641217_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 1 กับข้อที่ 8 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1sqHhURe5kEGTxmItoKmF3oK2UC9BOmqO6Phq86nQDYM/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/16zpeUe-ImN9naAonVvRUm1TMz8PDrvfH/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/9YfVePU-_b/ และ https://youtu.be/W0b15xXtXxM สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 ใกล้จะถึงงานเพื่อฟ้าดินแล้ว ที่ราชธานีอโศกจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 เราจะได้ร่วมแรงร่วมใจกันบำเพ็ญคุณ ก็คงเน้นเรื่องอาหารเป็นหลัก ตอนนี้มีสิ่งที่น่าอนุโมทนาที่ปฐมอโศก มีกะหล่ำปลี โตเป็นหัวแล้ว ก่อนบ้านราชฯ ประสบผลสำเร็จเป็นอัศจรรย์ มะระจีนก็ฝักใหญ่ เป็นปีแรกที่ปลูกที่เนินพอกิน ก็ได้ผลดีขนาดนี้แล้ว แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าพีชนิยาม คือ จิตนิยาม ที่มาฟังพ่อครูกัน พ่อครูว่า… SMS วันที่ 15-16 ธ.ค. 2564 _แดง ลานกราบ : ฟังทิดไพรวัลแล้วเกิดการเข้าใจเพิ่มขึ้นค่ะ เถระสมาคมเอาแต่สนใจในตำแหน่ง เล่นงานทิดไพรวัลไม่ได้ก็เล่นงานอาจารย์ของทิดไพรวัลแทน เหมือนตอนพ่อครูเลย เล่นงานพ่อครูไม่ได้ก็เล่นงานเจ้าอาวาสที่พ่อครูอยู่แทน จนพ่อครูต้องลาออกค่ะ เร่งปฏิบัติตนให้พ้นกิเลสดีกว่ามัวไปถามว่าใครเป็นอรหันต์บ้าง _สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : เคยได้ยินแต่ธรรมตถาคตตรัส สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายมิได้ ในเวไนยสัตว์ที่ยังอวิชชากางกั้นฯ มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ‘ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฎ’ ไม่ทราบกับธ.เดียวกับที่พ่อครูกล่าวไหม?? / พ่อครูคะ อ.หมอเขียวบรรลุอรหันต์หรือยังคะ เพราะเคยได้ยินอ.หมอเขียวพูดว่า ทุกสิ่งในโลกล้วนคือสสารกับพลังงานเท่านั้น ถ้าไม่เป็นอรหันต์จะพูดเหมือนพ่อครูได้ยังไงคะ พ่อครูว่า…เออ ก็น่าคิด ถามอาตมายังไม่ชัด ต้องไปถามหมอเขียวเองว่าบรรลุอรหันต์หรือยัง อะไรอย่างนี้นะ อาตมาก็พูดได้ตามหลักการ ก็ผู้ที่คบคุณก็พอบอกได้ แทนที่คุณจะถามอาตมานะ คุณตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจเรียนรู้ตาม น่าสนใจไหมล่ะ หมอเขียวสอน หมอเขียวอธิบายน่าสนใจไหมล่ะ น่าสนใจติดตามศึกษาและปฏิบัติตามดู แล้วคุณจะรู้เองว่า อ๋อ หมอเขียวก็อธิบายไม่นอกไปจากอาตมาเท่าไร อธิบายคล้ายกันไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มรู้กันไปตามลำดับแล้วว่า กาย หมายความถึงอย่างนี้ สามารถเข้าใจ กายได้ ก็พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 เป็นสัมมาทิฏฐิจริง ผู้ที่พ้น สักกายทิฏฐิ ไม่มีวิจิกิจฉาเลย ว่า กาย เป็นอย่างนี้ กาย มีภายนอกอย่างเดียวไม่ได้ กาย ต้องมีภายนอกและภายในด้วย นี่เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของคำว่า กาย ซึ่ง กาย ยังมีนัยยะสำคัญอีกหลายแง่มุมหลายประเด็นมากเลย ให้คุณศึกษาตามไปแล้วก็จะรู้ อ๋อ แล้ว ศีล ก็ สามารถปฏิบัติได้ไหม พ้น สีลัพพตปรามาส ไหม นี่พ้น สังโยชน์ 3 เป็นพระโสดาบัน ยิ่งพ้น สังโยชน์ข้อที่ 4 ข้อ 5 กามก็ดี ปฏิฆะก็พ้นได้ จนพ้น มานะ อุทธัจจะ พ้นอาสวะก็จะรู้ แล้วคุณก็จะได้ทำตาม แทนที่จะเอาแต่ถามอาตมา อาตมาไปได้แต่พยัญชนะภาษา ตั้งใจศึกษาติดตามให้ดีๆ _2166 จอมยุทธิ์เดี่ยว : กราบนมัสการครับพ่อท่าน ผม FC บุญนิยม ขอเสนอปลด พิธีกร”ไอ้แป้ง”(เพื่อนรักผม)ขอซาวเสียงท่านผู้ฟังดูครับ? พ่อครูว่า…ที่นี่เขาถามว่าเขาผิดอะไรถึงจะปลดเขา คุณจะชังก็ชังส่วนตัวสิ ไปชวนคนชังทำไม เขาก็ทำหน้าที่ของเขาได้ดีอยู่ ช่วยอาตมาได้หลายอันเลย คุณเองส่วนตัวของคุณก็เป็นส่วนตัวอย่าไปขัดส่วนรวมสิ _มุ่ง ตรงธรรม : สิกขมาตุกล้าข้ามฝันท่านสื่อการสิ้นได้ตัวตนและการหลุดพ้นได้เข้าใจง่ายมากครับ พ่อครูว่า… ก็หมายความว่าสื่อสภาพที่จะให้สิ้นตัวตนหลุดพ้นได้ ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว อยู่ที่ตอนมีชีวิตเราทำกรรมอย่างไร _น้อมกราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ ดิฉันได้ชื่อใหม่ว่าสินอโศกที่พ่อครูตั้งให้เจ้าค่ะ เคยเขียนเข้ามาอยู่ แต่ไม่ได้ทำบ่อยสักเท่าไหร่ เนื่องจากใช้เวลาและเขียนไม่เก่งต้องแก้ไข และไม่ทราบว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรด้วยในบางครั้ง แต่ดิฉันก็อยากมีส่วนช่วยพ่อครู เรื่องการมาเสียสละ มาเป็นพระโพธิสัตว์เจ้า มาช่วยเหลือมนุษยชาติในยุคนี้ ดิฉันอยากให้พ่อครูอยู่โดยสบายเจ้าค่ะ ได้ทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติ อยู่เพื่อชาวโลกไปอีกนานนนนนเจ้าค่ะ ดิฉันขอให้พ่อครูอยู่โดยสบายทั้งทางร่างกาย และทางจิตวิญญาณเจ้าค่ะ พ่อครูว่า… ยอมรับตามที่คุณให้เป็น ก็เป็นไปตามธรรมเทศนาดีก็ขอบคุณมาก อยากให้อาตมาอยู่สบาย ทำงานช่วยมนุษย์ก่อน คนเข้าใจอาตมาก็อยากให้อาตมาอยู่ไป คนไม่เข้าใจก็อยากจะให้ทำไมไม่ตายไปเสีย ก็เป็นเรื่องธรรมดา ดีไม่ดีก็ไปว่าเขา เขาก็ยิ่งจะบอก ไอ้นี่ทำไมมันเหนียวจริงๆ ทำไมไม่ตายสักที 80 กว่ามันน่าจะตายแล้ว พูดถึงเรื่อง ตายๆนี่ ไม่ต้องไปกลัวมากหรอก มันเป็นธรรมชาติของการอยู่การตาย เป็นเรื่องธรรมดา ถ้ายังจะอยู่ แม้จะเป็นพระอรหันต์อยากเป็นพระโพธิสัตว์ยังอยากอยู่ก็ได้ เรียนให้ดีๆจะรู้ว่าการเกิดการตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ไม่ใช่เรื่องน่าหนักอกหนักใจอะไรความตายความเป็น ประเด็นเล็กๆน้อยๆแค่ว่า ถ้าเราจะตาย เราก็ดูว่าเราเองผ่านชีวิตมา แม้จะยังไม่ดีในเบื้องต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่ต่อไป ไม่เป็นบ้องกัญชาแต่จะเป็นบ้องข้าวหลาม ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ต่อไปเป็นบ้องข้าวหลามใส่กะทิเลย มันก็ดี หรือ เราเองจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดูท่าทีดีหน่อยนะ แต่พอยิ่งยาวยิ่งแย่ลง นี่แหละคือเริ่มต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอต่อไปๆ เป็นบ้องกัญชา เมาโลก เมาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เกิดมาเสียชาติเปล่าๆแท้ๆ หลงใหลได้ปลื้มกับลาภยศสรรเสริญสุข อาตมามองดูทางเถรสมาคมน่าสงสารและก็ติดยึด พระพุทธเจ้าตรัสไว้สอนไว้แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีแก่นแล้ว ศาสนามีแต่ดอกแต่ใบลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่ไม่มีกระพี้ไม่มีเปลือกไม่มีสะเก็ด เดี๋ยวนี้จริงๆนะ เขาไม่มีศีลกันแล้ว เขามีแต่วินัย แล้วเขาก็หลงว่าเขามีศีล เขาก็ยืนยันว่าเขามีศีล 227 ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย ถ้าเห็นความต่างของวินัยกับศีลให้ได้ในเรื่องนัยยะที่ลึกซึ้งสำคัญ เขาไม่ได้พัฒนาก้าวหน้าในเรื่องศีลเลย เอาแต่วินัย ซึ่งก็ดีระดับหนึ่ง ตั้งใจปฏิบัติให้ดีไม่ผิดวินัยก็ดี แต่ไม่ได้ก้าวหน้าเป็นศีลสมาธิปัญญาเลย แล้วไม่ได้รู้จักศีลสมาธิปัญญาไม่ได้เริ่มต้นศีล ไม่ได้เริ่มต้นอปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ได้เริ่มต้นสัทธรรม 7 ไม่เกิดฌาน ของศาสนาพุทธ กลายเป็นฌานนั่งหลับตา อย่างที่เขาหลงใหลกันไปทั้งหมดละมั้ง อาตมาว่า มันก็เลยล้มเหลวอย่างฟื้นไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสยืนยันว่า ธรรมะของท่านเป็นเรื่องมหัศจรรย์ แล้วแยกมา ตั้งแต่อาตมานำมาขยายความพระไตรปิฎกเล่ม 23 เริ่มตั้งแต่ข้อ 109 ท่านนำเอามหาสมุทรมาเปรียบเทียบเป็นความมหัศจรรย์ ท่านเปรียบเทียบสมบัติในมหาสมุทรกับมวลมนุษยชาติ แล้วก็มีคนที่อยู่ในมหาสมุทร ที่มหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า ฟังดีๆ อาตมาคิดว่า มันลึกซึ้งจริงๆนะ ปหาราทสูตร ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 1 ปหาราทสูตร ล.23 [๑๐๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต ใกล้กรุงเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะจอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า ดูกรปหาราทะพวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ ท้าวปหาราทะจอมอสูรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทร ฯ พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ ป. มี ๘ ประการ พระเจ้าข้า ๘ ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอไม่ล้นฝั่ง นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๒ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ พ่อครูว่า…ความน่าอัศจรรย์ข้อ 1 นี้แม้แต่ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ก็ได้ผิดเพี้ยนไป เพราะการปฏิบัติของพระในศาสนาพุทธทุกวันนี้ตัดลัดเอาศีลทิ้ง อปัณณกปฏิปทา 3 เอาไปทิ้ง สัทธรรม 7 ก็ไม่มี แต่ไปยึดเอาฌาน โดยยึดผิดอีก ฌานก็ได้โดยการนั่งหลับตา ได้เป็นมิจฉาฌาน แต่ไปหลงว่าต้องเอาฌานเลย ลัดจากศีล ลัดจากอปัณณกปฏิปทา 3 ลัดจากสัทธรรม 7 เห็นไหม ตัดทิ้งศาสนาพุทธไปตั้งมาก ไม่ได้ไปใส่ความ แต่มันน่าสงสารมาก เพราะมันมิจฉาทิฐิไปไกลเหลือเกิน อาตมาเอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมายืนยัน ถ้าหากอาตมาจำได้เองเอามาพูดเองไม่มีหลักฐานในพระไตรปิฎก อาตมาถูกฟันคอทิ้งเลย จริง เขาจะไม่ฟัง เขาจะไม่เชื่อ ไม่เข้าใจ จะหาว่า อะไร ก็ฌาน เขาก็ไปนั่งหลับตาก็เข้าฌานได้แล้ว ฌาน ต้องนั่งหลับตาเข้า ออกจากฌาน ก็ต้องลืมตาออกมา ไม่หลับตาทำไม่ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผิด เป็นอจินไตย ฌานของพระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย คิดเอาเองไม่ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีจริงเข้าถึง ฌาน อย่างเช่นอาตมาอธิบายธรรมชาติจิตอาตมาไม่เป็นฌาน เละไปหมดเลย ขนาดนั้น ยังมีสัญญาวิปลาสเป็นบางครั้งบางคราวเลย ฌาน คือปัญญา ปัญญาคือฌาน แล้วปัญญาจะมีในการหลับตาไม่ได้ ต้องเกิดในการลืมตา ใน มหาจัตตารีสกสูตรยืนยันไว้ชัด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ จะเกิดจากการปฏิบัติ มีธัมมวิจัย สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา สมาธิของมรรคมีองค์ 8 คือข้อ 8 เท่านั้นนั่งหลับตาทำเลย ส่วน 7 ข้อแรกก็ตัดทิ้งไปเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรว่า สัมมาสมาธิอันเป็นของพระอริยะปฏิบัติอย่างไร พระพุทธเจ้าบอกว่าไปปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์จะเกิดสัมมาสมาธิ เขาอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก หลับตาปฏิบัติไม่มีมรรคทั้ง 7 องค์เลย อาชีพ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ ไม่มี มีแต่มิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ข้อที่ 1 แล้ว มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ ก็ไปได้มิจฉาสมาธิเท่านั้น ศาสนามันเสื่อมมันผิดไปไกล แม้ข้อ 1 ข้อแรกที่มหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าก็ไปไกลเลย ไม่ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล มันตัดลัดทิ้งไปหมดเลย หั่นทิ้งไปหมดเลย แล้วอาตมาก็ยืนยันว่าศาสนาพุทธไม่มีหลับตาปฏิบัติ ฌานก็ได้จากการลืมตา สมาธิก็ได้จากการลืมตา เข้าสมาบัติก็ลืมตา อย่างนี้เป็นต้น เป็น ศาสนาพุทธปฏิบัติมีสติตื่นเต็มลืมตา ไม่ใช่ศาสนาปฏิบัตินั่งหลับตาเข้าๆออกๆ ไม่ใช่ หลับตานั้นใช้เตวิชโชตรวจสอบ ทบทวน อะไรทำได้ อะไรเกิดแล้ว อะไรดับแล้วระลึกถึงสิ่งที่ผ่านมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกถึงความเกิดความดับต่างๆ ในธรรมะที่เกิดที่ดับได้หรือยัง ดับถึง อาสวักขยญาณ หรือไม่ อาตมาอธิบายธรรมะมา 50-51 ปีแล้ว 51 ปี เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2513 ถ้าถึง 7 พฤศจิกายน 2563 ก็ 50 ปี ถ้าพฤศจิกายน 2564 ปีก็ 51 ปีเต็ม อาตมาบวช 7 พฤศจิกายน เขาตัดลัดทิ้ง ศีลทิ้งไป อปัณณกปฏิปทา 3 ทิ้งไป อปัณณกปฏิปทา 3 คือการปฏิบัติที่ไม่ผิด พยัญชนะก็บอกไว้อย่างนั้นแปลเป็นอื่นไม่ได้ เขาก็ตัดทิ้งหมดเลย สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ไม่มีเลย สัทธรรม 7 คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา ก็ไม่เกิด สับธรรมะพระพุทธเจ้าแหลกเป็นบะช่อเลย บะช่อ แปลว่า สับๆๆๆ เดี๋ยวบะช่อเสียเลย หั่นของท่านทิ้งไปหมดเลย บาปนะ เป็นโจรปล้นศาสนา เป็นผู้ทำลายศาสนา เป็นผู้ทำให้ศาสนาพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยน มันบาป ไม่ใช่ว่าอาตมาลงโทษไม่ได้อาตมาไปกล่าวไปว่าอะไร ที่พูดนี้เป็นการเตือนสติ แก้กลับเสีย ผิดไปแล้วก็รีบเลิก รีบถอนตัว มันหนักที่ว่าเขาไม่ฟังอาตมาพูดหรอก ฟังเหมือนสายลมพัดผ่าน แล้ว เขาไม่มาเปิดฟังเปิดดูหรอก เขาก็จะไปเปิดดูแต่ มหาบัว ญาณสัมปันโน ตายแล้วเขาก็มาเปิดทวนเปิดดูอยู่ตรงนั้นเป็นใหญ่ คือ มันหลงติดยึด หลงนับถือ ครูบาอาจารย์ที่มิจฉาทิฏฐิกัน ติดยึดกัน แหม อาตมาไม่มีเสน่ห์เสียเลย เป็นคนซื่อ พูดสัจจะ พูดตรงไม่มีอ้อมค้อม ไม่พูดหวาน คารมคำคมงามงอนไม่มี มีแต่พูดเปรี้ยงๆตรงๆ ก็น่าสงสาร นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… ไปวัดเขามีว่าจะได้อะไร มีให้หวยบางวัด บางวัดมีของให้ เขาไปแต่ละวัดก็หวังว่าจะได้อะไรกลับมา ของวิเศษอะไร แต่มาที่นี่มีแต่ความจริงที่ทำให้หมดเนื้อหมดตัวให้มาจนด้วย ก็เลยมีแต่ พวกที่ต้องการความจริง ต้องการของจริงที่ได้มาฟังธรรมกัน สู่แดนธรรม… พ่อท่านจะไม่ได้คนกเฬวราก พ่อท่านจะได้หัวกะทิ พ่อครูว่า… พูดให้รู้สึก เสียวสยอง กลัวผมจะหงอกไว จะเห็นได้ว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นความมหัศจรรย์ ที่ไม่ตัดลัดความ เป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ เพราะฉะนั้นที่ไปตัดให้ขาดให้วิ่งมันไม่เก่งอะไรหรอก แสดงความโง่ต่างหาก ของพระพุทธเจ้าท่านเรียงเป็นลำดับ ลาดลุ่ม เหมือนฝั่งทะเลอย่างดี เครื่องครบครัน แต่เรื่องที่ไปตัดลัดให้ขาดวิ่นเป็นเรื่องโง่ เป็นเรื่องทำลาย ส่วนต่างๆของเนื้อแท้พระพุทธเจ้าออกไปหมด เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่ามหัศจรรย์ ถ้าเข้าใจได้จะเห็นว่า ตกลง แทนที่จะมาตัด ศีล ตัด อปัณณกปฏิปทา 3 ตัด สัทธรรม แล้วไปเอา ฌาน เลย มิจฉาทิฏฐิไปนั่งหลับตาทำ ฌานอีก มันเป็นเรื่องที่ แสดงความทำลาย ทำลายศาสนาพระพุทธเจ้าเสียขาดวิ่น ขาดตอน เสียหาย ทิ้งขว้างออกไปเยอะเลย มันเป็นความผิดอย่างยิ่งใหญ่ ที่อาตมานำเอา วิญญาณาหาร ในปุตตมังสสูตร ข้อที่ 4 มายืนยัน คนที่ทำลายศาสนา คนที่ทำผิด เท่ากับทำลายศาสนาพระพุทธเจ้า เป็นโจรปล้นศาสนา พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบในวิญญาณอาหาร พระราชาถึงสั่ง เจ้าพนักงานให้เอาไปฆ่าด้วยหอก 100 เล่มในตอนเช้า กลางวันอีก 100 เล่ม เย็นอีก 100 เล่ม แล้วตำนาน อุทาหรณ์ของท่านก็บอกว่า ฆ่าด้วยหอก 100 เล่มเช้ากลางวันเย็น มันก็ยังไม่ตาย เห็นความจริงไหม มาถึงยุคนี้ โอ้โห! มันเสื่อมถึงขนาดพระพุทธเจ้าท่านตรัสอะไรไว้ อย่าง ปุตตมังสสูตรทั้ง 4 แม้ข้อที่ 1 กินเนื้อลูก กวฬิงการาหาร ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนงมงาย กินเนื้อลูกไปแท้ๆยังไม่รู้ตัวไม่มีสติ ว่าตัวเอง ไม่มีสิทธิ์ที่จะพาให้ตัวเองบรรลุธรรมได้หรอก สติก็ไม่มี อำมหิตก็อำมหิต เห็นแก่ตัวก็ปานนั้น สัมมาทิฏฐิอะไรก็ไม่มีในการที่จะเดินไปสู่นิพพาน เดินในทางไกลกันดาร เป็นคนที่ไม่ได้ศึกษาแม้แต่คำข้าวที่กินเป็นเบื้องต้น กิเลสมันอยู่ในนี้ที่จะต้องเรียนในเบื้องต้น ของที่เคี้ยวกินเข้าไปในปาก แตะที่ลิ้นด้วยรส ไม่ได้เรียนรู้เบื้องต้นนี้เลย ใน กวฬิงการาหาร มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่ติดยึด เป็นอาหาร ก็ต้องเรียนให้ตรงว่าคำข้าวจำเป็นต้องกิน แล้วก็จะไปติดรสในอาหาร ติดรสในแกงในผัดในเนื้อในพืชผักผลไม้ ก็ยังไปติดมันได้ ก็ถือว่าเป็นคนที่ยังต่ำ ยังบรรลุได้ยาก ยังไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ในสิ่งที่จำเป็นนะ กวฬิงการาหาร คืออาหารที่ต้องกิน แต่ไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ติดในสิ่งที่ไม่ใช่อาหารไปติดในสิ่งเสพติด ติดหมากติดพลูเหมือนอย่างมหาบัว เป็นต้น มันก็เลยหนักใหญ่เลย ตัวที่มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต แต่ไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของมันแล้วมันจะไม่หนักหนาสาหัสหรืออย่างไรไม่โง่หนักได้อย่างไรคน สิ่งที่ไม่จำเป็นเลยหมากพลู ก็ยังไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของสิ่งที่ไม่จำเป็น ถ้าหากติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในสิ่งที่จำเป็นอาหารคือคำข้าว ก็ยังน่าสงสาร แต่นี่น่าสมเพชเลยนะไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องกินเลย เสร็จแล้วก็ไม่รู้เรื่องอีก ยังบอกว่าไม่ใช่สิ่งเสพติด มันยิ่งกว่าฆ่าด้วยหอก 100 เล่มเช้ากลางวันเย็น ก็ไม่รู้ตัวไม่รู้เรื่องอะไร เกิดมาอีกกี่ชาติกี่ชาติก็ยังหยาบ แต่ก็คงเกิดยาก เพราะเป็นโจรปล้นศาสนาหนัก เพราะงั้นจะได้เกิดมาอีกยาก แต่มหาบัว บอกว่าไม่เกิดแล้วเป็นชาติสุดท้าย นี่แหละไปกันใหญ่เลย ซึ่งมันตีลังกากลับกันทุกอย่างเลย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… คือ ถ้าติดแล้วรู้ว่าติด แล้วก็บอก ความเป็นจริง แต่ ความเป็นพระถ้าหากตัวเองติดแล้วยังบอกว่าตัวเองไม่ติด ก็เหมือนอวดอุตริมนุสธรรม เหมือนที่ถามว่าท่านเลิกบุหรี่ทำไม ก็บอกว่ามันไหม้จีวร แล้วตอนนี้ทำไมสูบอีกล่ะ ก็บอกว่ามันไม่ไหม้แล้ว ก็ถามคนถามอีกว่าถูกใจหรือไม่ ก็เหมือนกับรู้ว่าเขายังไม่ยอมรับเท่าไหร่ ก็เลยใช้ภาษาข้างๆคูๆ บอกว่า มันไม่ได้เป็นอันตรายต่อมรรคผล พ่อครูว่า… ก็ความรู้ว่าเป็นสิ่งเสพติด แค่นี้ไม่รู้แล้วจะไปมีมรรคมีผลอะไร ที่อาตมาพูดซ้ำซากยกตัวอย่างก็เพราะว่ามันผิดอย่างมันไม่รู้จริงๆในภาษาไทยก็แปลว่าโง่ มันโง่หนักโง่หนา มันไม่รู้จริงๆมันโง่ ไม่รู้จะพูดอย่างไร อาตมาก็ต้องพูดเตือนสติคนที่ไปหลงใหลไปเข้าใจผิด ไม่อยากจะให้งมงายผิดกันต่อไปเพราะมันน่าสงสาร ที่พูดคำว่าสงสารนี่พูดออกมาจากใจจริง อาตมาเห็นใจคนที่ปรารถนาดีอยากได้นิพพาน อาตมาก็นำนิพพานมาเสนอ ซึ่งต่างกันกับของมหาบัวคนละโลก อันนั้นมันเป็นเดียรถีย์ มันไม่มีนิพพานหรอกเป็นมิจฉานิพพาน ตรวจสอบตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าจริงๆสิ แล้วก็ฟังคำบรรยาย อาตมาก็พยายามฟังการบรรยายของมหาบัว เขาบอกว่า ธรรมะนี้มีแต่ยอดไม่มีใครเทียมแล้วสุดยอด ทำตาม พระพุทธเจ้าเถอะ ปฏิบัติปฏิบัติอย่าไปวุ่นวายอะไรมากมายเลยปฏิบัติ ก็อธิบายวนอยู่ตรงนี้ ไม่มีรายละเอียดของเหตุปัจจัยที่เป็นปฏิจจสมุปบาทต่างๆ สังขารเป็นอย่างไรวิญญาณเป็นอย่างไร นามรูปเป็นอย่างไรไม่เคยอธิบายเลย ไม่เคยรู้เรื่องไม่เคยอธิบายแยกแจกแจงเลย แม้แต่ จรณะ 15 วิชชา 8 ก็ไม่เคย ที่จะใกล้เข้ามาอธิบายพวกนี้เลย ฟังกี่ทีๆ ก็บรรยายไป น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งไม่เกิด ไม่ใช่ผักบุ้งโหรงเหรงนะ มันน้ำเน่า ขนาดนั้นผักบุ้งยังเกิดไม่ได้ ขออภัยพูดแล้วเหมือนกัน ข่มกับว่า แต่ก็ว่าจริงข่มจริง เพราะมันผิดก็ต้อง ข่ม นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ ควรข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง มันไม่ได้น่ายกเลย ปฏิบัติก็ผิดสอนธรรมะก็ผิด แล้วแถมนำสิ่งที่ผิดจาก ไปหลงสรรเสริญเยินยอหรูหรามักมากมักใหญ่ไปอีกต่างๆนานา โดยไม่รู้ตัว มันซ้อนตัวเองบัง ติดภพติดชาติ ความมากมายมหาศาล มหัปปิจฉะ มีมากมีใหญ่ ได้ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ จนกระทั่งผู้อยู่ในระดับสถาบันสูงสุดต้องมาซูฮก ต้องมาเคารพต่างๆนานา มันก็เลยพลอยระเริงหลงไปกับสรรเสริญยกย่องนั้น ยิ่งกว่าว่าวดุ๋ยดุ่ย ติดลมบน ถ้าเชือกไม่ขาดก็ลอยติดอยู่อย่างนั้นถ้าเชือกขาดก็ลอยลงทะเลเลย ว่าวจุฬา มันมีธนูดุ๋ยดุ่ย ติดอยู่กับเชือก มันก็จะส่งเสียง เดี๋ยวนี้เขาไม่เล่นกันแล้ว มันคนละรสนิยม เดี๋ยวนี้ไม่ใช่รสนิยมของสมัยโบราณไปแล้ว อาตมาอธิบายหรืออ่านแต่แค่ ปหาราทสูตร สูตร มหัศจรรย์ข้อแรกที่ราบลุ่มจุดฝั่งทะเลไปตามลำดับ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าธรรมะของท่านเป็นลำดับ ไปโดยลำดับ ไม่ศึกษาลัดตัดความ ศึกษาไปตามลำดับ ไม่กระทำลัดตัดความ กระทำไปตามลำดับ ไม่ปฏิบัติรัดตัดความ ปฏิบัติไปตามลำดับ นี่ท่านตรัสไว้ ละเอียดเลยนะ ศึกษากระทำปฏิบัติไป ท่านยังตรัสอีกว่า พ. มี ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า กระทำนั้นคือมีปฏิปทา กระทำคือ อนุปุพกิริยา ส่วนปฏิบัติไปตามลำดับ อนุปุพปฏิปทา ท่านแปล อนุปุพกิริยา ว่ากระทำไปตามลำดับ แปล อนุปุพปฏิปทา คือการปฏิบัติไปตามลำดับ ฟังก็เลยแยกยาก แต่ภาษาบาลีชัดเจน อันหนึ่งเป็นกิริยาอีกอันหนึ่งเป็นข้อปฏิบัติ แล้วท่านก็บอกว่าไม่ใช่จะบรรลุอรหันตผลโดยลัดหรือโดยตัดความ แต่นี่บอกโดยตรง มันควรตรงตามพระธรรมวินัยพระพุทธเจ้าไม่ตัดทิ้งเลย นายตเกเนวะ อัญญปฏิเวโท ในข้อที่ 1 มันต้องดำริคิดให้มากเลยว่า เอ๊ เราไปตัดลัดความ มันผิดตั้งแต่อันแรกเลยนะแค่ตัดลัดความ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เหรอ เห็นไหมของพระพุทธเจ้า ซึ่งของพระพุทธเจ้านั้นมหัศจรรย์แล้วเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ตัดไม่ได้นะ ตัดลัดความ ของพระพุทธเจ้าทิ้งไม่ได้ ของท่านลาดลุ่มเรียบลงไปไม่ขาดตอนเลยนะ กิเลสมักมากมักใหญ่มักเร็ว ใจเร็วด่วนได้จะต้องเอาให้ได้เร็วไวอยากได้ไวๆ ไม่มีขั้นตอน ไม่มีเนื้อหาที่จะเต็มบริบูรณ์ได้ มันก็ขาด แม้แต่มหัศจรรย์ข้อแรก อาตมาก็ว่ายิ่งใหญ่มากจริงๆถึงขั้นมหัศจรรย์ คุณไม่ตามลำดับ คุณก็ผิดแล้ว ความมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของศาสนาพระพุทธเจ้ามีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายเป็นลำดับอย่างละเอียดละออนะ แต่นี่ คุณไปหั่นขาดทิ้งขว้างกันอย่าง น่าสมเพชเวทนา ตัดทิ้งไปหมด ศีลก็ตัดทิ้ง อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ตัดทิ้ง สัทธรรม 7 ก็ตัดทิ้ง หลงไปเอาที่ฌานเลย ไปเอาฌานจากทฤษฎีไหนก็ไม่รู้ เป็นฌานของเดียรถีย์ ศาสนาพุทธไม่เหลือเลย สู่แดนธรรม… ผมคิดว่าต้นเหตุสำคัญไม่รู้ว่าพระอาจารย์รูปไหนทำมา บอกว่าอย่าไปศึกษามากให้นั่งสมาธิเอาเดี๋ยวก็จะรู้เอง ผมก็ยังโดนอาจารย์เก่าผมต่อว่าอย่างนี้เลย เมื่อผมอ่านพระไตรปิฎกอ่านพระธรรมวินัยในตอนบวชตอนแรกผมกลัวอาบัติก็เลยอ่านพระวินัย อาจารย์ผมไล่ให้ไปนั่งภาวนา อย่าไปอ่านอะไรมาก ให้ไปนั่งสมาธิเลยเดี๋ยวคุณจะรู้เอง นี่คือ Concept ของการไม่ต้องไปศึกษาอะไรมาก พ่อครูว่า… ใช่เขาบอกว่าไม่ต้องสนใจอะไรเลย ไปนั่งหลับตาปฏิบัติเลย เป็นการหลงงมงายหน้ามืดตาบอด อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องเตือนให้ปลุกให้ตื่นขึ้นมา เพราะมันผิดไปไกลลิบเลยไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นเป็นไปไกลลิบเลย หลงว่านั่งหลับตาปฏิบัติแล้วจะบรรลุปัญญาจะบรรลุ เจโต บรรลุสมาธิ ซึ่งมันไม่บรรลุสักอย่าง จะได้ศีลเอง จะเกิดสมาธิเกิดปัญญาเกิดวิมุต มันไม่มีสักอย่างไม่ใช่สักอย่าง อาตมาต้องพูด เพราะว่า ในวงการศาสนาพุทธทุกวันนี้มันเสื่อม จนกระทั่งไปยึดเอาผิดเป็นถูกอย่างที่ทำกัน ที่อาตมาตี ก็มันผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเขาก็ไม่ค่อยฟังอาตมา ไปฟังพระอาจารย์ของเขาเทศน์บรรยาย มันไม่มีแม้แต่นิดเดียวของ ปรโตโฆษะ เพราะฉะนั้นไม่มีทางจะโยนิโสมนสิการจะทำใจให้อย่างถูกต้องแยบคายลงไปถึงที่เกิดที่ดับมันไม่มีทาง มันผิดหมด สัมมาทิฏฐิคู่แรกเลย ปรโตโฆษะ กับ โยนิโสมนสิการ มันก็ไม่เกิด โยนิโสมนสิการ อาตมาก็นำมาไขความ นอกจาก มิจฉาทิฏฐิ คู่แรกเลย คุณไม่สัมมาทิฏฐิได้เพราะคุณไม่ฟังผู้อื่นบ้างเลย ไม่มีปรโตโฆษะเลย ฟัง จะบอกว่าไม่ฟังก็ไม่จริง เขาก็ฟัง แต่ฟังอย่าง ไขหู ฟังอย่างอาบน้ำกลัวเปียก ฟังอย่างไม่สนใจ ไม่ได้เข้าใจเลยว่ากว่าคุณจะปฏิบัติโยนิโสมนสิการได้นั้น ในสุริยเปยยาลสูตร อยู่ถึงข้อที่ 7 ฟังอีกที ทำไมถึงต้องไปอยู่ข้อที่ 7 แสงเงินแสงทองต้องมาก่อน แสงอรุณ7 สุริยเปยยาล (เล่ม ๑๙ ข.๑๒๙ – ๑๓๖) [129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค ข้อแรกคุณต้องได้ยินได้ฟังได้ไปพบสัตบุรุษที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เช่น พระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษ ถ้าไม่ได้ฟังจากพระโอษฐ์ ไม่ได้ฟังจากสัตบุรุษ หรือ ผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ไม่มีทาง ใน มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คุณต้องไปฟังสัมมาทิฏฐิจากมิตรดีสหายดีก่อน เป็นเบื้องต้น ผู้ที่อธิบายสัมมาทิฏฐิ จะต้องพากัน ปฏิบัติข้อ 2 ในสุริยเปยยาล ข้อที่ 2 คือต้องปฏิบัติศีล ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วทิ้งศีลเลย ไม่ใช่ ต้องปฏิบัติศีลคือข้อ 2 เห็นไหม สำคัญนะ เพราะฉะนั้นผู้ใดสอนไม่ให้มาเริ่มที่มีศีล จะเป็น สายท่านพุทธทาสก็ตาม ยิ่งสายทางมหาบัวหรือ ธัมมชโยเอาแต่นั่งสมาธิก็ตาม เละ ไม่เริ่มต้นด้วยศีล ศีลต้องมาอโศกนั่นแหนะ เขาไม่รู้ว่าเอาความยิ่งใหญ่มาให้อโศก พวกเขาถือขวานตัดธรรมะพระพุทธเจ้าทิ้งกันหมดแล้ว สมาธิต้องไปเอาที่ธรรมกาย หรือ นั่งหลับตาพระป่า ปัญญา ต้องไปเอาที่สวนโมกข์ อะไรอย่างนี้ หั่นทิ้งหมดเลย หั่น ศีลสมาธิทิ้งหมดเลยไปเอาปัญญาเลย เห็นไหมว่ามันเป็นความไม่เป็นลำดับให้เป็นอัศจรรย์ เห็นความไม่เป็นมหัศจรรย์เพราะตัดลัดทิ้ง นี่ชัดๆ อาตมาไม่ไปขี้ตู่นะ นั่งสมาธิแบบธัมมชโยหรือสายวัดป่าก็ตัดศีลทิ้ง สวนโมกข์ก็ตัดศีลทิ้ง สู่แดนธรรม… หากจะให้มหัศจรรย์ต้องหมายความว่าต้องมีครบ พ่อครูว่า… ต้องมีครบศีล สมาธิ ปัญญา วิมุต วิมุตติญาณทัสสนะไม่ขาด ต้องเป็นกระบวนทำ ที่ครบสมบูรณ์แบบ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี จะพาให้ปฏิบัติศีลเป็นข้อที่ 2 เมื่อปฏิบัติศีลแล้วจะเกิดชฉันทะ ฉันทะ เป็นมูลกา ในมูลสูตร เป็นข้อแรกเลย เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดฉันทะ เกิดความยินดี ไม่ใช่เกิดฉันทะความยินดีแบบ นันทิ ก็คือยินดีแบบ อะไรอีกเยอะแยะ ความยินดี ปีติก็ยินดี ไม่ใช่เลย แต่ฉันทะ มันมีความฉลาดความรู้ มันมีปัญญาพร้อม มันเป็นมูลเค้าเงื่อนข้อแรกของมนุษย์ เช่น คนนอกศาสนาพุทธมาสนใจศึกษาศาสนาพุทธ แต่เขาก็ฉันทะหรือรักศาสนาเทวนิยมอยู่เต็มรูป เขาไม่ได้มาฉันทะศาสนาพุทธจริง เขาพยายามศึกษา ศึกษาให้ตายคุณก็ไม่เข้าถึงขั้นที่ 2 คือ มนสิการ ของมูลสูตร คุณจะทำใจในใจไม่เป็น ก็ขนาดชาวพุทธยังทำใจในใจไม่เป็น อโยนิโสมนสิการเลย ทำฌาน ก็ไม่ถ่องแท้ ทำสมาธิ ก็ไม่ถ่องแท้ ไม่โยนิโสฯ เพราะไม่สัมมาทิฐิ ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้นลืมตา สมาธิ ของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งลึกซึ้ง สมาหิโต ที่อาตมาเคยขยายความไปแล้ว สมาธิของพระพุทธเจ้า เอา เจโตปริยญาณเป็นหลัก ต้องรู้จัก ราคะโทสะโมหะ แล้วทำให้ราคะ โทสะ โมหะไม่มี ทำให้ได้เป็นคู่ๆ แล้วจะได้ ได้ วิกขิตตังจิตตัง กับ สังขิตตังจิตตัง แล้วไปสู่ มหัคตะ อมหัคตะ แล้วคู่ อนุตระ สอนุตระ ไป สมาหิโต กับ อสมาหิโต แล้ววิมุติ อวิมุติ เพราะฉะนั้นเมื่ออโยนิโสมนสิการ คุณยังไม่ได้เป็นโยนิโสมนสิการ เพราะแค่ฉันทะคุณก็ยังไม่กระเตื้อง คุณไม่ได้รักจริง คุณไม่ได้ยินดีจริงๆ แม้จะคุณยินดีก็เป็นความยินดีแบบงมงาย ไปยินดีสมาธิหลับตา ไปยินดีฌานหลับตา ยินดีปฏิปทา ข้อปฏิบัติออกนอกทาง มันก็งมงายไปหมด ฉันทะ จากข้อที่ 3 ฉันทะ ข้อที่ 4 อัตตา คุณจะไม่มีวันรู้จัก อัตตา เลย หากไปนั่งหลับตาปฏิบัติ มีแต่อัตตาที่แน่นๆๆ เข้า คุณจะไม่รู้จัก โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา แยกไม่ออก ไม่มีวัน สู่แดนธรรม… เขาจะข้ามไป อัตตามันไม่มี พ่อครูว่า… ไปเอาบัญญัติมาทำให้ตนเองโง่ อนัตตา เป็นผลของ อัตตา หากคุณไม่มีเนื้อของอัตตา แล้ว ปฏิบัติลดอัตตา เป็น อนุปคัมมะ ก็จะมีผลของอนัตตา ผู้ อนุปคัมมะแล้ว จะไม่ไปเข้าไปยึดมีหรือไม่มีอัตตา แต่รู้แล้วทำได้ อัตตาก็ย่อมมี เป็นธรรมดาเมื่อยังมีชีวิต เราไม่ยึดอัตตา ไม่ยึดอัตตา เป็นแค่เหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้นเอง ผู้รู้ถึงขั้น มัชฌิมาหรือ อนุปคัมมะ ก็จะพูดอย่างที่อาตมาพูด ผู้ไม่รู้จะพูดไม่ได้หรอก จะรู้จักอัตตา เมื่อรู้จักอัตตา เช่น อัตตา 3 เป็นต้น แล้วจึงจะมีทิฐิ มีทฤษฎี ที่จะไปปฏิบัติ ทิฏฐิสัมปทา ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักการทฤษฎีที่จะนำไปปฏิบัติ ที่จะค่อยๆเริ่มต้นตั้งแต่ สักกายทิฏฐิ แล้วไล่ไปเรื่อยๆ ถ้าทิฏฐิ ไม่สมบูรณ์ไม่รู้กายไม่รู้สัญญา เข้าใจกาย เข้าใจสัญญาไม่สัมมาทิฐิแล้ว ไม่มีทางพ้นความเป็นสัตว์ ใน สัตตาวาส 9 แล้วคุณจะไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าต้องให้ปฏิบัติใน วิญญาณฐิติซึ่งมี 7 ถ้าไปหลับตาแล้วจะมี อสัญญีสัตว์ ในสัตตาวาส 9 ไปปฏิบัติหลับตายึดถือการดับสัญญา ดับเวทนา ว่าเป็นนิโรธ ดับไม่ให้มีความคิดนึกอะไรเลย ไม่กำหนดรู้อะไรเลย ดับ เป็น อสัญญีสัตว์ เพราะฉะนั้นในมิจฉาทิฏฐิของสัตตาวาส 9 ข้อที่ 1 2 3 4 เขาก็อย่างนึง ต่างกับวิญญาณฐิติ 7 แล้ว ยิ่งไปข้อที่ 5 อสัญญีสัตว์ ก็ใน สัตตาวาส 9 คุณยิ่งไปดับอสัญญีสัตว์อีก 4 ข้อหลัง อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็น นิรมาณกายหมดเลย เนรมิตเอาหมด อากาศก็เนรมิตว่าง ตามประสาของฉัน จิตว่างอย่างนั้น มันไม่ใช่การว่างจากกิเลส หยาบ กลาง ละเอียดนันยังไม่เข้ามาหาเป้าอย่างชัดเจน สายท่านพุทธทาสก็บอกว่าฉันอยู่ด้วยจิตว่าง วันๆไม่ได้ทำอะไรฉันอยู่ด้วยความจิตว่างไม่ยึดถือไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร มันก็เลยไม่มีตัวที่จะปฏิบัติ …. ซึ่ง มันไม่ว่างจากกิเลส ตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด หมดแล้ว มันถึงจะว่างจากกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด เห็นไหม มันไม่เป็นอย่างที่ว่า นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… จะเห็นถึงความลึกซึ้งของศาสนาพุทธ แม้แต่เพียงแค่ลำดับอย่างเดียวนี้แหละ สมัยก่อนได้ทบทวนที่พ่อครูแสดงธรรมะ เบื้องต้นจะพูดแต่เรื่องอบายมุขเรื่องของศีล คนก็จะรู้สึกว่าพ่อครูพูดแต่ธรรมะต่ำๆตื้นๆ กว่าจะปูพื้นฐานเรื่องอบายมุขเรื่องศีลมา แต่จริงๆแล้วดูภาพรวม ทำอย่างพ่อครูไม่ได้ง่ายหรอก เจ้าสำนักแต่ละสำนักหากไปพูดอย่างพ่อครูเขาก็จะบอกว่ามันตื้นไป เขาก็เลยพูดไปเรื่องของธรรมะที่สูงๆละตัวละตนไปหมดแล้ว ถ้าพูดต่ำๆ ก็จะไม่สมกับการเป็นเจ้าสำนัก แต่นี่พ่อครู พูดถึงเรื่องอบายมุข พูดเรื่องกินเหล้า แล้วค่อยมาพูดถึงเรื่องศีล เขาถึงพูดว่าถ้าจะเอาศีลก็ไปสันติอโศก ถ้าจะเอาสมาธิก็ไปธรรมกาย ส่วนปัญญาก็ไปเอาที่สวนโมกข์ พ่อครูว่า… ข้อที่ 6 อัปปมาทสัมปทา ไม่ประมาท แม้จะรู้แล้วมีทิฐิสัมมาก็อย่าทำเป็นเล่น อย่าประมาท ต้องละเอียดลออ ต้องสุขุมประณีต ต้องโยนิโส เป็นอันที่ 7 ต้องโยนิโสต้องละเอียดลออเเยบคายถ่องแท้ในรายละเอียดทั้งหมด ประมาทไม่ได้ เห็นไหม เรียงลำดับไล่มากว่าจะถึงโยนิโสมนสิการข้อที่ 7 เพราะฉะนั้นในปัญญาวุฒิสูตร ๑.สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) . ๒. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม) ๓. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . . ๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) (พตปฎ. เล่ม ๒๑ ข้อ ๒๔๘) ผู้ที่ไม่ได้พบสัตบุรุษอย่างบริบูรณ์เมื่อพบพระพุทธเจ้าได้ฟังจากพระโอษฐ์ หรือไม่ได้พบผู้ที่อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นต้องได้คบสัตบุรุษบริบูรณ์ ได้ฟังธรรมที่บริบูรณ์แล้ว ถึงจะทำการโยนิโสมนสิการได้บริบูรณ์ เห็นไหม ในอาหารสูตร เพราะอยู่ๆ จะโยนิโสมนสิการได้ทันทีนั้น มันผิด เพราะฉะนั้นในปัญญาวุฒิสูตร พบสัตบุรุษ ฟังสัทธรรม ต้องบริบูรณ์ คุณจึงจะถึงขั้นโยนิโสมนสิการได้บริบูรณ์ ถึงจะรู้จัก อัตตา รู้จักทิฏฐิ ที่สัมมา แล้วอย่าประมาทนะ ในรายละเอียดต่างๆทำเป็นเล่นไปไม่ได้ ถึงจะถึงโยนิโสมนสิการ เมื่อคุณโยนิโสมนสิการได้แล้วคุณจึงจะปฏิบัติธรรมะไปเป็นลำดับได้ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ เห็นไหมชัดเจนไหม ผู้ที่มีความสูงส่งด้วยปัญญาเรียกว่าปัญญาวุฒิ ขออภัยเหมือนอย่างอาตมา ปัญญาวุฒิ อธิบาย 4 ข้อนี้ได้ละเอียดกว่าธรรมดาที่เคยอธิบาย ใช่ไหม ไม่อย่างนั้นธรรมะเมื่อไม่ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมตามธรรมไปตามลำดับทำอย่างขาดวิ่น ถูกหั่นทิ้งไปไม่ได้ ลัดขั้นตอนไม่ได้ อนุ แปลว่า เป็นไปตามลำดับ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ไม่อย่างนั้นมันตัดลัดความไปหมดเลย พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถึงความมหัศจรรย์ข้อที่ 1 ลาดหลุมยิ่งกว่าฝั่งทะเล เห็นไหมความมหัศจรรย์ข้อที่ 1 อาตมาอธิบายข้อเดียวจะหมดเวลาชั่วโมงกว่า เห็นไหม เห็นความละเอียดลออแห่งความลึกซึ้ง ของธรรมะพระพุทธเจ้าใหม่ ฟังรำคาญหรือเปล่า …ไม่ ฟังแล้วได้ความลึกซึ้งเพิ่มหรือเปล่า ..ได้ จะมาแกล้งยอฉันว่าฉันเป็นดวงจันทร์ที่ถูกเมฆบังหรือเปล่า? เพราะฉะนั้นแม้แต่ข้อที่ 1 ของความมหัศจรรย์ มาเอาข้อที่ 8 ไม่ใช่ลัดนะ มันจะหมดเวลาแล้ว ให้เห็นความมหัศจรรย์ ปหาราทสูตร ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 8 ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ(มหตังภูตานัง) สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาคคนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ มีอยู่ ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งชีวิตมีในธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๘ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ดูกรปหาราทะ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมา ๘ ประการนี้แล ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ จบสูตรที่ ๙ พ่อครูว่า… สัตว์บกเช่นไดโนเสาร์มันก็ไม่ใหญ่เท่าสัตว์น้ำ สัตว์น้ำมีที่ให้มันอยู่ได้ คุณว่าโลกนี้น้ำมากกว่าดินหรือดินมากกว่าน้ำ น้ำก็ต้องมากกว่า มหาสมุทรมีมากกว่า สัตว์ที่อยู่ในน้ำจึงเป็นสัตว์ที่ใหญ่กว่าสัตว์ที่อยู่บนบก สัตว์ใหญ่ๆในมหาสมุทรพระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบกับมนุษย์มหัศจรรย์ในข้อที่ 8 นี้ มหัศจรรย์ในข้อที่ 8 นั้นคือ ในโลกนี้มีพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ นี่คือสัตว์ใหญ่ มหตังภูตานัง เพราะฉะนั้นในมหาสมุทรชุมชนชาวอโศกมีสัตว์ใหญ่อยู่ มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่ได้พูดเล่นแต่มีจริงๆมีสัตว์ใหญ่ แน่นอน ในยุคพระพุทธเจ้าในยุคที่ยังไม่เสื่อม ต้องมีสัตว์ใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นสัตว์ใหญ่คือเป็นสัตว์ที่เจริญ เป็นอาริยบุคคล เป็นสัตว์เจริญเป็นมนุสโส เป็น อาริยกะที่แท้จริง เป็นผู้มีโลกุตรธรรมที่แท้จริง รู้จักจิตวิญญาณรู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพาน รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นจิตเจตสิก เป็นรูป จนกระทั่งถึงนิพพาน ขั้นสรุปอภิธรรมไว้ 4 ตัวจิตเจตสิกแยกจิตเป็นตัวส่วนย่อยไปเรื่อยๆเรียกว่าเจตสิก แล้วเรียนรู้รูปนามของเจตสิกทีละคู่ๆๆ จนถึงนิพพาน อาตมาหยิบเข้ามาอธิบายไม่ใช่ให้ท่องแบบอภิธรรมที่เขาท่องจำกันทั่วไป พวกคุณท่องจำไม่ได้อย่างพวกเขา แต่พวกคุณรู้ตัวสภาวะ แล้วเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติได้จนเป็นสัตว์ใหญ่ จนเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เพราะฉะนั้นสังคมชาวอโศกนี่คือสังคมมหัศจรรย์ เป็นมนุษย์มหัศจรรย์หรือสัตว์มหัศจรรย์เป็นสัตว์ใหญ่มหัศจรรย์ เป็นมหาสมุทรที่มีสัตว์ใหญ่ ท่านเทียบปลาใหญ่ๆ คือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อาตมาสบายพูดได้เต็มที่ เปิดเผยไม่มีอะไรปิดบัง หากปิดบังมันจะเขินอายมังกุ อุทธัจจะกุกกุจจะ รายการอธิบายธรรมะ แต่อาตมาไม่มี มันชัดเจนแม่นชัดมันเราไม่ได้พูดผิดเป็นธรรมดาของเราเลย อันนี้ก็แหม พูดไปแล้วคนจะเข้าใจแค่ไหน แต่มันเป็นเรื่องจริงๆ พูดอรหันต์กันเฉย พูด โสดาบันกันเฉย สกิทาคามีกันเฉย มีสำนักงานอื่นเขาพูดกันใหม่ว่าสำนักเขามี สกิทาฯ อนาคา กันไหม มีคนไปถามพระสมเด็จฯ สมเด็จอะไรก็ไม่รู้จำชื่อไม่ได้ มีคนไปถาม ท่านก็บอกว่า โสดาโสแดอะไร ก็แย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขกันโครมๆเต็มไปหมด ท่านก็ว่าอย่างนั้นท่านเป็นสมเด็จ สมณะเดินดิน… สมเด็จพระธีราจารย์ พ่อครูว่า… แม้แต่ข้อแรกที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ แม้แต่ปัจจุบันก็มีสิ่งที่ยืนยัน มีปลา ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา อยู่ ร่างกายยาว 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400 โยชน์ 500 โยชน์ อธิบายเป็นบุคลาธิษฐาน คิดดูสิตัวมันจะเล็กขนาดไหน สู่แดนธรรม… เขาต้องอยู่น้ำลึกมาก ชาวอโศกถึงจะลึกและใหญ่ แต่เราก็ทำดูตื้นๆ พ่อครูว่า… ดูเหมือนมันเล็กๆ แต่ที่จริงพวกคุณนี้สัตว์ใหญ่นะ มหตังภูตานัง เป็นสัตว์ใหญ่ ภูตานังคือ ธาตุจิตวิญญาณ นี่แหละคือผู้ที่เป็น อภิภู ผู้ยิ่งใหญ่ อภิภูคือผู้มีอภิภุย เป็นผู้ที่มีอภิภายตนะ 8 อภิภู แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ ที่ยิ่งใหญ่เพราะว่ามี อภิภุย อภิภุย คือ มีอิทธิพลเหนือรูปนามเหนืออะไรต่างๆนานา เหนือโลก เหนืออัตตา ครอบงำได้แล้ว มีอิทธิพลเหนือได้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงสามารถมีอภิภายตนะ 8 ขึ้นต้น อภิภายตนะ 8 ข้อที่ 1 เป็นผู้ที่รู้ รูปภายนอก และเห็นรูปภายนอกและเห็นรูปภายใน ไปด้วยกันพร้อมด้วยกัน นี่คือผู้ที่เป็น อภิภู ขออภัยอย่างอาตมานี้เป็น อภิภู เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถรู้รูปภายนอกเห็นรูปภายใน กำหนดรู้รูปภายใน เห็นรูปภายนอก เห็นอย่าง อาตมาไม่อยากให้แปล ปริตตังว่าเล็กเลย แต่แปลว่า บริวาร เห็นรูปภายในภายนอกที่เป็นบริวารก็ดี เป็น อัปปมัญญาว่ายิ่งใหญ่ก็ดี แต่ปริตตัง ไม่อยากจะให้แปลว่าเล็ก มันไม่ใช่ แต่มันเป็นบริวารระดับบริวาร ปริตตัง ถ้าอัปมาณังแปลว่ายิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นจะเป็นผู้รู้ทันทีเลย อภิภายตนะ 8 ข้อที่ 1 จะเป็นผู้ที่กำหนดรู้ภายใน เห็นรูปภายนอกแล้วรู้รูปภายในมีบริวารที่เป็นผิวพรรณดี ผิวพรรณทราม ผิวพรรณก็คือขั้นชั้น คือ วรรณะ 9 อวรรณะ 6 ถ้าขั้นสูงก็เป็นวรรณะ 9 เวลาหมดแล้วเป็นต้น ในรายละเอียดเหล่านี้อาตมาแตกต่างจากท่านที่อธิบายไปบ้างขยายความละเอียดออกมานั้นบ้าง สมณะเดินดิน… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin17 ธันวาคม 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:641215_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ตามปหาราทสูตร NextNext post:641220 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาให้พ้นความสุขคือความโง่Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024