641119_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1Ucf1pUnYjSOV73yW-Bvrh2uijvW9IFh8wiA9d8vldK0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1r7ezPb1w2T9y-gYV3YS-ESryd5YO5G-p/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/WVFL45Yb-0M และ https://fb.watch/9nlqF_KoCQ/
สมณะเดินดิน…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก เราไม่ได้ฟังธรรมจากพ่อครูมาหลายวัน เนื่องจากมีงานศพอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ มาเป็นวาระพิเศษ เป็นกรณีพิเศษขึ้นเกิดโดยธรรมชาติ เราจัดงานถ่ายทอดสดงานศพถึง 4 วัน จัดแบบไม่ได้เขียน script มาก่อน แต่ก็เป็นความลงตัวที่เกิดขึ้นได้
ที่สีมาอโศกปกติไม่ค่อยจะมีทีมงานบุญนิยมทีวีทีมใหญ่อยู่ แต่พอดี มีดินนาและเอกเต็มบาตร เดินทางมาที่นั่นพอดี ก็เลยเกิดการเชื่อมโยงให้เกิดการถ่ายทอดสด เป็นการลงตัวตามลำดับ พ่อครูว่า ลงตัวก็ดีแล้วดีกว่าลงหัว ลงหัวคือคิดกันจนหัวยุ่ง แต่พวกเราลงตัว เพราะแต่ละคนมาช่วยกัน
ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
พ่อครูว่า…พูดถึงงานศพของอาจารย์สมเกียรติ มันเป็นประเด็นที่ทำให้สังคมเกิด question Mark ขึ้นมาอยู่หลายประเด็น
ประเด็นที่หนึ่งก็คือ ทำไม อาจารย์สมเกียรติจะต้องสั่งครอบครัวให้มาจัดงานศพที่สีมาอโศกที่ชาวอโศก ทำไมจะต้องสั่งอย่างนี้
ประเด็นนี้ก็ขอไขความว่า
อาจารย์สมเกียรตินี่ เป็นโพธิสัตว์ ก็พูดไปแล้วบอกไปแล้ว ไม่ได้พูดเล่น เรื่องพวกนี้พูดเล่นพูดพล่อยบาปกินตายเลย มันเป็นเรื่องสัจธรรม กรรมเป็นอันทำ ทำเล่น ทำหัวไม่ได้ เช่นพระพุทธเจ้า ใครอย่าไปด่าพระพุทธเจ้าเล่น เป็นเรื่องสัจธรรมไปด่าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร บาปกินหัวเท่าไหร่ มันเป็นเรื่องสัจธรรม
อาจารย์สมเกียรติเป็นโพธิสัตว์ย่อมรู้ว่า ศาสนาพุทธคืออะไร อันนี้สำคัญมาก อาจารย์สมเกียรติรู้ว่าศาสนาพุทธคืออย่างนี้ คืออย่างที่เราชาวอโศกทำ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ในชีวิตอาจารย์สมเกียรติไม่ค่อยได้ไปวุ่นวายกับวัดอื่นที่ไหนเท่าไหร่ ทั้งๆที่อาจารย์สมเกียรติเป็นคนของสังคม เป็นคนกว้างขวางในสังคม แต่ก็ไม่ตามใจสังคมในจุดนี้เลย
แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างจนเกินควร ก็ดูทำได้ดีทีเดียว แต่ตอนนี้อาตมาเอามาพูดไขความ เพื่อให้รู้ว่า ในมนุษยชาติมีจิตที่เป็นปัญญา ปัญญาเป็นธาตุรู้ของพระพุทธเจ้าที่ค้นพบ ไม่ใช่เป็นปัญญาของโลกีย์ทั่วไปที่เขาเข้าใจกัน
อาตมาพยายามอธิบายเอาปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกเล่ม 23 มาขยายความ ตอนนี้เขียนเข้าไป 500 กว่าหน้าแล้ว ก็ยังไม่จบ ทวนไปทวนมา ขยายแล้วขยายอีก เอาพระสูตรอื่นๆมาประกอบ ตอนนี้ไปเจอ สูตร อภิภู อภิภายตนะ 8 เอามาขยายอีกยิ่งซับซ้อนลึกซึ้งละเอียด แต่เชื่อว่าเขียนไปพูดไปทำเอาไว้ คนไม่ค่อยเข้าใจได้ง่ายๆหรอก คนไม่สนใจจะอ่านจะรู้เท่าไหร่ แต่ก็ต้องทำไว้ อาตมาต้องทำเอาไว้ ไม่ใช่ดูถูกคนนะ แต่มันเป็นสถานะที่แท้จริง สถานะของคนยุคนี้ เป็นสถานะที่คนไม่มีภูมิธรรมทางโลกุตรธรรม ปัญญาเป็นความรู้ทางโลกุตรธรรม ไม่ใช่แค่ความรู้โลกียะเท่านั้น
คนก็ยังยาก คำว่าความรู้ ในภาษาไทยไม่มีคำอื่น นอกจากจะใช้คำว่าปัญญา คำว่า เฉโก เป็นความรู้ความฉลาดแต่เป็นความรู้ความฉลาดที่ประดาโลกียชน ปุถุชนเขามีกัน แต่เขาไม่เข้าใจกันแล้ว เอาเฉโกมาเรียกว่าเป็นความรู้เขาก็จะงง เขาจะรู้ว่า เฉโก เป็นความรู้ขี้โกงความรู้ที่มีกิเลสปนอยู่
ความรู้ที่ไม่มีกิเลสจึงจะเรียกว่าปัญญา อย่างน้อยที่สุดความรู้ที่คุณพยายามไม่ให้มีกิเลสเข้าไปร่วมได้ ความรู้ตอนนั้นอันนั้น ความรู้ที่คุณแสดงออกไปนั้น ทางกาย ทางวาจา ที่ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมปรุงเข้าด้วย อันนั้นจึงจะเรียกว่าความรู้ที่เป็นปัญญา
ขณะใดที่คุณแสดงความรู้ออกไปแล้วมีกิเลสร่วมไปนั้น ไม่ใช่ปัญญาสักตัว มันยังไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยกิเลส
อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติ โดยเฉพาะธรรมะ ขั้นโลกุตระที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ จึงเป็นสุดยอดในการเกิดมาเป็นคน แล้วก็มาได้ปัญญา นอกจากได้ปัญญาแล้ว ปัญญานั้นเอามาปฏิบัติที่ตนเอง จนกระทั่งผู้มีปัญญาก็จัดการกับตัวเอง ให้ตัวเองอยู่ในสถานะที่ดีที่สุด
เช่น เจ้าชายสิทธัตถะ มีปัญญา เกิดปัญญาแล้วจัดตัวเองให้อยู่ในสถานะที่ดีที่สุดคือเป็นคนอย่างไร เป็นคนไม่มีอะไรเลย ทั้งๆที่ท่านเป็นเจ้าของแผ่นดินในแคว้นของท่าน เป็นเจ้าของทรัพย์สิน เป็นเจ้าของอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นเจ้าของอำนาจในหมู่ชนคนทั้งหลาย ท่านก็ไม่เอาสักอย่าง โยนทิ้งหมดเลย มาเดินพระบาทเปล่า ไม่เอาทรัพย์ศฤงคารอะไรเลย
แล้วก็มาให้ปัญญาหรือมาให้ความรู้สถาปนาปัญญาลงไปในมนุษยชาติ จนมนุษยชาติรับได้ อจินไตยก็คือ ยุคพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ต้องมีคนที่มีภูมิธรรมมารองรับ ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นศาสนาไม่ได้ มันต้องมีความจริงอันนั้นพร้อมด้วย
อย่างยุคนี้นี่ ก็มีพวกคุณนี่แหละ จำนวนหนึ่ง จนอาตมาตายมันก็ไม่มากหรอก ไม่มาก มันจะต้องมีจำนวนหนึ่ง ที่คนจะมารู้โลกุตรธรรม นี่เป็นสัจธรรมที่สำคัญ
แล้วคนอย่างพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นคนเหมือนเราทุกคน สุดท้ายท่านแสวงหาแล้วก็ได้สิ่งที่สูงสุด จนกระทั่งสุดท้ายท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายชาติสุดท้ายที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็เลิกเกิด จิตนิยามของท่านหายไป อัตภาพของท่านก็สูญสลายไป เป็นดินน้ำไฟลม ที่อาตมาไขความไปแล้ว อธิบายสัจธรรมสุดท้ายพวกนี้จนหมดสิ้นแล้ว
เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นคนหนึ่งคน ได้อัตภาพมาตั้งแต่เป็นชีวะ จิตนิยามเซลล์เดียว จนพัฒนามาเป็นมนุษย์ไม่รู้กี่ล้านชาติ กว่าจะได้มาเป็นคน จากเซลล์ ตั้งแต่แบคทีเรียจนถึงเป็นสัตว์ จนกระทั่งเป็นสัตว์ที่มีเซลล์ไม่รู้กี่ล้านเซลล์ จนกระทั่งมาเป็นสัตว์ สัตว์น้ำ สัตว์บก 2 ขา 4 ขา จนกระทั่งมาเป็นคนได้ แล้วพัฒนาจากคน จากปุถุชนมาเป็นอาริยะ กว่าจะจบอรหันต์ แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ นี่คือใบไม้กำมือเดียวที่ศาสนาพระพุทธเจ้าสรุปไปให้แต่ละคนรู้ความจริงอันนี้ แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้
และ ตัวเองจะเป็นได้ จะแยกธาตุจิตนิยามของตัวเองเป็นดินน้ำไฟลมได้ แต่ยังไม่แยก ตายแล้วก็กลับมาสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า หรือสืบทอดธรรมะอันยิ่งใหญ่โลกุตระนี้ต่อไปอีก ให้มันยืนยาวที่สุดเท่าที่มันสมควรจะอยู่ ของพระสมณโคดมควรอยู่เท่านี้ ของสมณะโกนาคมโนควรอยู่เท่านี้ ของสมณะกัสสปะจะอยู่เท่านี้ แต่ละพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็สมกับความเป็นจริงที่ต้องเป็นจริงอย่างนั้น จะนานเท่าใดอย่างไร ก็ตามสัจจะที่มี ท่านได้ระบุไว้หมดแล้ว
เหมือนกับที่ทางเทวนิยมเชื่อว่า ทุกอย่างพระเจ้าบันดาล ตีกรอบไปหมดแล้ว สั่งการจะต้องเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าจัดการไว้หมดแล้ว อย่าทำให้พระเจ้าท่านโกรธก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นท่านเปลี่ยนแปลงให้ไปลงนรก ไม่อย่างนั้นก็เอาใจพระเจ้าไว้ดีๆ ก็อย่างนั้นทั้งนั้น
สรุปแล้วเกิดมาเป็นคนได้ เกิดธาตุรู้ธาตุปัญญา ก็จะรู้ความจริงสูงสุดว่า อ๋อ.. เกิดมาแล้ว ธาตุชีวะชีวิตเป็นจิตนิยาม กี่ล้านๆชาติก็วนเวียน สุขๆ ทุกข์ๆ สูงๆ ต่ำๆ ร่ำรวย จน ทรมานทรกรรม หรือสบายไปตามเรื่องตามราว รู้เรื่องกรรมวิบาก
ศาสนาพระเจ้า ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักกรรมวิบาก ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นศาสนาที่น่ากลัว แต่ก็บังคับไม่ได้ จะน่ากลัวยังไงก็ต้องเป็นไปตามนั้น ต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานไป ศาสนาพุทธจึงหมดความกลัว บรรลุอย่างพระอรหันต์บรรลุแล้ว ไม่ได้กลัวอะไรจะเกิดจะตายอย่างไร หรือจะเกิดอีกๆๆๆๆ ไม่ยอมสลายเป็นดินน้ำไฟลม อย่างเช่นอาตมาจะบำเพ็ญโพธิสัตวภูมิไปอีกเรื่อยๆก็ได้ จะให้นานไปอีกก็ได้ เหมือนพระอวโลกิเตศวร เจ้าแม่กวนอิม จะอยู่ไปอีกเท่าไหร่ เป็นนานนิรันดร ก็อยู่ไปสิ นี่เป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่คิดเล่นๆไม่ได้ แต่เป็นเรื่องจริงที่ลึกซึ้งสูงสุด
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พอท่านตรัสรู้สิ่งที่สูงสุดแล้วในความเป็นคน เป็นสัตว์โลก ก็ไม่เอาอีก ท่านมีสมบัติพัสถาน มีสถานะ มีทรัพย์สินต่างๆนานา ท่านก็ไม่เอา ปล่อยให้พวกบ้าๆบอๆไปหลงแย่งชิงกันไป ท่านไม่เอาแล้ว ฟังเข้าใจไหม มันง่ายๆ แต่มันยากๆนะ อะไร?
ก็นี่แหละ ก็ตรัสรู้สูงสุดแล้วเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านไม่เอา ไอ้ที่โลกมันแย่งมาตลอดไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ สมบัติผลัดกันชม เขาไม่รู้หรอก พระพุทธเจ้าท่านไม่แย่ง ถ้าท่านอยู่เป็นฆราวาส เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิเลย ยิ่งกว่าเจงกิสข่าน เพราะจะเป็นจอมจักรพรรดิจริงๆ เป็นจอมจักรพรรดิโลกุตระ ไม่ต้องไปฆ่าแกงทำร้ายใคร ไม่ต้องล่าเมืองขึ้น แต่ประเทศต่างๆ
ในสมัยพุทธเจ้ามีแคว้นต่างๆในทวีปอินเดียจะมาขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้าหมด เพราะฉะนั้นจะเป็นใหญ่ ใหญ่ยิ่งกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ใหญ่กว่าพระเจ้าพิมพิสารในยุคนั้นที่เป็นแคว้นใหญ่ 2 แคว้นในทวีปอินเดีย จะใหญ่กว่าเลย ท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิ แต่ท่านไม่เอาอะไรเลย เสื้อผ้าหน้าแพรก็ไม่เอารองเท้าทองก็ไม่เอา ถอดรองเท้าฝ่าพระบาทเปล่า เสื้อผ้าก็ไม่เอา เอาผ้าห่อศพมานุ่งห่ม
ท่านตรัสรู้นะ มีความรู้สูงสุดนะ และท่านก็ทำตลอดพระชนม์ชีพ จนกระทั่งปรินิพพานไปก็จบ ท่านค้นคว้า ค้นหา จนกว่าจะได้ความเป็นพระพุทธเจ้ามาไม่รู้กี่ล้านชาติ อย่างอาตมา เป็นโพธิสัตว์ กว่าจะรู้ว่า
โอ้โห..คนเรากว่าจะสูงสุดมันแค่นี้เอง แต่มันโอ้โห สูงสุดที่สุดจริงๆ สูงสุดที่สุดก็คือต่ำสุด ไม่มีอะไรไม่เอาอะไร มีทุกอย่างที่มนุษย์จะพึงได้พึงเอา ท่านกลับไม่มีไม่เอา
“มี” ที่ไม่มีประมาณเท่ากับ 0 สนิทเลย เท่ากัน แล้วท่านก็เลือกเอา 0 ไม่ไปเลือกเอาอย่าง “มี” ที่ไม่มีประมาณ
ซึ่งมันเกินกว่าที่คนจะคิด เพราะฉะนั้นศาสนาที่ยังไม่เข้าใจโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจึงยากมาก
อาตมาก็ภูมิใจอย่างยิ่งเลยที่มีความรู้น้อยนิด เป็นโพธิสัตว์ ไม่ได้เป็นโพธิสัตว์อะไรเท่าไหร่หรอกแค่นี้แหละ เกิดมาในยุคนี้ คนในศาสนาพุทธกระแสหลักเขาก็บอกว่าหลงตัวหลงตนบ้าๆบอๆ เขาก็มองอย่างนั้นด้วยซ้ำ ขนาดศาสนาพุทธ แต่มีคนมาเข้าใจก็หยิบนึง (ทำมือกอบมา) มีเท่านี้ กอบเดียว ได้เท่านี้ เอ๊าะเจ๊าะ แต่มันก็สำคัญ
อาตมารู้ตัวเองอาตมามาทำงานก็เหมือนกัน แต่ไม่ได้เท่าพระพุทธเจ้านะ ไม่เอางานทางโลกมาทำงานทางธรรม ไม่ได้สงสัยลังเล ไม่ได้งง ไม่ได้สับสน ไม่ได้ต้องการลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอะไร มันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องมาเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอื่น ไปเป็นอื่นมันไม่เอา มาเอาอย่างนี้ จะถูกด่าถูกว่า จะถูกเข่น เอาเป็นเอาตายอย่างไร ก็ต้องมาทำงานนี้ ไม่ทำงานนี้จะทำงานไหน งานนี้เป็นงานที่สุดยอดแล้ว อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเป็น อาตมาก็ต้องเอางานนี้เป็นงานหลักไปอีกไม่รู้กี่ชาติจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือ รีไทร์ตนเอง อาตมาไม่รีไทร์ตนเอง ไม่
อาตมาพูดไปอย่างนี้พวกเถรวาทหรือพวกชาวไทย เขาฟังแล้ว ก็อาจงง หากอาตมาเกิดในแดนมหายาน จะถูกประคบประหงมไม่ได้เรื่องหรอก จะได้รับการสรรเสริญ
การได้รับการสรรเสริญนี้ มันเป็นเรื่องต่ำทราม คำตรัสของพระพุทธเจ้านี้ก็สุดยอด ไม่มีค่าควรแก่การให้เกิดการละหน่ายคลายอะไร จริงไหม?… จริง คมเสียจนไม่รู้จะคมอย่างไร มันคม อย่าไปแตะเชียวนะ เข้าไปใกล้ก็บาดแล้ว คมสุดยอดจริงๆ
เอ้า เดี๋ยวดู sms ก่อน
สมณะเดินดิน… พ่อท่านพูดประเด็นเดียวอยู่เลยครับมีประเด็นอื่นอีกยังไม่ได้พูด
พ่อครูว่า… ข้อสังเกตประเด็นอื่นก็ขอแวะนิดหน่อย ในฐานะที่ทวง
พ่อครูว่า… ที่อื่นๆก็มองเพ่งมา เพราะว่าอาจารย์สมเกียรติ เป็นคนที่ลูกก็ยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อพอตายลงลูกก็เข้าใจ ฉันเดียวกันกับคนที่ยังไม่เข้าใจอาจารย์สมเกียรติ จะเข้าใจยิ่งขึ้นเลย แม้แต่ชาวพุทธกระแสหลัก ก็จะคิดว่า น่าคิดนะ ทำไมคนที่เป็นคนของประชาชน และเป็นคนของประชาชนที่มีสาระเป็นสาระ ที่เป็นสาระเนื้อแท้ของสังคมด้วย
ไม่ว่าจะทางด้านเศรษฐศาสตร์ ทางด้านรัฐศาสตร์ หรือด้านของสังคม อาจารย์สมเกียรติมีพอ เพราะฉะนั้นก็ทำให้คนสะดุด นักศาสนาจะสะดุด
และที่สำคัญคือ จะเกิดการเชื่อมต่อ ไม่มีใครกล้าเข้ามาในแดนของอโศก เขาเรียกว่าแดนสนธยา เมืองลับแล ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามา แต่คนมาเพราะอาจารย์สมเกียรติ เข้ามาเยอะทีเดียว ขนาดคนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ยังก้าวเข้ามาได้ตั้ง 1 วัน ฟังดีๆก็แล้วกันหมายความว่าอย่างไร เพราะ อาจารย์ของสนธิเขาก็คือมหาบัวที่อาตมาว่า คืออย่างไร มีความซับซ้อนนัยยะลึกซึ้งหลายอย่าง ก็ยังต้องมา 1 วัน ทั้งๆที่มีงานตั้ง 3-4 วัน มีอะไรอีกเยอะแยะ เกิดสภาพต่างๆเป็นรายละเอียดปลีกย่อย แต่พูดแค่นี้ก็แล้วกัน
SMS วันที่ 12-14 พ.ย. 2564
SMS วันที่ 9 พ.ย. 2564
_ใบฟ้า ธัมทะมาลา กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยเศียรเกล้าที่กรุณาเปิดโอกาสให้ลูกๆที่พร้อมดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาด้วยstem cell ถวายเป็น”โพธิบูชา”แด่พ่อครู สาธุๆๆค่ะ
พ่อครูว่า…หมอก็ยังไม่รับรองกันนะ
_พรทิพย์ มุ่งกลัด : ตามความเข้าใจของตัวเอง stem cell ในทางโลกุตระหมายถึง หมู่ชนชาวอโศกที่เป็นตัวอย่างในการปฏิบัติให้พ้นทุกข์และแบ่งปันเป็นการักษาโรคทั้งทางกาย และใจค่ะ
_ตุ๊ก อัศวิน : ขอโอกาสเจ้าค่ะ..’ไท’ vs ‘ไทย” มีนัยยะต่างกันอย่างไร..เจ้าคะ
พ่อครูว่า…ต่างกันตรงมี ย.ยักษ์ กับไม่มี ย.ยักษ์ ส่วนความหมายก็อันเดียวกันหมายถึงอิสรเสรีภาพ
SMS วันที่ 11 พ.ย. 2564
_พลอยแผ้ว ชาวหินฟ้า : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพนับถืออย่างสูงค่ะ จากคำกล่าวที่ว่า ไทย, ลาวเป็นพี่น้องกัน ไทยเป็นพี่, ลาวเป็นน้อง แต่ความรู้สึกของคนลาวเขาบอกว่า ลาวเป็นพี่ไทยเป็นน้อง และที่ดิฉันศึกษามาพบว่าวัฒนธรรมลาวเป็นวัฒนธรรมที่เรียบง่ายและดีที่สุด ถ้างั้นเราจะกล่าวว่าลาวเป็นพี่ไทยเป็นน้อง คนไทยก็จะได้ลดอัตตามานะด้วย จะดีและสร้างสรรกว่าไหม? เพราะพี่หรือน้องก็แค่สมมุติ นี่คิดผิดไหมคะ?
_Thanaphat Samanchai (ธนาพัฒน์ สามัญชัย) : วิชาพุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย มหาจุฬาฯ(มจร.)สอนดีไหมครับพ่อท่าน
พ่อครูว่า…เอ๊ มีมหาวิทยาลัยสอนโจรหรือไม่ ถ้ามีก็เป็นมหาวิทยาลัยไม่ดีแน่ๆ แต่นี่ไม่ได้สอนโจรนะ แต่ก็เป็นวิทยาลัยที่ดีแน่ แต่ก็มีทิฏฐิของแต่ละมหาวิทยาลัย มีจุดหมายมี aim มีเป้าอะไรก็ว่าไป ของเราเป็นอนุวิทยาลัย อนุโรงเรียน ก็มีเป้าหมายของเรา มี goal ของเรา
_พลอยแผ้ว ชาวหินฟ้า : ขอกราบเรียนถามพ่อครูอีกนิดว่า อยู่กับปัจจุบันมากที่สุดตามที่สติจะระลึกได้ ขจัดตัวถีนมิทธะที่มักซ่อนแฝงมาทำให้ตื่นไม่เต็ม ถ้าพลาดก็ไม่วนกับอดีต ส่วนอนาคตเป็นการวางแผนในระยะสั้นที่จะทำตามนั้นแล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบัน อย่างนี้ถูกไหม? คะ
พ่อครูว่า…ถูก ดี พวกเราเข้าใจธรรมะกันดีขึ้นเรื่อยๆนะ
คำว่า กาย นั้นลึกซึ้ง ตั้งแต่ต้นจนจบในการปฏิบัติธรรม
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้ฝึกพรากกับสิ่งที่รักและยึดติดมากค่ะ ๓ ชั่วโมงแรกไม่มีอาการ พอเข้าชั่วโมงที่ ๔ ลูกก็มีอาการเศร้าและทุกข์มากค่ะ อาการที่เศร้า ทุกข์ ไม่ใช่ปัจจุบัน อย่างนี้ เป็น “กาย” ไหมคะ
พ่อครูว่า…คำว่า กาย มันลึกซึ้ง เป็นทั้งเริ่มต้นและเรื่องจบ
เช่นฟ ผู้ที่ศึกษาธรรมะพุทธเจ้าจะมาบวช พระพุทธเจ้าท่านมีวินัยเลย ต้องสอนแยกกายแยกจิตให้ได้ มันแยกไม่ได้แต่ต้องแยกให้ได้ ถ้าแยกไม่ได้ก็ไม่รู้ คือ กายกับจิต นี้ มันแยกกันไม่ออก
กายคือจิต จิตคือกาย แต่ต้องแยกให้ออกว่ามันมีความต่างกัน ลิงค มันเป็นเพศที่จะต้องอยู่ร่วมกัน และอยู่กันอย่างแยกกัน แม้ภาษาก็พูดยากแล้ว
สังโยชน์ 10 ข้อแรกก็ต้องพ้นมิจฉาทิฏฐิในเรื่องของกาย และต้องรู้ความหมายของกาย ต้องรู้ความหมายของสักกายะ ต้องรู้ที่จิตและกายของตนเองให้ได้ เป็นข้อแรก
ปฏิบัติธรรมมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าข้อแรกก็ต้องปฏิบัติ กายในกาย คุณไม่พิจารณา กายในกาย แต่ไปพิจารณาแต่ จิตในจิต ก็เป็นโมฆะบุรุษทางศาสนาพุทธ ไม่ได้มีทางบรรลุธรรม
เพราะฉะนั้นการนั่งหลับตา อาตมาได้แต่สงสารไม่รู้จะทำอย่างไร ถึงจะปลุกให้ตื่นขึ้นได้ โอ้ย! พญานาคเอ๊ย เป็นพญานาคอยู่ใต้ก้นบึ้งบาดาลจริงๆ เสียงอาตมา ไม่ใช่เสียงถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่จะกระทบกับถาดใบเก่าของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ที่จะทำให้พญานาคค่อยจะรู้สึกตัวว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาอีกองค์หนึ่งแล้วเหรอ พอรู้สึกตัวขึ้นมาเท่านั้นแหละ แล้วก็หลับต่อไป จนกว่าพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งจะมาอุบัติขึ้นในโลก แล้วก็จะมีเสียงกระทบถาดทองอีก ค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ค่อย ตีงคีง(ภาษาอีสาน) คือรู้สึกตัวขยับตัวขึ้นมาหน่อย อ๋อ.. พระพุทธเจ้าเกิดอีกองค์นึงแล้วหรือ ว่าแล้วก็หลับต่อไป คือ คำเปรียบเปรย อุทาหรณ์ช่างสุดยอดจริงๆเลย
เพราะฉะนั้นอาตมาแทงด้วยหอกเช้า 100 กลางวัน 100 เย็น 100 จ้างก็ไม่รู้สึก คีง(ตัว)หรอก ไม่รู้สึกตัวอะไรหรอก เหมือนไม่มีอะไรกระทบกับตัวเราเลย บ่ฮู้สึกคีง บ่ฮู่คีง ค่อยๆศึกษาไปนะ เอาปัจจุบันเป็นเอกก็ดีแล้ว
_แดง ลานกราบ : ได้อ่านลำธารชีวิตแล้วรู้สึกมันมาก มันหยดติ๋ง ๆ เลย พ่อครูอธิบายได้ดีเยี่ยมจริงๆค่ะ จะพยายามทำตามเท่าที่กำลังมีนะคะ ขอขอบพระคุณที่มีพ่อครูมาให้ได้เจอค่ะ
_1945 : ดู MV.ของพี่โอ๋แล้ว เพลงดีสร้างสรรค์ชอบดูช่องนี้ชอบกิจกรรมชอบฟังธรรมจากหลวงพ่อ
_ตุ๊ก อัศวิน : ยุคนี้..สิ่งมอมเมา..พัฒนาจนตามไม่ทัน..แข็งแกร่งจนต้านไม่ไหว!! ข่าวว่า..Metaverse..คือ โลกเสมือนจริง ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมของโลกแห่งความจริงและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น “ชุมชนโลกเสมือนจริง” ฟังแล้ว..ให้ปริวิตกมาก..เจ้าค่ะ!!!
โลกในปัจจุบันนี้..มนุษย์(ผู้มีอาการ๓๒)..ถูกหลอก..ถูกลวง..(ด้วยอวิชชา)..ให้หลงใหล..จนได้ อาการที่๓๓..ที่ทุกวันนี้ยังล้าง(อวิชชา)ให้เกิดมีสัมมาทิฎฐิ..ยังไม่แล้วนะคะ..ต้องมาเผชิญกับ Metaverse ที่กำลังจะมา..ให้หลงใหล..ในมิช้ามินานนี้แล้ว..!! น่าวิตก. นะเจ้าคะ!!
พ่อครูว่า…อย่าไปหอบโลกมาเป็นของเราเลย เขาจะทำเราก็ไปห้ามเขาไม่ได้ อาตมาอธิบายธรรมะมา คุณเข้าใจว่ามีอาการที่ 33 เกิด เท่านี้อาตมาก็คุ้มแล้ว
อาการ 33 เป็นอาการบ้าๆบอๆที่คนอุปาทานขึ้นมา หลงว่ามี ตาวติงสา หรือดาวดึงส์ เป็นแดนที่จะต้องได้ ว่าเป็นแดนแห่งความสุข คุณคนนี้อธิบายมา แสดงว่าเข้าใจ
แต่ คุณจะไปเอาเรื่องอะไรกับมันเล่า ก็ปล่อยมันมา มันจะมาจะไปก็อย่าไปยุ่งอะไรกับมัน ไม่ไปยุ่งอะไรกับมันหรอก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… ที่พ่อครูบอกว่า พระพุทธเจ้ามาทำสิ่งที่ดีที่สุด คือ มาสู่ ความไม่มีอะไร ไม่เอาอะไร ไม่เป็นอะไร มาเป็นคนจน (พ่อครูว่า… พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ) สมัยเทียบกับสมัยเรา พระพุทธเจ้าลำบากกว่าพวกเราเยอะ เพราะบางทีมีตำนานว่า พระพุทธเจ้าต้องฉันปลายข้าวกับน้ำส้มผักดอง เพราะอาหารไม่มี มีพระที่ต้องอวดอุตริมนุสธรรมเพื่อให้คนเอาอาหารมาให้ฉัน อย่างนี้เป็นต้น ขาดแคลนมาก แต่พวกเรา มีสาธารณโภคีรองรับ เราจะจนหรือไม่อย่างไรก็มีสาธารณโภคีรองรับตั้งแต่เกิดจนตาย จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน ของพวกเราดูแลกันดีๆ อุดมสมบูรณ์ การที่เราจะไปสู่ความไม่มีมันจะง่ายกว่าใช่ไหม ในสมัยโน้นพระก็ลำบาก ไปสู่ความไม่มีลำบากกว่าเรา แต่อุดมสมบูรณ์ จึงไม่ต้องไปมีไปเก็บเงินหาเงินสำรองอะไรเอาไว้ เป็นโอกาสทองที่เราน่าจะบำเพ็ญได้ และพ่อครูว่า สาธารณโภคีไม่ได้เกิดบ่อยๆ เป็นล้านปีจะเกิดซักครั้ง ถึงขนาดครั้งนี้แล้วเราก็ยังสลัดไม่หลุด ก็คงจะต้องไปเกิดในยุคทมิฬ ถูกบังคับ แต่สมัยนี้หากเราสมัครใจบำเพ็ญเองก็เป็นโอกาสของเรา คนอยู่กับพวกเรา คนไม่มีอะไรก็มีความสุขที่สุด แต่คนที่มีมากก็ลำบาก ยิ่งอยู่บ้านราชฯถ้ามีมาก น้ำท่วมทีนึง ก็ลำบากท่านมือมั่น ต้องพาคนไปขนของให้ เป็นโอกาสพวกเราที่ยิ่งไม่มีอะไร ยิ่งอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ได้
โทษของวิจิกิจฉา 5 ประการ
พ่อครูว่า… ต่ออีกนิดนึง มนุษย์อย่างพวกเรานี้ เป็นมนุษย์อะไร? ชาวอโศก มาเข้าใจได้อย่างไร มาเชื่อได้อย่างไร เอาชีวิตมาอย่างนี้ได้อย่างไร แค่นี้อาตมาก็ “งึด” ใครไม่ “งึด” ก็ช่าง มันเป็นตางึดอีหลี!อีหลอ!
ลองคิดดูสิ ว่าคุณมาได้อย่างไร มาสนิทใจกันบ้างไหมนี่ (โยมว่า สนิทใจ) มาแล้วสนิทใจด้วยนะ ไม่ละล้าละลังว่า เราบ้าหรือเปล่า? ไม่รู้หรือว่าเราบ้าหรือเปล่า …ไม่บ้า หรือ บ้าก็บ้าวะ มันสนิทใจจริงๆ มันไม่มีลังเล ไม่มีวิจิกิจฉา
คำว่า วิจิกิจฉา เป็นตัวหนึ่งในนิวรณ์ 5 เป็นตัวสำคัญมากเลย ในเรื่องของอะไรก็แล้วแต่สำหรับธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้ามีวิจิกิจฉาไปไม่ออก
คุณมาเรียนรู้ ถ้าคนจะมาเรียนรู้ศึกษาจากชาวอโศกแล้วมีตัววิจิกิจฉามา ก็ไม่ได้เลย ไม่ได้ ขนาดมาแบบไม่มีวิจิกิจฉาเลย ก็ยังออกไป มันไม่อยากไปเลย แต่ต้องออกไป มันไม่มีวิจิกิจฉาเลยว่ามันดีแน่ๆ แต่เราเอาเองเอาไม่ได้ ซึ่งมันไม่มีวิจิกิจฉานะ สำคัญมากเลย ไม่มีตัวข้องคาในจิตใจเลย
โทษของวิจิกิจฉา 5 ประการ (ความลังเลสงสัยให้โทษ)
-
ทำให้ทุกข์
-
ระกำช้ำระบม
-
ไร้พลัง จิตไม่แล่น
-
เนิ่นช้า บรรลุช้า
-
เหยาะแหยะ ไม่เด็ดขาด
เพราะฉะนั้นใครที่จะมาอยู่กับชาวอโศก หากยังไม่แน่เต็มร้อยนะ ลังเลยังข้องใจ ไม่ได้เรื่องหรอกมาก็ เข้ามาแปะๆแมะๆ ไม่ได้อะไรจากสัจธรรมหรอก
เหยาะแหยะไม่เด็ดขาด ถ้ายังมีวิจิกิจฉาก็เด็ดอะไรก็ไม่ขาดหรอก เป็นใย ดีไม่ดี เป็นใย เหมือนเสลดอาตมา มันเหนียวจริงๆเลย เสลดออกมาแต่ละทีกว่าจะขาด เอาไปให้โรงงานอีพ็อกซี่เขาซื้อ มันเหนียวยิ่งกว่ากาวช้าง
ในยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุคแล้ว ยังมีพวกคุณเป็นได้ นี่แสดงซึ่งสภาวะจริง มันพิสูจน์ความจริง อาตมาว่าอาตมาได้พาพิสูจน์ความจริงมาอย่างสำคัญ เอาชีวิตคนจริงๆ มามีชีวิตอยู่อย่างนี้จริงๆ ไม่อธิบายรายละเอียดต่างๆหรอก
มาจนกระทั่งกลายเป็นสาธารณโภคีได้ โอ้โฮ อาตมาภาคภูมิใจมากเลยที่ตนเองทำได้สำเร็จ มาทำให้เกิดสังคม สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เกิดจาก เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
ลาภที่ได้ก็เอามาเฉลี่ยเข้าส่วนกลาง ซึ่งคอมมิวนิสต์เขาก็ยังทำไม่ได้เลย แต่พวกเราทำได้สำเร็จ แล้วก็ศึกษากันไป ทิฏฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตาไปตามลำดับ สุดยอด
_Supatta Chandrasuwan (สุพัทธา จันทรสุวรรณ) : เถรสมาคมน่าได้อ่าน Bomb of Love เจ้าค่ะ ที่พ่อเขียน
พ่อครูว่า…คำว่า Bomb of Love ก็ไม่ได้เข้าใจกันได้ง่ายๆ ภาษาอังกฤษเขาใช้ Explosion เป็นแรงระเบิด แต่เป็นแรงระเบิดอย่างสร้างสรรค์ แต่คำว่า Bomb เขาว่าเป็นคำที่ใช้ลักษณะทำลาย
ซึ่งเป็นพฤติการณ์ของสังคมมนุษยชาติที่เกิดขึ้นได้จริง อย่างที่โพธิสัตว์ไอสไตน์บอกไว้ให้ลูกคอยดู ว่า ในโลก จะเกิดลักษณะอาการของ Bomb of love แล้วก็มาเกิดที่ประเทศไทย แสดงความรัก ระเบิดออกมาเป็นหนึ่งเดียว เป็นการระเบิดที่มารวมกัน ไม่ใช่ระเบิดที่ทำให้แตกสลาย
(มีเสียงจุดพลุ ประทัด งานลอยกระทงดังเข้ามาในรายการพอดี)
พ่อครูว่า… เขาจุดกระโพก
เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่ไอสไตน์เขาว่าไว้ Bomb of love เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งเป็นเรื่องแสดงถึงความรักที่ออกมา แสดงตัวออกมา ระเบิดออกมาจากจิตวิญญาณคน ออกมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่งดงาม ใครเห็นใครก็ต้องยกย่องเชิดชู ทุกคนเสียสละออกแรงงาน ออกทุนรอนมาอย่างเต็มใจ มันเกิดพฤติการณ์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ซึ่งอธิบายความยิ่งใหญ่นี้ยากอยู่ แต่มันก็เกิดแล้ว มันเกิดจริง สุดยอดเลย ยอดเยี่ยม แล้วเกิดที่เมืองไทย ที่คนไทย เกิดขึ้นมาได้ ยิ่งใหญ่
ข้อบ่งชี้ว่าศาสนาพุทธกระแสหลักไปผิดทาง
_H.tw (เอช. ทีดับเบิ้ลยู) : ศรัทธากิจกรรมกลุ่มอโศกมานาน ใช้บริการสินค้าเป็นประจำ เคยคุยกับ prof.ชาวคานาดา เมื่อ 30 กว่าปีเกี่ยวกับกลุ่มอโศก และพาไปเยี่ยมชมสันติอโศก prof. กล่าวว่า อโศก เป็น “peaceful community”
พ่อครูว่า… คนต่างประเทศเขามองออก เป็นโปรเฟสเซอร์ด้วย มองว่าเป็นดินแดนแห่งสันติ ชื่อก็เป็นสันติอโศกแล้ว เป็นชุมชนแห่งสันติ แล้วพวกเรามีสันติไหม …สันติ
เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องมุข ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่จริงๆ ชีวิตจริงชีวิตจังเลย คนจะค่อยๆเข้าใจ โดยเฉพาะชาวต่างประเทศเห็น แต่คนไทยไม่เห็น โดยเฉพาะทางศาสนา
ขอยืนยันนะ ว่า ชาวอโศกมาเป็นอย่างนี้ได้เพราะธรรมะพระพุทธเจ้า เพราะศาสนาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นโลกุตระ แต่เถรสมาคมมองไม่ออก หาว่าเป็นเรื่องนอกรีตนอกทาง หาว่าจะมาทำลายศาสนา อันนี้ มันแสดงความจริง มันชี้บ่ง ให้เห็นว่าศาสนาพุทธกระแสหลักหรือส่วนใหญ่ นำพาศาสนาพุทธไปออกนอกทาง เป็นเดียรถีย์ไปแล้ว ที่อาตมาพูดนี้พูดอย่างไม่เกรงใจ มันไปผิดทางออกนอกทางไปแล้ว มันเสื่อมจริงๆ
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่ามันจะเสื่อมในอนาคต แล้วจะมีคนมาสถาปนาความถูกต้องลงไปในธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมามาทำหน้าที่นี้ อาตมาก็พูดความจริงนี่อย่างเฉยๆ พูดอย่างไม่มังกุ อุธัทจะ ไม่เก้อเขิน พูดอย่างไม่สะดุดใจ พูดอย่างจริงใจบริสุทธิ์ใจไป อาตมาไม่ได้สงสัยตัวเองไม่ได้สงสัยสัจธรรมพระพุทธเจ้า ว่า อาตมามาทำสัจธรรมพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นตัวผู้ทำจริงๆ ก็บอกไปซื่อๆ เป็นคนซื่อ อาตมาสุดชื่อ แต่เขาก็มองไม่ออกก็ตามธรรมดาธรรมชาติ ถ้าเขามองออกก็ดีสิ เมืองไทยยังไม่มีกุศลเท่าไหร่ ได้เท่านี้ก็เอา
สายปัญญาตาปุ๊บเกิดปั๊บไม่ไปสุทธาวาส
_ธรรมธารทิพย์ วงษ์รักษ์ มาลิณี : ขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง คนดีไม่มีวันตาย อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ มาเกิดใหม่ไวไวนะคะ
พ่อครูว่า… ไวอยู่ ตายปุ๊บเกิดปั๊บ บางคนตายปุ๊บเกิดในท้องหมาปั๊บเลย บางคนเกิดปุ๊บลงนรกปั๊บ ไม่บางหรอกมีเยอะ คนที่ตายปุ๊บเกิดปั๊บ ก็เกิดมีวิบากดีจริงๆ
อย่างอาจารย์สมเกียรติ เป็นคนมีวิบากกุศลโลกุตระ ตายปุ๊บเกิดปั๊บ มันต้องตายปุ๊บเกิดปั๊บทั้งนั้น ก็ต่อภพภูมิได้ไม่ขาดช่วง แล้วมันก็เป็นไปตามสัจจะ อาจารย์สมเกียรติก็ไม่เกิดไปไหนหรอก มาเกิดในหมู่พวกเรานี่แหละ ขนาดตายแล้วยังสั่งเสียครอบครัวให้เอามาทำงานศพที่อโศก ซึ่งไม่ใช่ง่ายๆนะ คนที่มีกู๊ดวินทางสังคมขนาดนี้ ทำอย่างนี้ได้ไม่ใช่เล่นๆ
SMS วันที่ 15-16 พ.ย. 2564
_Arisa Boonjong (อริศา บุญจง) : สาธุสำหรับอาจารย์ใหญ่สมเกียรติค่ะ แม้ไร้ลมหายใจ อ.ยังสร้างประโยชน์ให้สังคมต่อไปอีก ขอให้ อ.สู่ภพสูงสุดค่ะ
พ่อครูว่า… ตายแล้วเขาว่าไปสู่สัมปรายภพ หมายถึงภพหน้าต่อไป เพราะยังไม่เป็นผู้ปรินิพพานเป็นปริโยสานที่ตายแล้วเลิกจบ นั่นก็คือผู้ยังไม่ไป หรืออนาคามี แปลว่า ผู้ไม่ไป ตายแล้วจะไม่มาต่อภพภูมิเป็นมนุษย์อีก ก็อยู่ในสุทธาวาส หรือเป็นอนาคามีที่ไม่ไปจมในสุทธาวาสเหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม เหมือนอย่างอาตมา ไม่ไปจมอยู่ในสุทธาวาส 9 ตายแล้วรีบเกิด มาอยู่ในภพภูมิมนุษย์ ไม่ตายแล้วแบบไม่มาเกิดเป็นมนุษย์จิตวิญญาณค่อยๆสลายไปตามสภาพความสามารถของอนาคามี 5 ประการ
-
อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
-
อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
-
สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
-
อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
-
อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)