641215_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ตามปหาราทสูตร
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1-G0cR9Wpk12S-ZCPEvnUcCm_bgQdWFsTQnCwR-uM8U0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/17SpRfvEAZpppPe14y6Qatkwma4ojxuRs/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/9VCTzaT11n/
และ
https://youtu.be/Qp5TTbFlamg
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 15 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “อาหารเป็นหนึ่งในโลก” จะเกิดเป็นใครก็ตามก็ต้องกินอาหารทั้งสิ้น โศลกปีนี้พ่อครูว่า “คนฉลาดสร้างอาหารคนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ”
จะสร้างอาหารได้ต้องสร้างดินสร้างน้ำสร้างปุ๋ยสร้างบรรยากาศให้เหมาะสม อาหารจะได้เกิดขึ้น ที่ราชธานีอโศก กำลังระดมสร้างอาหารกันเยอะแยะมากมาย เด็กก็ให้ความร่วมมือ เก็บน้ำปัสสาวะมาทำปุ๋ย ให้เขาทำกิจกรรมที่เกิดกุศลมากขึ้น แต่ละคนก็ได้ทำปุ๋ยทุกวัน อาหารก็หมุนเวียนเป็นพืช มาสู่คนแล้วไปสู่พืชมาเป็นอาหารให้คนอีก
วันนี้เรามาฟังอาหารทางจิตวิญญาณจากพ่อท่านซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดที่จะพัฒนาจิตใจให้เจริญในยุคนี้
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 13-14 ธ.ค. 2564
_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อวานผมได้ยินพ่อครูพูดถึงรถแลมเบตต้าว่า
พ่อครูใช้แต่แลมเบตต้า ไม่ใช้เวสป้า ผมเลยขอถามว่า ทำไมพ่อครูใช้แต่แลมเบตต้า แล้วแลมเบตต้าดีกว่าเวสป้าตรงไหนครับ
พ่อครูว่า…ถามทำไมก็ไม่รู้ ชีวิตตั้งแต่แรกๆก็ไม่มีเงินซื้อรถเก๋งขี่ ก็ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ แทนที่จะใช้รถมอเตอร์ไซค์อย่างคนอื่นเขาก็ไปใช้รถแบบสกู๊ตเตอร์ รถสกู๊ตเตอร์ก็มี 2 ยี่ห้อคือ lambrettaกับVespa
เลขทะเบียนรถอาตมาตอนนั้น 1555 เป็นรถมอเตอร์ไซค์ lambretta ตั้งชื่อว่าจันทน์กะพ้อ ส่วนรถยนต์คันแรกชื่อชบาบาน ซื้อมา 5,000 บาท ตอนนั้นก็แพงเหมือนกันนะ รถญี่ปุ่น Datsun ออกมาใหม่ๆก็ 5,000 บาท แต่ก่อนนี้
ก็ทำงานเป็นทั้งครูเป็นนักทำโทรทัศน์ ทำมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเรียนยังไม่จบ พ.ศ 2500 ออกมาก็ทำงานโทรทัศน์ไม่ได้ทำงานอื่นเลย โทรทัศน์เขาก็ยอมรับอยู่แล้ว เมื่อบอกจะสมัครเขาก็ให้เขียนใบสมัครเลย ก็เข้าไปเลยตั้งแต่บัดนั้น ทำงานอยู่ถึง 12 ปี แล้วก็ยังสอนหนังสือเป็นไซด์ไลน์ ซื้อรถ lambretta วิ่ง โรงเรียนอยู่ตามที่ต่างๆ ก็วิ่งไปสอนน่าดู 3-4 โรงเรียน ก็ได้สตางค์เท่านั้นแหละ มาเลี้ยงช่วยครอบครัวไป เพราะเป็นพี่คนโต มีน้องตั้ง 6 คน ส่งเสียน้องเรียนหมด
เป็นพี่เลี้ยงน้อง มันยากกว่าพ่อแม่เลี้ยงลูก พ่อแม่เลี้ยงลูกมาตั้งแต่เล็กๆจนกว่าจะเป็นหนุ่มสาวมันใช้เวลานาน ส่วนพี่ชายเลี้ยงน้องนั้นมันโตพอๆกันเลย พ่อแม่เสียไปทิ้งน้องไว้ให้พี่เลี้ยง บางคนก็ส่งไปเรียนเมืองนอกเลย อยากไปก็ให้มันไป เล่าไว้แล้วในประวัติ
สรุปใช้ รถ lambretta ซึ่งเครื่องมันวางตรงกลาง แต่ รถ Vespa เครื่องมันจะวางเอียงหน่อย จากนั้น มีฐานะดีขึ้น ก็ใช้รถยนต์ไม่ได้ใช้มอเตอร์ไซค์แล้ว แต่มันก็ยังมีใช้วิ่งไปจรบ้าง ก็ยังอยู่ บางทีก็มีรถยนต์ 2-3 คันทีเดียว แต่ก่อนนี้เป็นคนฟุ่มเฟือยไปตามโลกเขา เก๋นะ เท่นะ ทำบ้า
_แก้ว : เรื่องจิตใจสังขารปรุงมันกว้างใหญ่ จะเอาแค่ บังคับมันอยู่ในกรอบก่อนได้ อย่างไรคะ
พ่อครูว่า… เอาศีลเป็นหลัก ตั้งแต่เกี่ยวกับสัตว์ก็ปล่อยมันไปตามกรรม เราอย่าไปยุ่งกับมัน เกี่ยวกับคนมีวิบากร่วมกันเยอะแยะ แล้วก็ในของ อย่าทุจริตในของ ส่วนทางตาหูจมูกลิ้นกายก็ทางศีล 1 2 3 ศีลข้อ 1 สัตว์เลี้ยง ศีลข้อ 2 เรื่องเข้าของ ศีลข้อ 3 ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ เป็น 3 ข้อหลักใหญ่ ศีล 5 ส่วนศีลข้อ 4 ก็เป็นวาจา ศีลข้อ 5 เกี่ยวกับจิต
_0323 : ผลงานพ่อครู เหนือกว่าผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้วยซ้ำ
พ่อครูว่า…จะไปยกตนข่มท่านไปทำไม รางวัล nobel เขาถือว่าเป็นยอดของมนุษยชาติในโลก เป็นมูลนิธิ ที่มีทุนรอนของนายโนเบลให้ไว้ สำหรับออกดอกออกผลแล้วมีเงินมาแจกจ่ายคนที่สนับสนุน คนที่ทำอะไรได้เด่นๆ คิดค้นอะไรได้ใหม่ๆ
จริงๆเรานี้เป็นเรื่องใหม่มากในโลก ยังไม่เคยมีเก่า มันใหม่ตลอดกาลนานโลกุตระนี่ แต่เขาเข้าใจยังไม่ได้ อันนี้ก็ต้องเข้าใจเขาเห็นใจเขาจริงๆ แต่ก็เป็นธรรมดาเขาเข้าใจไม่ได้ ถ้าเขาเข้าใจได้เห็นเป็นคุณค่าเห็นว่าเป็นยอด เขาก็ต้องให้รางวัล แต่เขาไม่เห็นว่าเป็นคุณค่าก็เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าไหน รางวัลโนเบล รางวัลแมกไซไซ อย่างเราก็ได้แมนเฮมา เขาเห็นเขารู้ก็ให้รางวัลมา อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นไปไม่มีปัญหา
_7458 จารย์หลุย : ยุคโควิด พระเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล กลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง จะช่วยชาวบ้านยังไง
พ่อครูว่า… ขอพูดตรงๆตามสัจจะจริงว่ามันเป็นความเสื่อม ศาสนาพุทธนั้นเสื่อมมาก แม้แต่ผู้บริหารเองก็ยังหลงใหลได้ปลื้มกับใบไม้ผลไม้ ใบดอกของต้นไม้เขาก็ได้แค่นั้น มันเป็นความเสื่อมจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ พ.ศ.2500 นี้ ศาสนาพุทธเสื่อมไปแล้วจริงๆ ไม่ได้ไปลงโทษหรือใส่ความไปว่าอะไร แต่มันเป็นเรื่องจริงที่มันเกิดก็ต้องเอามาพูดอธิบายประกอบให้รู้ว่า มันเป็นจริงอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องกอบกู้ขึ้นมา จะต้องพัฒนาให้มันเจริญขึ้นอย่างไร ก็ว่ากันไป
เขาเอาภาพรางวัลที่วัดชิลซังซา ให้มา เป็นถ้วยกำยานที่ทำจากโลหะ เขาไม่ได้ให้เป็นเงินหรือใบประกาศมา
ก็มีอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ที่ให้รางวัลมาแต่เก่า ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ ก็เคยมาคุยกับอาตมาแล้วลงไปก็บอกกับคนอื่นว่าองค์นี้เป็นอรหันต์ ท่านกล้าพูดถึงขนาดนั้นก็ไม่ใช่เล่นเลยนะ
ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ตามปหาราทสูตร
อาตมาจะเอา ปหาราทสูตร มาเป็นหลัก ในการอธิบายความมหัศจรรย์ ซึ่งมี 8 ข้อ
ปหาราทสูตร ล.23
[๑๐๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต ใกล้กรุงเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะจอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า ดูกรปหาราทะพวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ ท้าวปหาราทะจอมอสูรกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทร ฯ
พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ
ป. มี ๘ ประการ พระเจ้าข้า ๘ ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอไม่ล้นฝั่ง นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๒ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ และในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๓ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
อีกประการหนึ่ง แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและ โคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำ เหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมเปลี่ยนนามและโคตรเดิมหมด ถึงความ นับว่ามหาสมุทรนั่นเอง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๔ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
อีกประการหนึ่ง แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่แม่น้ำทุกสายในโลกย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๕ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๖ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรนั้นมีรัตนะ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๗ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของพวกสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆและสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ก็มีอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้น มีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐โยชน์ ก็มีอยู่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๘ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้แลธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้บ้างหรือ ฯ
พ. ดูกรปหาราทะ ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้ ฯ
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
-
พ. มี ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
พ่อครูว่า…ที่ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ในความเป็นลำดับ คนที่เรียงลำดับได้ดีที่สุดจะบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด สั้นที่สุด ดีที่สุด สะอาดที่สุดด้วย เพราะมัน ไม่ไปวกวนอะไร ตรงไปทีเดียว ใสกระจ่างสว่าง ตรง ซึ่งหายาก
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่สุดในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ทางธรรมชาติบอกว่าราบเรียบน่าอัศจรรย์ ตามเหตุปัจจัย อันนี้พระพุทธเจ้าก็มีเหตุปัจจัยเหมือนกันจึงทำให้เป็นลำดับในระยะสั้นราบเรียบสะอาดที่สุดเหมือนกัน
พ่อครูว่า…ไม่เป็นโลกุตระก็คือไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั่นแหละ พูดเพราะว่าสุดสงสาร เขาตั้งใจมาปฏิบัติดีแต่ก็หลงใหลติดยึดในทาง เดียรถีย์ มันข้ามขั้นลำดับสำคัญ มันจึงยอกย้อน
ลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย หยาบ กลาง ละเอียด แต่นี่ไปนั่งหลับตาเล่นแต่ภายในอย่างเดียว มันผิดกระบวนธรรมไปเยอะ
-
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ดูกรปหาราทะ ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๒ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
สู่แดนธรรม… เขาว่า ตอนมีชีวิตปัจจุบันก็ทำข้างนอกอยู่แล้ว ข้างในก็ไปนั่งสมาธิ
พ่อครูว่า… ข้างนอกคุณทำได้หรือยัง มีจิตเหนือเป็น อนุปคัมมะ เป็นอภิภุยได้หรือยัง เหนือได้หรือยัง นึกว่าได้จากการนั่งหลับตา อย่างมหาบัว นึกว่าได้แล้วยังเคี้ยวหมากปากแฉะไปตลอดจนตาย อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าในโลงศพที่เผาไปเอาหมากใส่ไปให้หรือไม่ (โยมว่าใส่อยู่แล้วตามประเพณี) ใช่ ประเพณีโบราณก็มีอย่างนั้น สุดรักสุดใคร่เลยหมากกับมหาบัว ขาดไม่ได้
คือไม่รู้เรื่องติดสิ่งเสพติดตื้นๆหยาบๆ จะไม่รู้ได้อย่างไร แต่พูดมามากแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร ที่พูดนี้ก็ย้ำเตือนเพื่อที่จะให้ผู้ที่ยังไม่ตาย ที่ยังไปหลงใหลติดยึดอยู่กับมหาบัว ไปนั่งหลับตา อาตมาถึงต้องขยายความพูดถึงเรื่องนี้อีกเยอะ เพราะน่าสงสารศาสนาพุทธในประเทศไทยนี่แหละ คือ แค่ จรณะ 15 วิชชา 8 ก็มีหลักฐานยืนยันชัดๆ อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ชัดที่สุดเลย มีศีลอยู่โทนโท่
แต่เขาหลับตาปฏิบัติก็ไม่เกี่ยวกับศีล กับสัตว์ ไม่เกี่ยวกับข้าวของอะไรเลย หลับตามันอยู่อย่างเดียว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่เอาไม่รู้เรื่อง นั่งหลับตาเข้าไป แล้วก็เนรมิตเอา คิดเอา ฝันเอา สร้างเอา อุปาทานเอา จบอยู่ในโลกฝันๆ เพ้อๆ ฝันๆ นี่คือความจริงทั้งนั้นที่พูด ไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ไปลงโทษลงโพยต่อว่า ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้นเลย
สู่แดนธรรม… ตอนอยู่วัดอโศการามท่านอาจารย์ได้พาทำหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า… ตอนนั้นยังทำนั่งหลับตาอยู่ด้วยเหมือนกันแต่ว่า ก็ไม่ได้ไปติดยึดแบบเขาก็รู้อยู่ แต่ทีนี้ มันจะทำอย่างไรได้อยู่ในท่ามกลางอย่างนั้น ขนาดนั้น จะเรียกว่า เป็นหมาหัวเน่าก็ได้อยู่ในหมู่ พวกนั้นก็เอาอย่างที่เขาเป็น กินหมากปากเปรอะกันไป ดูดบุหรี่ตุ๋ยๆ เราก็โอ้..มันยังไง
เพราะฉะนั้นจึงอยู่กับวัดอโศการามไม่นาน ก็ออกมา ไปตามลำดับของเรา จนกระทั่งไปหาที่ อยู่แดนอโศก พ.ศ.2516 อาตมาบวช พ.ศ.2513 ช่วงปลายปี วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2513 เมื่อ 2 ปีกว่าก็ออกไปแล้ว ไม่อยู่ทนนานอะไร
ตอนอยู่วัดอโศการาม ก็ออกมาบรรยายวัดข้างนอก วัดธาตุทอง วัดวรนาถ วัดอาวุธเป็นต้น อธิบายธรรมะข้างนอกทุกวัน ก็มีญาติโยมมารับไปอธิบาย บรรยาย ข้างในเขาก็ให้เทศน์ พระใหม่ปกติแล้วเขาไม่ให้ขึ้นเทศน์นะ พระใหม่ บวชยังไม่ได้ถึง 10 ปียังไม่ใช่เถระเขาไม่ให้ขึ้นธรรมาสน์เทศน์บนศาลา แต่อาตมาได้รับการยอมรับให้ขึ้นเทศน์ ท่านให้ขึ้นเทศน์เมื่อไหร่อาตมาก็ขึ้นเทศน์ บางทีไม่เทศน์อาตมาก็ออกไปบรรยายข้างนอก
พูดไปแล้วบางทีก็ไปลบหลู่ ไปข่มเขา ก็ไม่น่าดูอะไร แต่ก็เป็นจริงไปแล้วตามสัจจะ
สู่แดนธรรม… ตอนนั้นในหัวของพ่อท่านไม่มีคำว่า ออกป่า บ้างหรือครับ
พ่อครูว่า… ไม่มี มีอยู่เหมือนกันที่ว่าเขาก็ออกป่านะ
อาตมามาอยู่ที่แดนอโศกแล้ว จึงขอพรรคพวก ออกป่าบ้าง ก็ไปอยู่ในป่าเมืองกาญจน์ 1 เดือน เขาก็สร้างกุฏิน้อยๆให้ อยู่บนยอดเขาสูง เราก็ขึ้นไปอยู่ป่าคนเดียว กลางคืนก็ได้ยินเสียงสัตว์ได้กลิ่นสัตว์ออกมา เราก็นอนหลับอยู่ในกุฏิ
สู่แดนธรรม… การหลับตาสมาธิพ่อท่านผ่านมาหมดแล้ว
พ่อครูว่า… คือ อย่างที่เขาทำ นั้น อาตมาทำมาหมดทุกอย่างตามที่เขาเป็น นั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไป จนไม่รู้เรื่องอะไรข้างนอกเลย นั่งอยู่ที่วัดอโศการาม นั่งตรงชานกุฎิออกไป ก็นั่งให้ยุงทะเล มันมาเป็นหมู่ๆ รุมกัด ก็ไม่รู้สึกหรอก ตื่นขึ้นมาแดงเถือก ลายพร้อยไปทั้งตัว ก็ทำมาหมดแล้ว ทำมาจนกระทั่ง จะนั่งหลับตาอย่างไร เราก็ทำมาหมดแล้ว
แม้แต่ไสยศาสตร์ ก็อาศัยเจโตสมถะทำ ก็ไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ตั้ง 8 ปี ตั้งแต่เป็นฆราวาส จนหมดสงสัยในเรื่องของไสยศาสตร์ บวชแล้วอาตมาไม่ได้ไปอาบัติ เล่นไสยศาสตร์ 8 ปี เล่นตอนเป็นฆราวาสจนเบื่อ
สู่แดนธรรม… ในขณะที่พ่อท่านนั่งสมาธิเป็นหลักเป็นงานใหญ่ พ่อท่านรู้สึกว่า ได้บรรลุอะไรจากการนั่งสมาธิในช่วงนั้นหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า… ไม่ได้บรรลุอะไร มีแต่ดับให้สนิท การบรรลุธรรมด้วยวิธีอื่นไม่ได้ไปนั่งหลับตา ด้วยวิธี จรณะ 15 วิชชา 8
อาตมามีของเดิม สัมมาทิฏฐิ เป็นผู้ที่มาสืบทอดศาสนาพุทธ เป็นโลกุตรธรรมสมบูรณ์ พูดความจริง แต่เขาก็หาว่าคุยตัวอยู่คนเดียว สิ่งที่ถูกมันมีอยู่อย่างเดียว สิ่งที่ถูกมันไม่มีสองหรอก สัจจะมีหนึ่งเดียว สิ่งที่ถูกไม่มี 2 หรอก เขาก็เห็นว่า ที่อาตมาพูดมันมีหนึ่งเดียวอีกหนึ่งเดียว คือสูงสุดความถูกต้องนั้นมันมีหนึ่งเดียวไม่มี 2 สัจจะไม่มี 2 ต้องเข้าใจให้ได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกังหิสัจจัง นัตถิ ยมถิ
-
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบก ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา ดูกรปหาราทะ ข้อที่บุคคลผู้ทุศีล มีบาปกรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันทีแม้เขาจะนั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๓ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
พ่อครูว่า…ถ้าสงฆ์ส่วนน้อยส่วนตัวทำผิด เขาก็เหมือนหมาหัวเน่าที่สงฆ์ส่วนใหญ่ก็วางเฉย เรียกว่า พรหมทัณฑ์ เป็นโทษที่รองจากปาราชิก อยู่ก็อยู่เหมือนหมาหัวเน่า เป็นภาวะที่ไม่มีใครเห็นเขาเป็นคนอยู่ในหมู่เลย เป็นการกดดันลึก เป็นลักษณะลงโทษแบบผู้ดีของศาสนาพุทธ มันรองจากปาราชิกเลย ส่วนปาราชิกให้ออกจากหมู่เลย แต่พรหมทัณฑ์ให้อยู่ในหมู่กลุ่มแต่เหมือนกับเขาไม่มีอยู่
ทีนี้ อีกอัน ถ้าหมู่เล็กอยู่กับหมู่ใหญ่ หรือตัวคนเดียวอยู่กับหมู่ใหญ่ อย่างอาตมานี้คนเดียว อาตมาก็อยู่ไม่ไหว จึงประกาศแยก อาตมามีภิกษุ 21 รูปกับเณรอีก 2 ประกาศในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 ต่อหน้าสงฆ์ 180 รูป ที่วัดหนองกระทุ่ม ประกาศขอแยก ท่านก็อยู่ของท่าน
อาตมาเปรียบเทียบว่า เราเห็นว่า ท่านเอาสูตรพระพุทธเจ้ามาทอดปาท่องโก๋ขายให้คนกิน แต่คนกินท้องขึ้นท้องเสียหมดเลย เราก็บอกว่าผิดสูตร ไม่ใช่สูตรของพระพุทธเจ้า เราเสนอสูตรของเราไปให้ คำสอนแบบเราว่า เสนอไปอย่างไรก็ไม่เอา เมื่อไม่เอา ก็เอาเถอะ ท่านเป็นบริษัทใหญ่ ร้านใหญ่ ท่านไม่ล้มหรอก ท่านก็ขายตามสูตรของท่านไป เราก็ขอประกาศแยกตัวออกมา นี่คือการประกาศนานาสังวาสโดยธรรม ตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเลย อาตมาก็ประกาศลาออกมาตั้งแต่วันนั้นตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518 แยกมาอยู่ที่แดนอโศก จากวัดหนองกระทุ่มมาอยู่ที่แดนอโศก
แล้วจากวันนั้น ตอนแรกท่านก็ยอมรับกันดีนะ ไม่มีเรื่องอะไร เราก็ดำเนินของเราไปได้หมู่กลุ่มของเราก็โตขึ้น มีมากขึ้นๆ วันร้ายคืนร้าย ไม่รู้ไปกินปูนไปกินยาผิดมาจากไหน
สู่แดนธรรม… ตอนนั้นมีพรรคพลังธรรมกำลังเป็นที่นิยม
พ่อครูว่า… ไปกินยาผิดจากไหนไม่รู้ บอกว่าไม่ได้ ขออภัยท่านประยุทธ์ ปยุตโต นี่แหละเป็นหลัก บอกว่า ต้องชำระอธิกรณ์ ซึ่งหมู่ใหญ่ ก็เข้าใจอย่างหมู่ใหญ่ เราจะไปอยู่รอดอะไร เราก็ต้องยอม …
ตอนมีเรื่องครั้งแรก เข้าไปในวัดหนองกระทุ่ม ไม่มีที่พักหรอก โบสถ์ยังไม่มีหลังคาฝนมันก็จะตก เข้าพรรษา เราก็อธิษฐานพรรษาที่แดนอโศกแล้ว ก็ต้องไปอธิษฐานพรรษาที่วัดหนองกระทุ่ม เราก็อยู่ไม่ได้ หลังคาโบสถ์ก็ไม่มี หน้าฝนด้วย เราก็ว่าไม่เอา พวกเราก็ปรึกษากันว่าแข็งข้อ ไม่เอา กลับไปอยู่แดนอโศกอย่างเก่า นี่ก็บอกว่า
ถ้าท่านจะมีอะไรมาหาอาตมา โดยตรง ประกาศไว้ อุปัชฌาย์ เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดหนองกระทุ่มเป็นหลวงอา ก็เป็นอุปัชฌาย์มหานิกายของอาตมา ตอนนั้นท่านก็ไม่สบายอยู่แล้วก็เลยบอกว่าอย่าไปรบกวนท่านให้มาหาอาตมาเลย
ตั้งแต่วันนั้น 7 สิงหาคม 2518 เราก็อิสรเสรี นานาสังวาส สำเร็จได้ด้วยทำมาตั้งแต่บัดนั้นมาก็อยู่ได้มาเรื่อยๆ เราก็มีภิกษุมากขึ้นหลายสิบขึ้นมา
จนกระทั่ง พ.ศ.2525 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ มาตีเราอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ จน พ.ศ.2532 มหาประยุทธ์เขียนหนังสือซัดเรา 3 เล่ม หมู่ใหญ่ก็เล่นงานเรา ตัดสิน โดยไม่เอาจำเลยเข้าไปอยู่ร่วม ผิดสัมมุขาวินัย พิพากษาเลย ใช้คำว่า อัปเปหิ อโศกหรือโพธิรักษ์ออกจากหมู่สงฆ์ เราก็เลยย้อนบอกว่า เราได้ประกาศนานาสังวาสจากท่านมาก่อนแล้วนะ ไม่ใช่ท่านมาอัปเปหิเรา เราประกาศนานาสังวาสตามธรรมวินัย ท่านอัปเปหิเรานั้นเป็นการผิดธรรมวินัย ท่านอธิกรณ์เราไม่ได้
-
ธรรมยุตกับมหานิกายรวมกันทำสังฆกรรมไม่ได้ผิดคณะปูรกะ อย่างนี้เป็นต้น ไปอ่านหนังสือประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส อาตมาเขียนเล่มนั้นพิมพ์ไปแจกจ่ายกันไป
พูดตามหลักพระธรรมวินัยให้เห็นเลยว่า สงฆ์หมู่ใหญ่นี่ เพี้ยนไปจนไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่ตรงตามพระธรรมวินัยเลย น่าเกลียด
สู่แดนธรรม… เขาเห็นว่าหากเอาพระธรรมวินัยมาใช้มันจะไม่มีผลถึงขั้นขึ้นศาล เขาจึงต้องหาวิธีทำให้ขึ้นศาล
พ่อครูว่า… แล้วก็ไปอาศัยศาลที่เป็นฆราวาสขึ้นมาตัดสินเรา เราก็ต้องแพ้ เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติมาใช้ คือ กฎหมายสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาเอาผิดเรา ข้อสำคัญก็คือว่าสังฆราชมีพระบัญชาสั่งให้สึกภายใน 7 วัน ไม่สึกผิดกฎหมาย อันนี้บัญญัติเองไม่ใช่บัญญัติพระพุทธเจ้า
สู่แดนธรรม… กฎหมายนี้มีเอาไว้ใช้สำหรับพระเรร่อนที่ทำนอกพระธรรมวินัย
พ่อครูว่า… เสร็จแล้วเอามาเล่นงานเรา เราก็ไม่มีปัญหาเราประกาศนานาสังวาสแล้วก็ไม่ว่าอะไร จะอัปเปหิก็ไม่ว่าอะไร ใช้ศัพท์คำว่าอัปเปหิไปข่มขู่เรา บอกว่าเราถูกขับออกจากหมู่ใหญ่ แต่ที่จริงเราลาออกมาอย่างผู้ดี
อยู่มาตั้งนานแต่วันร้ายคืนร้าย พ.ศ.2532 ก็เกิดเรื่องราวขึ้นโรงขึ้นศาล สุดท้ายศาลตัดสินให้ผิด ผิดกฎหมายที่ว่าสมเด็จสังฆราชสั่งให้เสร็จภายใน 7 วันแล้วไม่สึก กฎหมายก็ลงโทษให้รอลงอาญา เราก็อยู่นอกคุกไม่ได้เข้าคุก เราไม่ได้นุ่งห่มเหลืองไม่ได้นุ่งห่มผ้าจีวรของพระ เราก็นุ่งห่มขาวมา จนกระทั่งถึงเวลาที่เขากำหนด เราก็มาเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนชุดเป็นผ้าสีกรักเราครองผ้า ไม่เหมือนธรรมยุต ไม่เหมือนมหานิกาย เดี๋ยวเขาจะหาว่าลอกเลียนแบบภิกษุ เราก็มีแบบการห่มผ้า แบบของเรามาตั้งแต่บัดนั้น เรื่องมันก็เป็นมาด้วยประการฉะนี้ท่านผู้ชม
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… ตอนสมณะห่มขาวมีขนหน้าแข้งแต่โยมก็เรียกแม่ชี ตอนหลังหมดคดี พ่อครูว่า มาแต่งชุดโจงกระเบนกันไหม ไม่มีใครเอาเลย ตอนหลังพ่อครูให้มาแต่งชุดแบบนี้
พ่อครูว่า… ออกแบบเองใหม่ ห่มแบบเฉวียงบ่า เหมือนมีสังฆาติ เราใช้แบบนี้มาจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร กลายเป็นว่าเราใช้ผ้า 2 ผืน ไม่ถึง 3 ผืน สังฆาติ ก็ไม่ต้อง เป็นผ้าเปลี่ยนซักใช้เท่านั้นเอง ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
-
ดูกรปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าสมณศากยบุตรทั้งนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็นสมณศากยบุตรทั้งนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๔ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
พ่อครูว่า…อินเดียเขาถือวรรณะมากเลยนะ ให้เปลี่ยนยังไงก็ไม่ได้ เช่น คนจัณฑาล จะต้องอาบน้ำชั้นล่างสุด พราหมณ์จะอาบน้ำบนสุด ไหลจาก พราหมณ์กษัตริย์แพศย์ศูทร จนกระทั่งมาถึงจัณฑาล อาบหลังสุด คนเขาบอกให้จัณฑาลขึ้นไปอาบข้างบนสิ ใครเขาก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นวรรณะไหน แต่จัณฑาลก็บอกว่าไม่เอา ไม่ได้ ไม่ทำ เขายึดมั่นถือมั่นจริงๆเลย ซื่อสัตย์จริง ซื่อจริงๆเลย
เพราะฉะนั้นอินเดียอยู่ได้ด้วยความซื่อสัตย์ คน 1,200 กว่าล้านคน เขาก็อยู่ร่วมกันได้ด้วยความซื่อสัตย์จริงๆยอดเยี่ยม
-
ดูกรปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๕ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
พ่อครูว่า…แต่มี อรรถกถาจารย์ที่ยังไม่เข้าใจไม่บรรลุ นิพพานเป็นปริโยสานก็สับสนวนเวียน สับสนระหว่าง อนุปาทิเสสนิพพาน กับ สอุปาทิเสสนิพพาน อะไรคือเหลือ อะไรคือไม่เหลือ และพุทธไทย ค่อนไปทางอุจเฉททิฏฐิด้วย ถ้าพระอรหันต์ตายแล้วก็สูญเลย เขาก็งงว่าอะไรเหลือ สอุปาทิเสสนิพพาน จะเหลืออะไร เขาเข้าใจอย่างเดียวว่าอรหันต์ตายแล้วสูญ เขาก็เลยแปล ว่า สอุปาทิเสสนิพพานคือ นิพพานของผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์ ส่วน อนุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานของผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว
นี่คือมิจฉาทิฏฐิของพุทธเมืองไทย แล้ว โพธิสัตว์ ที่อาตมาอธิบาย โพธิสัตว์ระดับ 4 5 6 7 8 9 อีก เขาก็รับไม่ได้ อาตมาก็หนักในการอธิบาย
เป็นอรหันต์หมดกิเลส จะบำเพ็ญโพธิสัตว์หรือไม่ ถ้าไม่บำเพ็ญโพธิสัตว์ก็มีสิทธิ์ ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลย อรหันต์ทุกองค์มีสิทธิ์ ทำได้แล้วแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้แล้ว
ความรู้ที่อาตมาเอามาเติมที่ทางเถรวาทศาสนาเดิม พุทธเดิม ที่มีอยู่เหลืออยู่ที่เข้าใจกัน ก็คือ อรหันต์ที่เป็นอมตะ มีวิมุติแล้วในมูลสูตร 10 หมดจากวิมุติก็มาเป็นอมตะ
อมตะอันเป็นอันที่ 9 ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นอันที่ 10 วิมุติเป็นอันที่ 8
อมตะบุคคลคือ สั่งตัวเอง จะตายสูญหรือตายเกิดอีกก็ได้ อย่างอาตมา อาตมาเอาความจริงที่อาตมามี อาตมาเป็นอยู่ จึงอธิบาย ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ อธิบายมูลสูตรทั้ง 10 ได้สมบูรณ์ แต่ก่อนไม่มีใครแจกแจงได้
เขาก็อธิบาย อมตะคือผู้ไม่ตาย แล้วเขาก็ว่าเที่ยง เขาก็วนอีก อมตะ คือไม่ตายแต่มีต่ออีก เขาก็ไปไม่เป็น
-
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ฉันใด ดูกรปหาราทะฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยมีรสเดียว คือ วิมุตติรส นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๖ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
พ่อครูว่า… อันนี้ไม่ต้องขยายความมากก็ได้ น้ำทะเลมีรสเค็มอย่างเดียว มีหลวงปู่ทวดที่ทำให้น้ำทะเลจืดได้ จึงเป็นเรื่องทึ่ง ลือกันเป็นตำนานมา เหยียบน้ำทะเลจืด
-
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ประการที่ ๗ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
พ่อครูว่า…ทั้ง 7 สูตรนี้ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ มันเป็นหลักธรรมที่ทุกคนต้องมี ทุกคนต้องเข้าใจ ทุกคนต้องทำครบ แต่พวกที่ตัดลัดมันไม่มี สติปัฏฐาน 4 ก็ไม่ครบ
พิจารณากายนอก แล้วพิจารณากายใน เขาก็ไม่มี เขามีแต่กายใน ก็ไม่มีกาย กาย เขาก็มีแต่ลมหายใจเข้าออกสั้นยาว แล้วก็ไป อธิบายเป็น 16 หลัก อานาปานสติ
16 หลักนั้น เป็นสิ่งที่เป็นธรรมะ ลืมตานี่แหละ 16 หลัก สัมผัสทั้งหมด ถ้าหลับตานั้นก็ได้แต่ตัวหนังสือ มันไม่มีสภาวะ 16 หลักนั้นได้หรอก
เพราะฉะนั้นคนที่ตัดลัดพวกนี้จึงสะเพร่า มันไม่ครบ มันไม่มีทางบรรลุธรรมสรุปง่ายๆ พวกหลับตาปฏิบัติ ตีหัวเข้าบ้านเลย ไม่มีทางบรรลุธรรม เพราะโพธิปักขิยธรรม 37 ไม่ครบไม่มีพอ กายตั้งแต่ต้นเลย กายในกาย กายต้องมีนอกมีในด้วย อันแรกก็ไม่ได้แล้ว และอันหลังจะไปได้อย่างไร กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด แล้วเม็ดอื่นๆกลัดต่อไปมันจะไปอย่างไร ดีไม่ดีจะไปผิดเป็นเม็ด 2 เม็ด 3 เม็ด 4 แค่กลัดกระดุมยังไม่รู้เรื่องเลยแล้วมันจะได้อะไร ยิ่งกว่านายธัมโม เท่ากับนายดีดี
-
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาคคนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ มีอยู่ ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งชีวิตมีในธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๘ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ