641108_พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 สร้างอาหารให้กับโลก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/11v0qhGYXiEb7bPuFAGsmn7q-ShBw89OaxMaXbiPrY2M/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1x_2E_4WcPbsPYw9gVG-Ss4-O1Qx1YI3A/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1595883307470268
พ่อครูว่า… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 12 ปีฉลู
ที่บวรราชธานีอโศก คนเราเดี๋ยวๆก็แก่ เราอยู่ไปอยู่มาก็ 88 ปีแล้ว ทำไมมันไหว เหมือนตลกๆ
กวี อโศกสัมปวังโก ส่งกวีมา
มหาปวารณา ๒๕๖๔
พุทธกัป ครั้นถึงกึ่ง จึงวิกฤติ บรรพชิต ผิดแนวทาง สร้างปัญหา
ยึดเอาพง ไพรสัณฑ์ เป็นมรรคา ศาสนา จึงอาภัพ อับนิพพาน
ตามพุทธะ-พยากรณ์ ก่อนดับขันธ์ องค์”ตะวัน-ทับฟ้า” จักมาสาน-
สืบภาระ คู่นว-รัชกาล “เดือนเด่นฟ้า” ผู้เป็นผ่าน-เผ้าชาวไทย
“ธรรมิกราช” ชาติเชื้อ พระสัตถา ทรงสยัง อภิญญา ฌานวิสัย
สัตบุรุษ สุดแกล้วกล้า ฟ้าอภัย สรรค่าสร้าง-คนไว้ให้โลกา
ขอประกาศ เกียรติประวัติ ไว้ให้รู้ โพธิรักษ์ ยอดนักสู้ กู้ศาสนา
โพธิสัตว์ ผู้พิชิต อวิชชา โพธิกิจ หยุดมิจฉา ล้างอาธรรม์
สร้างประชาธิปไตย ในคอมมิวนิสต์ สร้างคนจน ให้มีจิต คิดสร้างสรร
สร้างพืชผล ล้นนาไร่ ไว้แบ่งปัน สร้างความมั่น-คงไว้ให้วงศ์วาน
ขอพลีกาย ถวายพ่อ ผู้รื้อขน- สัตว์ผู้วน ในวัฏฏสงสาร
ขออยู่เพื่อ มรรคผล และนิพพาน ขอร่วมสาน สืบศาสน์ ทุกชาติไป
อโศก สัมปวังโก ๕ พ.ย.๒๕๖๔
พ่อครูรู้ได้อย่างไรว่าการปฏิบัติของตนถูกต้อง
_อ่านจากหนังสือ หลวงปู่มีแรงบันดาลใจเอาสิ่งของที่สะสมไว้มาแจกจนหมด ความรู้สึกขณะนั้น เป็นอย่างไร
พ่อครูว่า… ความรู้สึกคือตอนนั้นทำไมเราสะสมอะไรมาก ของกินต้องซื้อตลาดเข้ามากิน ส่วนของใช้ต่างๆนานาเสื้อผ้าหน้าแพรเครื่องใช้เครื่องสอยก็เอาแจก เสื้อมองตากู ก็เอาไปแจก ตอนนั้นซื้อตัวละ 700 นะ ทองคำบาทละ 400 เสื้อสีต่างๆก็แจกจ่ายไปเอาเหลือไว้แต่สีขาว
ปฏิบัติธรรมไปก็เลยถึงขั้นไม่เอาแล้วอย่างโลกเขา ก็มีความรู้สึกเป็นจริงอย่างนั้นแบบที่เคยหลงในโลกีย์สีสันวรรณะ มันก็ไม่เอาแล้ว
2.การเริ่มปฏิบัติธรรมครั้งแรกของหลวงปู่ที่กิน 1 มื้อ ลดการใช้ข้าวของและการนอนที่สบาย มานอนห้องพระ มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้ทำอย่างนั้น
พ่อครูว่า… ห้องพระไม่มีเตียงไม่มีฟูกอะไร ก็นอนบนกระดานธรรมดา เอาเสื่อปูเข้าก็นอนห้องพระ ใกล้พระเข้าไปเรื่อยๆไง ก็มานอนอย่างนั้นดีกว่า คือที่บ้านมีห้องพระต่างหากอยู่ห้องหนึ่ง ห้องนอนมี 3 ห้องนอน ห้องพระ 1 ห้อง ก็ไม่นอนห้องตัวเอง มานอนห้องพระ
-
แล้วหลวงปู่รู้ได้อย่างไรคะ ว่าเส้นทางสายนี้ถูกต้อง
พ่อครูว่า… เรื่องนี้ก็จริงนะ ถ้าถามก็คือมันรู้ได้อย่างไร เป็นเรื่องอจินไตย รู้ได้อย่างไรว่าถูกต้อง คนที่ถามมานี้ลึกๆ จะสะดุดใจว่า อาตมามาถูกต้องตรงทางหรือเปล่า รู้ได้อย่างไรว่าทางนี้ถูกต้อง เออ.. ของใครใครก็คงเข้าใจว่าถูกต้อง มหาบัวก็คงเข้าใจว่าของตนเองถูกต้อง ท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือท่านมหาประยุทธ์ก็คงเข้าใจว่าของท่านถูกต้อง ของแต่ละคนแต่ละคนก็คงเข้าใจว่าของตนเองถูกต้อง
แต่อาตมาขัดแย้งกัน ไม่อย่างเดียวกันกับมหาบัว กับมหาประยุทธ์ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนถูกต้อง ซึ่งมหาประยุทธ์และมหาบัวก็คงมีความมั่นใจของตัวเองเชื่อว่าตนเองถูกต้อง ตอบว่ารู้ได้อย่างไร ซึ่งมันก็ต้องมีของตนเอง มันเป็นของตนเอง เป็นอัตตาของตนเอง เป็นมานะ เห็นดีเห็นงาม ยึดดียึดงามนั้นเป็นของตน เข้าใจตามความรู้ ตามทิฏฐิ ตามสัญญา เข้าใจเชื่อมั่นว่าอย่างนี้น่ะถูกต้อง
แต่เมื่อเข้าใจกันคนละอย่างต่างกัน ทิฏฐิต่างกัน กายต่างกัน สัญญาต่างกัน และ การปฏิบัติมันก็ต้องต่างกัน ผลที่ได้มันก็ต้องต่างกัน
ที่นี้จะรู้ได้อย่างไรว่าใครถูกต้อง โชคยังดีที่ประเทศไทยก็ยังมีพระไตรปิฎก ของพระพุทธเจ้า ทางมหาบัวก็ยอมรับ ทางมหาประยุทธ์ก็ยอมรับ เราชาวอโศกอาตมาเองก็ยอมรับ เอาพระไตรปิฎกนี้เป็นของศาสนาพุทธ เราก็ใช้หลักเกณฑ์อันนี้ตรวจสอบดูสิ สูตรไหนสูตรไหน ท่านตรัสไว้อย่างไร จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นต้น แม้แต่ปฏิจจสมุปบาท แม้แต่ผลที่เกิด ปฏิบัติแล้วจะเป็นคนมีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 ใครทำสำเร็จล่ะ ใครทำแล้วมีคนวรรณะ 9 มาเป็นคนที่เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มีชีวิตไม่ไปยุ่งยากวุ่นวายอะไร
สุภระ สุโปสะ มามักน้อยกล้าจน เป็นคนมีเงินน้อย เป็นคนกล้าจน เป็นคนใจพอ สันตุฏฐิ มาเป็นคนพัฒนาตัวเองเป็นคนมีชีวิตขัดเกลากายวาจาใจของตน อย่างพวกเราเจตนาขัดเกลาเลย ได้มากได้น้อย ของใครก็ของใคร มีศีลที่เจริญขึ้นๆ เคร่งขึ้นๆ สูงขึ้นๆ ธูตะ
จนเกิดผลเป็น ปาสาทิกะ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ดูน่าเลื่อมใสเจริญขึ้นจริงๆ จนกลายเป็นคนประสบผลสำเร็จไม่สะสม อปจยะ แต่ ขยัน ยอดขยัน ท่านมหาประยุทธ์แปลว่าระดมความเพียร แปลวิริยารัมภะว่า ปรารภความเพียร ขยันอยู่เสมอ
ก็เอามาเช็คดู วรรณะ 9 คนไหนกลุ่มไหนขนาดไหน ปฏิบัติแล้วมันเข้าเกณฑ์พวกนี้อยู่กันเป็นกลุ่มหมู่อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างเกื้อกูลกันช่วยเหลือกันไปเลี้ยงดูกันไป ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เป็นครอบครัวใหญ่ เป็นพี่เป็นน้อง ลาภที่ได้มา ต่างคนต่างทำงาน มีลาภมีผลได้ มีรายได้มีสิ่งได้ ก็เอามารวมเข้ากับกองกลาง
ลาภธัมมิกา เอามารวมกันเป็นสาธารณโภคี ร่วมกันกินร่วมกันใช้ ซึ่งยอดและยาก ทั้งฆราวาสก็เป็นได้ สมัยพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในกลุ่มของสงฆ์นักบวช ไม่สามารถทำได้ถึงระดับฆราวาส เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่ว่าอาตมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้า แต่เป็นที่เหตุปัจจัยตอนนั้นยังไม่ครบ เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคของสังคมทาส ยังมีลูกทาส นายทาส แต่ละคนไม่รู้จักเรื่องสิทธิของตนเองสิทธิมนุษยชน สิทธิในการพูดการแสดงออก สิทธิตามกฎหมายสิทธิต่างๆ เป็นวัฒนธรรม ตามสัจธรรมต่างๆ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสำหรับคนในยุคนั้น ไม่มีความรู้และไม่ได้สอนกัน ไม่มีใครสามารถที่จะมาแจกแจงให้ทุกคนเข้าใจเรียนรู้ แล้วก็ปฏิบัติตนเป็นคนหลุดพ้นจากความเป็นทาส มีสิทธิส่วนตน ไม่มีในยุคโน้น
แล้วทรัพยากรในโลกยุคโน้น ก็ยังไม่อัตคัดขาดแคลนเหมือนในยุคนี้ ยุคนี้มันร่อยหรอลง เพราะโลกพร่องอยู่เป็นนิจ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ของกินของใช้มันก็ร่อยหรอลง ซึ่งมันน่าจะเจริญขึ้นมากขึ้นได้ แต่มันกลับร่อยหรอลง ธรรมชาติเสียหายลงไป พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เกิดเองตามธรรมชาติ ก็ร่อยหรอลงน้อยลงน้อยลง คนจึงต้องช่วยหรือคนต้องช่วยตัวเอง ต้องปลูกเองขึ้นมากินมาใช้ อาศัยธรรมชาติไม่พอ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสิ่งที่มันเกิดจริงเป็นจริง
SMS วันที่ 3 – 4 พ.ย. 2564
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม : กราบนมัสการพ่อครูเจ้าได้ทราบข่าวเรื่องน้องน้ำมาอีกแล้วหรือค่ะ นึกว่าจะรอด มาเยี่ยมกันแล้ว แต่พวกเราก็ไม่ทุกข์สุดยอดของการทำใจ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… มันเป็นธรรมดาถึงเวลาวาระตามธรรมดาธรรมชาติ เราเป็นคนมีปัญญาเฉลียวฉลาด ก็อยู่กับธรรมชาติได้ คนที่อยู่ขั้วโลกเหนือเขาก็อยู่ได้ เขาเต็มไปด้วยความหนาวเป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาก็อยู่ได้ พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีเขาก็อยู่ได้แบบของเขา ก็เป็นธรรมดาดิ้นรนเพื่ออยู่รอด
_แดง ลานกราบ : ดูพระเจ้าอโศกมหาราชแล้วนึกถึงความโหดร้ายของการสร้างบารมีจัง เพราะต้องใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาตลอดเลย ต้องใช้ความอดทนอย่างยิ่งเลยค่ะ
พ่อครูว่า…เขาก็สร้างสิ่งที่เป็นตัวอย่าง เป็นลีลาของพฤติกรรมมนุษย์ เอามาประกอบเป็นนิยาย เรื่องเยอะเอามาประกอบต่อกัน ซ้ำไปวนมาก็แล้วแต่ แรงขึ้นเบาลงก็แล้วแต่ มันยาวยืดยาด ได้ข่าวว่าตั้ง 400 กว่าตอน ขยันทำ เหลือเกินเหลือกินจริงๆ
ความหมายของปวารณา
_นุ้ย วิโรจน์ มาบุตร : งานปวารณามีพิธีการอะไรบ้างครับ
พ่อครูว่า…พิธีของเรา จริงๆก็ไม่ได้หนีไปจากการตั้งใจเรียนรู้ธรรมะ เป็นเป้าหมายหลัก ก็เคี่ยวเข้มขึ้น งานมหาปวารณาก็เคี่ยวเข้มขึ้นกว่าธรรมดาบ้าง ทุกคนก็มีสำนึกรู้แล้วว่า ต้องเอาใจใส่ ตั้งใจในเรื่องเรียนทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ให้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เป็นความฉลาดของคนที่ทำมา เราก็ทำประจำปีมาตลอด ที่จริงใช้ชื่อเอามาเรียกเฉยๆว่า มหาปวารณา
มหาปวารณาแปลว่า อนุญาตให้ใครต่อใครติเตียนได้ ว่ากล่าวได้ ความหมายของคำว่า มหาปวารณาหมายความอย่างนั้น แล้วเราก็เอามาใช้ อยู่ด้วยกันก็ติเตียนกัน มีอะไรก็ขัดเกลากันไปชีวิตก็เจริญ การติเตียนตำหนิกันนี่เป็นสิ่งยอดเยี่ยม สรรเสริญกันนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นคำต่ำทราม สรรเสริญไม่มีค่า สรรเสริญต่ำทราม แม้แต่ทำให้ลดละหน่ายคลายก็ไม่ได้ ฟังแล้วชัดเจนนะ สรรเสริญมันไม่น่ามีเลยในสารบบของชีวิต แต่ตำหนิมันจำเป็น ดีมาก ผู้รู้ ผู้หลุดพ้น ผู้ที่เจริญผู้ที่สูงกว่าก็ตำหนิผู้ที่ต่ำกว่าเป็นธรรมดา
ธรระพ่อครูต่างจากของสำนักอื่น
_ยอด : อยากให้พ่อท่านสมณโพธิได้เจอกันกับท่าน อ.สุจินต์ บ้านธัมมะ ไครจะแน่กว่ากัน คงมันส์น่าดูน่าฟัง(ยิ่งกว่าโพธิรักปะทะไสว แก้วโสม)????
พ่อครูว่า…พวกนี้ชอบดูมวย จ้างก็ไม่ไปชกกันหรอก คุณสุจินต์ก็สนใจธรรมะมาตลอดชีวิต อายุ 90 กว่าแก่กว่าอาตมา สนใจพระอภิธรรมเป็นหลัก ซึ่งอาตมาก็เป็นอภิธรรมแต่คนละอย่างกัน อภิธรรมอย่างอาจารย์สุจินต์ เต็มไปด้วยภาษา ทำมาจนกระทั่งชีวิตอายุ 90 กว่า มันน่าจะมียิ่งกว่าชาวอโศก อาตมามาทำทีหลังทำช้ากว่า อายุก็น้อยกว่า แต่ใช้เวลาทำงานศาสนามาน้อยกว่าอาจารย์สุจินต์ ยังได้เป็นรูปธรรม เป็นชุมชนเป็นสังคม มีวัฒนธรรม มีชีวิตจริง เข้ามารวมกัน เอาเนื้อหาสาระศาสนามาเลย มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
สมาธิอย่างของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สมาธิไปนั่งหลับตาเอา แต่สมาธิที่เป็นสมาธิที่เป็น สมาหิโต สมาธิที่จิตตั้งมั่นแข็งแรง เกิดจากการปฏิบัติลดละกิเลสจนสิ้นอาสวะ จิตก็ตกผลึกลงเป็นสมาธิเป็นจิตตั้งมั่น อธิบายขนาดนี้ก็น่าจะเข้าใจแล้วว่า สมาธิที่ไปนั่งหลับตาเอานั้น กับสมาธิที่เกิดจากเจโตปริยญาณ 16 มีสมาหิตะ สมาหิตโต วิมุตะ วิมุตโต คนละอย่างกับสมาธินั่งหลับตา
ศีลก็มี แต่ของเราศีลนั่นมาขัดเกลากิเลสจริงๆเลย ปฏิบัติศีลข้อ 1 จนกระทั่งถึงขั้นไม่กินเนื้อสัตว์ ทางโน้นก็อย่างนี้แหละเป็น สีลัพพตปรามาส สีลพตุปาทาน ไม่ใช่ง่ายๆ ก็เห็นๆกันแต่ละคนก็ปฏิบัติไป
_ทำเป็นธรรม : มนุษย์พืช มีแค่ สัญญา+สังขาร..แล้ว วิญญาณ กับ เวทนา ไปไหนครับ?
พ่อครูว่า…พืชมีแต่สัญญากับสังขาร มันก็กำหนดรู้ของมันในตัวว่าจะเอาธาตุอะไรมาปรุงแต่งเป็นตัวมันเท่านั้น (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… ช่วงพ่อท่านปฏิบัติธรรมตอนเริ่มต้น ทำไมพ่อท่านรู้ว่าตัวเองปฏิบัติมาไม่ผิด เท่าที่ได้เริ่มปฏิบัติกับพ่อท่านมา ตอนนั้นก็สมัครบวช ท่านสมณะก็ให้อ่านหนังสือเจริญชีพด้วยการก้าวตามรอยบาทพระศาสดา ปฏิบัติถือศีลกินน้อยใช้น้อยทำงานให้มาก สรุปแล้วคือการปฏิบัติแบบ อปัณณกปฏิปทา 3 ข้อสำคัญคือไม่ขาดการสังวรอินทรีย์
ลืมตามารับรู้โลกเกิดผัสสะเกิดกิเลส แล้วจะต่อสู้ลดละกิเลส ซึ่งเป็นการปฏิบัติสู้กับกิเลสจริงๆ แต่เท่าที่เคยเรียนกับอาจารย์เมื่อก่อนเจอพ่อครู เราไม่ได้ต่อสู้กับโจรจริงๆเลย แต่ปฏิบัติกับพ่อครู เราเจอและต่อสู้กับโจรจริงๆ ที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกาย จนเราสามารถทำให้โจรหมดอำนาจมาบงการจิตใจของเรา ได้ผลคือจิตใจเราอิสระ ได้ผลจึงรู้ว่าเราปฏิบัติไม่ผิด
พ่อครูว่า…คุณทำเป็นธรรม .ที่ถามว่ามนุษย์พืชนั้นวิญญาณกับเวทนาไปไหน. ก็มันยังไม่มีมันไม่ได้ไปไหน คุณไปนึกถึงจิตนิยามที่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็เป็นเรื่องของจิตนิยาม แต่นี่มันเป็น พีชนิยาม ไม่ถึงขั้นจิตนิยาม มันเป็นชีวะระดับต่ำ มีแต่สัญญากับสังขาร ไม่ใช่วิญญาณมันไปไหน ชีวะเหมือนกันแต่เป็นชื่อว่าคนละระดับ
มันมีพลังงานในตัวมันเรียกว่า พลังงานสัญญากับพลังงานสังขาร ส่วนจิตนิยามที่พัฒนาถึงขั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์แล้ว ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์ 1 เซลล์หรือ 2 เซลล์ก็แล้วแต่ จนมาเป็นมนุษย์หลายล้านเซลล์ สังขารปรุงแต่งกันอยู่ในชีวิต ก็มีเวทนา มีวิญญาณ มีอาการ ต้องรู้ว่าอาการเวทนาเป็นอย่างนี้ อาการสัญญาเป็นอย่างนี้ อาการสังขาร อาการวิญญาณเป็นอย่างไร เข้าใจอาการเคลื่อนไหวของพลังงานพวกนี้ แล้วเราก็จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ถูกต้อง หรือทำกับพลังงานพวกนี้ตามหน้าที่ของมัน สัญญาก็มีหน้าที่อย่างนี้ สังขารหรือเวทนาก็มีหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณอย่างนี้ เรียนรู้และเข้าใจพลังงาน อาการ ลิงค นิมิต ตามอุเทส ตามคำอธิบายของพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษ อาจารย์ที่สัมมาทิฏฐิ แม้ไม่สามารถที่เข้าใจ ก็มีอุเทสคำอธิบายตามของเขา ก็เรียนรู้กัน ตอนลืมตามีสติเต็ม
(ปล.ขอให้อาแป้งช่วยทวนคำถามพ่อท่านด้วยนะครับ เพราะบางทีตอบข้ามประเด็น-ไม่ตรงประเด็น-ไม่ครบประเด็นน่ะครับ) ตอนลืมตามีสติเต็ม ผมลดสายโทสะ จับกายผีได้ และลดได้ตามปัญญาของพุทธ ตรวจตัวเองแล้วเวลากระทบข้างนอก โทสะไม่ออกมาหยาบๆ ไม่แรงแบบน่าเกลียด (ตามฐานของผมนะครับ)….แต่เมื่อคืนก่อน ผมนอนคุยกับผี คือ ในฝัน ผมมีอารมณ์โกรธน้องชายแรงมากเลยครับ จนต้องสะดุ้งตื่น เล่นเอาเหนื่อยเลยครับ.. คำถามคือ..
ฝันของพระอรหันต์ต่างจากฝันของปุถุชน
-
ในฝันตอนไม่มีสติ.. ทำไมโทสะของเรามันขึ้นแรงกว่า ตอนลืมตามีสติ(ตอนลืมตาผมว่าผมลดมันได้เยอะและไม่ออกมาข้างนอกหยาบ ๆ แล้ว)
-
วิธีจะไม่ให้มันเกิดแรง ก็ต้องทำจาก ภพนอก ของเราให้หมด เพื่อเข้าไปหา ภพใน จะบรรเทาสภาวะทุกข์ของเราได้ใช่ไหมครับ?
-
พระอรหันต์ จะมีการฝันแบบ โกรธคนแต่ไม่มีรสโกรธ ไหมครับ?