641126_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาอย่างอวดตัวแต่ถ่อมตน ด้วยความจริง ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1tuM96gtEABAaYNOeunm2A7PpBSeEyFl0frTiHyQKuS8/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1eyc4RNnGc9V8aPQdyC43hyyHabWEWRW7/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/9wuANhRCBw/ และ https://youtu.be/gDsk5wHNzkE สมณะเดินดิน…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้สถานการณ์ covid ยังไม่ผ่อนคลาย ตอนนี้มีเชื้อกลายพันธุ์จากแอฟริกาใต้เข้ามา ซึ่งจะมีการระบาดมากกว่าเดิม โลกุตระสามารถอยู่เหนือ ทำจิตตนให้เป็นอยู่หรือสูญสลายได้ พ่อครูว่า… ได้ฟังโลกุตรธรรม คนที่ไม่เห็นค่าโลกุตรธรรม ไม่ว่ายุคไหนก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาโลกุตรธรรมไม่มี มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวในเอกภพมหาจักรวาล ที่สามารถที่จะมีโลกุตรธรรมขึ้นมาให้คนรู้จักเรียนรู้และปฏิบัติให้เกิดจิตวิญญาณเป็นโลกุตรธรรม ซึ่งเป็นคุณธรรมขั้นคุณวิเศษอุตตริมนุสสธรรม มีความรู้รอบในความเป็นจิตวิญญาณ และสามารถทำจิตวิญญาณของตน ให้เป็นไปตามที่ตนจะใช้อาศัย จะทำจิตวิญญาณให้ไม่มีเวทนา กลายเป็นจิตวิญญาณที่เหมือนดินน้ำไฟลม เป็นอุตุนิยม เป็นวัตถุไปเลยก็ได้ ไม่มีเวทนาให้เป็นชีวะพีชธาตุได้ ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณมีแค่สังขารสัญญาปรุงแต่งกันอยู่ ประกอบเป็นชีวิต แต่ไม่มีเวทนา ถึงไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญอะไรกับใคร ยังไม่เป็นธาตุที่ปรุงแต่งถึงขั้นเป็นบาปเป็นบุญ ซึ่งชาวเทวนิยมทั้งหลาย จะไม่มีโอกาส ไม่มีสิทธิ์ เพราะศาสดาทางเทวนิยมไม่มีความรู้อย่างนี้ ในเรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพาน อย่างแท้จริง เขาไม่มี และเป็นคนส่วนมากของโลกด้วย คนที่จะมีบารมี มีปฏิภาณ ปัญญา ธาตุรู้ที่สามารถเข้าใจความโลกุตระได้ ไม่ใช่เรื่องแกล้งเป็น หรือทำเป็นรู้ได้ มันไม่ใช่ มันรู้จริง ไม่ใช่ทำเป็นรู้ ปุโลปุเลไป มันก็ไม่ใช่ ต้องสัมผัสรู้แท้จริงเลย อาการของเวทนาเป็นอย่างไร อาการของสัญญา กำหนดรู้เข้าใจเลยว่าอาการมันเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นนามธรรม กำหนดรู้ได้เลย อาการของเวทนา อาการของสังขารปรุงแต่งกันเป็นอย่างนี้ รวมลงแล้วเป็นวิญญาณ โดยมีสัญญาของตัวเองเป็นกำหนดรู้ กำหนดรู้เวทนา สังขาร วิญญาณ กำหนดรู้เจตนา แล้วสามารถทำใจในใจมนสิการใช้ในใจของตนเองได้ มีความสามารถในนาม 5 นี้จริงๆ ทำได้จริงๆเลย ก็ทำให้จิตเป็นอุตุ เป็นพีชะ แต่จิตก็ยังเป็นจิตนิยามอยู่ แต่มีอิทธิพลเหนือ มีอนุปคัมมะ มี อภิภุย เป็นผู้มีอิทธิพลเหนือสภาพนั้นเลย เหนือภาวะนั้นเลย รู้เห็นเต็มๆ แต่ อนุปคัมมะอภิภุย ในโลกเขาก็มีเป็นโลกีย์ เป็นอบายมุข เป็นกาม เป็นรูป ในโลกคนอื่นเขา แต่ผู้เป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้มัชฌิมะ เป็นคนผู้เป็นกลาง ยืนอยู่แล้วก็เห็นรู้อันนี้อยู่ ยิ่งกว่าพระเจ้า รู้ได้หมด ควบคุมด้วย จัดแจงได้ด้วย สำหรับตนเองนะ ไม่ใช่เที่ยวได้ไปจัดการคนอื่น จัดการตน แต่สามารถบอกคนอื่น อธิบายคนอื่น ให้เข้าใจให้เป็นอย่างที่ตนเองเป็นได้ ให้ไปทำตามได้ จริง สามารถถึงอย่างนั้น แล้วที่สุดแห่งที่สุดสามารถที่จะรู้เลยว่า จิตนิยามทำให้เป็นอุตุ ทำให้เป็นดินน้ำไฟลม ชนิดเลิกที่จะมารวมตัวกันติดๆเลย กายสเภทาปรัมมรณา หลังจากการตายนั้น จบไม่มีชีวะอีกเป็นพืชก็ยังไม่เป็นเลย เป็นอุตุ เรียกว่า ปรินิพพานเป็น ปริโยสานตายสิ้นรอบ เป็นครั้งสุดท้ายจบ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว แต่ยังไม่ทำให้แก่ตน ยังพัฒนาเป็นโพธิสัตว์ต่อๆๆๆไป เพิ่มพุทธภูมิไป จนกว่าจะไปถึงสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ถ้าเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีสิทธิ์ปฏิบัติตนเป็นต้นเค้า จนมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ท่านไม่แสดงตัว ว่าท่านเป็นผู้มีสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปส่วนตนจึงมีพระพุทธเจ้าขึ้นมา ถ้าหากประกาศก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นมา ถ้าหากประกาศก็มีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นมา พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นโลกก็เลยไม่รู้จักว่ามีองค์นี้มีภูมิธรรมสูงสุดในความเป็นคน แล้วท่านก็มาช่วยโลก ท่านจะไม่ประกาศซ้อนกับพระพุทธเจ้าองค์อื่น ถ้าจะประกาศท่านเป็นเจ้าของศาสนาแห่งหนึ่งในโลกที่จะพึงเป็น ไม่ใช่ไปแย่งกับพระพุทธเจ้าองค์ไหน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ อจินไตย คิดเอาเดาเอาไม่ได้หรอก เป็นความละเอียดลออลึกซึ้งที่มีนัยยะศึกษาต่างกันไปอย่างละเอียดประณีตจริง นิปุนา ยิ่ง ละเอียดลึกซึ้งซับซ้อน เดาเอาไม่ได้ ที่อาตมาพูดเพราะอาตมามีสภาวะจริง ไม่ได้อธิบายอย่างในตำราที่มีในเถรวาท หรืออาจมีในอรรถกถาจารย์ของมหายาน แต่เถรวาทไม่มี ชาวพุทธในเมืองไทยเป็นเถรวาทไม่ได้เป็นมหายาน เขาก็เลยบอกว่าเอาอะไรมาพูด ….ก็เอาอันที่พูดไปนั่นแหละมาพูด เขาถามว่าเอามาจากไหน มันฟังพอได้ไหม เป็นเรื่องเป็นราวให้สืบต่อขยายความให้ละเอียดลึกซึ้งขึ้นหรือไม่ หรือว่าพูดไปแล้วมีใครรับรู้ได้ด้วย เพ้อๆพกๆ ฟุ้งซ่านไป ก็ไม่ใช่ แต่เอาไปปฏิบัติได้ในแต่ละคนมากบ้างน้อยบ้าง ในผู้ที่ศึกษาผู้ที่มีปฏิภาณไหวพริบ ฟังที่อาตมาพูดสาธยายต่างๆนี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความจริงไม่ได้พูดเล่น พูดเรื่องอย่างนี้พูดเล่นได้อย่างไร หากพูดแล้วเลอะเทอะเขาจะหาว่าบ้าเอา แต่พูดอย่างมีเหตุมีผลมีหลักฐาน และพวกเราฟังเข้าใจมีสภาวะด้วย ก็จะรู้ว่าเราพอมี แต่ละคนก็มี แต่ละนัยยะของแต่ละคน มากคน ร้อยคนพันคนหมื่นคนก็มี นัยยะที่แตกต่างกันมันมีมุมมีเหลี่ยมมีมิติต่างๆที่พวกเราต่างคนต่างกันอยู่นะ ก็รับรู้แต่ละมิติ เหมือนช้างมีสัดส่วนคนละอย่าง แค่นี้เรียกว่าขา อย่างนี้เรียกว่าข้างช้าง งวงช้างหางช้าง ก็มีมากมายหลายมิติมากกว่าช้าง 1 ตัวแสนเท่าพันเท่า สรุปที่คนมาเรียนรู้ที่พระพุทธเจ้าให้มาศึกษา เป็นความรู้รวมยอด ที่ควรจะไปศึกษาอะไรก็แล้วแต่ ศาสตร์ทุกศาสตร์ ทุกวันนี้มีมากมาย แต่ยุค พระพุทธเจ้ามี 18 ศาสตร์ พระพุทธเจ้าก็เรียนจบหมดเทียบได้กับเกียรตินิยมทั้งหมด เหมือนทุกวันนี้ก็มีคนเรียนจบเป็นด็อกเตอร์หลายสาขา SMS วันที่ 24-25 พ.ย. 2564 _พลอยแผ้ว ชาวหินฟ้า : ขอเรียนถามพ่อครูว่า ก คือ การเริ่มต้นของรูป,ย คือ การเริ่มต้นของนาม, สระ า คือบทบาทการดำเนินไปของรูปและนาม รวมความแล้วคือการดำเนินไปของรูปและนาม แปลอย่างนี้ใช้ได้ไหมคะ? พ่อครูว่า… พอได้ เช่นแกงก็มีเนื้อ มีผัก ใส่น้ำกับแกง ก ย และ สระอา ก็ได้แกงมาเลย กาย ก็พอได้ว่ากันไป เรียนรู้กันไป คือมันเป็นการแยกแยะ อันนี้เทียบกับอันนี้ เทียบจากสองนี่แหละ มันมี 1 2 หรือมี 3 ก็ขยายไปจากจุดเริ่มต้นคือ 1 2 ของทางโลกไป 1 2 3 4 5 แต่ทางโลกเขาไม่รู้จัก0 ทำ 0 ไม่เป็น เขาทำได้แต่ 1 และ 1 ไม่รู้จักจบ ไม่มี 0 1 2 3 4 5 6 7 8 นะประมาณไม่ได้แต่ของพระพุทธเจ้าท่านรู้จบหมดเลย ประมาณไม่ได้ก็ได้เป็น 0 ก็ได้ และสรุปได้เลย ที่จริง 0 กับหาประมาณไม่ได้เป็นอันเดียวกัน เทวนิยมฟังแล้วก็หัวตีพื้นเลยว่าพูดอะไรของเอ็ง เขาจะไม่รู้เรื่องเลย เพราะเทวะ พระเจ้าเขาไม่มี 0 นิรันดร มันก็เลยยาก ลักษณะของหมู่กลุ่มที่เป็นโลกุตรธรรม _จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการครับท่านฟ้าไท หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่มสองมีแจกที่ไหนครับ จะขอรับได้ที่ไหนครับ พ่อครูว่า… อันนี้จริงนะ …พวกเราจนเป็นหรือยัง …เป็นแล้ว สบายไหม…สบาย คนในโลกนี้ทุกข์ร้อนเดือดร้อนเพราะไม่มีปัญญา ไม่รู้จักตัวเองไม่รู้จักการดำเนินชีวิต ว่าเราจะอยู่อย่างไร เราก็อยู่กันอย่างมีกรรมกิริยา ทำงานสร้างสรรสิ่งที่เราจะอาศัย สร้างกินสร้างใช้ แล้วก็อยู่ได้กับสิ่งที่เราสร้าง ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เดือดร้อน รักษาชีวิตไปได้ เดรัจฉานมันก็พอรู้ตัวเองโดยอาศัยธรรมชาติของมัน แต่คนนั้นฉลาดกว่า สร้างธรรมชาติขึ้นมา ปลูกพืชผักขึ้นมาเอง ปลูกผลหมากรากไม้ขึ้นมา กินไปอาศัยไป ไม่เอาผลไม้รากไม้ก็ไปขุดหัวมันมากิน มาใช้กินแทนแป้งส่วนหนึ่ง ครบ สบาย เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียนรู้ศาสนาพุทธเรียนรู้สภาวะพึ่งตนเองได้ มันจะขี้เกียจขนาดไหน ถ้าไม่มีจริงๆก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำก็ต้องตาย ถ้าไม่มีที่ให้ทำ เข้าไปเข้าป่าเขาถ้ำไปทำ พอสมควร ไม่ได้ไปบุกรุกป่า รู้พออาศัยหากินก็ทำได้ ตัวเองกิน เอาแต่แค่ชีวิตตัวเองเลี้ยงตัวเองรอด ทางเชนเขา กินให้น้อยแล้วเข้าป่าไม่ต้องไปอะไรกับใคร ว่างๆก็เดินแก้ผ้าโทงๆไม่ใช้อะไร มีแต่ภาชนะที่ใส่อาหารกินเท่านั้น ก็รอดแล้วชีวิต มันก็สุดโต่งขนาดนั้น แต่ของพระพุทธเจ้าก็อยู่ธรรมดาพึ่งพาตนเองรอด ฉลาดกว่าเดรัจฉาน อันนั้นมันฉลาดกว่าเดรัจฉานสำหรับพวกเชน ฉลาดไปในเชิงเดรัจฉาน อย่างของพระพุทธเจ้าศึกษาความเป็นมนุษย์ เหตุปัจจัยที่จะอยู่กับชีวิต มีข้าวผ้ายาบ้าน เป็นต้น สบายแล้ว แล้วพวกเราศึกษาตามธรรมะพุทธเจ้ามาจนป่านนี้แล้ว อาตมาเห็นผลสำเร็จของตนเอง ที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาธิบายขยายให้พวกเราเรียนรู้ แล้วก็เรียนรู้มา จนกระทั่งรู้จักหยุดรู้จักพอ เป็นคนมีวรรณะ 9 สุดยอดเลย เป็นคนที่เลี้ยงง่าย ไม่เป็นภาระอะไรมากมาย เอื้อเฟื้อเจือจานกัน จะขี้เกียจอย่างไรก็ไม่เห็นพวกเราบ่น มันก็จบแล้วชีวิตจะเรียกว่า เศรษฐศาสตร์ การเมือง รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์อะไร ก็จบหมดแล้ว สำเร็จ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ก็จบหมด เขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจแต่ละประเทศในโลกเก่าแก้ไม่จบ เพราะไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพื่อให้คนรวย คุณจะแก้ให้ตายแก้ไปอีกกี่ชาติๆๆ คุณก็ไปใส่ในสมองของคนว่า คุณต้องฐานะดี คุณต้องรวย มันก็จะแข่งรวยกัน มันก็แย่งกันฆ่ากัน ใครเก่งก็ได้ เสร็จแล้วก็แย่งกัน สมบัติผลัดกันชม ก็ถึงได้มีสงครามกันตลอดเวลา ไม่จบ แต่เมื่อมาเรียนรู้กับพระพุทธเจ้าแล้ว กลายเป็นคนรู้ว่า คนเป็นอย่างนี้ก็สบายแล้ว เลี้ยงง่าย จะพัฒนาให้เจริญก็มีทิศทางโลกุตระ มีศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา สอนสบาย สอนให้เจริญได้ไง สุโปสะ เพราะว่าเข้าใจความจน อัปปิจฉะ มาเอาแต่น้อยๆ คนเราไม่ต้องไปมีมากอะไร ไม่มีที่สุดก็คือ 0 ก็อยู่ได้ จะว่า 0 จริงๆก็พอมี ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ที่พักอาศัย อาหารก็มีกินส่วนกลาง ผ้านุ่งส่วนตัวก็ 3-4 ชุด สมัยพระพุทธเจ้า มีผ้าจำนวนน้อย ไม่เจริญ แต่ทุกวันนี้เหลือเฟือ ยารักษาโรคไม่มีก็ไม่เป็นไรยังไม่ป่วยก็ไม่ต้องใช้ ที่พักอาศัยก็ไม่เห็นแย่งกัน บ้านพักมีเหลือเฟือ เรือนเรือ เรือเรือน บางคนก็มาสร้างบ้านทิ้งไว้ เราก็มีกุญแจกองกลาง ถึงเวลาใช้ก็ให้ไปใช้ แต่ก็เราไม่มีคนมากจนบ้านไม่พอ คือ มันอุดมสมบูรณ์เต็มหมด เพราะเรามักน้อย อัปปิจฉะ ใจพอ สันตุฏฐิ สันโดษ มันพอ มีเท่านี้พอแล้ว นอกนั้นก็มีแต่พัฒนาตัวเอง สัลเลขะ ปรับปรุงตัวเองขัดเกลาตัวเอง ส่วนที่ยังต้องปรับปรุงยังไม่จบกิจ ตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า ธูตะ จนกระทั่งได้ผลเป็น ปาสาทิกะ อาการกาย วาจา ใจ ได้สำเร็จลงตัว จบด้วยอปจยะ วิริยารัมภะ ไม่ต้องสะสมอะไร บ้านช่องเรือนชานที่พักอาศัย เสื้อผ้าอาหารมีพร้อม ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน ไม่ต้องสะสม คนไม่สะสมแล้วอยู่ได้อย่างไรในสังคมมนุษย์ มีอาศัยเพียงเล็กน้อย เสื้อผ้าหน้าแพร อาหารการกินไม่ต้องสะสม ก็กินร่วมกัน บ้านช่องเรือนชานก็พักที่นู่นที่นี่อย่างไม่ต้องหวงแหน พึ่งพาอาศัยกันได้ มันก็พออาศัยได้ บ้านช่องเรือนชานก็ไม่ใช่โกโรโกโร่ ผุพัง ขนาดนั้น เมื่อมาศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์ก็จะรู้ตัว ควรจะศึกษาอย่างนี้เข้าใจวิถีอย่างนี้ควรจะรู้จักหมู่กลุ่มของมนุษยชาติที่เขาศึกษาอย่างไร ไม่ต้องสอบเอนทรานซ์ไม่ต้องไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย เข้ามาอโศก ไม่ต้องไปสอบมหาวิทยาลัย แค่เห็นว่าหมู่นี้น่ามาศึกษา น่ามาเป็นพลเมืองปรับชีวิตให้เข้ากันได้ มีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อย่างนี้ สมบูรณ์แบบเลย คนก็ไม่ค่อยจะชัดเจนได้ง่ายๆ ในประเทศไทยมีโลกุตรธรรมอย่างนี้ มีคนมีวรรณะ 9 รวมตัวกันอยู่เป็นสาราณียธรรม 6 เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาพูดแล้วมันยิ่งใหญ่จริงๆ สุดยอดแห่งวิชาการ แต่โลกก็ยังเข้าใจไม่ได้ว่าคำสอนพระพุทธเจ้านี้สุดยอดเพราะอะไร เพราะคนส่วนใหญ่เป็นเทวนิยม ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ สังคมแบบพุทธ รัฐศาสตร์แบบพุทธ ยังไม่สามารถเข้าใจ เพราะฉะนั้นเมืองไทยมีเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ มีรัฐศาสตร์แบบพุทธ แต่ยังมีพวกที่หลงรัฐศาสตร์ ไปเรียนดอกเตอร์มาจากเทวนิยม แล้วเอามาพูดในเมืองไทย น่าสมเพช น่าสงสาร รัฐศาสตร์ของประเทศไทย เป็นรัฐศาสตร์โลกุตรธรรม อย่างพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ที่นำพารัฐศาสตร์โลกุตรธรรมมาตั้ง 70 ปี เขาก็ยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจอย่างไรไม่เข้าใจอย่างไรมันก็จะซึมซับเข้าไปในมันสมองของมนุษย์แน่ๆ Osmosis เข้าไป 70 ปีท่านได้ทรงงาน ทรงโลกุตรธรรม ทรงพระจริยวัตร ซึ่งมันอธิบายไม่ง่าย ลักษณะอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 นี่แหละ เป็นลักษณะโลกุตรธรรม ทรงมีพระจริยวัตรของพระองค์ คนก็ดูเห็นพระจริยวัตร มันจะมีตัวตัดสินเลือกเฟ้น คนที่อยู่ในฐานะผู้บริหารผู้รับหน้าที่รับผิดชอบ แง่นั้นเชิงนี้ ในแง่วิศวกรรม การสื่อสาร ชลประทานอะไรก็แล้วแต่ รวมแล้วก็คือสิ่งที่มนุษย์อาศัย กับการเฉลี่ยที่เราได้ชำนาญในเรื่องใด แม้ว่าเรามีความชำนาญในเรื่องเดียว คนปลูกพืชผักอย่างเดียว คุณก็ทำ แล้วอันอื่นก็อาศัยของเขาบ้าง ในคนก็มีการแลกเปลี่ยนการขาย ก็สบายกว่าแลกเปลี่ยน เดี๋ยวนี้มีการขายทางไลน์ ทางอากาศ อยากได้อะไรก็กดสั่ง มีเงินจ่ายเขาก็แล้วกัน ยิ่งสะดวกเลย นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… ที่พ่อครูปลูกฝังพวกเรามา 50 ปีแล้วก็แตกต่างจากคนทั่วไปมาก _จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการครับท่านฟ้าไท หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่มสองมีแจกที่ไหนครับ จะขอรับได้ที่ไหนครับ พ่อครูว่า… ก็เขียนขอในรายการท่านฟ้าไทสิ บอกที่อยู่มาด้วย ทำไมคนยุคนี้รับโลกุตรธรรมได้ยาก _Saksri Maimeethong (ศักดิ์ศรี ไม่มีทอง) : คนทำไมไม่แปลกหูเลยว่าหลวงปู่รูปนี้ อายุเกือบ90 ทำไมพูดไม่เหมือนพระรูปอื่น ๆ เลย เขาน่าจะสะดุดหูบ้าง ผมเข้าใจว่าคนที่ฟังติดตาม ส่วนหนึ่งถือว่าเป็นบารมีเก่าใช้มั๊ยครับ แต่อีกคนพอได้ฟังชาตินี้ก็เกิดความแปลกหู แปลกใจ เลยติดตามฟังและเข้าใจไปเรื่อย ๆ อย่างนี้เรียกว่ากรรมใหม่บารมีใหม่ใช่มั๊ยครับ คนกลุ่มหลังจะมีน้อยกว่ากลุ่มแรกใช่มั๊ยครับ แสดงว่าคนกลุ่มหลังก็สะสมความดีมาพอสมควรจนวิบากจัดสรรมาให้ได้ฟังธรรมะชั้นยอด..จากสัตบุรุษ.. พ่อครูว่า…คนที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็น่าสงสารจริงๆ คนที่จับได้เห็นสาระเป็นสาระก็ได้จริงๆก็เป็นบารมีเก่าของเขา มีที่เป็นบารมีใหม่แต่ก็มีพื้นของบารมีเก่ามา อธิบายโดยใช้พยัญชนะคำว่า อัญญธาตุ ธาตุจิตที่เป็นโลกุตระ แต่ว่า อัญญธาตุ ก็ไม่ได้หมายความว่า พอสัมผัสปั๊บ เป็นเทวนิยม ร้อยเปอร์เซ็นต์ เสร็จแล้วมาได้ยิน ธรรมะที่มีอัญญธาตุ คือ ธาตุอื่นที่ไม่เหมือนที่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย อาจจะเคยได้ฟังแต่รับไม่ติดก็ผ่านไปผ่านไป แต่ตอนนี้ พอเริ่มมีจิต เมื่อสัมผัสแล้วสะดุด แล้วก็ตามศึกษาต่อ อัญญธาตุ ก็จะเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น มากเกินกว่า 50% เป็น 60% ถึง จะได้ชื่อว่า อัญญธาตุ อย่าง อัญญาโกณฑัญญะ ฟังพระพุทธเจ้าเข้าใจเลย เป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าจึงได้บอกว่า อัญญาสิ วตโภโกณฑัญโญ มีภูมิเก่ามาก่อน กว่าจะได้ไป อัญญา แปลว่าธาตุรู้โลกุตระ เป็นความรู้ความเฉลียวฉลาดแบบโลกุตระ อัญญาคือพหูพจน์ อัญญะคือเอกพจน์ ขยายเต็มรูปก็เป็นปัญญา กว่าจะมาถึงนี่ก็อีกนาน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… พระพุทธเจ้าเปรียบผู้มีปัญญาเป็นประดุจดังเขาโค มีจำนวนน้อยมากเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่มีปัญญาเป็นดั่งขนโค พวกเราไม่ต้องคิดทำใหญ่แต่ทำน้อยๆให้ดีๆ ทุกวันนี้มีสื่อสารเผยแพร่ออกไป อย่างคลิปของสาวจีนที่ทำอาหาร สู่แดนธรรม… ทำไมคนที่อัญญาไม่เกิด เปรียบเสมือนคนที่เดินคู่ขนานกับลำคลอง อยู่กันคนละฝั่ง จังหวะที่เขาจะเกิด ดูว่าตอนไหนจะเดินไปเจอสะพาน พ่อครูว่า… อาจเป็นลำคลองที่ไปบรรจบกัน มันเป็นเรื่องยาก เป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่เดาไม่ได้ เป็้นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนมีเหตุปัจจัยของมันแต่ละเหตุปัจจัย อยู่ๆจะเกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัยไม่ได้ มันละเอียดลึกซึ้งในเหตุปัจจัยต่างๆ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถึงปฏิจจสมุปบาท 12 สภาพ มันก็หยาบเยอะแล้ว แต่คนก็ยังตามเรียนไม่ได้ ละเอียดเกินจะเข้าใจ เพราะเป็นนามธรรม สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรา มรณะ หากไม่ได้เรียนรู้พยัญชนะกับสภาวะอย่างสมบูรณ์ก็ไม่ได้ ทุกวันนี้คนก็เรียนแต่พยัญชนะเยอะไปหมดเต็มเถรสมาคมแต่สภาวะไม่ค่อยมี ก็ได้แต่อาศัยพยัญชนะมาอาศัยเลี้ยงชีวิต ได้ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข เลี้ยงชีวิตไปทั้งชีวิตหนึ่ง เยอะเต็มเถรสมาคม สู่แดนธรรม… คนจะรับสิ่งใหม่ต้องเอาสิ่งเก่าออกก่อน อย่างเช่นพระป่า พ่อครูว่า… ไม่ใช่แต่พระป่าหรอก พระบ้านที่เรียนรู้เต็มหูเต็มหัว อันนี้ยิ่งยากกว่าพระป่าอีก พวกที่ยึดถือลาภยศสรรเสริญ อันเป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้พระขีณาสพ ออกป่าเขาถ้ำเป็นอันตรายต่อพระขีณาสพ ไม่มีนะ มีแต่ลาภสักการะสรรเสริญเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแก่พระขีณาสพ ทำเป็นเล่นไป หนักหนาสาหัส พระบ้านที่ไปเรียน กับพระป่า ใครมากกว่ากัน พระบ้านมากกว่า เรียนนักธรรมตรี โทเอก เปรียญ 9 เรียนพุทธศาสนา จบดร.พวกนี้ Post Doctor อีก เราว่าไป เขาก็หาว่าเราปากจัด ที่จริงเราปากชัด ก็เรื่องของเขา _สายลมหวาน : เรียนรู้กายจากเวทนาที่เกิดจากผัสสะ โดยการทำสังขารให้เป็นอภิสังขาร ให้เป็นปุญญาภิสังขารจนเสร็จจบเป็นอปุญญาภิสังขาร คือชำระกิเลสหมดสิ้น กรรมที่ทำต่อมาก็เป็นอเนญชาภิสังขาร ถูกไหมครับ พ่อครูว่า…ถูก อาตมาฟังคุณพูดมาไม่ยาวสั้นๆ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) อากาศหนาวอากาศเย็น จะเป็นอย่างนี้ทุกปี คุณสายลมหวานพูดสั้นๆนี้เข้าใจ พูดมาถูกต้อง แม้แต่คำว่า ทำสังขารโดยเป็นอภิสังขารให้เป็น ปุญญาภิสังขาร จบเป็นอปุญญาภิสังขาร ชัดเจน จบหมดกิเลส ก็ไม่ต้องมีบุญ อปุญญาภิสังขาร เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำต่อจากนั้นก็เป็น อเนญชาภิสังขาร เป็นสังขารที่ โลกทำอะไรท่านไม่ได้ เป็นผู้อภิภุย เขาจะมีโลกภายนอกโลกภายใน มีทั้งสุพรรณะ ทุวรรณะ มีอะไรอื่นๆอีก ที่พระพุทธเจ้าท่านยกมาเป็นสี สีเขียวก็อีกหลายเฉด สีแดงก็มีหลายเฉด สีเหลืองก็หลายเฉด จนกระทั่งขาว ขาวมีกี่เฉด สู่แดนธรรม… ขาวเก่าๆ ขาวอมฟ้า ขาวอมเหลือง พ่อครูว่า… เป็นรายละเอียดที่อาตมาอธิบายมาถึงอภิภายตนะ 8 จะว่าสนุกก็สนุก จะว่ายากก็ยาก แต่ว่าน่ารู้มันก็น่ารู้จริงๆเลย แต่อาตมาก็สงสารคนที่ภูมิยังไม่ถึง ก็เลยมีฟังจำนวนคนไม่มากนัก คนที่เข้าใจรู้ฟังไปมีธรรมรส ก็จะมีจำนวนหนึ่งนอกนั้นก็จะจับไม่ติด ก็จะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร แต่มันต้องพูดไว้ อาตมาต้องอธิบายไว้ ต้องนำมาแยกแยะเพื่อที่จะให้เข้าใจ ต่อเชื้อเอาไว้ก็เลยต้องทำ _ปะตรงเตือน นาวาบุญนิยม : คนไทยมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือแบ่งปันกันและกัน ทำงานขยันขันแข็ง มีความศรัทธาศาสนา โดยเฉพาะชาวพุทธ ที่ทำตนเป็นคนดี ซึ่งมีมากในสังคม แต่น่าเสียดายที่ พระสงฆ์ติดอยู่แค่สวดมนต์ทำพิธีกรรม นั่งหลับตา ไม่สามารถสอนให้คนเกิดสัมมาทิฏฐิได้ คนดีหลายๆ คนจึงไม่ได้ต่อยอดภูมิธรรม ผู้ที่ศึกษาบุญนิยมได้เป็นชาวอโศก โชคดีแล้วที่ได้ฟังธรรมโลกุตระจากพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ท่านลดละกิเลส จากการปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 อย่างถูกแท้ ถูกถ้วน ถูกตรง เพราะท่านเป็นนักบวชที่ปฏิบัติศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นนักบวชที่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้มาอยู่ในอโศกเรียนรู้แล้วจึงต้องบากบั่นลดกิเลส ทำงานเสียสละ เพื่อรวมเป็นพลังของแผ่นดินพุทธ ช่วยประเทศชาติต่อไป อวดตัว ถ่อมตน กับพูดความจริง เป็นเช่นไร _สงกรานต์ ภาคโชคดี : กราบคารวะพ่อท่านด้วยความเคารพยิ่ง กราบขอความกรุณาพ่อท่าน พิจารณาขยายความ การพูดถึงตนเอง ๓ แบบ คือ ๑.อวดตัว ๒.ถ่อมตน ๓.พูดตามจริง ด้วยองค์ประกอบ ๒ อย่าง คือ พูดจริงหรือไม่ และเพื่อใคร พ่อครูว่า… คุณว่า อาตมามีกี่อย่าง …มีหมดครบทุกอย่าง รวมแล้ว คือพูดตามจริง อาตมายืนยันว่า อาตมาที่พูดไปทั้งหมดไม่ได้พูดเล่น อาตมาจะไม่พูดอะไรที่ไม่จริง แต่คนฟังจะรู้สึกสำคัญว่า อาตมาพูดนี้ สำคัญมากเลยนะ คนเราไม่พูดอะไรที่ไม่จริงเลย นอกจากฟังคำพูดสนุกๆเล่นๆ ก็ต้องรู้เวลาวาระอย่างนั้น แต่ถ้าได้เทศน์แล้วไม่มีอะไรจะพูดไม่จริง พูดตามจริง อวดตัว อาตมาบอกความจริงโดยไม่มี สาเฐยจิต อวดตัว โชว์ตัว แสดงตัวว่าเป็นเช่นนั้นตามจริง คือพูดตามจริงนั่นแหละ อวดตัว ตามความเป็นจริงที่อาตมาเป็น แล้วอาตมาก็มีนัยยะถ่อมตัว มีจริงๆ บางครั้งพวกคุณอาจจะรู้สึกเลยว่ามากไป ถ่อมตัวมากไป พ่อครูว่า…พูดอวดตัวตามจริงก็เพื่อผู้อื่น ข้อสำคัญคือจริงหรือไม่ อาตมายืนยันว่าพูดจริงก็เพื่อใคร เพื่อศาสนา เพื่อมนุษยชาติทุกคน _๑.อวดตัว ทั้งพูดไม่จริง หรือเกินจริง และมักเพื่ออวดตนเองให้ดูดี ข้อนี้ก็ตัดสินได้ไม่ยากว่า ไม่ควรทำ หรือทำแล้วเป็นบาปแน่นอน พ่อครูว่า… คุณว่าอาตมาพูดให้ตัวเองดูดีไหม…ไม่ ฟังแล้ว บางทีนะ อันนี้ซับซ้อน คนที่พูดให้ตัวเองดูดี ก็จะมัดระวัง อันไหนที่โลกจะตำหนิโลกวัชชะ เขาจะระวังมาก อาตมานี้ไม่ระวังสักอย่าง จริงใจมากอย่างสมควรอะไรก็พูดไปหมด แสดงออกทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม พร้อมกันไป เป็น นัจจะ คีตะ วาทิตะ หากว่าผู้ตรวจตัวและพูดไม่จริงเกินจริงข้อนี้ก็ตัดสินแล้วว่าไม่ทำ มันเสแสร้งกลบเกลื่อนตัวเองเป็นบาปแก่ตัวเอง กิเลสหนาไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่แสดงความจริงธาตุแท้ของตัวเอง กลบเกลื่อน แต่มันก็ซ้อนก็ต้องระมัดระวังอย่าไปแสดงอะไรที่ไม่ดี แสดงว่าเป็นคนมีอารมณ์โกรธ อารมณ์โลภอะไรออกมา ทั้งๆที่เราก็มีอารมณ์โกรธ อารมณ์โลภอยู่ เราก็ควรระมัดระวังอย่าให้ออกไปทางกาย วาจา ถ้าออกมาอย่างเลอะเทอะมันก็ดูน่าเกลียดเรี่ยราด มันไม่เข้าท่า คนที่มีมากก็ต้องระวังถูกแล้ว แต่คนที่มีน้อยลงเรื่อยๆก็ไม่ต้องระวังแล้ว แล้วจะรู้ว่าคนคนนี้มีจริงมีกิเลสเท่าไหร่เขาแสดงออกมา แต่ถ้าคุณมีมากๆอย่าเอาออกมา เก็บไว้ ระมัดระวังไว้อย่าให้มันออกมา แต่ถ้าคุณมีน้อยจนกระทั่ง ขนาดนี้อยู่ในโลกเขาก็แสดงกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องระมัดระวังมากเท่าไหร่ ก็แสดงจริงออกมา คนก็จะได้เห็นได้รู้ ได้ระมัดระวังด้วย คนนี้ขี้โกรธนะ คนที่โกรธตัวเองนะ ไวนะ คนนี้ขี้โลภไปนะ คนนี้ขี้ราคะเยอะ ก็ไวนะ มันเป็นประโยชน์ต่อตนเองต่อท่าน มันต้องอวดต้องแสดงจริง นัยยะละเอียดเป็นอย่างนั้น _๒.ถ่อมตน มักเป็นการพูดจริงไม่ครบ เช่น มี ๑๐๐ บอกว่ามีแค่ ๕๐ หรือมากน้อยกว่า แต่ไม่ครบ ๑๐๐ ก็ถือว่าพูดจริงไม่หมดทั้งนั้น พ่อครูว่า…จริงๆมีนัยะ ละเอียด ถ่อมตน เรามี 100 ก็ไม่ได้หมายความว่าแสดงออกแค่ 50 ถ่อมตนก็หมายความว่า เรารู้อยู่ว่า ในกาละเทศะฐานะอย่างนี้ ควรจะโชว์ ควรจะแสดงออกมาเต็มตามที่เรามี ไหวไหม เหมาะสมกับเหตุปัจจัยองค์ประกอบหรือไม่ ไม่เหมาะสม เราก็แสดงเท่าที่ได้ ก็ประมาณเป็นชั้นๆไป อย่างนี้เรียกว่าถ่อมตน ประมาณตน อย่างที่คุณสงกรานต์ว่ามา บอกว่ามีแค่ 50% มันเป็นเรื่องราว เสแสร้งให้คนอื่นรู้อย่างนั้น สู่แดนธรรม… เดี๋ยวนี้พวกแม่ค้าขายของเขารู้ว่าถ่อมตนและคนจะมาซื้อก็เลยถ่อมตน พ่อครูว่า… มันมีหลายแง่มุม _แต่ถ้าพูดเพื่อคนฟัง เช่น อาจพิจารณาว่า ในขณะนั้นผู้ฟังยังมีภูมิธรรมไม่พอที่จะรับได้ทั้งหมด ฟังแล้วอาจเป็นผลเสียกับผู้ฟัง เช่น เสื่อมศรัทธา เป็นต้น (พ่อท่าน ก็เคยพูดโดยเฉพาะในช่วงแรกๆของการเปิดเผยภูมิธรรม ทำนองว่า มีเพชรอยู่มากมาย แต่ให้เห็นแค่ส่วนเดียว ก็พอ) ก็ถือเป็นการทำเพื่อผู้อื่น เป็นกุศลกรรม ใช่ไหมครับ? แต่บางคนอาจถ่อมตน เพราะเห็นว่าจะเป็นที่ยอมรับ พูดให้สอดคล้องกับค่านิยมในสังคมนั้นๆ(เช่น สังคมไทย ชอบคนถ่อมตน) จะถือว่าเป็นการทำเพื่อตนเอง มีอัตตา เป็นอกุศลกรรมได้หรือไม่ครับ? พ่อครูว่า… ได้มี เป็นอกุศลกรรม ทำให้คนเข้าใจผิด คุณเองไม่เป็นเช่นนั้นหรอกแสดงออกมาแล้วก็ไม่จริง คุณแสดงได้ดีกว่านั้น แต่คุณแสดงออกมาไม่ดี ไม่เต็มที่ แล้วไปหลงว่านี่แหละคือถ่อมตน ซึ่งไม่ใช่หรอก ดีก็แสดงออกมาให้เต็มที่สิ อย่างอาตมา ไม่เคยไปอมพะนำไว้ มีอะไรก็ว่าไปเต็มๆ แล้วถ่อมตนก็อธิบายไปแล้ว ถ่อมตน คือเราเองระมัดระวังในเหตุปัจจัย ดูองค์ประกอบ อันนี้ควรจะแสดงขนาดนี้ คนกลุ่มนี้ควรแสดงขนาดนี้ มีสัปปุริสธรรม 7 กาละนี้ คนกลุ่มนี้ขนาดนี้ รู้จักแสดงธรรมะตาม อัตถะ สัปปุริสธรรม 7 คือ 1.ธัมมัญญุตา เป็นผู้รู้จักเหตุ 2.อัตถัญญุตา เป็นผู้รู้จักเป้าหมายจุดประสงค์ 3.อัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักตน ตัวเราแค่ไหนแล้ว 4.มัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักประมาณ 5.กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาล 6.ปริสัญญุตา เป็นผู้รู้จักชุมชน ส่ิงแวดล้อม 7.ปุคคลปโรปรัญญุตา เป็นผู้รู้จักบุคคล ๓.พูดตามจริง เป็นการพูดตรงตามที่ตนเอง มีจริง เป็นจริง เต็ม ๑๐๐ (ซึ่งไม่มีใน ๒ แบบแรก) และพูดอย่างไม่มีสภาวะจิตของการอยากอวด แต่เพื่อต้องการให้ผู้ฟังได้ประโยชน์เท่านั้น และถึงเวลาที่ควรพูดแล้ว จึงเป็นกุศลกรรมอย่างเต็มที่ แต่ถ้าพูดตามจริงเต็ม ๑๐๐ แต่จิตใจยังอยากอวด ก็ยังเป็นอกุศลกรรม ใช่ไหมครับ? พ่อครูว่า… อันนี้คืออาตมาก็เคยบอกกำกับตลอดเวลา ว่าอาตมาเป็นอย่างนี้อาตมาไม่ได้อยากจะอวดเลย อาตมาบอกความจริงตามความเป็นจริง คนก็ไม่เข้าใจได้อย่างที่คุณสงกรานต์เข้าใจ คนไม่เข้าใจก็เลยไม่เชื่อถือไม่ยอมรับ แต่คนที่เข้าใจยอมรับ ดีไม่ดีเขาเห็นความถ่อมตนของอาตมา อย่างที่พูดไปแล้วอาตมามีเพชรเป็นกระบะแต่เอามาแจกทีละน้อย ถ้ามีจิตอยากอวด อันนี้เป็นเรื่องจริงของความอยากอวด เป็นสาเฐยจิต จิตอยากอวดอยากโอ่ ก็ต้องอ่านอาการจริงๆว่าเป็นอาการอยากอวดไหม ยกตัวอย่างอาตมา อาตมาบอกตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นแสดงธรรม อาตมาบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ เพราะอาตมารู้ว่าคนที่เราวาดเมืองไทยเขาไม่รู้เรื่องโพธิสัตว์ เขาไม่ได้ถือว่าโพธิสัตว์เป็นอริยบุคคล เขาบอกว่าเป็นผู้แสวงหาอาริยธรรมเป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ อาตมาก็พูดได้สบายแต่เขาไม่ติดใจ แต่แท้ๆแล้วโพธิสัตว์นั้นเหนือกว่าอรหันต์ พระโพธิสัตว์ต้องได้อรหัตตผลก่อนถึงจะเป็นโพธิสัตว์ ถ้าหากยังไม่ได้อรหันต์สักคน ไม่ได้เป็นโพธิสัตว์แม้แต่ขั้นโสดาบัน โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาธิบายไปเข้าใจดีไหม เป็นสภาวะเป็นขั้นตอนเข้าใจไปตามลำดับ คนที่ไม่ติดใจอะไรก็ได้รับความรู้ความจริง โดยใช้พยัญชนะของท่านแหละ อาตมาไม่ได้บัญญัติเอง อาตมาอธิบายจนกระทั่งทุกวันนี้เขาก็เข้าใจว่าโพธิสัตว์นั้นเหนือกว่าอรหันต์ แล้วโพธิสัตว์ระดับ 7 ด้วย ทุกวันนี้เขาก็เลยตาเหลือก ที่แท้เขาพูดอวดตัวมาตั้งแต่ต้น คนเข้าใจก็จะชัดเจนว่าท่านได้ถ่อมตนมาตั้งแต่ต้น 50 ปีแสดงตัวเต็ม กว่าจะมาจะบอกว่าเป็นอรหันต์ ทั้งๆที่บอกว่าเป็นโพธิสัตว์มาตั้งแต่ไม่รู้เท่าไหร่ ตั้งแต่ 2528 ตั้งแต่เริ่มออกบวชก็บอกว่าเป็นโพธิสัตว์ เห็นไหม ต้องรู้กาลเทศะที่จะต้องพูด _ใบฟ้า นาวาบุญนิยม : ศ.26พย.64:7.16น. กราบขอโอกาส กราบเรียนพ่อครูดังนี้ค่ะ ทุกเช้าที่ได้ฟังธรรมะของพ่อครู เป็นมงคลชีวิตของการเริ่มต้นวันใหม่ ยามเย็นที่ได้ฟังธรรมะจากพระนิยตะโพธิสัตว์ นับว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่าแก่ชีวิตในวันนั้น กราบขอบพระคุณ กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ พระสงฆ์ยุคนี้มีแต่สวดมนต์ทำพิธีกรรมจึงทำลายศาสนา พ่อครูว่า… กลับมาขยายความที่ฝากไป ที่ว่า “พระสงฆ์ติดอยู่ที่สวดมนต์ ทำพิธีกรรมนั่งหลับตา พระสงฆ์ติดอยู่แค่สวดมนต์ทำพิธีกรรม” การสวดมนต์ เขาก็ทำการสวดเพื่อรักษาคำสอนไว้ เขาคิดว่าเป็นการรักษาศาสนา แต่ที่จริงเป็นการทำลายศาสนาเพราะว่า 1.คุณเอาไปสวดหากินแลกเงิน 2.สวดอวดโชว์ 3.หลงเป็นภพชาติ สวดได้อานิสงส์เป็นสวรรค์วิมานสวดกันข้ามวันข้ามคืน ถ้าไม่มีการสวดมนต์สรุปอย่างเดียว ไม่มีศาสนาพุทธ พิธีกรรม ทำแต่พิธีกรรม นอกจากสวดมนต์แล้วก็มีพิธีกรรมต่างๆ ด้วยการประกอบเรื่องราวรูปแบบอย่างนั้นอย่างนี้ จนกระทั่งกลายเป็นพิธีกรรมชั้นสูง กลายเป็นราชพิธี จนกระทั่งยอมรับกัน ถือว่าศาสนาพุทธมีเท่านี้ และผู้ที่ทำพิธีกรรม จนกระทั่งถึงราชพิธี ก็ได้ตำแหน่งยศศักดิ์ขึ้นไป อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น พระสงฆ์มีหน้าที่รับจ้างทำพิธีกรรม วัดนี่มีธนาคารของตัวเอง รวยสะบัดเลยนะ บริหารเงินในธนาคาร ได้เงินจากการบริหารการเงินอีก ถ้าเจ้าของวัดนี้ถอนเงินตัวเองออกจากธนาคารที่ตั้งนั้น ธนาคารนั้นก็ล้ม นี่ของญี่ปุ่นเลยนะ ยิ่งกว่าพราหมณ์ มหาศาลในยุคพระพุทธเจ้า ในยุคนี้พิสดารมากกว่านั้นเยอะ สรุปแล้วพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่ยกตัวอย่างไปถึงญี่ปุ่นให้ฟัง ที่นี้พิธีกรรมของไทยไม่เป็นอย่างนั้นทีเดียว สู้ญี่ปุ่นไม่ได้ไม่เก่งเท่า ญี่ปุ่นเป็นเจ้าของพิธีการ มีการสืบทอดไปถึงลูกหลานสันตติวงศ์ด้วย เป็นพราหมณ์มหาศาลอย่างนั้นเลย ตามสมัยโบราณ พ่อเป็นพราหมณ์ ลูกเป็นพราหมณ์ ตระกูลหลานเหลนนั้นก็เป็นพราหมณ์ แม้แต่กษัตริย์เขาก็ถือว่าเป็นฆราวาส ในอัมพัฏฐสูตรว่าไว้ อัมพัฏฐมานพ ถือว่าตนเป็นพราหมณ์ สมณโคดมอย่ามาทำเป็นแอ๊ค ท่านมาจากกษัตริย์ต้องไหว้พราหมณ์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า จะไหว้คนที่มีคุณธรรมมีธรรมะควรจะไหว้ หากว่ามีแต่ภาษาบัญญัติมีแต่ศักดินาติดอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรที่จะเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 เลย แล้วพระพุทธเจ้าก็ไล่จนกระทั่งอัมพัฏฐะตกเก้าอี้เลย ตัวเองไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 สักนิดเลย แต่พระพุทธเจ้าท่านมีท่านยืนยันได้ อัมพัฏฐะก็แพ้ นั่งซบเซาคอตก แต่ไม่ทำ อวดดีอีก แพ้แล้วก็ทำกร่าง กลับไปถึงสำนักตนเอง อาจารย์ก็เลยเตะให้ แปลภาษาปิฎกว่าไว้เลยนะ อาตมาไม่ได้พูดเลยเถิด สู่แดนธรรม… ท่านแปลในพระไตรปิฎกว่าเอาเท้าปัด พ่อครูว่า… มันก็แปลเพราะๆ ที่จริงเตะเลย อาจารย์ให้ไปดูพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้ามีพระคุยหาเร้นอยู่ในฝักหรือเปล่า แต่ไปทำเสียชื่อสำนักหมดก็เลยเตะให้ ขายหน้าอาจารย์หมด ขยายความให้รู้ว่าความไม่รู้ของคนในยุคนี้คล้ายๆกัน แล้วพวกที่ถือว่าตัวเองเป็นพระมหาศาล เหมือนพราหมณ์มหาศาล ก็มีหลายชั้น ชั้นที่มีลาภยศสรรเสริญข้าวของเงินทอง ไปเป็นผ้าป่าก็เป็นไปในทางติดภพชาติติดวิมาน Magical ลึกลับ สร้าง นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย สมณะเดินดิน… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin26 พฤศจิกายน 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:641124_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาความเข้าใจเรื่องกายของอ.แปลงNextNext post:641126 ต้นเหลืองไม่หยุด สัญจรRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024