ต่ออะไรไม่ได้ ไม่รู้เรื่องอะไรต่อ
เพราะฉะนั้นเมื่อตายแล้วจะต้องมาเกิดอีกเวียนวนตามกรรมวิบาก เขาไม่รู้จักกรรมวิบากเลย ตายแล้วก็แล้วแต่พระเจ้า แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะให้ไปไหน นรก ก็มีภพมีชาติ สวรรค์ก็มีภพมีชาติ
ผู้ที่สูงสุดคือ ตายไปแล้วอยู่กับพระพุทธเจ้าก็อยู่ในภพสวรรค์ สวรรค์ก็คือความสุข ถึงเรียกว่า พวกสุขนิยม สุขเที่ยง อะไรตีใส่ในสิ่งที่พอใจ เหมือนมหาบัวว่า พอใจๆ สิ่งที่พอใจเป็นสุขหมด มหาบัว ก็ไม่รู้ว่าที่ตัวเองพูดพอใจพอใจนั่นแหละ คือสุขนิยมที่นิรันดร นี่ตายแล้วคงไปอยู่กับพระเจ้าแล้วมหาบัวนี่ สุขนิยม
คำว่า พระเจ้าเป็นภาษาเท่านั้น สภาวะเป็นอันเดียวกัน
พระเจ้าอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ลึกลับจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้าคืออะไร เทวนิยมไม่รู้จักพระเจ้าคืออะไร ที่จริงแล้วพระเจ้าก็คือตัวเอง คือจิตวิญญาณ แล้วก็ศึกษาจิตวิญญาณคืออะไรจนกระทั่งรู้การเกิดการดับของจิตวิญญาณและทำการเกิดการดับได้ ก่อนจะมาเรียนรู้ความดับ
ชาติ 5 พาพ้น ขิฑฑาปโทสิกะและมโนปโทสิกะ
วันนี้ขอเปิดศักราชเกิดกันก่อน
การเกิด พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 7 วิภังคสูตร
[๗] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง ๑- เกิด ๒- เกิดจำเพาะ ๓- ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ
ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
5 คำนี้เป็นการเกิด ที่มีวิชชา มีความรู้ มีปัญญา รู้จักการเกิดที่พระบาลีว่า ชาติ
ผู้มีปฏิภาณปัญญารู้ว่าการเกิดทั้ง 5 นี้ต่างกันอย่างไร
การเกิดชาติคืออย่างนี้ การเกิดแบบสัญชาติคืออย่างนี้ การเกิดโอกกันติ คืออย่างนี้ การเกิด นิพพัตติ คืออย่างนี้ การเกิด อภินิพพัตติ คืออย่างไร
อาตมาขอยืนยันอาตมาเป็นพระอรหันต์รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เป็นโพธิสัตว์ด้วย อธิบายขยายความได้เก่งกว่าอรหันต์ต้นๆ เพราะระดับ 7 เลยจาก อนิยตโพธิสัตว์ มาเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้ว
ชาติ คือการเกิด เป็นคำกลางๆ
สัญชาติ คือ การเกิดที่มีสัญญา มีความจำ มีวิบาก ที่ได้สั่งสม แล้วตนเองก็เอาวิบากนั้นมาใช้ ถ้าไม่รู้ ไม่เข้าใจ อ่านเหตุปัจจัยของวิบากไม่ได้ ผู้นั้นก็เกิดสัญชาตญาณ คือธาตุรู้มันเกิดจากเราเกิดอย่างที่ตัวเองเคยเป็น เกิดมาในชาตินี้ก็เอามาใช้
จิงโจ้มันเกิดออกมา แล้วมันก็มีสัญชาตญาณบอกว่ามันจะต้องเดินเข้าไปหากระเป๋า ที่จะต้องเป็นที่อยู่ เพราะฉะนั้นจิงโจ้ทุกตัวมันมีสัญชาตญาณ ของมัน
หรือคนทุกคนมีสัญชาติญาณของตัวเองมาเก่า ก็จะเป็นอย่างนั้น เช่นเด็กทุกคนเกิดมา เกิดมาแล้วรู้จักกินไหม เอานมใส่ปากก็ดูดทันทีเลยเป็นสัญชาตญาณอย่างนั้น เยอะแยะต่างๆนานา ยังขยับไม่ได้ก็ร้องไห้เอา พูดไม่เป็น แม่ก็ต้องแปลภาษาร้องไห้ว่าจะเอาอะไร ต้องการอะไรหรือมันเจ็บปวดตรงไหน ต้องแปลภาษาลูกให้ได้ ถ้าแปลภาษาลูกไม่ได้ก็ร้องไห้อยู่นาน ไม่ได้บำบัดสิ่งที่ต้องการ ถ้าแปลได้ไวก็บำบัดการร้องไห้ของเด็กได้ง่ายขึ้น
ชาติ คือการเกิดทั้งหมดเรียกว่า ชาติปิทุกขา การเกิดอะไรก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น
สัญชาติคือเอาของเก่ามาทำให้เกิดตามที่ตัวเองมีมาเรื่อยๆ
โอกกันติ คือ การหยั่งลง ในปัจจุบัน เมื่อเราเกิดมาแล้ว เกิดมาก็มีจิต มีกาย จิตเราก็จะมีกรรม มีวิบาก หยั่งลงไป ถ้าคนที่มิจฉาทิฏฐิ คนที่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไอ้ที่ทำลงไป ถ้ามีต้นรากของกิเลสก็จะได้แต่ชั่วสั่งสมในทางจิตของตนเอง ถ้ามีธาตุดีก็จะมีดีบ้างชั่วบ้าง ถ้าสามารถรู้ความดีความชั่วของโลกีย์นะ ก็จะเลือกเอาที่ดีสะสมลงไป สะสมความดีแบบโลกีย์ ดีที่สุดก็ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วก็สร้างศาสนาเทวนิยม ละชั่ว ประพฤติดี ซึ่งมันไม่เที่ยงหรอก ดีชั่วไปแล้วมันก็ลืม เสร็จแล้วก็มาหาชั่วใหม่ หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้เป็นสมบัติผลัดกันชม นับชาติไม่ถ้วน นับความวนไม่จบ เป็นอยู่อย่างนี้สำหรับโลกีย์
ที่นี้เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ก็พบว่า ถ้าปล่อยให้จิตวิญญาณอัตภาพมันวนเวียนอยู่อย่างนี้ การเกิด ชาติปิทุกขา การเกิดใดๆทั้งนั้นเมื่อมีการเกิด โดยเฉพาะการเกิด
1.เกิดเป็นจิตนิยาม เมื่อจิตนิยามมีอวิชชาก็เกิดกรรมนิยาม แล้วก็เกิดธรรมนิยาม เมื่ออวิชชา การกระทำกรรมทุกกรรม ก็เป็นวิบากเป็นอันทำของตัวเองทุกกรรม หยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่คิดพูดทำ ทางกายกรรมก็เป็นการกระทำ สั่งสม ทรงไว้ ของแต่ละคน
พระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้ว่า
ต้องเรียนรู้เรื่องของกรรม การกระทำ
1.มันมีดีมีชั่ว โลกียะเขาก็ต้องพยายามเอาแต่ดี ให้ละชั่วประพฤติดีนี่เป็นโลกียะ ได้ดีต่อไปมันก็ไม่เที่ยง วนอยู่อย่างนั้นไม่รู้กี่ล้านๆชาติ
พระพุทธเจ้าจึงศึกษาว่าดีก็ดีแหละ แล้วเอาด้วย พฤติกรรมที่มันเป็นกรรมดี ก็เอา เอากรรมดี สุ=ดี ทุ=ชั่ว ก็ทำสุ ให้เป็นสุคติไปเรื่อยๆ สั่งสมแต่ดี
-
แล้วจะอยู่กับกรรมกับธรรมะความทรงสภาพนี้ ไม่รู้จักจบ สลายจิตวิญญาณนี้ ไม่ให้เป็นจิตวิญญาณเลยได้ไหม ….พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้ค้นพบ ว่า อ๋อ.. สลายได้ มันเป็นเหตุปัจจัยของสังขารของการปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น แล้วก็เกิดวิญญาณ แล้วก็มาจบอยู่ตรงนี้ อวิชชา สังขาร วิญญาณ