641208_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พญานาคมีจริง พญานาคไม่มีจริง
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1SOpF1lMI52rUuVxcw5lZowcjX2AmxLuH66fTiM5Fg1Q/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/14s1k6Ipy_r9Mq13KfOi71aqfXM-WtY_U/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/9MoH5ved8p/
และ https://youtu.be/XRRyy062_W8
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก โศลกธรรมปีนี้ “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” วันนี้ก็มีชาวปฐมอโศกนำข้าวสังข์หยดมาถวายให้พ่อครู 4 ตัน บ้านราชฯมอบข้าวเหนียวให้ปฐมอโศก 1 ตัน มอบข้าวเปลือกให้ไปทำพันธุ์ด้วย บ้านพี่เมืองน้องแลกเปลี่ยนกันไปมา เป็นสิ่งที่น่าประทับใจ ฟังที่เขาบรรยายก็ซาบซึ้งชาวอโศกที่ทำระบบสาธารณโภคี
บนโต๊ะเราก็มีดอกไม้พืชผักผลไม้
พ่อครูว่า… พ่อครูชูดอกเห็ด แล้วบอกว่า นี่ก็ดอกไม้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท…เห็ดฟางเกิดเองบนกองปุ๋ยผักตบชวา
พ่อครูว่า… เราทำพืชผักไม่ได้ขายเอากำไร ส่วนใหญ่แจกฟรีไป เป็นเรื่องของความจริงใจ ที่เราแจก ไม่ใช่เราแจกเอาโก้ แจกอวดเป็นดรามาติก ทำเหมือนกับ พส.ดรามาติก ไปแปลเอาเองนะ เราทำจริงใจบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำเป็นเต๊ะท่า ให้คนนิยม คนเห็นว่าเข้าท่า ไม่ใช่ เป็นเรื่องบริสุทธิ์ใจจริงใจ ที่เรารู้ดีแล้วเราก็ทำไปตามความซื่อจริงใจ
SMS วันที่ 6-7 ธ.ค. 2564
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม : กราบนมัสการพ่อครูค่ะ การให้ยิ่งใหญ่ ยิ่งให้ไปยิ่งได้มาพิสูจน์คำสอนของพ่อแล้วเช่น ช ม ร เชียงใหม่ทำได้ คือ 0 บาทก็ทานได้แต่ใช้เวลาพิสูจน์นานกว่าคนจะเข้าใจ สุดท้ายเขาเข้าใจก็เอาผักหรือสิ่งของมาทำบุญด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…หมายถึงว่าผู้ใดจะตักกินฟรีก็ได้ หรือสมัครใจจะจ่ายเงินก็ได้ พิสูจน์กันมานานหลายปี คนเข้าใจ ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา หมุนเวียนกันของเขาบ้างของคนมาช่วยกันบ้าง ก็ไม่หนักหนาสาหัสอะไร
_คุณป้า นะค่ะ : กราบนมัสการท่านสมณะและสิกขมาตุด้วยความเคารพ สมัยก่อนฟังพ่อครูเทศน์ไม่เข้าใจ ทำให้เกิดความง่วงทุกครั้ง แต่เดี๋ยวนี้เริ่มเข้าใจขึ้น ยิ่งฟังยิ่งลึกซึ้ง ทุกวันนี้จะต้องติดตามฟังพ่อครูเทศน์ทุกครั้งเจ้า รับฟังที่ช.ม.ร.เชียงใหม่เจ้า
_Neo Cold (นีโอ โคลด์) : คิดยังไงกับรัฐบาล กำลังหิวเงิน ขายทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อแลกกับเศษเงิน ฟังท่านพูดเรื่องจน รวย คิดยังไงกับรัฐบาลประยุทธ์ กำลังทลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ รู้หรือยังครับท่าน
พ่อครูว่า… ใครรู้บ้างรัฐบาลเขาจะขายอะไร ? สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวพราย
เป็นโพธิสัตว์ต้องรู้ตัวเองอย่างไร
_ฟังฝน : แม่ชีศันสนีย์ ท่านเป็นโพธิสัตว์ไหมคะ ดูเมืองไทยมีพระโพธิสัตว์หลายท่านมาเกิดมากเหมือนกันนะคะ มีหลวงปู่ / ร.9 / ลุงจำลอง / อ.สมเกียรติ
พ่อครูว่า… การเป็นโพธิสัตว์จะต้องมีปัญญารู้ตัว ถ้าทำตัวไม่รู้ ช่วยคนอื่นช่วยคนอื่นอย่างพวกมหายานยังไม่ใช่โพธิสัตว์ มันจะต้องมีทั้งความรู้และความจริง
โพธิสัตว์ระดับ 1 คือโสดาบัน ก็ต้องรู้ตัวเองว่ามีสัมมาทิฏฐิ รู้ว่าเราลดกิเลส เป็นโลกุตรธรรม รู้ อย่างมีปัญญาไม่ใช่ทำอย่างคนงมงายหลับตา หรือทำยังสุ่มสี่สุ่มห้า เลอะๆเทอะๆ ไม่เข้าร่องเข้ารอย เพราะฉะนั้นคนที่ทำไม่เข้าร่องเข้ารอย เข้าร่องเข้ารอยโลกุตรธรรม
อ่านได้จากการสอน วิธีพาปฏิบัติ มันพาปฏิบัติเป็นไปเพื่อสรรเสริญ ยกย่องเป็นโลกียะ เป็นสวยเป็นงาม เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อย่างแม่ชีศันสนีย์ยังพริ้ง ยังสวยงาม ยังหรูหราอยู่ ยังไม่ได้เข้าแกนของโพธิสัตว์อะไร มันยังเป็นโลกีย์อยู่เยอะ โดยเฉพาะในด้านสรรเสริญที่รู้ยากมาก หลงในสรรเสริญ อย่างมหาบัวนี่ หลงสรรเสริญอย่างไม่รู้ตัวเลย ขออภัยที่ต้องแวะ เป็นตัวอย่างที่สำคัญซึ่งพฤติกรรมของคนต้องใช้เป็นการศึกษา ยิ่งกว่าอ่านหนังสือพันเล่ม
ตอบแล้วนะ… ว่าไม่ใช่
บาป กู้เงินมาทำทาน บาป ซื้อเสื้อขนเป็ด
_จากลมฝน ต้นหนาว :
1.ดิฉันมาเจออโศกโดยบังเอิญ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็รู้ว่าพุทธอโศกแตกต่างจากพุทธในประเทศไทยที่ดิฉันเคยรู้จักโดยสิ้นเชิง ดิฉันจึงเกิดความศรัทธาในตัวพ่อครูสมณะและสิกขมาตุมาก เลยทำให้อยากจะใส่บาตร แต่เงินก็มีเงินไม่มากนัก ขอถามว่าถ้าดิฉันไปกู้เงินจากบัตรเครดิตมาซื้อของใส่บาตร ดิฉันจะได้บุญมั้ยค่ะ
พ่อครูว่า…ได้บาป ไม่มีเงินก็ไม่ต้องให้ ประพฤติศีลสมาธิปัญญานั่นแหละสูงกว่าที่คุณให้ เงินก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะใช้ได้ จะบอกว่าไม่สำคัญก็โลกีย์ที่จะต้องใช้ ยุคนี้ต้องใช้บ้างก็เท่านั้น แต่ถ้าปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาจะได้มรรคผลแท้
2.เพื่อนที่รู้จักกันเขาสงสัยว่าการที่คนไปซื้อเสื้อกันหนาวขนเป็ดใส่จะบาปมั้ยค่ะ
พ่อครูว่า… บาป พูดกันตรงๆ อย่างงี้ มันแหม.. อย่าไปเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์มาใช้มาทำกับชีวิต แม้มันจะตายแล้วก็เถอะ สัตว์มันไม่รู้หรอก มันตายทิ้งร่างไปแล้วมันก็ไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่ร่างของเรา ไม่ใช่ของของเรามียึดนะ โดยที่มันไม่รู้มันมีอวิชชาแต่มันยึดว่าของเรา โบราณเขาพูดกัน ว่าวิญญาณมันตาม ตามขนตามอะไรของตัวเองไป แม้กระทั่งกระดูก งา เขา อะไรก็แล้วแต่ มันก็ตามไป มันก็ยึดถือเป็นตัวกูของกูของเรา มันก็จองเวรจองกรรม ซึ่งมันลึกซึ้งเรื่องกรรมวิบาก
_กลั่นพร ลูกศีรษะอโศก : น้อมกราบนมัสการด้วยเศียรเกล้าค่ะ ขออนุญาตกราบเรียนค่ะ มีคนมาว่าดิฉันเป็นศักดินา รู้สึกงงทำไมเขาจึงว่าดิฉันอย่างนี้ถามเขา เขาบอกว่าไม่รู้สินะแต่รู้สึกอย่างนั้น ดิฉันหาคำตอบให้ตัวเองไม่เจอค่ะ มีคนมายืมของใช้ดิฉันรู้สึกหวง กลัวเขาไม่คืนค่ะ แต่เขามายืมเงินรู้สึกไม่หวงรีบให้ทันทีเลยค่ะ 2 เรื่องนี้ดิฉันไม่เข้าใจตัวเองเลย ขอความเมตตาพ่อครูให้คำแนะนำสั่งสอนเพื่อดิฉันจะได้ปรับปรุงตัวเองค่ะ กราบนมัสการด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า…มันก็มีนัยยะละเอียดนะ ไม่หวงเงินแต่หวงของ มันก็ยึดของแต่ไม่ยึดเงิน บางทีของมันหายไปแล้วหาอีกไม่ได้ แต่เงินมันหาง่ายดาษดื่น (สู่แดนธรรม… ของบางอย่างมีชิ้นเดียว )
SMS วันที่ 3-5 ธ.ค. 2564
_มุ่ง ตรงธรรม : พ่อครูยอมฝืนอยู่เพื่อลูกทั้งที่ตื่นแล้วและที่ยังไม่ตื่น ลูกเข้าใจพ่อครูยิ่ง เมื่อผู้สิ้นหวังหมดหวังแล้ว ก็เหลือเพียงแต่อยู่ไปแบบรอวันตาย ขบฉันก็ยังต้องฝืนขบฉันเพราะหมดหวังสิ้นหวังในรสแล้ว ก็ย่อมขบเคี้ยวเพียงรักษาธาตุขันธ์เพื่อผู้อื่นเพียงอย่างเดียว เมื่อจักเคี้ยวขบฉันเหมือนออกรบแบบฝืนรบทุกครา จึงเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายความซ้ำซาก ลูกรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตา กรุณา ที่พ่อครูให้ความเอ็นดูทุกสรรพสัตว์ ลูกฟังพ่อครูแล้วจิตมันเห็นตามถึงความยากลำบากในการฝืนอยู่นี้
พ่อครูว่า…จริงๆนะอาตมาใช้เวลาตั้ง 1-2 ชั่วโมงกว่าจะเสร็จในการกิน เมื่อย
_พันธุ์ พอเพียง : ที่ว่า ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผมว่าน่าจะเปลี่ยนเป็น ป่วยเจ็บมีคนรักษา ใบไม้หล่นมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน น่าจะดีกว่าไหมครับ เพราะทุกสถานที่ของชาวอโศก นิยมปลูกต้นไม้หนะครับ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…เอาน่า เป็นเรื่องสนุกๆไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร
ถนนสายส้มตำ ถนนสาธารณโภคี
_ธรรมธารทิพย์ วงษ์รักษ์ มาลิณี : ถนนเส้นทางกุดระงุมบ้านราชมีถนนแบ่งปัน ชื่อส้มตำ ถ้าน้ำแห้งถนนเส้นคำกลางก็จะมีกระท่อมแบ่งปัน ต่อไปอาจมีเพิงแบ่งปันที่บ้านคำกลาง เมื่อผลผลิตมีพอ ชาวบ้านราชที่อยู่คำกลางหลายอยู่จับมือกัน ตามนโยบายพ่อครูค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาเคยบอกพวกเรา พวกเราก็พยายามไปทำกัน สองข้างทางปลูกต้นกล้วย ต้นมะละกอ คนจะได้เก็บดอกเก็บผลมันกินไป เห็นว่าเป็นของสาธารณะเพราะเป็นของข้างทาง อาตมาเคยพาทำปลูกตะไคร้ ปลูกข่า ตอนนั้นไม่ค่อยมีใครช่วย ไม่มีสายน้ำหยดสายท่อน้ำ มันก็เลยแห้งตายทิ้งไปหมด ตอนนี้ก็อยากให้ทำอีกลองดูซิ ตอนนี้ท่อน้ำสายน้ำเราก็พอเป็นไป มีคนช่วยกันปลูก เช่น ต้นเหลืองไม่หยุด ออกดอกเหลือง 2 ข้างทาง เต็มไปหมด
ก็น่าคิดว่าเราปลูกต้นทองอุไรก็ได้แล้ว เราก็พลิกฟื้นเอาพริกมะเขือข่าตะไคร้ ต้นกล้วยต้นมะละกอมาอีกจะได้เก็บกันกินไปอุดมสมบูรณ์ เรามีพลังงานเหลือพอทำได้ก็ช่วยกันทำ พวกเราก็ไปช่วยกันทำอยู่ ตอนนี้ก็ปลูกไปเรื่อยๆ นี่เพิ่งเริ่มทำ อีกหน่อยก็คงเห็นผลเป็นไป
ซึ่งเป็นเรื่องดีไม่ใช่เรื่องอวดอ้าง ไม่ใช่เรื่องทำโก้ ไม่ใช่เรื่องทำเล่น แต่ทำอย่างจริงใจ มันมีเหลือ อย่างในหมู่บ้านเราก็มีมะละกอเต็มไปหมด กล้วยก็มีเหลือ พืชผักต่างๆนานา คนข้างนอกมาเก็บกินก็ไม่กล้ามาบุกรุกละลาบละล้วง เพราะเรายิ่งให้เขาก็ยิ่งเกรงใจ คนเรามันเป็นอย่างนั้น ถ้าเรายิ่งหวงแหนเขายิ่งขโมยเอา แต่นี่เรายิ่งให้ เป็นสัจจะเลยถ้าเราดีเขาก็จะดี เป็นเรื่องง่ายๆ ถ้าเราดีเขาก็จะไม่กล้าร้าย ไม่อยากเลว มันคือสัจจะนะ ก็ทำไปเรื่อยๆ
ทำให้เป็นเลยว่า แม้แต่หมู่บ้านข้างเคียง ถนนหนทางก็กลายเป็นสาธารณโภคี อาตมาก็ เย้าเล่นว่า เราปลูกมะละกอ พริกมะเขือข่าตะไคร้ได้หมด ยังเหลือแต่ปลูกปลาแดก แล้วก็เอาครกไปได้เลย ตั้งลงนั่งตรงไหนก็เอาเลย มีมะละกอพริกมะเขือข่าตะไคร้มีปลาแดกใส่เสร็จเลย มะนาวมีหมดก็ปลูกให้ได้ แต่แหม หาต้นปลาแดกปลูกอีกเท่านั้น (สู่แดนธรรม… ให้เขาเอามาจากบ้านมันกินเข้าป่า) มันแบ่งปัน ไม่ได้มาแย่งชิง เอื้อเฟื้อเจือจานเผื่อแผ่ไป ปลูกที่คนอื่นก็ดูจะไปบุกรุก ต้องปลูกที่สาธารณะนี่แหละ
สาธารณโภคีมันมีกว้างขวาง เอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง ออกไปได้ มีความลึกซึ้งอีกมากมายในสาธารณโภคี เอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง ต่อกันไปเป็นอิทัปปัจจยตา มีเหตุมีผล เชื่อมกันไปได้อีกเยอะเลย อาตมายังอธิบายไม่เก่งที่จะสามารถทำได้อย่างนั้น
ตั้งใจศึกษาและพยายามเป็น มันจะเป็นเองถ้าเป็นคนโลกุตระจริง ถูกต้องมันจะเป็นเหตุเป็นผลว่ากันไปเรื่อยๆ
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : มองโลกมองธรรมตามธ.พ่อครูสอนฝึกกายใจให้อยู่กับวิกฤติโคโรนาเศรษฐกิจโควิทฯ’ด้วยศีลสมาธิปัญญาเข้าใจความจริงของสิ่งที่ถูกรู้(รูป) กับตัวผู้รู้(นาม)จึงจะเข้าถึงความเป็นอิสระจากสภาวะบีบคั้นเป็นทุกข์ในปัญหาต่าง ๆได้ด้วยหลักธรรมตถาคตฯและคำสอนพ่อร.๙ที่พาก้าวออกจากความทุกข์ในทุกวิกฤติได้ดียิ่งกว่า๑๐๘วาทะกรรมใดๆสาธุ! รักพ่อฯ ภักดิ์นิรันดร์ฯ?
พ่อครูว่า… หมด sms
พญานาคมีจริง พญานาคไม่มีจริง
เรื่องของความเป็นนาคในศาสนาพุทธ
-
นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอนท่าหลับ ดังนั้นลัทธิยึดท่าหลับ คือ “หลับตา”ปฏิบัติซึ่งเป็นศาสนา ลัทธิของเขา
-
นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ “หลับตา” ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา” ปฏิบัติซึ่งเป็นคนปลอมเอาของปลอมเข้ามาในศาสนาพุทธ
เพราะพุทธที่สัมมาทิฏฐินั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี อปัณณกปฏิปทา 3 ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่อย่างนี้แต่เขาก็มืดบอดจริงๆ
การหลับตาปฏิบัติมันตรงกันข้ามกันเลยกับ “อปัณณกปฏิปทา 3”
-
ผู้นำวิธี “หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็นนาคหรืองูปลอมเข้ามาเผยลัทธิวิชาของเดียรถีย์ เมื่อมาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายามที่จะไม่ทำตนเป็น “งู” ที่ยังมี “ธาตุแท้”หรือหลับ คือนอน จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็เลยเผยธาตุแท้ออกมาคือ เผลอนอน เผลอหลับไป จนร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู นอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็นนาคปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึกไล่ออกไป นี่อาตมาไม่ได้พูดเอาเองนะแต่มีตำนานเล่าขานกันมาให้รู้สึกตัวให้รู้ถึงเนื้อแท้
แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธจึงให้ใช้คำว่า นาค เรียกผู้ที่จะขอเข้ามาบวช
คำว่า นาค จึงเรียกผู้เตรียมบวช
ในยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่มีนะ แต่คนในยุคหลังก็เรียกกัน ไม่มีคำว่านาคในพระไตรปิฎก มามีอยู่ในรุ่นหลัง
-
เมื่อ “นาค” พยายามแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธ ก็พยายามจะไม่ให้ “ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะไม่ให้ตนเป็นนาค ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น “นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็นนาคผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังแน่แท้ แล้วตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดถึงนิพพาน ถึงพระพุทธเจ้าให้ได้ ก็แสดงถึงความเป็นนิยตะ คือเลข 7 ขั้นที่ 7 คือขั้นเป็นผู้มีเชื้อพุทธแท้แล้วแน่นอนไม่มีเปลี่ยนแปลง มีแต่จะไปสู่ที่สูงที่สุด
จึงนำเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็นนาคอย่างยิ่งและออกจากความเป็นนาคได้เด็ดขาดจริงแท้ จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทัน ผู้ปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ เป็นผู้ปราบผู้ปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่ ความเป็นงูความเป็นนาค ผู้มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาค
-
แต่ “นาค” ก็ยอดเก่งยอดบุกรุก จนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู จอมนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น “พญางู”มาตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่างให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ มีอะไรต่างๆเป็นลวดลาย ให้ดูเขื่องดูโก้ ดูยิ่งใหญ่หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจากงูสามัญ เป็น “พญางู-พญานาค” ดังที่เห็นกันนั่นเอง
-
สุดท้าย “ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ “หลับ” ยิ่ง “หลับ” ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ก็ยิ่งคือผู้อวิชชาเป็น “พญานาค”
-
สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็นพญานาคที่หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น
จะรู้สึกตัวขึ้นมาจากการ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็น “พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลก
ถาดทองคำก็จะลอยทวนกระแสขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ดัง “ด้วยเสียงของถาดทองคำ” ทีเดียว ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่งโลกุตระธรรม อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้ “พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ “ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า” ได้
เมื่อได้ยินเสียงวิเศษนี้ จึงพอจะรู้สึกตัวขึ้นมาครั้งหนึ่ง หลังจากได้หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชามาตลอดกาลที่เป็นกาละ ว่า อ้อ! พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมาในโลกอีกพระองค์หนึ่งแล้วหรือ? ว่าแล้วก็ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” นั่นคือ อวิชชาต่อไป ด้วยการหลงใหลหลับใหลอยู่กับการ “หลับตา” นี่เอง เป็น “พญานาค” นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทอคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด เพราะ พระพุทธเจ้า นั้นอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆองค์แล้ว
-
“พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี “หลับตา”หรือ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็คือ “โจรปล้นศาสนา”อยู่นั่นเอง
-
พระพุทธเจ้าจึงทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่ “โจร”ก็ไม่ตาย จึงทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็ส่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาก็เพราะเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตาย
-
ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” ไม่มี “จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก”กันอยู่ เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง
นี่ปอกเปลือกพญานาคให้ฟัง พญานาคมีจริงหรือเปล่า ?…พญานาคไม่มี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย ความมีกับความไม่มี ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันหมด
สรุปแล้ว ในโลกนี้มีความมีกับความไม่มี แม้แต่พญานาค ก็คือ สิ่งที่มีหรือสิ่งที่ไม่มี (ไม่มี)แต่มันมี อาตมาเป็นอนุปคัมมะ มัชฌิมา เป็นคนกลางๆ ก็เห็นอยู่ว่าพญานาคมันก็มี อนุปคัมมะ ผู้มีอิทธิพลเหนือความมีความไม่มี ความจริงความไม่จริง ก็จึงเห็นว่า
มันเป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องนิรันดร มันก็ยังมี
พระพุทธเจ้าเปรียบเปรยว่าเป็นโจรปล้นศาสนา ให้เอาไปฆ่าตอนเช้าด้วยหอกร้อยเล่ม ก็ยังไม่ตาย ตอนกลางวันเจอแล้วเอาไปฆ่าอีกก็ยังไม่ตาย เย็นพบอีกบอกว่าไม่ตาย ก็ให้เอาไปฆ่าอีกตอนเย็น ท่านก็จบไว้แค่นั้น พรุ่งนี้เช้ามาถามอีกก็ต้องเสียหอกไปอีกร้อยเล่ม ฆ่าก็ยังไม่ตาย ตอนกลางวัน ตอนเย็นก็ยังไม่ตาย พรุ่งนี้ก็มาถามอีกมันก็ยังไม่ตาย
สู่แดนธรรม… นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
สู่แดนธรรม… โหราศาสตร์บอกว่า นาคคือ ผู้อยู่ในความมืด ตรงกันข้ามกับความมืดคือ พระอาทิตย์ พญาครุฑก็มีหน้าที่จับนาค นาคมีอำนาจในความมืด ถ้าพระอาทิตย์ตกอยู่ในความมืดก็หมดแสงเหมือนกัน
ความหมายของนาคที่มีอำนาจในความมืดคือ เขาเห็นความสำคัญว่ามันเป็นความถูกต้องมีฤทธิ์ มีอำนาจ มีพลังสมาธิ สิ่งเหล่านั้นทำให้เขาหลงว่าเป็นอำนาจในความมืด เป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีของเขา คิดว่าศาสนาพุทธต้องได้สิ่งนั้นเป็นพลังอำนาจ
พ่อครูว่า… ที่พูดไปนั้นมันอยู่ในยุคศาสนาพุทธเสื่อม 2,500 กว่าปี พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ไว้มันก็จริง มันเสื่อมลงไปกลายเป็น เดียรถีย์ แล้วคนก็เสื่อมจริงๆ คืออวิชชา แปลว่าโง่ อวิชชาจริงๆ ไม่ว่าจบเปรียญ 9 จบ ดร.ทางพุทธศาสนาแค่ไหน ก็ยังเชื่อว่าต้องนั่งหลับตา ทั้งๆที่ก็เรียนมาในพระไตรปิฎก พยัญชนะภาษามี อ่านอย่างไรก็ไม่แตก อ่านอย่างไรก็หลงงมไปกับการนั่งหลับตา พวกหลับตาปฏิบัติไม่ต้องอ่านหนังสือเชื่อมั่นในการหลับตา ผู้ที่จะเรียนหนังสือขนาดไหน ก็ยังมืดยังบอดตามพวกหลับตาอยู่อีก โอ้ย จะทำอย่างไร อ่านพยัญชนะตัวเดียวกัน หนังสือพระไตรปิฎกอันเดียวกัน แต่ก็ไม่รู้เรื่อง อ่านรู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ว่า
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาลืมตา ไม่ใช่ศาสนาหลับตา แต่ก็ยังน่าเห็นใจเพราะว่า พระไตรปิฎกเล่มนี้รวมทั้งหมดแล้วมันเป็นของพระกัสสปะ ซึ่งนับว่าเป็นยอดพระป่า นั่งหลับตาปฏิบัติมาเก่า แม้จะมีสัมมาทิฏฐิแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังมีเชื้ออันเก่าอยู่ มารวบรวมพระไตรปิฎกก็เลยเอียงไปข้างหลับตา มันมีแนวโน้มเป็นอย่างนั้นเลย มันก็เลยยาก
อาตมาสายปัญญาโดยตรงเลยมาแต่ไหนแต่ไรก็ชัดเจนในเรื่องนี้มาก ก็ตรงกันข้ามกับการนั่งหลับตา ก็เลยต้องพูดว่าพวกหลับตา ว่าจริงๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันไม่มีทางเลี่ยง มันเลี่ยงไม่ออก มันก็ต้องว่ากันจริงๆเลย
ถ้าเผื่อว่าอาตมาสามารถทำให้พวกหลับตาเข้าใจได้จริงๆ เกิดอัญญธาตุ เกิดธาตุรู้ใหม่เป็นโลกุตระธาตุ ซึ่งมันลึกซึ้งนะธาตุตัวรู้ที่ เป็น อัญญธาตุ ที่อัญญาโกณฑัญญะเกิดตัวรู้นี้ขึ้นเป็นธาตุรู้อันยิ่ง ที่นอกเหนือจากพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีปลุกตื่น เป็นธาตุต้นทางต้นธรรมของปัญญา อัญญธาตุ
เพราะฉะนั้นโกณฑัญญะเมื่อเกิดอัญญธาตุขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ โกณฑัญญะมีตัวรู้โลกุตรธรรมขึ้นมาแล้ว มีปัญญา แต่ก่อนมีแต่เฉโก มีความรู้อย่างโลกีย์มาตลอด ยังไม่เคยมีปัญญาไม่เคยมีธาตุรู้ อัญญาหรืออัญญะ ที่เป็นธาตุอื่นต่างหาก อัญญะแปลว่าอื่น ไม่เหมือนโลกีย์ที่ครอบงำโลก มันอยู่กับเทวนิยม แม้จะลืมตาก็มืดบอด ตาบอดตาใสกันมา มันไม่รู้จักความสว่างจริงๆ
เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้โลกุตระ กว่าจะเข้าใจแท้ๆกับความเป็นพุทธ โอ้โห อาตมาพยายามจะอธิบาย ถีนมิทธะ มันหมดไปจากจิตมันเป็นอย่างไร
ความติดรสอาการของความง่วงมันหมดไปจากจิต อาตมาทำได้ ซึ่งอธิบายไปหลายทีแล้ว มันจึงไม่มีความง่วงเลย ไม่มีถีนมิทธะเลย นิวรณ์ 5 ไม่มี กามก็ไม่มี ปฏิฆะ ก็ไม่มี หรือแม้แต่ฟุ้งซ่านก็ไม่มี ถีนมิทธะก็ไม่มี ยังไม่มีความสงสัยไม่มีวิจิกิจฉา มีญาณปัญญาแต่เห็นความจริงมีญาณปัญญารู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส จริงๆ
นอกจากร่างกายมันต้องการพักมันเปลี้ยต้องการพัก แต่มันไม่มีรส ถีนมิทธะ มันไม่อยากนอนนะ แต่บางทีมันต้องนอน มันไม่ใช่ง่วงแต่มันเปลี้ย ก็ต้องนอน
สู่แดนธรรม… คำว่า ถีนมิทธะ เราจะตัดสินที่จิตเป็นใหญ่ หรือเอาร่างกายด้วย
พ่อครูว่า… เอาที่จิตสิ ความอยากนอนคำนั้นไม่ได้เป็นกิเลส ถีนมิทธะ มันเป็นความเหมาะสมจะต้องให้พักให้มันนอนพักผ่อน
พอหมดแล้วมันหมด ไม่มี ซึ่งอาตมาพูดนี้ อวดอุตตริมนุสสธรรมเลย มันไม่มีจิต ถีนนมิทธะ มันมีแต่ทำงานมากมันก็เปลี้ย บางทีทำงานมาก คนก็ทักว่าควรจะพักได้แล้ว ตาโรยๆแล้ว เขาก็บอก เพราะบางทีมันสนุกทำงาน ยิ่งคิดยิ่งเขียนอะไรพวกนี้ โอ้โห อาตมาเขียนหนังสือจะลืมไปเลย พระพุทธเจ้าเข้าทรง มันไม่รู้วันเวลาผ่านไปเร็วมาก เดี๋ยวคนก็บอกว่าถึงเวลานั้นเวลานี้แล้ว
จริงๆมันสนุกนะธรรมะโลกุตระ เบิกบานร่าเริงไม่มีซึมเศร้าเหงาง่วงจะเห็นได้ว่าอาตมาไม่มี โศก ไม่มีซึมเศร้าเหงาง่วง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) มีแต่ไอ
สมณะฟ้าไท… เป็นวิบาก อจินไตย ไม่มีใครสามารถที่จะห้ามมันได้มันจะมาตอนไหนเวลาไหน ณ กาละใด ไม่เลือกหน้า แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ต้องมา
จากฉันทะในมูลสูตรสู่ความมีและความไม่มี อนุปคัมมะ
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นในความเป็นชีวิตของคน เกิดมาเป็นชีวิต ถ้ามาได้โลกุตรธรรม แล้วได้จริงๆแล้วมันจบ อย่างพระพุทธเจ้า ท่านมีความรู้ทุกแขนงในโลก รู้ดีไม่ใช่รู้ธรรมดาด้วย รู้แล้วก็เป็นได้ด้วย ยถาวาที ตถาการี ศาสตร์ใดแขนงใดท่านรู้ดีแล้วทำได้ดี ยุคของท่าน ถือว่ามีใหญ่ๆ 18 สาขาวิชา 18 แขนง ทุกวันนี้มีเป็นร้อยๆพันๆศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าก็จบปริญญาเอกมาทุกแขนงในสำนักตักสิลา แต่ท่านโยนทิ้งหมดเลย มาเอาศาสนาพุทธวิชาเดียว มาเอาวิชานี้วิชาหลักวิชาเดียว เข้าใจไหมที่อาตมาพูดว่าอะไรมันสำคัญ
วิชาขี้หมูราขี้หมาแห้งที่เขาเห็นมันสำคัญมากในชีวิตของเขา เขาชำนาญวิชาใดเขาเก่งวิชาใดก็แล้วแต่ มันก็ภูมิใจในวิชาของเขา ซึ่งพระพุทธเจ้ามีทั้งนั้น ท่านก็ไม่เอา จบ มาเอาศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่รู้จักชีวิต จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะรู้อะไรเกิดอะไรดับ อะไรมีอะไรไม่มีอยู่ในโลก สุดสูงสุดแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนเรานี้จะศึกษาก็อาศัยอุบายเรื่องความมีกับความไม่มี เป็นอุบายเครื่องศึกษา ที่จะรู้ว่า อภินิเวสคืออะไร อาศัยความมีกับความไม่มี เท่านั้น 2 ภาษา นัตถิกับอัตถิ หรือโหติกับนโหติ เป็นเครื่องศึกษา สองคำนี้หรือสภาพ 2
คำว่าสภาพ 2 หรือภาวะ 2 จึงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เมื่อสภาวะ 2 อย่างมาเปรียบเทียบกันแล้วเราจะรู้ว่าอันนี้คืออันนี้อันนี้คืออันนี้ รู้ 2 อย่างนี้เปรียบเทียบแล้วว่ามันไม่เหมือนกันนะ จบ รู้แล้วก็ ถ้าเราเกิดเป็นคนเราจะรู้ 2 อย่าง
คนที่รู้ 2 อย่างแล้วก็คือคนที่ไม่มีตัวตนแล้ว แต่อาศัย 2 อย่างนี้อยู่ก็เท่านั้น เป็นสังขารธรรม ปรุงแต่งกันอยู่
ผู้มีวิชชาแล้วก็ไม่ปรุงแต่ง อสังขาริกัง ไม่ปรุงแต่งแล้วก็แยกธาตุออกจากกันไป ธาตุแท้ของดินก็ไปหาดิน ธาตุน้ำก็ไปหาน้ำ ธาตุลมก็ไปหาลม ธาตุไฟก็ไปหาไฟ ธาตุชีวะก็ไม่เหลือกลายเป็นอุตุ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนิยาม 5 รู้จักดินน้ำไฟลม รู้จักพืช พีชะ รู้จักจิตนิยาม แล้วก็รู้วิธีทำกรรม รู้วิธีทำกรรม รู้วิธีจะทรงไว้ ธรรมะ หรือไม่ทรงไว้ ปล่อยแยกเลย ไม่ให้มันอยู่ในสภาพทรงไว้ เป็นสภาพแยกเลย กายสเภทาปรัมมรณา ก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จบ
เพราะฉะนั้นในมูลสูตร 10 จะไม่มีใครมาอธิบายปรินิพพานเป็นปริโยสานหรอกนอกจากอาตมา ไม่มีหรอก เขาจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปเขาจะรู้นิพานบ้าง ปรินิพพานบ้าง
ยิ่ง ปรินิพพานเป็นปริโยสานเขาก็ไม่รู้เรื่อง นั่นแหละคือตัวสุดอวสาน สุดท้ายของการตายอย่างแยกธาตุ กายสเภทาปรัมมรณา กาย รูปนามแตก ปรัมมรณา หลังจากการตายของรูปนาม กายแตกไปแล้ว ไม่มีพีชะไม่มีชีวะ พระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนพวงมะม่วงที่ถูกตัดขั้วตกลงมาแตกกระจาย ไม่เหลือต่อเป็นพวงมะม่วงนั้นอีกเลย พวงมะม่วงนั้นหายไปเลย ฉันใดก็ฉันนั้น พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบง่ายๆ
อาตมารู้ และพูดถูกพูดได้ เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 คนไม่เชื่อก็ฟังที่อาตมาพูดอธิบายดู อาตมาแกล้งพูดก็ได้ แกล้งพูดให้มันได้อย่างนี้นะ อาตมาพูดจากที่อาตมามี ไม่ได้อธิบายในพระไตรปิฎก แต่รายละเอียดที่พูดเป็นสภาวะของอาตมาที่แจกแจงเป็นภาษาไทยพูดให้คุณฟัง ไม่ใช่ภาษาในพระไตรปิฎก ไม่ใช่สำนวนตามบาลีที่แปลพยัญชนะให้เป็นพยัญชนะ แต่แปลเป็นภาษาไทย ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้สอนอธิบายตามภาษาถิ่น ภาษาของตนเองที่ใช้ อาตมาเป็นคนไทยก็ขยายเป็นภาษาไทย ไม่ต้องไปเป็นภาษาบาลี หรือภาษาอื่น แต่อาตมาเป็นคนไทย ก็ใช้ภาษาไทย คนเกิดเป็นฝรั่งก็อธิบายเป็นภาษาฝรั่ง คนเกิดเป็นแขกก็อธิบายเป็นภาษาแขก คนเกิดเป็นจีนก็อธิบายเป็นภาษาจีน มันเป็นภาษาแม่ มันจะรู้ได้ดียิ่งกว่าภาษาต่างชาติ มันจะซาบซึ้งกว่ากันเยอะเลย
ภาษาเป็นสิ่งที่จะสื่อให้เข้าใจกัน ยิ่งเชื้อชาติเดียวกันก็ยิ่งเข้าใจยิ่งกว่าคนละภาษาคนละชาติ แล้วสื่อแล้วก็ไปศึกษาอีกที ให้เข้าถึงสภาวะจริงๆเลย สภาวะอัตตาเป็นอย่างไร สภาวะอนัตตาเป็นอย่างไร
อาตมาเห็นพระธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละสูตรในพระไตรปิฎกก็อยากจะอธิบาย
เจอ อัตตา 3 ใน โปฏฐปาทสูตร
-
การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ)
-
การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ ปั้นรูปสัญญา ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ)
-
การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้ หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา ปฏิลาโภ) .