641210_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจน 2 แบบ คนจนอวิชชากับคนจนโลกุตระ ตอน3
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1vqpWZsp07Tx16DiMNWgqKtuM2v7lt6Rg7plkNbkPF3A/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1g2kTTiewoLpfin9RoEQwfF6Bj6HOu-K4/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/9P1eSkWqqC/
และ https://youtu.be/AnOtYEZW-dc
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก มีอดีตนายกหญิงของประเทศไทยส่งข้อความมาว่า ประเทศไทยแก้ปัญหาชาติไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญให้เป็นสากลไม่ได้รับการยอมรับ ที่สำคัญคือเป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้สืบทอดอำนาจเผด็จการ แต่ก็มีคนแย้งว่ารัฐธรรมนูญฉบับก่อนพวกคุณสืบทอดอำนาจกันมาหลายคนแล้ว ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้น่าจะดีกว่าที่ขจัดพวกนี้ออกไปได้
อลิซาเบธ วอร์เรน วุฒิสมาชิกหญิงมะกัน พูดไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า…
“ประเทศไม่ได้อยู่ได้เพราะประชาธิปไตย ไม่ได้อยู่ได้เพราะรัฐธรรมนูญ ไม่ได้อยู่ได้เพราะกฎหมาย แต่ประเทศจะยั่งยืนอยู่ได้ด้วยกำลังของพลเมืองดี ที่ไม่ดูดายและยอมแพ้ต่อคนชั่วคนทุจริต ที่กัดกร่อนทำลายประเทศชาติ พลเมืองดีจึงต้องยืนหยัดรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคงเพื่อลูกหลานรุ่นต่อไป”
น่าจะตรงกับสภาวะของประเทศไทยขณะนี้
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 8-9 ธ.ค. 2564
_สมสมัย นันตะโภค : กราบนมัสการค่ะ พ่อครูอธิบายพญานาคได้ชัดมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผู้โกนผมห่มผ้าเหลืองหรือฆารวาสต่างก็เป็นพญานาคอยู่ทั้งนั้น สาธุค่ะ
_สติพล จนพัฒนา : มีบางคนเขาบอกว่าพ่อครูสายเจโต..แต่ผมว่าพ่อครูสาย
ปัญญาแต่แกนเจโตใช่ไหมครับ หรือเป็นสายอุภโตภาคครับ(ผมเชื่อพ่อครูเพราะ พ่อครูมีสภาวะมาหลายชาติแล้วครับ)
พ่อครูว่า…อาตมาเป็นแกนปัญญา ซึ่งต้องรับเอาเจโต ต้องพยายามฝึกจิตให้มีเจโต มีความแข็งแรงทางแกน Static ให้เข้ามาเป็นสอง เป็น อุภโตภาควิมุติ เสมอ แต่อาตมาจริงๆเป็นแกนพุทธิปัญญา
_นาคี ภูน้ำเพชร : คนเป็นโรคจิตเภท จะเรียกว่าเป็นคนมีถีนมิทธะ หรือเปล่าครับ
พ่อครูว่า…ได้ทั้งนั้น ถีนมิทธะ ก็ได้ อุทธัจจะกุกกุจจะ ก็ได้ กามมากๆก็ได้เป็นจิตเภท ขี้โกรธพยาบาทมากๆก็เป็นจิตเภทได้ นิวรณ์ 5 มีมากเป็นจิตเภทได้ทั้งนั้น
_จุ๊บแจง เสียงห้าว : พบเจอนโยบายแปลกๆ ในบวรของชาวอโศกบางแห่งเลยรู้สึกสับสนกับระบบที่เรียกว่าสาธาณะโภคี เช่นว่า ขายสินค้าผลิตภัณฑ์ในบวรหรือรายได้ที่มาจากร้านพานิชย์บุญนิยมในบวร หรือผลผลิตทางการเกษตร (ผลผลิตทางการเกษตรเพื่อขาย แต่ในโรงครัวกลางขาดแคลน) มีทุนทรัพย์เพื่อที่จะสะสมมาถวายพ่อครูในโอกาสใดโอกาสหนึ่ง แต่กลับละเลยในการดูแลสาธาณะโภคีภายในบวร เกิดภาวะที่พึ่งพาในยามเจ็บป่วยกันยาก ทั้งด้านอุปโภคบริโภค และยารักษาโรค ทั้งนักบวชและสมาชิกในบวร และบ้างก็เก็บหลักฐานการถือครองที่ดิน หรือ อื่น ๆ
โดยให้เหตุผลว่าสะดวกในการทำธุรกรรมบ้าง ไม่ไว้ใจคณะกรรมการบวรท่านอื่นบ้าง ถึงขั้นไม่รับฟังสมณะผู้ใหญ่ในบวรก็มี สับสนจริง ๆ เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร
พ่อครูว่า…ที่พูดมานี้เกิดขึ้นอย่างที่ว่าจริงๆหรือ
สู่แดนธรรม… น่าจะเป็นความเห็นหนึ่ง ต่างคนต่างเห็นตามภูมิของตนเอง
พ่อครูว่า… ก็มองอะไรกันให้มันชัดๆ มองอะไรยังไม่ครบถ้วน ไม่ดูเป็นไปตามความพอเหมาะพอดี จริงๆแล้วทุกอย่างไม่เป็นอะไรที่เป๊ะๆลงตัวในองค์กรหมู่กลุ่มที่มีหลายคน มันทำไม่ได้หรอก จะทำได้เมื่อมีผู้เป็นพระอรหันต์ถึงนิพพานทั้งหมดเท่านั้น นอกนั้นไม่ถึงนิพพานทั้งหมดก็มีอะไรแตกต่างที่ไม่ตรงกัน ถ้าเราเอาข้อตัดสินที่เป็นสัจจะเป็นหนึ่งเดียวของอรหันต์ของนิพพานมาวัด มันก็จบ ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้ในโลก ละเลียดเกินไป คุณก็จะทุกข์เอานะ
อาตมาว่าชาวอโศกอยู่ในสัดส่วนที่ดีมากแล้ว คนสารพัดสารเภมารวมกัน ร้อยพ่อพันแม่มารวมกัน โดยที่ไม่ได้เอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาเป็นเครื่องบำเรอ เป็นเครื่องที่จะดำเนินให้เป็นไป แต่ให้มาเป็นคนจน
_ปะตรงเตือน : ดิฉันรู้สึกว่าตนเองช้าที่ไปหลงยินดีกับการทำตบะแบบกดข่ม พอฝึกลดละแล้ว ก็อยากให้ตนเองบริสุทธิ์ ก็ทำตบะเว้นขาด กดข่มไปนาน ๆ ก็หลงว่าทำได้ จิตจะไปค้างอยู่ที่ปีติที่สามารถทำตบะแบบเว้นขาดได้แบบสบายกว่าแต่ก่อน (แรงดูดหรือแรงผลักลดลง) เมื่อได้รับคำแนะนำจากท่านสมณะให้กลับมาสัมผัสและฝึกอ่านเวทนา ตอนแรกจะเห็นกิเลสขี้เกียจพิจารณา การที่จะตั้งสติตามอ่านมันเมื่อย จึงหัดฝึกบ่อย ๆ และสร้างพลังฉันทะที่จะอ่านใจ พร้อมกับตามรู้ใจและยอมรับความจริงว่า ยังมีกิเลสอยู่มากบ้าง หรือ น้อยบ้าง ซึ่งในบางผัสสะก็ได้เห็นชัดเจน หากไม่สัมผัสใหม่ก็คงจะหลงว่าตนเองไม่มีกิเลส ซึ่งที่จริงยังมีอยู่แต่มันถูกกดหัวไว้ การกดข่มจึงคือความเนิ่นช้า การปฏิบัติธรรมจึงต้องกล้าที่จะเผชิญ ผัสสะ ไม่หนี แต่ฝึกจนอยู่เหนือ
พ่อครูว่า… ถูกต้อง ดีมาก
คนจน 2 แบบ คนจนอวิชชากับคนจนโลกุตระ ตอน4
มาพูดถึงเรื่องที่อาตมาจะพูดวันนี้คือเรื่องของความจน 2 แบบ
ความจนมันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งสุดยอดประเสริฐ ที่คนในโลกที่ไม่ใช่เราชาวโลกุตรธรรม จะฟังแล้วก็งง ฟังแล้วก็เข้าใจไม่ได้ ว่า เอ๊ มาเป็นคนจนเป็นเรื่องพูดเล่นหรือเปล่า ? พวกเราบอกว่าไม่ได้พูดเล่น ใ
มีตั้งแต่แบบตื้นๆง่ายๆ จนกระทั่งไปถึงลึกซึ้งสูงสุดเลย
จนวัตถุ จนสิ่งที่โลกนิยม จนเงินทองข้าวของทรัพย์ศฤงคารวัตถุต่างๆ จนลาภ จนในยศชั้นในสรรเสริญ จนในสรรเสริญ จนในยศชั้นตำแหน่งหน้าที่
อาตมาเป็นคนที่ร่ำรวยสรรเสริญหรือจนในสรรเสริญ …โยมว่า จนในสรรเสริญ
อาตมาเป็นคนจนในสรรเสริญ โดยส่วนใหญ่เขาไม่มาสรรเสริญอาตมา อาตมาได้คนที่พอเห็นใจเข้าใจที่พอรู้ชัดเจน เคารพนับถือว่าอาตมามาจนนี้ถูกแล้ว แล้วอาตมาก็ไม่ได้จนหลอกๆ แต่จนจริงๆ แล้วก็จนอย่างเต็มใจจน จนอย่างเบิกบานสำราญใจด้วย
มันจึงเป็นความลึกซึ้งซับซ้อน เป็นความยิ่งใหญ่
คนที่จะกล่าวว่าความจนเป็นสิ่งที่ประเสริฐ อาตมาเป็นคนเล็กคนน้อย กล่าวก็ไม่กระไร แต่พระเจ้าแผ่นดินของไทยท่านตรัสไว้ แต่เมื่อตรัสไปแล้วคนก็รับลูกไม่ได้ ข้าราชบริพาร ผู้บริหารต่างๆรับลูกไม่ได้
ท่านพยายามทำเป็นชั้นๆมาว่า ก็ทำอย่างพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงก็คือเศรษฐกิจคนจนนั่นแหละ ท่านลงลึกชัดอีกว่า เราขาดทุนนั่นแหละคือเราได้ เราเสียนั่นแหละคือเราได้ ลงไปให้สุดชัดเจนเลยนะ คนก็งง นักเศรษฐกิจของโลกก็ได้แต่งง จบดร.ทางเศรษฐกิจอะไรๆทั้งหลายก็ยังงง เพราะมันเป็นโลกุตรธรรม
ทีนี้ในหลวงตรัส ท่านเป็นคนไทยก็ไม่เสียไม่สูญเปล่าอะไร เพราะในประเทศไทยมีคนจนที่เต็มใจจนแล้วก็จนสำเร็จ จนอย่างเบิกบานสำราญใจ คนจนสร้างเศรษฐกิจ คนรวยเป็นคนทำลายเศรษฐกิจ ลึกๆสุดยอดเลย คนรวยเป็นคนทำลายเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์คือการสะพัดให้เสมอภาคเท่าเทียมกัน คนขาดแคลนคนมีน้อยก็ให้เฉลี่ยให้เพียงพอ แต่นี่เขาไม่ทำ เขากักตุนกอบโกย คนที่ไม่สามารถแย่งชิงเอาได้ก็จน เขาก็ใจดำอำมหิตสุดยอดเห็นแก่ตัว น่าเกลียดจริงๆ
เป็นคนวรรณะทราม วรรณะต่ำ เรียกว่า อวรรณะ
-
เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
-
บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
-
มักมาก (มหัปปิจฉะ)
-
ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
-
เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
-
คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม 1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
พวกนี้ดูเหมือนขยันนะ บางคน บางคนก็เกียจคร้านจริงๆ ดูชัด ถ้าได้แล้วขยัน ถ้าไม่ได้จ้างก็ไม่เอา เพราะเขาคนรวย
ไปแปล สังคณิกะ ข้อที่ 6 คลุกคลีด้วยหมู่คณะ เรามาขยายว่า คลุกคลีด้วยกองกิเลสพยัญชนะคือ คณิกะ คือ พวกคนรวมหัวด้วยอวิชชา คนส่วนมากในโลกเป็นคนอวิชชา
คนมีวิชชา เป็นคนโลกุตระเป็นคนอาวรยะที่แท้จริงเป็นส่วนน้อยไม่ได้เป็นคณะใหญ่หรอก เพราะคณิกะก็เป็นคณะใหญ่ที่รวมตัวกันก็รวมหัวกัน เขาก็พยายามสร้างอำนาจด้วยการรวมหัวกันในโลก เขาถือว่าเป็นลักษณะยิ่งใหญ่สำเร็จของโลก เป็นจ้าวโลก คณาธิปไตย
เพราะฉะนั้นคนที่จะมีภูมิปัญญามีวิชชา ที่จะรู้แบบโลกุตระ ว่า คนเราเกิดมาเป็นคนจน นี่ ประเสริฐ ประเสริฐทั้งตนเอง ประเสริฐทั้งช่วยโลก คนจนคือคนช่วยโลก คนรวยคือคนผลาญทำลายโลก ซึ่งมันเป็นภาวะแทรกซ้อนลึกซึ้งเยอะแยะ
คนที่มีปัญญา มีความฉลาดแบบโลกุตระ ที่จะเข้าใจในเรื่องความจนโลกุตระ ความจนแบบนึง
คำว่าจน ง่าย ตื้นๆง่ายๆคือ ไม่มีสมบัติวัตถุ ที่โลกเขานิยมชมชอบ ข้าวของเงินทองทรัพย์ศฤงคารแก้วแหวนเพชรนิลจินดาต่างๆ เราก็เข้าใจโลกเขาว่ามันต้องรวย มันต้องมีพวกนี้มากๆ แต่เราเข้าใจแล้วเราก็ไม่เอา จับได้ ทำได้ สามารถได้ แต่ไม่เอา ได้ก็สะพัดออก ตั้งใจจน
ทีนี้ในโลก ที่เป็นโลกโลกุตระก็จะมีคนกลุ่มที่มีปัญญาอย่างนี้ เช่น ชาวอโศก เข้าใจว่าคนประเสริฐต้องมาจนอย่างนี้ จึงมาจริงๆ มาเป็นคนจนจริงๆ จนสำเร็จ แล้วก็อยู่กับหมู่เลย ทรัพย์ศฤงคารไม่ต้องเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมีของตัวของตน รวบรวมไว้เป็นของส่วนกลาง แน่นอนก็อาจจะไม่ละเอียดไม่บริบูรณ์ไม่สะอาดเต็มที่ บางคนก็มีสะสมเล็กๆน้อยๆบ้างก็เป็นธรรมดา error
ส่วนลึกๆนั้นเขาก็รู้ว่าเรายังมีเล็กมีน้อยก็คือยังไม่เก่งยังไม่สมบูรณ์ อยู่กับส่วนกลางจริงๆมีเท่าไหร่เท่านั้น ตามบารมีของเราด้วย
เราอยู่แล้วจะเบิกส่วนกลางเขาก็ไม่ค่อยจะให้ เป็นหมาหัวเน่า ก็ใช่สิ คุณอยู่ในหมู่นี้ทำไมคนเขาไม่ค่อยยินดีให้ โดยเฉพาะคนมีหน้าที่จะแบ่งจะแจก
คนที่จะแบ่งแจกให้ นอกจากส่วนกลางจะให้แล้ว ยังมีส่วนตัวให้กันได้อีก ถ้าคนไม่เป็นหมาหัวเน่าก็อยู่ได้แน่นอน อะไรนิดๆหน่อยๆพวกเราก็แบ่งกันให้กันช่วยเหลือกัน คนที่มีอยู่บ้านเขาก็ให้กัน อย่างที่เราเป็นจริงกัน ซึ่งมันละเอียดซับซ้อนลึกซึ้งแล้วเป็นจริง
สังคมคนที่มามีปัญญาเข้าใจมาจนและมาจนได้สำเร็จจริงๆแล้ว แล้วก็มีชีวิตดำเนินไปอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ เป็นอิริยาบถเป็นกิริยาของชีวิตที่เป็นไปธรรมดา ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะจิตมันมีวรรณะ 9 สมบูรณ์
อยู่สบายๆเป็นคนเลี้ยงง่ายๆ ศึกษาร่ำเรียนพวกเราก็ร่ำเรียนตลอดเวลา เพื่อจะไปสู่โลกุตระตลอดเวลาเป็นอาริยะที่แท้จริง สุโปสะ
ขัดเกลาตนเองมักน้อย มันยังมีมากไม่ถึงที่สุดไม่ถึงศูนย์ก็มีจริงๆ จะใช้สอยอะไรก็ไปตามถึงเวลา วาระ ก็ใช้ก็มีก็เป็นไป ใช่แล้วมันเหลือก็เอาไปคืนกองกลาง ถึงเวลาจะใช้ก็ไปเบิก ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น เราก็ทำงานให้กองกลางเอาไปทำ
โดยเฉพาะผู้ที่รู้ชัดเจนเลยว่า ส่วนตัวเรามันจบ มันพอ มันไม่บำเรอตัวเราเองอีกแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่ถึงขีดคั่นขนาดนี้สบาย เพราะมันไม่บำเรอตนไม่ต้องให้แก่ตน จิตที่จะต้องเอามาให้แก่ตนเป็นของตนมันไม่มี ขอเบิก 100 เขาให้มา 50 ให้มา 80 ก็ไม่เป็นไร ก็ทำแค่นี้ เพราะเราทำให้ส่วนกลาง มันจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร ทำไมเขาไม่ให้มันต้องมีเหตุผลไม่ต้องไปซักไซ้ไล่เลียงอะไร เขาชังน้ำหน้าเราก็เป็นได้ ไม่ชังน้ำหน้าแต่มันมีเท่านี้เบิกได้เท่านี้ก็ได้
ถ้าเราไม่ใช่คนเป็นหมาหัวเน่า เราทำให้ส่วนกลางจริงๆ เบิกเท่าไหร่เขาก็ไม่ขัดข้องถ้ามี นอกจากมันไม่มีก็จำนน มันมีเท่านี้ก็ต้องเอาเท่าที่มันมี ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้ขัดสนถึงขนาดนั้น จะทำอะไรเท่าที่พอเป็นไป พวกเราก็รู้ว่าส่วนกลางก็ตาม ส่วนตัวก็ไม่มีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไรที่มันมากเกินไป ก็รู้อยู่แล้ว มากเกินพวกเราก็ช่วยกันดูแลว่ามากไปมันเกินฐานะ
ทีนี้ คนเป็นคนจนอยู่ในสังคม เป็นคนช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติ เพราะเราเองเราเป็นคนจน เป็นคนจนแบบที่ประเสริฐ ไม่ใช่คนจนแบบอวิชชา
คนจนแบบอวิชชา พวกเราจะเข้าใจกันอยู่แล้ว คนจนโลกียะ มันจำนน ตนเองแย่งเขาไม่ได้ มีความสามารถเท่านี้ได้เท่านี้ แล้วก็จำนนอยู่เท่านี้ ก็จนอยู่ไป แต่จิตใจอยากได้ เพราะฉะนั้นจึงไปซื้อหวย พวกยังซื้อหวยอยู่นี่เป็นคนส่อแสดงชัดเจนว่า มันไม่รู้จักความจน
ขนาดคนรวยบางคนยังซื้อหวยเลย คนรวยในฐานะปานกลางซื้อหวยแต่ละทีเป็นหมื่นๆ ทุกงวด ก็ถูกกินแต่ไม่เข็ด ก็มันอยากได้ ซื้ออยู่นั่นแหละ โง่ให้เจ้ามือหวย ก็คือรัฐบาลเอาเงินไป
อาตมาเคยเล่นหวยตั้งงบประมาณไว้ ตั้งแต่สมัยก่อนโน้น ทอง 1 บาทมีค่า 400 บาท อาตมาตั้งงบประมาณไว้ 10,000 บาท แล้วก็ซื้อเรียงลำดับเลย เพราะฉะนั้นล็อคเลข 2 ตัว 3 ตัวหมด ต้องถูกทุกงวด จะมีรางวัลหางเลข ก็จะได้เงินพวกนั้นมาเพื่อที่จะเอามาหมุนเงินหมื่นให้หมดได้ ปรากฏว่าหมด มันไม่ได้คืนมา มันถูกหางเลขทุกงวด จนมันไม่มีซื้อครบเล่ม มันก็ไม่ถูกหางเลขสิทีนี้ ก็หมดสิ อาตมาทำมาแล้ว ตั้งงบประมาณไว้ซื้อเป็นเล่มเลย ล็อคหางเลขเพื่อจะถูกรางวัล ถ้ามันถูกรางวัลที่ 1 ก็ไปได้อีกนาน แต่มันไม่ได้ หมด หมื่นหมด จริง คุณไปลองเถอะ เชื่อไหม? เขาเรียกสลากกินเรียบ กินรวบ
ซึ่งประเทศไทยก็มีหวยพวกนี้แหละ มันแสดงถึงความสิ้นไร้ไม้ตอก
หวยก็ตาม จริงๆแล้วยิ่งเรื่องเล่นหุ้นยิ่งเป็นเรื่องขายขี้หน้ามาก เพราะมันเป็นเรื่องของคนเอาเปรียบ เป็นระบบนายทุนที่ยิ่งใหญ่ มันมีภาวะซับซ้อน มีอำนาจอยู่ในเรื่องพวกนี้
อำนาจของความรวย อำนาจของหมู่กลุ่ม อำนาจของความขี้โลภ อำนาจความขี้โลภนี่มันร้ายแรง ทำให้คนไม่เก่งฆ่าตัวตายไปเยอะ ไอ้คนที่เก่งเฉโก ฉลาดแกมโกงก็รวยไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากในประเทศที่มีการเล่นหวยเล่นหุ้น
หวยนี่ยิ่งหยาบ หุ้นเขาว่าผู้ดี แต่ที่จริงเป็นผู้ร้ายซ้ำซ้อน ใช้ความฉลาดกลบเกลื่อน หนักหนาสาหัสกว่าหวย เพราะเล่นกันไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้าน หนักหนาสาหัส
สรุปลงที่ว่า เศรษฐศาสตร์ยิ่งใหญ่ที่สุดมาเป็นคนจนวรรณะ 9 ยืนยันชัดเจนที่สุด
อาตมาแปล อัปปิจฉะว่า กล้าจน ชอบจะมีน้อยๆ น้อยที่สุดก็เป็น 0 อยู่ที่ตัวที่ 7 อปจยะ ไม่สะสม ผู้ไม่สะสมเลยก็เป็นศูนย์แต่ยอดขยัน วิริยารัมภะ คู่สุดท้ายขอวรรณะ 9
ผู้ที่มีวรรณะ 9 ได้ พฤติกรรมของแต่ละคน มีกรรมกิริยา มีชีวิตอยู่ด้วยวรรณะ 9 เป็นคนเจริญ วรรณะ คือ the classes เป็นคนที่มีชั้นวรรณะสูง ไม่ใช่ชั้นวรรณะแบบพราหมณ์กษัตริย์แพศย์สูตร 4 เหล่า แต่เป็นคุณธรรมความประเสริฐของคน ถ้าคนที่มีวรรณะ 9 ครบเป็นคนสุดประเสริฐเลย
อาตมานำ หลักใหญ่ของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติประพฤติจนได้ผล อาตมาถือว่างดงามสำเร็จถึงขั้นสาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคี ซึ่งมันเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ประชาธิปไตยเขาต้องการ คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ คือเป็นคนจน จนขนาดทำงานอยู่ในนี้ อยู่ในหมู่เรา ทำงานเสร็จ ก็ไม่เอาเข้าเป็นของส่วนตัวเลย เข้าส่วนกลางทั้งหมด 100% เรียกว่าเสียภาษี 100% ให้แก่ส่วนกลาง
ไม่มีที่ไหนในโลกเด็ดขาด เท่าที่อาตมาอยู่ในสังคมมนุษย์ แม้จะเป็นกลุ่มสังคมอาร์มิช (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… ก็ถือว่า เป็นอัศจรรย์ ที่มีกลุ่มคนสาธารณโภคีที่ทำแล้วเอาเข้ากองกลางหมด ทำให้เห็นถึงความไม่มีตัวไม่มีตัวตน ลดตัวลดตน ถ้ามีตัวตนสูงทำไม่ได้ แม้แต่เงินผู้อายุยาวก็ยังเอาเข้ากองกลาง ทั้งที่ไม่ต้องเอาเข้ากองกลางก็ไม่มีใครว่า
พ่อครูว่า… ซึ่งมันพิสูจน์ความจริงของคน ถ้าเราทำสังคม เป็นสังคมสาธารณโภคีได้อย่างที่เราทำสำเร็จ คนที่ได้เงินแม้แต่เงินรัฐบาลให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไป ก็ยังเอาเข้ากองกลางเลย คือ มั่นใจแล้วอยู่อย่างจิตใจพอเพียง มีเท่านี้ได้เท่านี้ ไม่ต้องมีเลยได้ก็สบายอยู่กินเท่านี้ก็พอใจแล้ว สบาย เป็นสุข
มีความพอ สันโดษ มีกินเท่านี้ มีใช้เท่านี้ ก็อุดมสมบูรณ์แล้ว เป็นคนไม่มักมาก เป็นคนมักน้อยจริงๆ มีกินเท่านี้ มีใช้เท่านี้ในชีวิต มีปัจจัยเท่านี้เหตุปัจจัยอย่างนี้ อาศัยใช้กินไปเป็นวันๆ เกื้อกูลกัน สังคหะ พึ่งเกิดแก่เจ็บตายได้จริงๆ
แต่คนที่ยังมีจิตใจเล็กๆน้อยๆที่ยังไม่สมใจที่เขียนมาก็ขายขี้หน้า ถ้าอยู่ในสังคมอโศกแล้วยังรู้สึกจุกจิกอย่างนี้ นั่นคือคุณยังมีกิเลสส่วนตัวส่วนที่ยังต้องการได้ โธ่..อาตมาว่า ที่นี่มันอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ แต่เขาก็ยังรู้สึกขาดแคลนได้ มันเป็นจิตที่ คุณไปหาที่อยู่ที่ไหน
สมณะเดินดิน… อาจเป็นวิบากที่ทำให้คนไม่ชอบหน้า จึงไม่ช่วย
พ่อครูว่า… ด้วย มันประกอบกัน สื่อออกมาเอง สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล เพื่อนฝูงเห็นแล้วก็เลยทำอย่างนั้น ยิ่งถ้าเป็นคนไม่ตะกละ จะไม่ได้รับผล สะท้อนกระทบอย่างนั้น ถ้าไปโทษสังคม อย่างที่ว่า สังคมสาธารณโภคีเป็นอะไรไป อาตมาว่า ถึงขนาดนี้แล้ว ต้องพูดว่า ใครเก่งกว่าอาตมาทำให้ได้ขนาดนี้ลองดู ยิ่งในโลกยุคนี้ ทุนนิยมสามานย์ ใครเก่งทำได้อย่างนี้ก็เชิญหน่อย มีสังคมไหนที่อยู่กันอย่างแบบนี้ได้ สาธารณโภคีได้ขนาดนี้
สู่แดนธรรม… ถ้าเก่งกว่าต้องเป็นไก่ตัวพี่แล้วครับ
พ่อครูว่า… แต่ไม่มีใครทำได้หรอก ไม่มีใครทำอย่างนี้ได้เลย อาตมาทำได้เพราะเป็น ไก่ตัวพี่ ในยุคนี้จริงๆ
เพราะฉะนั้นในเรื่องของสัจธรรมพวกนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ อาตมาพาทำนี่ ไม่ใช่เรื่องสามัญ ไม่ใช่เรื่องปกติมนุษยชาติธรรมดา แต่เป็นเรื่องที่ใหญ่มากคือทุกคนแสวงหาสุข สุข ที่ต้องขึ้นอยู่กับโลกธรรม สุขที่ขึ้นอยู่กับลาภ สุขที่ขึ้นอยู่กับยศชั้น สุขที่ขึ้นอยู่กับสรรเสริญ สุขที่ขึ้นอยู่กับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สุขที่ขึ้นอยู่กับอัตตาของแต่ละคน กูต้องได้อย่างนี้ ต้องมีอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ บางทีเงื่อนไขที่เขาต้องการได้มาให้แก่ตนมันพิเศษ เขาให้ไม่ได้ เป็นเรื่องเรียกร้องแปลกพิลึกนักหนาสาหัสยากเย็นด้วย แต่เขาเป็นพวกวิปริต อย่างนี้ก็มี เพราะฉะนั้นเขาไม่อยู่เป็นสุขหรอก เพราะเขาต้องการมาบำเรอตน
ผู้ที่ไม่มีตัวตนไม่ต้องการบำเรอตัวตน ตัดกิเลสตัวตน ไม่ต้องบำเรอตนเองได้อย่างสมบูรณ์ จึงยิ่งกว่าสุข ปรมังสุขัง มันไม่ใช่สุข
คนที่จะอ่านเวทนาสุขทุกข์ อาการของจิตที่มันสุขมันทุกข์ แล้ว อาการนี้ไม่มีในจิตเลยเรียกว่า อทุกขมสุข โอ้โห สุดยอด มันเป็นอาการที่ จริงๆแล้วมันจะต้องลงกันกับอุเบกขา
ไม่สุขไม่ทุกข์จริงๆแล้วต้องลงกันกับอุเบกขา ฟังนัยยะ ไม่สุขไม่ทุกข์ต่างกับอุเบกขาอย่างไรให้ดีๆ
คนจนที่จนสำเร็จ แล้วก็ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะมีจิตอุเบกขา อุเบกขา คือ จิตบริสุทธิ์จากกิเลส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่ พระพุทธเจ้าแจกแจงไว้ เอาบาลีมายืนยันเลยเป็นหลักฐาน แต่เขาไปแปลเป็นไทยอย่างตื้นเขินพื้นๆ แต่ถ้าบาลีแล้ว สุดยอดลึกซึ้งเลย แปลเป็นไทยเขาแปลใน ธาตุวิภังคสูตร
เขาก็แปลว่า บริสุทธิ์ผุดผ่อง อ่อน ควรแก่การงาน ผ่องแผ้ว ก็แปลไว้อย่างนั้น ในพระไตรปิฎก
เราก็เอามาขยายความ บริสุทธิ์ ปริสุทธาก็ทับศัพท์
ปริโยทาตา ก็ผุดผ่อง มันสะอาดสูงขึ้นไปอีก
มุทุ ก็แปลว่า อ่อน เขาไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรก็แปลว่าอ่อน
กัมมัญญา ก็แปล ควรแก่การงาน
ปภัสรา ก็แปลว่าผ่องแผ้ว
อาตมาเข้าใจสภาวะธรรมทั้ง 5 ก็เอามาขยายความ จิตของผู้ที่มีอุเบกขา ของพวกที่เป็นฤาษีเดียรถีย์ก็ไม่ต้องทำงานอะไร ไม่มีบวกไม่มีลบ อยู่กลางๆเฉยๆ ไม่บวกไม่ลบเฉยๆ นั่นก็คือ จะลืมตาหรือหลับตาก็ตาม เขาก็จะมีความเข้าใจอยู่ประมาณนั้น
แต่แท้จริงแล้วนัยยะลึกซึ้งของอุเบกขา ต้องรู้จักกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด จิตของเรา ปราศจากกิเลสอย่างละเอียด หมดกิเลส จิตบริสุทธิ์แล้ว
เราจะเข้าใจว่าจิตเราบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสเท่าใดก็ปฏิบัติอีก ปริโยทาตา ให้มันสะอาดกว่านั้นขึ้นไปอีก ความสะอาดจะมีให้เห็นได้ว่า
สะอาดประมาณนี้เรานึกว่าเราสะอาดแล้วนะ เราบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสแล้วนะ แต่จริงๆแล้วมันทำได้เนียนลึกยิ่งกว่านั้นอีก
มุทุ ที่แปลว่า อ่อน ก็ไม่รู้จะแปลอย่างไรภาษาบาลี แต่ มันมีสภาวะธาตุของจิต มุทุภูตธาตุ มันทั้งดัดง่าย ไว เร็ว ปรับตัวของมันได้ดี เนียนลึก บางเบา ละเอียด เป็นความไม่มีอะไรที่ยิ่งๆขึ้น
เพราะฉะนั้นจิตที่บริบูรณ์ จิตที่ยิ่งประเสริฐ จิตยิ่ง เป็นอาริยะสูงสุด ขึ้นไปเรื่อยๆ จึงเป็นจิตที่ มุทุนี่แหละเป็นองค์รวมของทั้งจิตทั้งกิเลส ด้านศรัทธาด้านปัญญา มันหมดไปๆ ก็เป็น มุทุภูตธาตุ ที่เจริญมากยิ่งขึ้น
จิตอย่างนี้จึงเป็นจิตที่มีกรรมการกระทำที่สุดยอด เป็น กัมมัญญา กรรมที่ประกอบด้วยอัญญา คือจิตเจริญ จิตฉลาด ฉลาด แบบโลกุตระที่มาจาก อัญญะ คือจิตอื่นที่ฉลาดแบบโลกุตระแล้ว มาเป็นอัญญา ก็เป็นพหูพจน์ก็ยิ่งเจริญๆๆ เมื่อเจริญเต็มที่ก็เรียกด้วยศัพท์ว่าปัญญา จิตตัวนี้ที่เจริญ
เจริญอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มี มหาปเทส 4 จัดสรรให้เหมาะควรกับกาละเทศะฐานะจึงเรียกว่าเหมาะควรกับการงาน จัดสรร หยุดอยู่ในตัวให้เหมาะสมกับการกระทำร่วมกับมนุษย์แต่ละกลุ่มแต่ละหมู่ แต่ละ กาละเทศะฐานะ กัมมัญญา
เพราะฉะนั้นจะอยู่กับโลกซึ่งจะมีผลกระทบกระแทกกระทุ้งกระเทือนอย่างไรก็ยังผ่องใสผ่องแผ้ว ประภัสสร ก็ยังสะอาดไม่มีอะไรติดไม่มีอะไรที่จะหมอง ไม่มีอะไรจะทำให้ขุ่นได้เลย ไม่มีอะไรทำให้หมองได้เลย สะอาดมีประสิทธิภาพในตัวเองสูงสุด
ฉะนั้นคุณสมบัติที่ต้องเรียกว่าคุณวิเศษอย่างนี้ ไม่ใช่ปากเปล่า จิตเป็นจริงประพฤติปฏิบัติได้จริง อย่างพวกเรานี้ปฏิบัติได้จริง มากบ้างน้อยบ้าง ผู้ที่มีภูมิปัญญาปฏิภาณก็ดูเอาเอง
คนข้างนอกเข้าใจโลกุตรธรรมไม่ค่อยได้ ชาวพุทธได้เสื่อมไปจากศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าเสื่อมไปที่ไหน แต่ชาวพุทธนั้นเสื่อมไปจากสัจธรรมของพระพุทธเจ้าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า เลยกลายเป็นแค่โลกียธรรมก็ยังไม่เรียบร้อยเลย ยังเข่นฆ่าแย่งชิงกันอยู่อย่างนั้น
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… คนรวยทำลายเศรษฐกิจ มีการสำรวจช่วง covid-19 พวกมหาเศรษฐีก็จนลงไปบ้าง แต่ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็กลับมารวยอย่างเก่า แต่่ลคนจน ใช้เวลามากกว่า 10 ปี ที่จะทำให้ฟื้นกลับมาอย่างเก่าได้
คนที่รวยขึ้นในช่วง covid ทำให้คนยากจนมากขึ้น 500 ล้านคน เพราะทรัพยากรมันมีจำกัดเท่านี้ที่โลกมี ทั้งหมดรวยขึ้นราว 16.2 ล้านๆบาท แต่มีผลทำให้คนจนลงถึง 500 ล้านคน นี่ก็คือความรวยเป็นหายนะทำให้โลกเดือดร้อน ที่เขารวยขึ้นมาสามารถเอาไปซื้อวัคซีนให้คนทุกคนในโลกได้ แต่เขาก็ไม่ยอมให้หรอก
พ่อครูว่า… ที่จริงชาวโลกเขาศึกษาเศรษฐศาสตร์เขาก็พอรู้ ว่าคนรวยนี้เป็นคนทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ เป็นคนทำให้การสะพัดเงินทองไม่ทั่วถึงแน่นอน เพราะมันเอาไปกักตุนกอบโกยมากอยู่ที่คนคนนึงมากยิ่งขึ้นๆๆๆ มีอัตราการเพิ่มของความรวยมากขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ในระบบทุนนิยม ระบบดอกเบี้ย ระบบธนาคาร ระบบหุ้นหรือระบบอื่นๆก็แล้วแต่ ที่เป็นระบบของนายทุนยิ่งซับซ้อน
เพราะฉะนั้นเขาพยายามที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเอาคำว่า ไม่ต้องมาจน ทุกคนจะต้องรวยเท่าเทียมกัน ก็คิดเพ้อๆฝันบ้าๆบอๆโง่ๆ มันเป็นไปได้อย่างไรคนจะต้องรวยเท่าเทียม ถ้าคนมาจนเท่าเทียมกันยังพอเป็นไปได้เพราะมันมีที่จบ ต่างคนต่างไม่สะสมไม่เอาเลย ขยันอย่างเดียวแล้วไม่เอาไว้เลยคือเป็น 0 อันนี้ทำได้พวกเราศึกษาสาธารณโภคี ต่างคนต่างทำแล้วก็มักน้อยสันโดษไม่เอาไว้กับตัวเองเข้าศูนย์กลางกินน้อยใช้น้อย
เราจะมีเหลือสะพัดให้แก่ข้างนอกได้ คนจนอย่างพวกเรานี่แหละเลี้ยงโลก เพราะเราไม่ได้มีความซับซ้อน คนจนในโลกนี้จะจนอย่างไรก็แล้วแต่ เขาไม่ได้เลี้ยงโลก คนจนที่เป็นโลกียะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงคนรวยทางโลกียะมันจะเลี้ยงโลก มันมีแต่ผลาญโลกทำลายโลกให้แย่ลงไปทุกที
เพราะฉะนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจจึงบอกว่า พัฒนาแบบคนรวยให้คนรวยเสมอภาคกัน อย่าให้จน มันเป็นหลักการหลักวิชาที่ล้มเหลวตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ให้คนแต่ละคนอย่าไปสะสม อย่าไปมีมาก ให้ลดน้อยลงมันเป็นไปได้ ให้มารู้จักความจนเต็มใจจนรู้จักพอ ชีวิตเท่านี้ก็พอแล้ว ชีวิตเท่านี้ก็สมบูรณ์แบบและอุดมสมบูรณ์แล้ว ให้เข้าใจด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นในหลวง ร.9 จึงตรัสไว้ว่าประเทศชาติให้พัฒนาแบบคนจนพวกจบด็อกเตอร์มาทั้งหลายแหล่ไม่มีใครขานรับเลย มืดแปดด้านกันทั้งนั้นไม่รู้เรื่องกับในหลวง แต่จะไปค้านแย้งกับในหลวงไม่ได้ ในหลวงท่านก็ตรัสแล้ว ก็แขวะ พวกนักเศรษฐศาสตร์ ว่าพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เป็นอย่างนั้นจริงๆ ท่านก็รู้ว่า พูดไปนี้มันขัดหูเขาแน่นอน มีที่ไหนคนจะมาคิดจน ในหลวง ร.9 นี่แหละคิดจน แต่ท่านทำไม่ได้เหมือนโพธิรักษ์ ขออภัยที่ต้องพูดถึง โพธิรักษ์ทำได้ เพราะมันเป็นฐานะอาตมาจริงๆอาตมาทำได้ ให้มาจนได้ มาจนอย่างเต็มใจ มาจนอย่างตั้งใจมาจนอย่างสุขใจ แล้วมาจนกันจริงๆแล้วก็อุดมสมบูรณ์ ถือว่าเป็นคนสบาย
ยกตัวอย่างพวกเรา อย่างดีง่าย เขามาอยู่ช่วย 39 ปีแล้ว อาตมาก็เห็นว่า เขาเป็นคนแบบโลกุตระจริงๆ (ดีง่ายว่า พ่อครูพูดตอนผมยังไม่ตายก็เลยได้ยิน) ไม่ได้พูดสรรเสริญยกยออะไรหรอกแต่เอาความจริงมาพูด เขาเป็นคนก็สบายๆ ทำงานไม่ต้องขึ้นกับเงินทองอะไร ทำไป มีน้ำมันให้ทำก็ทำ ไม่มีน้ำมันก็ไม่ได้ทำ มีเหตุปัจจัยมันขัดข้องอย่างไรก็หาทางทำไปทำได้ก็ทำเท่าที่มี ดีง่าย สบายมาก ตกลง ตอนนี้ชื่ออะไรแท้ๆ นายทะเบียน
ชื่อนายชัดดีมาก นามสกุล สบายมาก จะได้รู้ไว้เพราะว่าคุณเปลี่ยนชื่ออยู่เรื่อยๆ
ไม่ได้พูดเพื่อแกล้งยกยอเล่น เขาก็สบายมาก ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แล้วจะไปที่อื่นไหม .. ตอบว่า ถ้ามีดีกว่านี้ก็จะไป แต่ยังไม่เห็นว่ามีดีกว่านี้
ก็มีหลายคนพูดอย่างนี้ แต่ อาตมาก็ขอพูดจริงๆว่า มันหาที่จะดีกว่านี้ ไม่มีหรอกที่อื่น
พูดให้คนหมั่นไส้ แต่ที่จริงมันเป็นความจริง เพราะ ที่นี่เป็นเมืองคนจน จนสำเร็จ จนที่สุขสำราญ จนที่อุดมสมบูรณ์ เราอุดมสมบูรณ์ คนอื่นเขามองว่าเราอุดมสมบูรณ์เหมือนกันนะ เขาบอกว่า พวกนี้มันเป็นคนจนแต่จนอะไรวะ
ตั้งแต่เรามาสร้างราชธานีอโศก ในถิ่นที่กันดาร เราก็ต้องสร้างบ้านแปลงเมืองสร้างสิ่งที่อยู่ จนทุกวันนี้ ตั้งแต่แรกคนเข้ามาอาศัยทำงาน ตั้งแต่ถอนหญ้า ตั้งแต่ทำตรงนั้นตรงนี้ จนกระทั่งถึงขั้นก่อสร้าง ใช้ความรู้ความสามารถเข้ามาอาศัยเลี้ยงชีวิตไป ตั้งแต่ 2537 จนถึง 2564 ก็เกือบ 30 ปีแล้ว เขาก็อาศัย เลี้ยงตนเองอย่างนี้ คนงานมาทำงานที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละเดือนเราจ่ายเงินให้คนงาน ทั้งๆที่เราเองก็ทำงานฟรีกันแล้ว
อาตมาว่างานที่ได้ นี่ พูดความจริงนะ คนข้างนอกมาทำงานที่นี่ อู้งาน อู้กิมบ้อ แต่เขาได้รายได้ตามที่จะได้ เขาก็ได้เลี้ยงชีวิตไป กลายเป็นแดนที่เขาอาศัยหากินได้ตลอดเวลา ซึ่งเราก็ไม่ได้รังเกียจอะไร ก็เท่ากับช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติเหมือนกัน ให้คนมาอาศัยทำงานเลี้ยงชีพอยู่ที่นี่ เป็นซาอุฯกระจิ๊ด ไม่ต้องเดินทางไปซาอุดิอาระเบีย
สู่แดนธรรม… ผมเคยถามคนที่เห็นกันมานาน ว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่รับเงินมากับมือถึงแสนหรือยัง เขาก็บอกว่าเกินแล้วครับ
พ่อครูว่า… มันไม่แสนหรอก บางคนซื้อรถแทรกเตอร์ซื้อรถแบคโฮได้ เสร็จแล้วเช้าก็มีเทรลเลอร์ใส่มาเองด้วย มีงานอะไรก็ทำ ก็ได้เลี้ยงชีวิตไปสบาย อย่างนี้เป็นต้น คนอื่นๆก็เลี้ยงชีพไปตามฐานะของเขา
นี่คือความจนของพวกเรา และเป็นความจนที่ได้ช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติ ก็ที่ว่าคนเรานั้นได้มาอาศัยเป็นแหล่งทำมาหากินตลอดเวลา เลี้ยงชีพเขาอย่างเป็นสุขสำราญเบิกบานใจ สงบ ไม่ได้มีความเดือดร้อนอะไร
พวกเรานี้ลึกซึ้งมากตรงที่ว่า คนข้างนอกเข้ามาทำงานที่นี่ ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีอาชญากรรม ที่เป็นเรื่องราวถึงโรงพัก ก็ไม่มี แล้วเราไม่ได้ห่วงแหนไม่ได้เก็บงำ ก็เปิดเผย เขาจะทำอย่างไรก็ได้ ขับรถโกดังเข้ามาที่นี่แล้วขนอะไรต่ออะไรไปในตอนกลางคืน เยอะแยะ แต่เขาไม่ขนหรอก ถ้าเขามาขนเมื่อไหร่เราก็คงต้องเก็บ พูดไปเหมือนไปท้าทาย
มันมีเหตุปัจจัยมีจิตใจที่มีพลังงานลึกซึ้งซับซ้อน เราเป็นคนไม่เอาเปรียบ ยิ่งให้เขา เขายิ่งเกรงใจ เขาจะมาละลาบละล้วงทำทุจริตมันไม่ค่อยกล้าทำ
สู่แดนธรรม… แค่เขาจะพูดทะเลาะกันยังไม่กล้าเลย มีแค่ว่า เงินเดือนออกจะมีเจ้าหนี้มาดัก เขาก็ยอมกันไป ไม่ได้ทะเลาะกัน
พ่อครูว่า… นี่มันซับซ้อนลึกซึ้ง ยิ่งเกรงใจกันไป เป็นเรื่องสังคมศาสตร์ที่ลึกซึ้ง อย่าว่าแต่เรื่องเศรษฐศาสตร์เลย เป็นสังคมศาสตร์ที่ลึกซึ้งซับซ้อนแนบเนียนมาก เป็นเรื่องของคุณธรรม
ที่ยกตัวอย่างไปแล้ว คุณธรรมที่ส่อแสดง เช่น อเมริกาไม่เชิญไทยไปร่วมประชุม ส่อแสดงจิตที่ต่ำลงของอเมริกา มันไม่รู้คุณค่า หรือ มันรู้คุณค่าว่า เอาประเทศไทยมาก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะเขาเป็นนายทุนสามานย์จัดจ้าน เลยคิดว่าเอาประเทศไทยมาก็ไม่ได้ประโยชน์ จะเป็นการถ่วงหรือขัด ไม่เอามาก็ดีแล้ว เราก็ยิ่งดี อาตมาว่า ไม่เห็นต้องไปง้องอนอะไร
จริงๆแล้วมันมีความซับซ้อนลึกซึ้งมากเลยว่า สาระสัจจะที่แท้จริงของมนุษย์ชาติคืออาหาร เราเอาอาหารจากอเมริกามาเลี้ยงประเทศไทย ประเทศไทยขาดแคลน เราต้องเอาอาหารจากอเมริกามาเลี้ยงประเทศไทยเราจึงจะอยู่ได้ หรือว่าอเมริกาต้องพึ่งพาอาหารจากประเทศไทย นี่มันลึกซึ้งตรงนี้ แม้ว่าเขาจะมีเงินมากเป็นดอลล่าร์ ได้เปรียบตั้งเท่าไหร่ก็ตาม ทั้งๆที่เป็นกระดาษปั๊มตัวเลขขึ้นมาเฉยๆ แล้วมันก็ยกค่าอยู่ในสังคมในโลกให้จำนนให้ยอมคนนี้ อัตราเงินของเขาเท่านี้ได้ก็ว่ากันไป แต่โดยนัยยะซับซ้อนลึกซึ้งแล้วมันเป็นการลดค่าหรือเพิ่มค่าในตัว
บางทีเขาก็เรียกว่าเงินดอลลาร์แข็ง เงินบาทแข็ง เป็นช่วงๆ ซึ่งที่จริงแล้วเขาไปหลงยึดถืออัตราการวัดด้วยตัวเลข ของรายได้รายรับกับรายจ่าย เขาไม่ไปดูที่ว่า
-
สาระสัจจะสร้างอะไร ถ้าประเทศใดยิ่งสร้างอาวุธขึ้นมา แล้วได้เงินทองจากอาวุธมากมาย ประเทศนั้นยิ่งทรามยิ่งเสื่อม ถ้าหากประเทศใดยิ่งสร้างอาหาร ได้มากยิ่งขึ้นๆ แล้วสะพัดไปให้กับประเทศอื่นได้ราคาต่ำลงเรื่อยๆ ยิ่งเจริญยิ่งเจริญ