641129 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1C74C44QDDbymfvZIvbOUprLiS7mA6iuX4z6QVC3r-SE/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1JT4OOxCRb42CupXZNmJWbiBrpT2LlpyL/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/9AtxsizXFm/ และ https://youtu.be/NvE86kgZolU สภาพที่เป็นปัจจุบันธรรมต้องมีธรรมวิจัย สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก การที่เราไม่ได้จดจำอะไรที่เกิดไปเมื่อปัจจุบันผ่านไป เป็นอาการที่เราอยู่กับปัจจุบันสั้นเกินไป ใช่รึเปล่าครับ พ่อครูว่า…ไม่ใช่ แต่คือผู้ที่ไม่มีโพชฌงค์ 7 ไม่มีสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ เราอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันมันสามารถที่จะทำให้เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบรู้อยู่ เป็นสามัญปกติ ลืมตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะ กระทบภายนอก จิตก็กระทบภายใน ก็จะเกิดอย่างนี้เป็นปกติกับมนุษย์ทุกคน ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีโพชฌงค์ 7 ไม่มีสัมโพชฌงค์ ไม่มีสติที่จะจัดการกับสติ ให้เป็นสติปัฏฐาน พิจารณาคู่กายที่เรียกว่าภายนอกภายใน เป็นสภาวะ 2 ต่างๆเสมอ แล้วมันก็จะมีสภาวะ 2 เปรียบเทียบให้รู้ๆ ก็วิจัยธรรมวิจัย ทุกปัจจุบัน ทุกวินาที ทุกเศษเสี้ยวของวินาที เราก็จะสามารถเก่ง ธัมมวิจัยได้เก่ง และวิจัยได้ออกว่า สภาพ 2 ทุกอย่างจะเกิดสภาพ 2 ให้เราตัดสิน วิจัย ตัดสิน เอา 1 ที่ดี เสมอ มันจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ไม่เที่ยง 2 สภาวะเมื่อกี้นี้เมื่อมาถึงปัจจุบัน เมื่อกี้นี้ดีกว่ามันก็เป็นไปก็เป็นได้ สู่แดนธรรม… แสดงว่า ความกว้างของมัน จะครอบคลุมไปสู่อดีต พ่อครูว่า… ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงถือความจริง อยู่ที่ปัจจุบันเรียกว่า ทิฏฐธรรม เรียกว่าปัจจุบันชาติ แปลเป็นภาษาไทยเต็ม ทิฏฐธรรม แปลว่าปัจจุบันชาติ แปลว่าการเกิดอยู่ในปัจจุบัน ผ่านการเกิดนี้ไปก็ไม่ใช่ปัจจุบันแล้ว ในขณะที่เรามีธาตุรู้เป็นตัวเรา แล้วก็รู้สัมผัสอะไรเป็นสภาพ 2 ทำให้เราเกิดวิจัยได้ คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะพุทธเจ้าก็ไม่ได้เกิดสัมโพชฌงค์ ทั้งๆที่รู้ว่าเรามีสติสัมโพชฌงค์ แล้วเราต้องมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ เราจึงจะเป็นผู้รู้ดีในสิ่งที่ดี ทุกคู่ ทุกสภาพ 2 สู่แดนธรรม… ต้องเลือกสิ่งที่ดีจาก 2 อันนั้นใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… อะไรควร อะไรไม่ควร ท่านไม่ใช้คำว่าดี เลือกเฟ้นแล้วก็ประมาณเอา เรียกว่ามีสัปปุริสธรรม 7 เลือกได้ แต่ที่ไม่ได้กำหนดห้ามหรืออนุญาตเรียกว่า มหาปเทส 4 ก็ต้องตัดสินเลือกเฟ้นด้วยตัวเองว่าอะไรควรหรือไม่ควร อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เป็นสุดยอดของการตัดสินในเรื่องของ ปัจจุบัน ที่มันเกิดการเป็นอยู่มีอยู่ ที่เราตื่นลืมตา แล้วมีอะไรให้เราเห็นเป็นสภาพ 2 ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นในคน เกิดเป็นคนแล้วมีจิตวิญญาณแล้ว จะต้องมี 2 เสมอ จะต้องมีจิตกับกาย จะต้องมีรูปกับนาม เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ว่า โดยจริง มันจะต้องมีสมมติสัจจะเป็น 2 แต่เราตัดสินได้ ว่าอะไรควรเป็น 1 อยู่ที่เราตัดสิน อยู่ที่เรามีภูมิปัญญา มีธัมมวิจัย มีการตัดสิน มีการเลือกเฟ้น ได้แล้วก็อยู่กับดีที่สุดที่ควรที่สุดถูกต้อง “ควร”นี้เป็นเรื่องของคนที่ศึกษาฝึกฝนแล้ว จะมีคุณธรรมคุณวิเศษอันนี้ อาศัยในตัวเอง แล้วก็ใช้อันนี้เป็นเครื่องตัดสินให้แก่ตัวเองอยู่ตลอด ตัดสินโดยปฏิภาณปัญญาของตนเอง สู่แดนธรรม… ทดสอบเสียงด้านหลังได้ยินไหมครับ พ่อครูว่า… ถ้าอะไรก็ไปดึงเอาไว้ให้เป็น 1 เหมือนกับศาสนาเทวนิยมมีพระเจ้าเป็น 1 แล้วก็ไม่มีการแก้ไขไม่มีการแย้งไม่มีการเถียงเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย กาละเทศะฐานะ จะเปลี่ยนไปอย่างไรก็อยู่คงที่อย่างนั้น มันก็ตาย เป็นเรื่องตาย เป็นเรื่องที่มันไม่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยสิ่งแวดล้อมปัจจุบันธรรม มันก็เลยกลายเป็นเรื่อง เอาภาวะ เมื่อ 5,000 ปีมาแล้วมาตัดสินเดี๋ยวนี้ มันคนละเรื่องเลย มันเปลี่ยนแปลงไปตั้ง ทั้งหยาบและละเอียด อย่างนี้เป็นต้น มันก็เลยไม่ทันสมัย ไม่เข้าท่า แต่สายที่เขาไม่เปลี่ยนแปลงเขาก็ถือว่าสูงสุดแล้ว ที่ผู้รู้ที่เป็นศาสดาของแต่ละศาสนา นิรันดร์แล้ว เอาตามนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ซึ่งแม้แต่เรื่องของโลก ชาวโลกโลกีย์ธรรมดา เขาก็รู้ความทันสมัยอันนี้ ไอ้โน้นมันไม่ทันสมัย แค่คำว่าทันสมัยก็ตกขอบแล้ว ศาสนาที่ยึดมั่น มันไม่ขึ้นกับกาละเทศะฐานะ สู่แดนธรรม… พุทธเรามีอมตะต่างจากของเขา พ่อครูว่า… พุทธไม่เที่ยง ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นความเที่ยงอย่างนั้น พุทธก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยองค์ประกอบ กาละเทศะฐานะ อนุปคัมมะ คือ ไม่เข้าไปทั้งความมีและความไม่มี สู่แดนธรรม… แล้วความอมตะเที่ยงไหมครับ พ่อครูว่า… ความอมตะไม่ใช่เที่ยง แต่ความอมตะคือ รู้จักเที่ยงและไม่เที่ยง รู้จักภาวะ 2 รู้จักความมีหรือไม่มี รู้จักสภาวะที่ยืนนานก็เรียกว่าเที่ยง ยืนนานได้ 2 นาที 5 นาที 100 นาทีก็ถือว่าเที่ยง 100 นาที มันมีอะไรที่ควรจะยืนนาน อะไรมันไม่ควรจะยืนนานก็มี เช่น ความสงบควรจะยืนนาน แต่ในความสงบยืนนานเที่ยงจนกระทั่งมันไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงตาม กาละ ตอนนี้เขากำลังเร็วอยู่นะ ก็ไม่รู้เรื่องมันก็ตกยุคอีกเหมือนกัน มันก็ไม่ไปตามเหตุปัจจัยที่มันเกิด มันไม่เที่ยง ในโลกมันไม่เที่ยง พูดถึงเรื่องนี้แล้วพระพุทธเจ้าจึงสรุป ไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ) พ่อครูว่า… เหมือนการเล่นลิ้น เล่นสำนวนโวหาร เล่นพยัญชนะ เป็นความซับซ้อนลึกซึ้งจริงๆเลย มันจบตรงที่ความไม่มี โลกสมุทัย ความไม่มีในโลกย่อมไม่มี ส่วนโลกนิโรธ ความมีในโลกย่อมไม่มี จบที่ความไม่มี นี่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ถึงขั้นสูงสุดที่ความไม่มีได้ ไม่มีเลย เลิกเลย ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเหลือ อัตตาหรือจิตวิญญาณของเรา เราสลายเป็นดินน้ำไฟลมเป็นสุดท้ายปริโยสาน อาตมาเจอคำว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสานในมูลสูตร 10 โอ้โห สุดยอด ถึงได้เอามาพูดเอามาขยายความยืนยันให้เห็นว่าศาสนาพุทธถึงที่สุดได้ป่านฉะนี้ จนกระทั่งขยายกันได้หมดเลยแม้กระทั่ง ธรรมนิยาม 5 เป็นดินน้ำไฟลม อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม อาตมาขยายความไว้หมดแล้ว ผู้ที่สามารถมีภูมิรู้รับได้ถึง ก็เป็นภูมิบารมีของผู้นั้น ผู้รู้หมายถึงรู้ไม่ได้มันเข้าใจไม่ได้ บังคับก็ไม่ได้ บังคับไม่ได้หรอก เราจะบังคับให้สัตว์เดรัจฉานชั้นนี้ไปรู้เหมือนกับสัตว์อีกชั้นหนึ่งไม่ได้ เราจะสอนไส้เดือนให้มันรู้เหมือนกับเราจะสอนหมา หมาเพียงพอสอนให้รู้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่สอนไส้เดือนให้มันรู้อย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ มันอยู่คนละขั้นคนละระดับ เพราะฉะนั้นคนก็เหมือนกัน คนในเรื่องที่สอนไม่ได้ก็สอนไม่ได้ เขาไม่มีภูมิที่ขึ้นมารู้ได้เลย สอนให้ตายก็เหนื่อยเปล่า เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกก็ต้องตรวจโลกก่อน ก่อนจะประกาศตัวเป็นพระพุทธเจ้าในยุคที่ท่านอุบัติขึ้นมา ท่านเรียกว่า พุทธุปาทกาละ ต้องตรวจโลกดูก่อนว่า คนยุคนี้พอจะเปิดเผยโลกุตรธรรมได้ไหม หากตรวจแล้ว ยังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อย พอรู้ได้พอสมควรแม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แล้วก็มีสหัมบดีพรหมหรือพระเมตตา อาการเมตตาของพระองค์เองรวมลงมาเรียกว่าสหัมบดีพรหม พูดเป็นปุคลาธิษฐาน พระเมตตาของพระองค์หรือพระพุทธเจ้า ร่วมกันมาอย่างเต็มที่มันก็พอได้นะขนาดนี้ก็เอาละ นี่ ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยพอรับธรรมะนี้ได้ไม่เสียของไม่เสียเปล่า ไม่สูญเปล่าไม่เหนื่อยเปล่า ก็จึงประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้าในยุคนั้น ถ้ายุคใดเป็นกลียุคไม่มีคนจะรับได้เลย ขณะที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา มาสอนเขาก็รับไม่ได้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่เก่ง แต่คนมันหมดท่าแล้ว มันไม่มีทางจะรับได้ มันทั้งหนักทั้งแน่น ทั้งละเอียด เบา ว่าง จับไม่ติด ได้ทั้งนั้น มองไปได้ทั้ง 2 ด้าน เหมือนอย่างยุคนี้ ไม่เหมาะสมที่พระพุทธเจ้าจะมาประกาศตน คนที่มีธุลีในดวงตาน้อยมีแค่นี้ เสียของ ไม่พอที่พระพุทธเจ้าจะขึ้นมาอุบัติ เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้ว ศาสนาพุทธก็ยังพออยู่ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีภูมิธรรม จะมาสืบทอดศาสนาพุทธยืนยาวให้เต็มที่ อย่างอาตมาก็มาทำหน้าที่เท่านั้นเอง เพื่อให้ศาสนาพุทธยืนยาวไปเต็มที่ ผู้รู้ถึงบอกว่าศาสนาพุทธจะยืนยาว 5,000 ปี เป็นต้น ทุกอย่างก็ต้องจริง ต้องลงตัวหมด สภาพลงตัวทั้งรูปทั้งนามยุคนี้ชัดเจนที่สุด องค์นี้เกิดมาจะต้องชื่อว่าสารีบุตร องค์นี้ต้องชื่อโมคคัลลานะ องค์นี้ต้องชื่อพระอานนท์ อย่างอาตมาชาตินี้ต้องชื่อรัก หรือชื่อมงคล มันต้องชื่อนี้ อาตมานี่พยายามจะเปลี่ยนชื่ออีกเยอะแยะ มันก็เละเทะไป เอาเข้าจริงก็มาลงตัวที่ โพธิรักษ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนในทะเบียนว่านายโพธิรักษ์ ก็ยังชื่อนายรัก รักพงษ์ แต่ก็มีฉายาที่รู้จักกันคือ โพธิรักษ์ ยิ่งในขณะนี้คนรุ่นหลัง รู้จัก รัก รักพงษ์ คือโพธิรักษ์ แต่รู้จัก โพธิรักษ์ก็คือโพธิรักษ์ แต่รัก รักพงษ์นั้นเป็นอดีตผ่านไปแล้ว คำว่า ความมีกับความไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอาศัยสิ่ง 2 อย่างนี่แหละ อาศัย 2 ส่วน 2 อย่างนี้คือความมีกับความไม่มี สรุปแล้วในโลกนี้มีความมีกับความไม่มีเป็นสิ่งอาศัย ผู้ที่เห็นความมีกับความไม่มีได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แล้วไม่เข้าไปมีกับความมี ไม่เข้าไปมีทั้งความไม่มี พระพุทธเจ้าก็ชี้ว่าสภาพนี้เป็นสภาพ อนุปคัมมะ หมายความว่าเป็นผู้ที่ไม่เข้าไปมีแล้ว มีก็รู้แล้วว่ามี ไม่มีก็รู้แล้วว่าความไม่มี แล้วไม่เข้าไปทั้ง 2 อย่าง อนุปคัมมะ คนที่ไม่เข้าไปทั้ง 2 อย่างนี่แหละคือผู้ที่เป็นกลาง เป็นผู้ที่ถึงความเป็นกลาง มัชฌิมา ท่านที่อธิบายมัชฌิมาปฏิปทาว่าทางสายกลาง ซึ่งเป็นการแปลที่ผิด คนก็เลยหลงไปเดินอยู่ในทางสายกลาง อย่าไปเดินออก 2 ข้างนะ อย่าไปเข้าหา 2 ข้างนะ เดินตรงกลางอย่างนั้นแหละ 2 ข้างนั้นไม่ต้องไปรู้ไปเห็นไปมีอะไร เดินมันกลางๆนี้ไปตลอด ไปไหนก็ไม่รู้ ไม่มี 2 อย่างให้เปรียบเทียบ บอกว่าสายกลาง ภาษาก็พาซื่อ ภาษาอีสานเรียกว่า…มันก็พาซื่อไปโลด ซื่อไปอย่างเดียวเลย เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปุตตมังสสูตร อาหารข้อที่ 1 กวฬิงการาหาร เหมือนพ่อแม่ลูก เดินไปในทางไกลกันดาร ไม่ได้บอกว่าไปนิพพาน แต่ก็รู้นึกว่าจะต้องให้พ้นความกันดาร “ไป”ไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอก เดินไปทางสายกลางเดินไป แต่ไม่รู้อะไร มีชีวิตไปไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อะไร สุดท้ายก็ไปฆ่าลูกกิน ก็ไม่รู้เรื่องอะไร ฆ่ากินแล้วยังทำเป็นเนื้อเค็มไปกินด้วยนะ แล้วก็มาบอกว่าลูกที่น่าเอ็นดูของเราหายไปไหน เอ็งฆ่ากับมือ เอ็งทำเนื้อเค็มกินตลอดเวลา มันซ้อนลึก ซ้อนความโง่ไว้ในพวกนี้ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้พิจารณาเรียนรู้ กวฬิงการาหาร เป็นตัวสำคัญเลย โภชเนมัตตัญญุตา ก็ตาม ก็พิจารณาอาหารคือ คำข้าว การกิน ของกิน มันมีกิเลสอยู่ในของที่กินที่เคี้ยวเข้าไปในปาก รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็เรียนรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอันนี้ จากอาหารนี่แหละ มันมีผัสสะ ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร ก็อยู่ในอาหารคำข้าวและมีวิญญาณอาหาร รูปนาม 2 สภาพ อ่านวิญญาณ มันเกิดอยู่ใน กวฬิงการาหาร วิญญาณ พอไม่รู้มันก็มีวิญญาณอยู่ตลอดไป เป็นวิญญาณสุขไปก็ไม่รู้ตัว ไปกับมันตลอดกาลนาน ไม่เรียนรู้มีผัสสะอยู่ เจตนาที่มีกิเลส อกุศลเจตนา เป็นจิตที่มุ่งหมายต้องการหาสถานที่ดูดีๆมีจุดมุ่งหมายก็ไม่ได้เรียนรู้จุดมุ่งหมาย ไม่ได้เรียนรู้เจตนา ไม่ได้เรียนรู้ตัณหา 3 เจตนา เป็นตัณหา 3 ตัณหา 3 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา แจกแจงตัณหา 3 ให้ฟังดีๆ กามตัณหา เป็นขั้นต้น เบื้องต้น เรียนรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย5 ทวาร มันมีสวรรค์นรกกับสวรรค์นรกอยู่เนี่ย สัมผัสแล้วเกิดกามคุณ 5 ก็มีสวรรค์กับนรกในกามคุณ 5 เพราะสวรรค์กับนรกแยกกันไม่ได้ มันมีสวรรค์นรกก็มีภพชาติอยู่อย่างนี้ เพราะไม่รู้จักเวทนา ไม่รู้จักจิตของตัวเองเสพติด ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ทั้งๆที่ไม่ใช่อาหาร แต่ก็ยังเอามาลิ้มรสในปาก เสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อันนี้ลึกซึ้ง อย่างเช่นมหาบัว เสพติดหมาก ไม่ใช่อาหารสำคัญสำหรับชีวิต แต่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้เรียนเลย มีแต่ไปนั่งหลับตาเป็นเดียรถีย์ มันไม่มีทางที่จะมารู้เรื่องอะไรเลย มันต้องมาเรียนรู้ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ขั้นต้น กามตัณหา แล้วล้างกำจัดกิเลสกามตัณหาออกก่อน ถึงจะเข้าไปถึงเนื้อใน ต้องหมดกิเลสกามแล้วจึงเข้าไปถึงเนื้อในได้ เหมือนทุเรียน มีเปลือกหนามแหลมภายนอก หากคุณจัดการเปลือกมันออกก่อนไม่ได้คุณจะเข้าไปข้างใน คุณก็นึกเอา หลับตาไม่รู้ไม่เห็นแล้วก็นึกว่าเข้าไปถึงข้างใน เข้าไปถึงเนื้อทุเรียนกินทุเรียนหวานเลย ซึ่งมันก็มีแต่ความเพ้อเจ้อ เพ้อพก มันไม่เป็นความจริงเลย มันถึงไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกนั่งหลับตา ไม่จัดการเอาเปลือกทุเรียนออกก่อน แล้วจะไปเข้าไปถึงเนื้อทุเรียนได้ กินเนื้อทุเรียนภายใน ต้องเอาหนามเปลือกออก แล้วก็ต้องผ่านกะพี้ ได้ถึงแก่น ก็ไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำแม้แต่ที่สุด พระพุทธเจ้าท่านอธิบาย แก่น ของต้นไม้เอาไว้ ท่านอธิบาย อุบายเครื่องออก วิธีการจะเข้าถึงก็คือ ศีล ท่านเปรียบเหมือนสะเก็ดของต้นไม้คือศีล เมื่อผ่านศีล ก็จะพาเข้าไปรู้ภายใน เป็นอุบายเครื่องออก ด้วยอุบายพาให้เข้าไปเรียนรู้ แล้วล้างเอาสะเก็ดออก จึงจะเข้าไปถึงเปลือก เปลือกเป็นสมาธิ เขาจะทำสมาธิ เรียนสมาธิโดยไม่มีสะเก็ดนำพา หลับตาเข้าไปเลย ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ แม้แต่สะเก็ด ไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มีศีล ไม่มีข้อปฏิบัติอะไร หลับตาเอา ไปถึงเปลือกเป็นสมาธิ แล้วเดี๋ยวจะได้เนื้อ ได้กระพี้ ได้ปัญญา แล้วเข้าไปถึงแก่นเป็นถึงวิมุติ เขาก็ว่าอย่างนั้น ซึ่งมันก็เลยได้แต่สมมติเอา เพ้อพกเอา ฝันเอา นั่งหลับตาเป็นการไปสร้างภพใหม่ คนเราดวงตาเปิด กระทบตาหูจมูกลิ้นกายนี่เป็นกามภพ คนเราเต็มๆ มีสติสัมปชัญญะปัญญาลืมตา ก็รู้ก็เห็น อัตตาของโลก แต่เมื่อคุณหลับตาเข้าคุณก็ไม่มีโลกแล้ว กามคุณไม่ได้เรียนแล้ว กาย คุณไม่มีแล้ว พวกนี้หลุดลอยไปหมดเลย เป็นพวกพิการไม่เต็มเต็ง ไม่ครบทุกอย่าง ศาสนาพระพุทธเจ้าแม้เป็นกาม กาย เรียนรู้การตกอยู่ในอำนาจ กาม กาย ตัวโง่ ตัวไม่รู้เท่าทัน ตัวปัญญาก็ต้องชัดเจนเลยว่า อ๋อ อันไหนที่เราต้องอาศัย มันเป็นสิ่งที่มีนะ เราต้องอาศัยกันและกัน แต่อะไรที่จะให้ไม่มี …ตัวโง่ตัวกิเลส ตัวไม่รู้ถึงความมี เรามี แต่กิเลสเราไม่มี เพราะฉะนั้นเราจะเห็นทั้งความมีกิเลสแล้วก็ไม่มี ไปถึงความไม่มีแล้วกิเลสแล้วก็ไม่มี จึงรู้ทั้งสองฝ่าย มีเราก็ทำให้ไม่มีได้ ไม่มีเราก็ทำไม่มีได้ แต่เราก็ไม่หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะโลกมันก็ต้องมีทั้งความมีและความไม่มี เราก็เป็นคนที่อยู่เหนือ มีอภิภุย เรียกว่ามีอิทธิพลเหนือความมีและความไม่มีเป็น อนุปคัมมะ อธิบายทางสายกลาง ที่เขาไปแปลมัชฌิมาปฏิปทาว่า ทางสายกลาง เดินไปตรงกลางๆไม่รู้เรื่องโดยนัยไม่เข้าหาสภาวะธรรมที่พาให้บรรลุธรรม เพราะไม่เข้าใจคำว่า คนที่เป็นกลางคือคนที่รู้จัก 2 อย่าง แล้วตนเองทำตนได้แล้วว่ามีก็ได้หรือไม่มีก็ได้ แต่ไม่ติดทั้ง 2 อย่าง เรียกว่าผู้เป็นกลาง แต่ไม่ติดไม่ยึด ไม่หลงไปมีไม่หลงไปไม่มี แต่สุดยอดจริงๆเราอยู่ยังเป็นชีวะ เรายังมีชีวะ ยังไม่ดับธาตุชีวะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานบช ไม่ทำให้จิตธาตุของเราเป็นปริโยสาน ถ้าเผื่อว่าตำราปัญญาในมูลสูตร 10 ข้อสุดท้ายปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ระบุไว้อาตมาก็นึกไม่ออก เราก็นึกว่าจะอธิบายไม่ออก แต่เราเห็นในพระไตรปิฎก 3 ข้อนี้ก็เลยรู้สึกถึงจุดจบของศาสนาพุทธเลย อาตมาตาเหลือกเลย พระพุทธเจ้าท่านทำเอาไว้อย่างสุดยอดเลย นิพพานเป็นที่สุด ปรินิพพานเป็นปริโยสาน สู่แดนธรรม… ใน 2 ข้อสุดท้ายของมูลสูตร ความมีอมตะอันนี้คือความยังไม่ตาย นี่คือความมีใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… สอุปาทิเสสนิพพาน เหลืออยู่ ยังไม่ดับปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นดินน้ำไฟลมไง ปริโยสาน ก็ไม่มีแน่นอน เพราะว่าแยกธาตุจิตนิยามเป็นอุตุนิยามไป สุดยอด ลักษณะตอนเป็นพระพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้เรียนรู้อาการของจิตวิญญาณ แล้วโลกที่คุณสัมพันธ์เกี่ยวข้อง คุณก็ต้องทำให้โลกที่คุณอยู่ด้วย อัตตาจิตวิญญาณของคุณก็ทำให้เป็นอุตุได้ โดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาปรุงแต่งกันอีกให้เป็นชีวะเลย แม้ไม่ถึงขนาดนั้นอยู่แต่ทำจิตให้เป็น พีชะ ก็ไปรอดแล้วคือไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีภาวะเวทนา ไม่มีภาวะวิญญาณแล้ว ธาตุรู้มันลดลงมาแค่พีชะ เป็นขั้นเป็นตอน แต่ยังไม่ถึงที่สุด ถ้ายังทำให้เป็นอุตุนิยามไม่ได้ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สู่แดนธรรม… ลุ้นพ่อท่านไอ ถ้าไอก็แสดงว่า พ่อท่านมีพลัง สามารถขับเสลดออกได้ พูดถึงความมีกับความไม่มี ซึ่งเข้าใจได้ยาก แต่ต้องปูพื้นฐานให้แน่นก่อนจึงเข้าใจได้ในตอนต่อๆไป พ่อครูว่า… มันมีคำที่ เป็นธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตรธรรม ที่อาตมาเอามาขยายซึ่งมันได้สูญหายผิดเพี้ยนไป ไม่มีผลต่อธรรมะพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่มีผลต่อโลกุตรธรรมแล้ว เพราะมันเสื่อมหนักไปหมดแล้ว แม้แต่คำว่าบุญ คำว่ากาย คำว่าฌาน แม้แต่คำว่าสมาธิอย่างนี้ เป็นต้น คำว่า สมาธิ สมาธิจริงๆแล้ว เป็นภาษากลางๆ แปลเป็นไทยว่าจิตที่ตั้งมั่น หมายความว่า เรามีกองสมบัติ แล้วกองสมบัติของเราก็เป็นของเรา สมบัติที่จะเป็นของเราคือความบริสุทธิ์จากกิเลส ปริสุทธา ซึ่งเป็นองค์ธรรมของอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำจิต ให้บริสุทธิ์สะอาดจากกิเลส แล้วจิตนี้จะมาตกผลึกสะสมๆๆ เป็นสมบัติ เป็นจิตสะอาดทั้งนั้น สะอาดอย่างไม่ฟื้น สะอาดบริสุทธิ์ สิ้นอาสวะอย่างแท้จริง แล้วจิตสะอาดมาสะสมตกผลึกเป็นสมาธิ ท่านเรียกว่า สมาหิโต นี่คือจิตตั้งมั่น แต่ของ เดียรถีย์ เป็นสมาธิมันผิดเพี้ยนไปนานแล้วก็มาเรียกสมาธิเป็นจิตตั้งมั่น ก็วิธีทำแบบเรียนลัด สะกดจิตให้มันนิ่งแต่มันไม่สะอาดไม่ได้ล้างกิเลส ไม่มีปัญญารู้จักกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่กาม หมดกามแล้วหมดแล้วมันก็หมดนะ กิเลสกาม ที่เราเรียนรู้เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พออนาคามีมันก็หมดแล้ว ก็อยู่เหนือโลก ทางทวารทั้ง 5 ตาหูจมูกลิ้นกายกระทบ แต่กิเลสมันไม่เกิดมันเกิดไม่ได้ เพราะจิตเราเป็นจิตที่มีอิทธิพล เป็นอภิภุย เป็นจิตที่อยู่เหนือกาม มันเหนือจริงๆ เป็นบุคคลที่เรียกว่าอภิภู ในอภิภายตนะ 8 อาตมาอธิบายธรรมะมานี่มันไกล มันลึกมากเราเรียนอภิธรรม เป็นอภิธรรมที่ไกลและลึก แต่พวกเราเข้าใจแล้วมีสภาวะรองรับจึงรองรับได้ ฟังแล้วก็แหม ฟังแล้วมันสนุก มีธรรมรส ฟังแล้วเข้าใจ คนไม่รู้เรื่องฟังไม่เข้าใจ ไม่มีธรรมรสหรอก จะหาว่าพูดอะไรบ้าบอ เอาภาษาบาลีอะไรมาพูด เขาจะหาว่าเรียนจบบาลีมากี่ชั้น กี่เปรียญ เขาก็ว่าไป อาตมาไม่ได้เรียนบาลีมาตามไวยากรณ์ บาลีของอาตมาเป็นบาลีที่ได้คงค้างมาเป็นตัวของอาตมา ก็มาฟื้นพยัญชนะเหล่านี้มาใช้กับสภาวะ จริงไม่จริงก็ฟังเอาก็แล้วกัน อาตมาก็พูดไปตามสภาวะของตัวเอง มูลสูตร 10 โดยพิสดาร สิ่งที่อาตมาเกิดมาในปางนี้ที่จะต้องเอากลับคืนมาฟื้นคืนมาให้ถูกต้อง เป็นโลกุตระธรรมจริงๆ ทำงานมา 50 กว่าปีก็สบาย เพราะว่าได้ผล แม้จะได้ผลเท่านี้ก็ดีแล้ว คนก็ช่างไม่เห็นนะ แต่เขาก็เห็นเหมือนกันนะ เขาเห็นเหมือนกับไก่เห็นพลอย เขาก็เหมือนไก่เห็นพลอย มันก็จะรู้สึกว่าเม็ดพลอย สู้เมล็ดข้าวเปลือกข้าวสารไม่ได้ ถูกของไก่เขา ก็เป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นพวกที่ได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า รู้จักสาระเป็นสาระ รู้จักค่าคุณค่าของธรรมะ ธรรมะระดับโลกุตระ ธรรมะระดับอาริยธรรม ที่เราได้เรียนรู้ จนกระทั่งตามหลักฐานของพระพุทธเจ้าต่างๆ ไล่ มูลสูตร ทั้ง 10 ก็ได้ มีฉันทะเป็นมูลกา เป็นเค้าเงื่อน คำว่าฉันทะ แปลว่าความยินดี ความยินดีไม่ใช่เป็นครั้งคราว แต่มันจะมีธาตุรู้ที่ อื้อหือ.. โอ้โห.. อย่างนี้ใช่เลยๆ ใช่เลย อย่างนี้ใช่ สู่แดนธรรม… ยอมเสียเวลาด้วย พ่อครูว่า… เอาชีวิตมาศึกษาติดตามอย่างแท้จริง เห็นว่า อย่างนี้ใช่เลย เริ่มต้นมีฉันทะแล้ว จึงจะมาศึกษา มาเรียนรู้ว่า มีฉันทะแล้วจะเรียนอะไรต่อไป พอมีฉันทะแล้ว ก็จะเรียนรู้การทำใจในใจ มนสิการ การทำใจในใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมากของศาสนาพุทธ ผู้เรียนบัญญัติพยัญชนะ แล้วไม่เข้าถึงใจ ทำใจไม่เป็น ทำใจในใจไม่เป็น ทำใจเป็นคืออะไร คุณต้องรู้ใจของคุณ อ่านอาการใจ นี่ภาษาไทย จิตนั้นเอง อ่านจิตแยกจิตเจตสิกต่างๆให้ออก เมื่อแยกจิตเจตสิกออกแล้ว แยกเป็นเวทนา เป็นสภาพ 2 กายคือสภาพ 2 หรือ เวทนา 2 แล้วเวทนา มันก็ต้องมี 2 เมื่อคุณยังมีอวิชชา คือ มันจะมีเวทนาเก๊ กับเวทนาจริงๆ เวทนาจริงๆนั้น คนทุกคน สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้ว อันเดียวกันหมด ไม่ว่าคนศาสนาไหน จะเป็นชนชาติไหน ไทยเจ๊กแขกฝรั่งอะไรก็แล้วแต่ เหมือนกันหมด แต่เรียกเป็นภาษาออกมาคนละคำเท่านั้นเอง สัมผัสนี่ กล้วยนาค สีเป็นสีนาค ไทยจีนฝรั่งแขกที่ไหนมาสัมผัสก็เหมือนกันหมด เวทนาตัวจริง สัมผัสแล้วรู้เหมือนกันหมดสีเดียวกันหมด เป็นอย่างนี้เหมือนกัน รูปร่างก็ได้และสีสันก็ได้ ภาษา จะเรียกไปอย่างไรก็แล้วแต่ ส่วนเวทนาเก๊ คนหนึ่งเห็นว่าสวย อีกคนหนึ่งเห็นว่าไม่สวย ก็เป็น 2 แล้ว สวย ไม่สวย นี่แหละมันเก๊ สวยก็เก๊ ไม่สวยก็เก๊ ก็มันมีสีนี้จะไปเถียงกันทำไม คนตาดีก็เห็นเหมือนกันหมด ไม่ว่าคนชาติไหนศาสนาไหนก็เหมือนกันทุกศาสนา ตากระทบสีนี้ก็เห็นสีนี้เหมือนกันหมดจะเรียกด้วยภาษาอะไรก็แล้วแต่ ไทยจีนลาวแขกก็ตาม ฟังแล้วมันดูง่ายไหม แต่มันก็ยากในตัวของมันใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะแยก เทฺว ธมฺมา (ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง ) ล.10 ข.60 ที่อาตมาบอกว่านี่คือหัวใจของศาสนา เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำใจในใจ เข้าไปถึงเวทนา พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณา 2 เวทนา 2 มีเวทนาเก๊กับเวทนาแท้ ไอ้ที่มันเทียมมันเก๊ ก็เพราะจิต มีราคะเข้ามาปรุง มีโทสะเข้ามาปรุง มีโมหะเข้ามาปรุง ราคะโทสะโมหะตามเจโตปริยญาณ 16 ก็รู้จิตในจิตของเจโตปริยญาณ 16 อ๋อ.. มันเก๊ เพราะมันมีกิเลสมาผสมนี่เอง ราคะ หรือโทสะ หรือโมหะ ก็แยกให้ออกให้ได้ เป็น1 แท้ คืออันนี้ อันนี้ไม่แท้ ก็ทำให้ 2 นี้เป็น 1 ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ เมื่อทำให้เป็น 1 ได้ จนกระทั่งคุณมีปัญญาเหนือ ชัดเจน มีพลังปัญญาของคุณ มีอำนาจ มีอภิภุยะ มีอิทธิพล เอ็งอย่ามาใกล้ กิเลสเอ็งอย่ามาใกล้ เหนือกิเลส มันไม่มาใกล้เพราะเป็นประสิทธิภาพของจิตจริงๆ ทำได้อย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าสรุปว่า เรารู้เราเห็น เป็นคนมีตา เป็นคนมีจมูกลิ้นกายใจ ถึงทั้งรู้ ทั้งเห็น ชานติ ปัสสติ พวกหลับตานั้นมันไม่รู้ทั้งหมด มันรู้แต่เพียงทวารเดียว มันไม่เห็น มันไม่ได้ยิน มันไม่ได้กลิ่น ไม่ได้รับรส ไม่ได้สัมผัสอะไร เพราะฉะนั้นรู้แต่เพียงหลับตาอีกอยู่ในภพไม่จริง ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นภพสัมภเวสี เป็นภพแห่งจิตวิญญาณที่ไม่รู้อะไรกับใคร เอ็งอยู่ของเอ็งคนเดียว หลับตาเข้าไปแล้วคุณก็อยู่ของคุณคนเดียว อยู่ในภพของคุณ หลับตาเข้าไปแล้วคุณก็อยู่ของคุณคนเดียวอยู่ในภพของคุณคนเดียว คุณไม่รู้กับของใคร มันไม่เป็นความจริง มันก็เพ้ออยู่นั้นนานเท่านานนิรันดร มันไม่มีทางตรัสรู้ ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมอะไรเลย พูดไปจนถึงขนาดนี้ ผู้ที่นั่งหลับตาปฏิบัติ แหม พวกนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมเป็นโจรทำลายศาสนาพุทธ อาตมาเป็นเจ้าหน้าที่ พระพุทธเจ้าเป็นพระราชาให้ไปจัดการฆ่าโจรพวกนี้ มันอยู่ก็ทำลายศาสนาพุทธ อย่าให้มันอยู่ทำลายศาสนาพุทธ มันเป็นบาป หรือแทงเพื่อให้รู้สึก ให้ตื่นตัว ให้หันกลับมารู้ มาฟังที่พูดนี้บ้าง มีปรโตโฆษะบ้าง ยึดอยู่อย่างนั้น มันผิดมาตั้ง 2,500 กว่าปีแล้วนะ หมดศาสนาพุทธหมดเพราะพวกหลับตา เป็นเดียรถีย์อย่างเดิม พูดเท่าไรเขาก็เชื่อยาก เพราะว่าอาตมาไม่มีเปรียญธรรม ไม่มีนักธรรมตรี โท เอก แต่คนมีดวงตาอย่างพวกคุณ มีธุลีในดวงตาน้อย ที่รู้แจ้งเห็นจริงฟังรู้เรื่อง มาถึงวันนี้แล้วค่อยยังชั่วอาตมาว่า เพราะอาตมาอธิบายบรรยายธรรมะยืนยันอยู่กับพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้า ทำได้อย่างไรก็บอกอย่างนั้น พามาทำอย่างไรก็บอกอย่างนั้น พามาทำได้จนกระทั่ง เป็นสังคมสาธารณียธรรม 6 ซึ่งยิ่งใหญ่มาก สาราณียธรรม 6 ยิ่งใหญ่มาก มันเจริญสุดแล้วทั้งโลกทั้งธรรม เจริญสุดทั้งโลกทั้งอัตตา เจริญภาวะ 2 ครบถ้วน ซึ่งผู้ฟังยังไม่ค่อยเข้าใจกัน อาตมานำพาปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าสำเร็จ ด้านเศรษฐศาสตร์ก็สำเร็จ ด้านรัฐศาสตร์ก็สำเร็จ ด้านสังคมศาสตร์ก็สำเร็จ หมดปัญหามีแต่ปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีปัญหาจึงอยู่กันอย่างสงบสบาย ถาวร อยู่อย่างสงบถาวร ไม่ใช่สงบชั่วคราว ประเดี๋ยวก็เป็นคลื่นใหม่ ไม่ สงบ ยาวนาน พวกเรามาได้ความสงบ สงบคำนี้ เอาปัญญาข้อที่ 3 มาพูด ปัญญาข้อที่ 1 ได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้า ปัญญาข้อที่ 2 ต้องเข้าไปทำความบริบูรณ์ เข้าไปถามไถ่ ซักถามเข้าพบคบคุ้น เพิ่มขึ้นๆ จึงจะมีปฏิภาณปัญญาเข้าใจได้ดี ลึกซึ้งขึ้น จนกระทั่ง อ๋อ.. ความสงบ 2 อย่าง จนทำความสงบ 2 อย่างได้ ปัญญาข้อที่ 3 เธอฟังธรรมนั้นแล้วย่อมนำความสงบ 2 อย่างคือ ความสงบกาย สงบจิตให้ถึงพร้อม คนที่ฟังแล้วอย่างพวก เดียรถีย์ พวกโลกีย์ไม่เป็นโลกุตระ ก็นึกว่าทำความสงบข้อที่ 3 นี้ได้ 1. ความสงบกาย 2. ความสงบจิต สงบกายของเขาก็คือ ไม่กระดุกกระดิกทางร่างกายภายนอก ไม่เคลื่อนไหวทางกายวิญญัตภายนอกนิ่ง บื้อ ซื่อ กายไม่กระกระดุกดิก จิตมันก็ยังดิ้นอยู่ จิตมันฟุ้งซ่าน ไม่สงบ คุณก็ทำให้จิตมันไม่ดิ้นไม่กระดุกกระดิก นั่นคือถือว่าจิตสงบ แต่ความจริงแล้วโอ้โห มันซับซ้อนลึกซึ้งวนรอบเชิงซ้อนที่ยากจะเข้าใจ กายสงบ ของพระพุทธเจ้าจะมี กายปาคุญญตา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม… พอดีได้เวลาพักจิบน้ำพอดีครับ ผมศึกษาธรรมะจากพ่อครูรู้สึกว่าแตกต่างจากผู้ที่สอนธรรมะทั่วประเทศ เพราะ อาจารย์เก่าก็สอนว่ากายสงบขึ้นดังนี้ คำสอนเหล่านั้นไม่เป็นโลกุตระ ไม่ได้เป็นของศาสนาพุทธยืนยันอย่างนั้นก็ดูจะเป็นสงครามทางทิฏฐิกับทางหมู่ใหญ่ พ่อครูว่า… ก็สอนกันอย่างนั้นกายสงบ คือ อย่าเคลื่อนไหวกาย จิตสงบก็ดับสัญญาดับเวทนาเลย พาซื่อย่างนั้น จะไปล้มเลิกได้อย่างไรมันเป็นสัจจะหนึ่งเดียว ซึ่งมันจะได้มากเท่าที่ได้เพราะจะไปบังคับคนที่ไม่มีบารมีไม่มีภูมิไม่ได้ เรียนให้ตายอย่างไรเก่งที่สุดก็เป็นแค่ ปทปรมะบุคคล เรียนรู้พุทธพจน์ก็มาก ท่องจำได้ก็มาก สอนคนอื่นก็มาก แต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้เลย แล้วเขาก็ไม่เชื่อง่ายๆหรอกว่าเขาไม่บรรลุธรรม เขาก็บอกว่าบรรลุอรหันต์กันไปเยอะ สายหลับตาเขายอมรับ แต่สายลืมตาไม่ยอมรับกันเท่าไหร่ สายลืมตาอาจจะยอมรับกันบ้าง เช่น พอรู้เลาๆ อย่างท่านพุทธทาสก็นับถือกันเป็นอรหันต์ หรือผู้ที่จะเก่งได้เปรียญธรรม ได้ดอกเตอร์ทางโลกเขาเก่ง เขาก็ยังคลางแคลงไม่เชื่อเท่าไหร่ อย่างท่านพุทธทาสท่านก็ยังกึ่งๆนะ ท่านบอกว่าท่านเป็นพระบ้านกึ่งหนึ่ง พระป่า กึ่งหนึ่ง อย่างอาตมนี่ เป็นพระบ้านเต็มตัว แล้วเอาป่ามาสร้างไว้ในบ้านเต็มป่าเลย ทำ 2 ให้เป็น 1 ทำทั้งบ้านทั้งป่าให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เอกสโมสรณา ภวันติ แล้วอาตมาก็ทำสำเร็จแล้ว ทำสำเร็จอยู่ในเมืองกลางกรุงนั่นแหละ สันติอโศกก็อยู่กลางกรุงเทพ ราชธานีอโศกก็อยู่กลางอุบลราชธานี ปฐมอโศกก็อยู่กลางนครปฐม ศาลีอโศกก็อยู่กลางอำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ ศรีสะเกษก็อยู่กลางอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ก็อย่างนี้แหละ แล้วก็ทำงานกับทั้งสังคม สังคมเปิดกับสังคมบ้านสังคมเมืองแต่ก็ทำให้เกิดป่า ขนาดสันติอโศกยังสร้างป่าเลย มันเป็นเรื่องซ้อน เป็นอจินไตย อยู่ที่ไหนก็ทำป่าในเมืองทั้งนั้น จะบอกว่าโพธิรักษ์เป็นพระป่าหรือพระเมือง พระเมืองในป่าหรือพระป่าในเมือง? เอามาเข้าถึงรายละเอียดต่อ ความสงบ 2 อย่างที่พูดกันไปถึงเมื่อกี้ ทุกวันนี้เขาก็ยังเข้าถึงความสงบ 2 อย่างนี้ยังไม่ได้ แค่ปัญญาข้อที่ 3 เขาไม่เข้าถึงแล้ว เพราะเขาไม่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า อย่างมีความละอายอย่างแรงกล้า ได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษก็เกิดความละอายอย่างแรงกล้า ที่จริงเขาฟังจากอาตมาเป็นสัตบุรุษ แต่เขาไม่เชื่อว่าเป็นสัตบุรุษ เขาก็เลยฟังอาตมาอย่างน้ำเต็มถ้วย ชาล้นถ้วย ฟังอย่างเข้าหูขวาทะลุหูซ้าย ไป ไม่เหลืออะไรไว้ในใจ ไม่เข้าใจ เข้าทะลุไปเฉยๆ เข้าหูอยู่แต่ไม่เข้าใจไม่เข้าไปถึงใจ เข้าหูทะลุซ้ายขวาไปเฉยๆ เขาก็ไม่ได้อะไรก็น่าสงสาร ไปบังคับคนไม่มีบารมีให้มาเข้าใจ อันนี้ก็เป็นอจินไตย มันเป็นไปไม่ได้เลยไปบังคับ อาตมาขอบอก บอกว่าอาตมายิ่งมาทำงานศาสนานี้ไม่มีอะไรเลยที่อาตมาจะพูดความไม่จริง อาตมาพูดแต่ความจริงทั้งนั้นเลย บอกแล้วบอกอีก ไม่จริงไม่พูด โดยเฉพาะเรื่องแสดงธรรมไม่จริงไม่พูด ไม่ได้แสดงธรรมก็อาจจะพูดสนุกสนานกับเด็กเล็กๆ ก็มีความสนุกสนานไป ไม่จริง100%อะไร เป็นเรื่องเล่นเรื่องโลกๆบ้าง แต่ถ้าแสดงธรรมแล้วมีแต่พูดความจริง ไม่จริงไม่พูด หรืออาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น พูดธรรมะที่ไม่จริงไม่เป็น จริงนะ พูดไปแล้วก็ดูเหมือนน่าหมั่นไส้ หลงตัวเองเหลือเกิน เขาไม่เชื่อถือ เขาก็เป็นเช่นนั้น มันก็ไปบังคับให้เขามาเชื่อถือไม่ได้ ก็ต้องว่ากันไป แต่คนที่แสวงหา คนที่ไม่มีอคติมากเกิน พยายามฟัง พยายามเอาสาระ เอาเนื้อแท้ ก็จะเห็นว่าน่าฟัง ยิ่งอาตมาเอาพระไตรปิฎกมายืนยัน แต่ก่อน เราไม่ได้เข้าใจอย่างที่ท่านโพธิรักษ์อธิบาย แต่ท่านโพธิรักษ์อธิบายแล้วเราเข้าใจ ก็จะสะดุดตรงนี้ ฟังอาจารย์ต่างๆที่สอนขึ้นมามาก มันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอฟังโพธิรักษ์ก็ทำให้เข้าใจได้ บางคนก็ชักเริ่มเห็นว่า เป็นประโยชน์ เป็นสาระ มันก็จะเป็นไปอย่างนี้ มันไม่เสียหลายทีเดียวเลยที่อาตมาทำงานอย่างนี้ แม้พยายามยังขันธ์ให้ต่อๆไป ยังไม่ยอมตาย พูดถึงยังไม่ยอมตาย วันนี้เห็นหมอเฉก ที่เขาเอาภาพมาให้ดู เป็นปัจจุบันด้วยยังแข็งแรงดีมากเลย ยังแข็งแรงดีอยู่ ว่ายน้ำทุกวัน ย่าง 97 ปีแล้ว ยังแข็งแรงดีมากเลย เหนืออาตมาอยู่ตรง 9 แต่ด้อยกว่าอาตมาตรงเลข 7 เพราะอาตมานั้น 88 เอาซะอย่างนี้ คือทำร่างสรีระข้างนอกพัฒนา พยายามใช้ปรับปรุงขันธ์กาย ขันธ์ร่างข้างนอกให้แข็งแรง ให้อยู่ยงคงกระพัน อายุ 97 แล้วคงจะถึง 100 สบายๆ หมอเฉกทุกวันนี้ ยังไม่ได้ดูงอกแงกเลย อาตมายังดูไม่แข็งแรงปราดเปรียวเหมือนหมอเฉก สู่แดนธรรม… พ่อท่านมีจุดอ่อนตรงที่คอ พ่อครูว่า… อันนี้เป็นวิบากกรรมวิบากทรมาน ไอทีนึง เสียแคลอรี่ เสียพลังงานไปเยอะ มันแก้ไขไม่ได้ก็ทนไป ก็ประคองไป มันก็ยังทำงานได้อยู่พอเป็นไป ก็พยายาม มันยังเป็นประโยชน์อยู่ มันก็ไม่ดูน่าสมเพชเวทนาอะไรเกินไป มันก็เป็นไปพอไปได้ ตั้งใจทำไป ถ้าอาตมาสามารถที่จะประคองขันธ์นี้ไปได้เรื่อยๆ แม้จะไม่ดูแข็งแรงปราดเปรียวเหมือนหมอเฉกทีเดียว ก็สามารถชะลอได้เหมือนกัน อีก 10 ปี จะเท่าหมอเฉก ตอนนี้ถ้าถึง 5 ธันวาคมก็จะ 87 ปีกับอีก 6 เดือน ไปถึงมิถุนายนปีหน้าก็เต็ม 88 เต็ม ขึ้น 89 อายุก็เป็นกาลเวลาที่เราเอามาคำนวณ ดูกาละเวลา ที่เราอยู่ในโลก เราอยู่ในโลกเป็นประโยชน์อย่างไร ประโยชน์ในโลก คนปลูกข้าว แล้วก็ได้ข้าวมา ให้คนอื่นได้กินได้ใช้ คนนี้มีประโยชน์ในโลก คนสร้างอาวุธมา โอ้โห บรรลัยจักร เป็นโทษในโลก สร้างมาไว้ทำลายกัน ฆ่ากัน ข่มกัน ทำความไม่สงบให้แก่มนุษยชาติ เป็นความชั่วช้าสามานย์มากเลยทีเดียว นี่พูดสัจธรรมไม่ได้ไปด่าว่าใคร แต่คนที่เขาไม่ได้เรียนรู้สัจธรรมลึกซึ้งอะไร ก็ทำไปด้วยอวิชชา โง่งมงายมิจฉาทิฏฐิไป เพราะฉะนั้นเมืองไทยเรานี้ สร้างอาวุธไม่เป็น อย่าไปน้อยใจเด็ดขาด ดีแล้ว ไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในข่ายของคำว่าชั่วช้าสามานย์ สร้างอาหาร พืชพันธุ์ธัญญาหาร สร้างข้าว สร้างพืช นี่แหละ มันอยู่ในโซนที่เหมาะสมที่จะสร้างด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าส่งเสริมกสิกร นี่เป็นจุดเด่นนะ เป็นจุดเด่นของประเทศไทย เป็นจุดสำคัญที่คนไทยควรจะรู้จักจุดสำคัญ จุดเด่นอันนี้ ของตน แล้วส่งเสริมที่อาตมาเคยบอก แทนที่จะไปให้เหรียญตราบำเหน็จบำนาญแก่ข้าราชการเท่านั้น ให้เอามาจัดสรรกับกสิกรบ้าง หาวิธีการช่วยกสิกรให้มีกำลัง ให้ขยันหมั่นเพียร เกาหลีเหนือเขาเอาความยกย่องชมเชยติดเหรียญตรากันดูสิ.. ทหารของเขามีเหรียญตราเต็มไปหมด ก็ให้เหรียญตราแก่กสิกรชาวไร่ชาวนาบ้าง แทนที่จะให้แต่เพียงข้าราชการ ให้อย่างจริงๆ ให้อย่างสำคัญเลย ที่จริงไม่ต้องด้อยกว่าข้าราชการ ให้เหนือกว่าข้าราชการยังได้ยิ่งดีเลย คนจะได้เห็นความสำคัญของกสิกร ยิ่งกว่าไปรับราชการอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าราชการไม่สำคัญนะ ราชการก็สำคัญ แต่จริงๆแล้วกสิกรสำคัญกว่า ราชการหรืองานที่จะไปบริหาร ถ้ามีธรรมะโลกุตรธรรมแล้วบริหารง่ายมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องมาเรียนธรรมะโลกุตระธรรมกันให้ได้ การบริหารจะสบาย การเป็นกสิกรจะยากกว่าด้วย แต่จริงๆแล้วมาเป็นกสิกรนี่แหละ พวกที่เรียนรู้ธรรมะโลกุตระก็จะเห็นสาระแห่งความสำคัญ คนที่มีภูมิปัญญามีมาแต่เดิมเป็นอริยบุคคลคนที่มีภูมิปัญญามีมาแต่เดิมเป็นอาริยบุคคล เป็นโพธิสัตว์ อย่างเช่นหมอฟากฟ้าหนึ่ง บอกว่ารู้อย่างนี้ไม่ไปเรียนหมอหรอก มาเป็นกสิกรดีกว่า ตั้งใจไว้ว่าเกิดชาติหน้าจะมาเป็นกสิกรเป็นชาวนา หมอฟากฟ้าหนึ่ง… มันเป็นภูมิปัญญาบารมีของหมอฟากฟ้าหนึ่ง เป็นภูมิปัญญาบารมี เห็นความสำคัญในความสำคัญ เห็นสาระในสาระ อาตมาภาคภูมิใจที่จะมาเอาคนบนหอคอยงาช้าง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม… พ่อท่านมีบารมี ยุคก่อนก็นำคนหอคอยงาช้าง อย่างหมอฟ้ารักและคนอื่นๆมาติดดินได้พอสมควรครับ พ่อท่านยังมีอะไรอีกไหมครับ พ่อครูว่า… อาตมาไม่มีหมดหรอก ไม่หมดมี เพราะอาตมาไม่มีแล้วมันก็เลยมี เพราะว่า 0 กับ Infinity อันเดียวกัน 0 กับล้านล้านล้าน อันเดียวกัน อันมีกับไม่มี..สุดท้ายอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องความมีกับความไม่มีสุดท้ายก็จบที่ความไม่มี มีก็คือไม่มี ไม่มีก็คือไม่มี สุดท้ายลงที่ไม่มี แล้วผู้ไม่มีได้นี่แหละ ชัดเจนแล้วก็รู้จักที่จบของตนเอง ถึงขั้นทำให้จิตวิญญาณไม่มีได้ ทำจิตวิญญาณให้เป็นอุตุนิยามไป ทำจิตวิญญาณสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้เลย จบเลย เป็นอมตะบุคคล มูลสูตร ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นอันสุดท้ายเลย ผู้ทำได้แล้วก็ทำให้ตัวเอง เมื่อตาย กายสเภทาปรัมมรณา แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย นี่คือที่สุดแห่งที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ผู้ที่สามารถรู้เป็นอมตะบุคคล เป็นอมตะบุคคลสามารถที่จะรู้แล้วว่า ทำ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ จบกิจ อมตะบุคคล เหนือจากวิมุติ วิมุติคือ ทำให้หลุดพ้นจากโลกได้ ก็สามารถจัดการเลิกโลก เลิกอัตตาได้ จึงเรียกว่าอมตะบุคคล เพราะหลุดพ้นแล้วโลกกับอัตตา เหลือแต่จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นอมตะบุคคล จะตายหรือจะเกิด พระโพธิสัตว์เป็นอมตะบุคคล จะตายหรือจะเกิด ..สบาย ตายก็ทำปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้เลย สูญไป หรือยังไม่ทำก็เกิด แต่มีวิมุติแล้ว เป็นแก่นแกนของชีวิต เพราะมีวิมุติ เพราะทำใจในใจเป็น ในข้อ 2 ของมูลสูตร 10 นี่ อธิบายมูลสูตร 10 อย่างพิสดารให้ฟัง ทำใจในใจให้เป็น ทำใจ เมื่อมีผัสสะกับโลกเขา เกิดเวทนา ก็สามารถทำเวทนาให้เป็น 1 ได้ ประชุมลง เอกสโมสรณา ภวันติ ทำให้สงบ ทำให้สบาย ไม่ต้องมีกิเลสเข้ามาวุ่นได้ ทำได้จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ เป็นประมุขในตนเอง เป็นประมุขในจิตของตนเอง ทำสมาธิได้ เพราะ มีสติ เป็นอำนาจ มีปัญญาอยู่เหนือโลก มีสติที่ท่านแปลว่า เป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่ง มีสติ เป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ อุตระคือเหนือ เหนือชั้นเหนือโลก พอมาถึงคำว่า อุตระหรืออุตมะคือ เหนือโลก พูดถึงตรงนี้ก็ไปนึกถึง มงคล 38 เอตัมมังคะละมุตตะมัง แล้วเป็นเรื่องศิลปะ อะไรอื่นๆก็เป็นได้ แต่ไประลึกถึงคำว่าศิลปะ อาตมาบอกว่าศิลปะเป็นโลกุตระ ถ้าไม่ใช่โลกุตระก็ไม่เป็นศิลปะหรอก เป็นศิลเปรอะ ทุกวันนี้ในโลกเป็น ศิลเปรอะไปหมด พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าศิลปะเป็นอุตตมะ ศิลปะเป็นโลกุตรธรรม สิ่งที่คุณสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นรูป เป็นการปั้น เป็นสถาปัตยกรรม เป็นวรรณกรรม เป็นมิวสิคดราม่า เป็นดนตรี เป็นนาฏกรรมอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ นี่เป็นรากเหง้าของศิลปะ 5 อย่าง นอกนั้นบานปลายออกเป็นหลายแขนงเยอะแยะ แค่ 5 อย่างนี้แหละ ก็ต้องมีมงคลอันอุดม ต้องเป็น อุตมะ จึงจะเรียกว่าเป็นศิลปะ ศิลปะที่เป็น อุตมะ คือ มงคลอันอุดม คือนำพาไปสู่โลกุตระ ถ้าเผื่อว่าสิ่งใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นรูปเขียน ไม่ว่าจะเป็นงานปั้น ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม ทั้งดนตรีการ นาฏศิลป์อะไรก็แล้วแต่ถ้ามันไม่พาไปสู่โลกุตระ ไม่พาไปสู่อุตมะ มันไม่ใช่ศิลปะ เพราะฉะนั้นคนจะเข้าใจศิลปะจริงๆนั้น ไม่ง่าย แม้แต่ศิลปินแห่งชาติเคยพูดถึงแล้ว คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เคยอุทานว่า ศิลปะเป็นโลกุตระด้วยหรือ เขาเป็นศิลปินแห่งชาติเขายังไม่รู้เรื่องเลย แต่เป็นพุทธนะ ศึกษาพุทธก็ไม่ใช่เล่น แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นนิยามของพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม เป็นโลกุตระ ถ้าเข้าใจ โดยเฉพาะชาวพุทธลูกพระพุทธเจ้าแล้วตั้งใจมาทำ จิตรกรรมก็ตาม ประติมากรรมสถาปัตยกรรม วรรณกรรม ดนตรีการนาฏศิลป์ ทำให้เป็นโลกุตระ คิดดูสิว่ามันจะเป็นความเจริญขนาดไหน คือ ถ้าเผื่อว่าคุณเขียนรูป คนดูรูปแล้วกิเลสลด นี่คืองานศิลป์ แต่ถ้าดูแล้วสัมผัสรูปแล้วกิเลสขึ้น กิเลสกามขึ้น กิเลสปฏิฆะขึ้น พยาบาทขึ้น ไม่ใช่เป็นงานศิลป์ ไม่ใช่ศิลปะ แต่ถ้าคุณสัมผัสแล้วกิเลสลด สิ่งที่เหนือโลกที่สิ่งที่เหนือโลกจริงๆ คุณพูดถึงเรื่อง กาม คุณเขียนรูปคนเปลือย คนดูแล้วกิเลสหดเลย ดูรูปเปลือยที่คุณเขียนดูแล้วกิเลสหด มันคือศิลปะ แต่ถ้าคุณยิ่งดูมันยิ่งกิเลสขึ้นมันไม่ใช่งานศิลปะ แต่เป็นงานลามกงานราคะ ที่อาตมาแบ่ง ลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ แยกว่าอะไรเป็นศิลปะหรือไม่เป็นศิลปะ ลามก ราคะ ไม่ใช่ศิลปะ สารคดี ก็ยังไม่ใช่ ธรรมะก็ยังเป็นธรรมะก็ยังดี เฟ้นเอาแต่ดี ยิ่งโลกุตระเป็นโลกุตระธรรมแน่นอนนี่คือศิลปะ อาตมาก็มาขยายความอธิบายไว้ต่างๆนานา เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเพราะอาตมาอธิบายไปถึงโลกุตระมันก็เลยยาก สู่แดนธรรม… สรุปจบ เจริญธรรม ? Category: ศาสนาBy Samanasandin29 พฤศจิกายน 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:641126 ต้นเหลืองไม่หยุด สัญจรNextNext post:641129บุกบ้านRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024