641112_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/14RhVxrXLoiNr7WfS4lOLV0p8DVOWODqYkhAVmZyfyrg/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1WPLFOZ6MCDgo1oRM1TRJINELF0cANKsN/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/9e6CzbOYSF/ และ https://youtu.be/e7ew-pTKNto สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เราเสร็จสิ้นงานมหาปวารณา จากนั้นก็จะเข้าสู่ งานเพื่อฟ้าดินตอนปีใหม่ ภาวะของโลกเริ่มเห็นการขาดแคลนอาหาร อัฟกานิสถานที่ตาลีบันเข้าไปยึดครอง มีความแห้งแล้ง ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้ องค์การสหประชาชาติบอกว่าอีกหน่อยคงเป็นนรกบนดิน อาหารก็ไม่มี ความหนาวเหน็บก็เข้ามา ในประเทศไทยเราก็มีน้ำท่วมกันบางแห่ง 2 รอบ น้ำท่วมของพวกเรายังมีเวลาเตรียมตัว แต่ของชาวบ้านร่วมแบบไม่ให้มีเวลาเก็บของเลย ท่วม 2 รอบด้วย ขณะเดียวกันสถานการณ์ covid ก็ยังอยู่ ม็อบต่างๆก็ยังอยู่ สลายยางเหนียวของอัตภาพได้ด้วยวิชชาของพุทธ พ่อครูว่า… จำได้นะ.. “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” ก็เตือนกันไว้ มันไม่ใช่เรื่องพูดลอยลม ไม่ใช่พูดเล่น แต่มันเป็นสัจธรรม การสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่ากันมันเลวร้ายมาก มันหยาบ มันเป็นอาวุธ เป็นเครื่องมือ เป็นวัตถุทางสสาร ทางดินน้ำไฟลมแท่งก้อน โลหะ เอามาผสมกัน ทั้งดินน้ำไฟลม เอามาทำเป็นอาวุธ เพื่อที่จะฆ่าแกงกัน มีฤทธิ์ มีอำนาจ มีประสิทธิภาพ ตูมลงไป คนเนี่ยถูกระเบิดเข้า จะกลายเป็นขี้เถ้าเลย ไม่เหลือซากให้เห็นเลย เขาเอาถึงขนาดนั้น ใจคอมันโหดเหี้ยมขนาด จริงๆเลยนะคน เขาไม่ได้สะดุด ไม่ได้ฉุกคิด ไม่ได้สำนึกเลย ซึ่งมันก็น่าเห็นใจ คนพวกนี้เขาไม่ได้เคยเรียนเรื่องกรรมวิบาก ไม่รู้จักจิตวิญญาณ มันเป็นอะไรอย่างไร มันจะต้องเกิด ต้องตาย จะต้องหมุนเวียน จะต้องรับกรรมวิบากอะไรต่ออะไรซับซ้อนอีกไม่รู้กี่ชาติ เป็นล้านๆชาติ เทวนิยมนับถือพระเจ้า เขาไม่ได้เรียน ไม่ได้รู้เลย ไม่ประสีประสาน่าสงสาร Innocent ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เดียงสา ไม่เข้าใจเรื่องกรรมเรื่องวิบาก ก็ไม่ซาบซึ้งเรื่องความหมุนเวียนของจิตนิยาม ที่จะต้องเป็นอัตภาพเกิดแล้วเกิดอีก แล้วก็มีลีลา มีสิ่งต้องพบประสบอยู่ในแต่ละชาติแต่ละชาติ ยิ่งกว่านิยาย นิยายล้านๆๆๆ เรื่อง ก็คือคนทุกคน แต่ละคนมีนิยายแต่ละชาติแต่ละชาติ คนเดียวก็นิยายมากมายแล้ว แต่ละคน หลายขั้นหลายตอนหลายประสบการณ์ แล้วก็หลงในสุขบ้างทุกข์บ้าง กว่าจะมาได้เรียนสัจจะธรรมโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า ถึงได้รู้ว่าจิตวิญญาณมันโง่ มันอวิชชา หลงในการยึดมั่นปรุงแต่ง ต้องได้อย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้เป็นสุขอย่างนี้เป็นทุกข์ จนกระทั่งมาบรรลุธรรมโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า ถึงจะรู้ว่า อ๋อ.. สิ่งที่ได้เกิดมาเป็นอัตภาพแล้วนี่ มันมีอวิชชามา จนกว่าจะมาพบพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ค้นพบความจริงสุดยอดว่า จิตวิญญาณหรืออัตภาพของแต่ละอัตภาพ แต่ละคน มันสามารถเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป หมุนเวียน และที่สุดมันไม่ใช่ตัวตนจริง มันอนัตตา สามารถศึกษาจนกระทั่งทำให้จิตนิยามของเรานี้ สูญสลาย เลิกการจับตัวที่จะหมุนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ หมุนเวียนอยู่ในกาละของเอกภพของมหาจักรวาล เลิกเลยจิตนิยาม แยกเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย ซึ่งไม่มีใคร ไม่มีศาสดาองค์ใดตรัสรู้จุดนี้ได้เลย มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อันเดียวกัน มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นในมหาจักรวาลนี้ ในประดาศาสดาทั้งหลาย ก็มีศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้า ที่จะสามารถทำให้จิตของตนเองทำให้อัตตาของตนเอง วิญญาณของตนเองนี้ เลิกเป็นจิต เลิกเป็นวิญญาณ เลิกเป็นอัตตา สลายกลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ จึงพิสูจน์ได้ว่า เทวนิยมล้างอัตตาไม่ได้ ทำลายวิญญาณไม่ได้ ผู้รู้สูงสุด ศาสดาทางเทวนิยมทุกองค์ยอมจำนน ว่าจิตวิญญาณเป็นอัตตานิรันดร เป็นอยู่ แล้วก็มีเจ้าแห่งวิญญาณใหญ่เรียกว่าพระเจ้า เรียกว่า พระเจ้าครอบครอง บงการสั่งการเป็นเจ้าของทุกจิตวิญญาณหมด จะเป็นอย่างไรต้องพระเจ้าเป็นผู้บัญชา เป็นผู้บงการ เป็นผู้ให้เป็น แล้วไม่มีสิ้นสุด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ล้มล้างความเชื่อนั้น ทำลายสูญได้ ไม่มีพระเจ้าเป็นเจ้าของจิตวิญญาณเรา เราเป็นเจ้าของจิตวิญญาณเราเอง เราสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้เลย ตายแล้วไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้านิรันดรเลย ซึ่งเป็นสุดยอด มันสุดยอดตรงที่ว่า 1. ขั้นตอนแรกรู้จักความดีความชั่ว ตามเทวนิยมเขาก็เรียนความดีความชั่วที่เป็นสมมติสัจจะ ตามแต่ละกลุ่มหมู่สมมุติ แต่ละยุคแต่ละกาละ มันไม่ได้เป็นของจริงอะไร แต่เราก็จะต้องทำตามยุคสมัย ทำดีอย่าทำชั่ว นั้นเป็นขั้นตอนหนึ่ง โลกียะก็จบแค่นี้ ส่วนโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้นรู้ว่านอกจากดีชั่ว ยังติดยึดว่าเป็นจิตวิญญาณหมุนเวียนอยู่ในโลก ต้องเป็นโลกแห่งความดี เป็นโลกแห่งความชั่ว แต่มันไม่เที่ยงมันลืมหมุนเวียนอยู่เหมือนเดิม เกิดไปทีหนึ่ง มันก็ลืมของเก่า แล้วมันก็ทำชั่วทำดี ทำชั่วทำดี หมุนเวียนกันไป แม้แต่ในองค์ประกอบของยุคสมัย แต่ละถิ่นแต่ละที่แต่ละแดนแต่ละคน แต่ละสังคม มันก็สมมุติต่างกันอยู่แล้วดีชั่ว แต่สิ่งที่ไปยึดติดว่ามันมี แล้วก็มีสุขมีทุกข์ แล้วก็ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณมันเป็นสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น ถ้ามีวิชชารู้สังขาร มีสังขารแล้วก็มาเป็นวิญญาณ แยกศึกษาได้เป็นนามรูป พระพุทธเจ้าใช้นามรูปเป็นตัวสภาพ 2 ศึกษา เป็นอายตนะ เป็นเวทนา รู้เหตุแห่งเวทนา ไปสำคัญอยู่ที่เวทนา สุขทุกข์ หรือเป็นตัวต้องเกิดกิเลสตัณหา รวมตัวอยู่ในเวทนานี้ พระพุทธเจ้าถึงได้ให้เรียนนเวทนา แจกออกเป็นเวทนา 108 แยกให้เป็นอย่างที่ศาสดา เคหะสิตะะรู้ ก็จบแค่นั้น ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเนกขัมมะสิตะ เห็นได้ว่า มันมีเหตุ มีกิเลสเป็นตัวเหตุ ก็เอาเหตุออก เนกขัมมะ พ้นจากเหตุ จนสุดท้าย อรหันต์ มันหมดแล้วจากกิเลสตัวการที่มันผูกมันยึดเป็นอุปาทาน เป็นตัวยึดถือตัวตรึงตัวโง่ ทำให้มันเกิดอัตตา จัดการได้เลย สิ่งที่เป็นยางเหนียว เป็นอวิชชา เป็นความโง่ เมื่อจิตมันหมด หรือเมื่อจิตมันรู้ชัดแล้วแล้วทำให้จิตไม่ไปโง่ ไม่เป็นยางเหนียวที่ไปยึดติดกันอีก ก็สลายได้หมดเลย สลายได้จริงๆเลย ก็เป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่เทวนิยมเขาเชื่อไม่ได้หรอก เพราะมันเกินกว่าภูมิเขา เทวนิยมกว่าจะค่อยๆมารู้มีปัญญา 8 ทางเทวนิยมเขาก็เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้รู้สูงสุด แต่พระเจ้าเขาเป็นความลึกลับ ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มี อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่มีผู้ที่เอาความรู้ความจริงจากพระเจ้ามาประกาศ เป็นประกาศก ศาสดาทุกองค์เป็นประกาศก เป็นผู้ประกาศความรู้ความจริงของสิ่งลึกลับที่เรียกว่าพระเจ้า เป็นศาสนาที่ลึกลับ จึงทำลายไม่ได้ ทำลายอัตตา ทำลายจิตวิญญาณ ทำลายธาตุรู้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ หรือสามารถที่จะมีปัญญารู้ความจริงจบครบหมดเลย สามารถบงการพลังงานที่มันเป็นอัตภาพเป็นวิญญาณ เป็นอัตตาของแต่ละคน ถึงได้จัดการควบคุมได้ ให้ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี เหมือนกับเทวนิยมต้องการได้ แล้วมันเที่ยงกว่าด้วย เหมือนกับอรหันต์เกิดมาไม่ทำชั่วอีกแล้ว เกิดอีกกี่ชาติก็ทำจะดี จะเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดที่สุด ในธาตุจิตที่สูงสุดก็คือเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็รู้ครอบจักรวาลหมดเลย รู้รอบถ้วนทุกอย่างหมดเลย ว่าจิตนิยามที่มันเกิดมาแล้วนี่ มันไม่สามารถดับได้ เขาจึงจำนนไปเป็นเทวนิยม อัตตาของเขานิรันดร แต่ของพระพุทธเจ้าไม่จำนน สามารถรู้แจ้งจบ มีขั้นตอน ทำดี ไม่ทำชั่วสำเร็จ ทำแต่ดี ทำจิตให้บริสุทธิ์อย่างมีหลักประกันด้วย เทวนิยมไม่เที่ยงหรอกเป็นสมบัติผลัดกันชม แต่ของพระพุทธเจ้าทำดี ไม่ทำชั่ว เที่ยง เกิดอีกได้ เป็นอรหันต์จากชาตินั้นอีกแล้ว เมื่อไหร่ก็ได้แล้วก็เรียนรู้ความจริงของจิตวิญญาณ ของธาตุอัตภาพของอัตตานี้ อ๋อ.. มันมีอวิชชาที่เป็นยางเหนียวจับตั้งแต่ต้น แล้วมีความรู้สามารถล้างยางเหนียว ล้างความยึดเกาะตัวเกาะติดอันนี้ได้ ก็สลายหมดจบได้ ซึ่งมันเป็นอจินไตย พิสูจน์ได้ มูลสูตร สูตรสู่ความเป็นอมตะ เขาจะไม่เชื่อเลย ทางเทวนิยมเขาฟังไม่รู้เรื่อง จนกว่าเขาจะค่อยๆเจริญอีกเป็นล้านๆชาติ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสยืนยันว่าผู้ใดมาพบศาสนาพุทธแล้ว พบแล้วก็มีความยินดีพอใจ ต้องอย่างนี้การศึกษาสัจธรรม สัจจะ 1 อย่างโน้นเป็นสัจจะอีกอันหนึ่งที่ไม่เที่ยง แต่อันนี้แหละจะรู้รอบโลกครบรู้จบ รู้เต็มที่เลยจนสลายได้มีนิพพาน นิพพานคืออะไร สามารถทำปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นสุดท้ายสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ ดีนะ ตรงที่ นิพพานเป็นปริโยสาน มีหลักฐานอยู่ในมูลสูตร 10 ข้อสุดท้าย อาตมามีสภาวะอันนี้ บรรลุอันนี้มาแล้ว มีหลักฐาน จึงได้เอามาอธิบายสู่ฟัง ถ้าคนไม่มีปัญญาที่จะรู้ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ แต่พูดตามตามกันไปจะไม่มีน้ำหนัก ฟังแล้วไม่ค่อยจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริง มันเป็นอย่างไรมาอย่างไรมันไม่รู้ได้ง่ายๆ แต่อาตมามีสภาวะนั้นจริง จึงอธิบายตามหลักฐานพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมูลสูตร 10 มูล แปลว่า รากเค้า รากต้นเค้าทั้ง 10 อย่าง 10 ขั้นตอนยิ่งใหญ่มาก เริ่มต้นตั้งแต่แค่ความยินดี ฉันทะเป็นมูลกา ข้อแรก โอ้โห ยิ่งใหญ่ พวกเราชาวอโศก แม้แต่ไม่ถึงชาวอโศกหรอก พวกเดียรถีย์สายอาจารย์มั่น เขาก็เอาจริงเอาจัง แต่มิจฉาทิฏฐิก็ตาม แต่ลึกๆแล้ว ศาสนาพุทธนี้ยิ่งใหญ่ ก็รู้ จึงมีฉันทะ แต่เป็นฉันทะที่มันไม่สว่าง ฉันทะแบบมืดๆ ยินดีอย่างไม่เปิดเผย ไม่กระจ่าง ไม่ละเอียด ไม่มีสภาวะรองรับครบ เพราะว่าเป็นการปฏิบัติแบบมืดๆ เป็นศาสนามืดๆ มันก็เลยไม่กระจ่าง เริ่มต้นมีฉันทะก็ไม่ธรรมดาแล้ว ยิ่ง มนสิการ เป็นข้อที่ 2 คือการทำ การ แปลว่าทำยังไม่มีโยนิโสนะ มีแต่ มนสิการ คนสามารถทำใจของตน ที่ใจของตน ก็ทำใจในใจของตนเองจัดการใจของตนเอง คนจะจัดการใจในใจของตนเองเป็น โอ้โห.. ต้องรู้ว่าใจคืออะไร จิตคืออะไร เจตสิกคืออะไร แล้วก็ต้องรู้เลยว่า อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของพระพุทธเจ้า อุเทส คำสอน คำอธิบายของสัตบุรุษ ของผู้รู้ที่อธิบายไว้ ให้เรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต มีเครื่องหมายให้รู้เครื่องหมายของอาการจิต แล้วก็จัดการกับอาการของจิต เริ่มต้นจิตมันมี 2 หน่วย เทวะแล้ว มันก็เริ่มต่างกันแล้ว ต่างกันอย่างหยาบ ให้เรียนหยาบก่อน แล้วจัดการทำเหตุปัจจัยที่ทำให้เราหลงปรุงแต่งอยู่ในโลกไปเรื่อยๆ ทีละคู่ไปเรื่อยๆ ก็ทำใจในใจเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนลงไปถึงที่เกิด โยนิโส คำว่าโยนิ คือที่เกิด ลงไปถึงที่เกิดจุดที่เกิดเป็น สัมภวะ แดนเกิด เกิดจิตวิญญาณนี่แหละ มันจะเกิดปฏิภาณปัญญา วิจัยวิจารณ์จิตนิยามต่างๆ รู้จิตเจตสิกต่างๆได้ เช่น เวทนา 108 เป็นต้น ที่พระพุทธเจ้า แจกวิภัตติไปเป็นกระบวนการ 108 แล้วก็แยกตัวที่มันเป็นเคหสิตะ แยกกิเลสเอากิเลสออกได้เป็นเนกขัมมะ จนหมด หมดเกลี้ยงจิตก็สะอาดเรียกว่าอุเบกขา เป็นเนกขัมมะสิตะอุเบกขา บริสุทธิ์ ซึ่งองค์ประกอบของอุเบกขาก็มี 5 อย่างคือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อาตมาก็หยิบเอามาจากคำสอนพระพุทธเจ้า อยู่ในธาตุวิภังคสูตร อาตมาก็เอามาแจกแจง ผู้ไม่รู้ท่านเอามาอธิบายอย่างอาตมา ก็คงยาก คงไม่ได้อย่างอาตมาธิบาย ซึ่งเห็นได้ว่า ผู้ที่ตามแสวงหาสิ่งลึกซึ้งเกี่ยวกับวิญญาณเกี่ยวกับจิตเกี่ยวกับธรรมะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ พอมาเจออันนี้แล้วถึง ยินดีมีฉันทะเกิด แล้วยิ่งรู้ว่า จะจัดการกับจิตกับใจได้นะ มนสิการ จัดการได้เลย จัดการได้ด้วยหลักการที่พระพุทธเจ้าท่านสรุปไว้เลย ในมูลสูตร 10 โดยการ ต้องเรียนรู้มีผัสสะ เป็นอันที่ 3 เรียนรู้โดยไม่มีผัสสะ หลับตาเข้าไปไม่มีผัสสะ โมฆะจากศาสนาพุทธ เป็นเดียรถีย์นอกรีต ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ใน พรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าสรุปไว้ชัดเจน ไม่มีเวทนา ไม่มีกรรมฐาน ไม่มีที่ตั้งให้การปฏิบัติ มีแต่วิญญาณ หลับตาก็เป็นสัมภเวสี ซึ่งมันไม่เป็นความจริง ความจริงที่เป็นปัจจุบันชาติ มีตาหูจมูกลิ้นกาย ทางทวารทั้ง 5 กระทบ มีจิตร่วม มันจึงจะครบความเป็นจริงของวิญญาณ หลัดๆเลย กระทบเดี๋ยวนี้ ตาก็เป็นวิญญาณ หูก็เป็นวิญญาณ จมูกลิ้นกายก็เป็นวิญญาณ วิญญาณทางข้างนอก มีกิเลสหมด ก็ทำให้มันลดลงไป จนเหลือเข้าไปหมดแล้วเหลือแต่อยู่ข้างใน เป็นรูปจิต อรูปจิต เป็นขั้นตอนจึงจะเลิกจิตวิญญาณ ดับจิตวิญญาณ ให้สลายหมดสิ้นจริงๆ การศึกษาต้องมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะ ไปหลับตา อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร สงสารก็สงสาร พูดด้วยใจจริง อาตมาเห็นความมุ่งมาดปรารถนาดี ท่านเอาชีวิตมาทิ้งในทางธรรมะ ที่ท่านแสวงหาและปรารถนาจริงๆแต่ละชาติ แต่ละชาติท่านก็ยังหลงเดียรถีย์ไปพาผิดอย่างนั้น ชื่อว่าได้มาเป็นชาวพุทธแล้ว อาตมาก็เป็นชาวพุทธที่รู้สัมมาทิฏฐิ เห็นพวกน้องๆทั้งนั้น อาจารย์มั่น มหาบัว ก็น้องอาตมาทั้งนั้น อาตมาเป็น ไก่ตัวพี่ ในยุคนี้ ขออภัยที่ต้องพูดความจริงอันนี้ เห็นแล้วก็สงสาร เลิกได้แล้วอย่างนั้น มันเดียรถีย์ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เห็นเขานั่งเต็มป่า ท่านก็มาสอนใหม่ ไม่เหมือนโพธิรักษ์ ที่พระพุทธเจ้าท่านมีการสอนมาก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตีทิ้งไม่ได้ ท่านต้องเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน เอาพวกเดียรถีย์มาเป็นบริวาร ส่วนอาตมานั้นไม่ใช่ พระพุทธเจ้าปลูกฝังศาสนาพุทธไว้เต็มสภาพแล้ว แต่เขาดันเป็นขบถ เป็นโจรปล้นศาสนา เฮ้อ! เป็นโจรปล้นศาสนาจริงๆเลยนะ อาตมาเห็นโจรปล้นศาสนาอยู่อย่างนี้ ก็ต้องปลุกให้รู้สึก ให้เข้าใจว่า อย่าไปปฏิบัติแบบตาบอดมืดสนิทอยู่อย่างนั้น ตื่นมา ชาคริยา มาฟังมารู้อย่างนี้ แต่อาตมาชาตินี้เป็นคนอาภัพ เขาไม่เชื่อ เขาไปเชื่อผู้ที่ปทปรมะ ท่องจำมาก บอกสอนก็มาก ปทปรมะบุคคล แต่ไม่สามารถที่จะบรรลุธรรม สักกายทิฏฐิ ก็ไม่พ้น เพราะคำว่า กาย ก็ไม่เข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ อาตมาแม้แต่คำว่ากาย ก็ต้องมาสอนกันใหม่ บรรยายให้เข้าใจคำว่า กาย ซึ่งก็ไม่ใช่จะรู้กันได้ง่ายๆ อาตมาก็ไม่ได้รู้มาตั้งแต่ต้น ที่จริงมันมีของเดิมอยู่แล้ว แต่มันยังไม่ขึ้นมา อาตมาอธิบายคำว่า กาย อย่างละเอียดนี้มาไม่กี่ปีนี้นะ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องตื้นๆ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เป็นข้อต้นของสัมมาทิฏฐิที่จะต้องพ้นคำว่า กาย ต้องเข้าใจเรื่องคำว่า กาย ให้สัมมาทิฏฐิให้ได้ พระพุทธเจ้าถึงสอนความเป็นกายตามความเป็นจริง ซึ่งมันแยกกันไม่ได้ แต่ก็สอนให้รู้ว่า แยกได้ด้วยปัญญา ปัญญานี้แยกกายกับจิตได้ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ตั้งใจมาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าไปสู่พระนิพพานจริง พระพุทธเจ้าถึงให้อุปัชฌาย์สอนแยกกายแยกจิต แก่ลูกศิษย์ที่มาบวชเพื่อต้องการนิพพานทุกคน แต่ที่นี้ทุกวันนี้อุปัชฌาย์ก็ไม่รู้ว่าแยกกายแยกจิตอย่างไร ก็ไปแยกแบบนั่งหลับตาแล้วแยกกายออกจากจิต จิตลอยออกไปจากกาย กายก็นั่งแข็งอยู่ตรงนั้น จิตก็ลอยไปแล้วมาเห็นตัวเองนั่งแข็งอยู่อย่างนั้น นี่แหละผู้แยกกายแยกจิตสำเร็จของศาสนาเขาว่าอย่างนั้น ซึ่งเป็นอุปาทาน ก็หลงแยกกายแยกจิตได้แค่นั้น ซึ่งลึกซึ้ง อาตมาอธิบายไปแล้วมันไม่ใช่เล่นๆ แยกกายได้ว่า จิตของเราไม่เป็นกาย มันคืออย่างไร คือ จิตของเราไม่เป็นจิต ดูได้ว่าเราทำจิตไม่ให้เป็นจิตได้แล้ว จึงไม่มีกายเป็นแต่เพียง พีชนิยาม เป็นพีชนิยาม ก็ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีวิญญาณ ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีวิบาก เป็นพืช ความหมายแค่ พีชนิยาม ต้องทำจิตของเราให้เป็น พีชนิยาม เท่านี้แหละ ก็ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า โอ้โห.. น่าเห็นใจที่มันได้เสื่อมไป 2,500 กว่าปี ก็เสื่อมไปหมด อาตมาจึงต้องมากู้กลับ ต้องมาเริ่มคำว่า กาย ก็คิดว่า เพิ่งมาอธิบายไม่กี่ปีนี้ก็ยังน้อยอยู่ ก็คงยังต้องพยายามอยู่อธิบายไปอีกนานพอสมควรทีเดียว เพราะฉะนั้น ถึงไม่พยายามจะไม่ตายเร็วๆไม่ตายง่ายๆ ถ้าสังขารมันพูดไม่ได้อธิบายไม่ได้ก็ต้องตายแล้ว แต่มันยังอธิบายยังพูดได้อยู่ก็ไม่ตาย ยังไงก็ไม่ตาย มารจะมานั่งบอกไปได้แล้ว ตายได้แล้ว เราก็บอกว่าไม่ตาย มารมันเก่งกว่าเราไม่ได้หรอก จนกว่าเราจะจำนนต่อสังขาร มันไม่ได้จริงๆก็ต้องจำนนก็ต้องไป ทุกวันนี้ก็รู้สึกว่า แหม หนัก พยายามประคองสังขารให้มันอยู่ หนัก แต่พูดไปก็เท่านั้น ถ้าเข้าใจที่ท่านให้มาพิจารณาว่าเมื่อใดไม่ใช่กาย เมื่อใดไม่ใช่จิต แยกกายแยกจิตได้จริงๆ ผู้นั้นแหละถึงจะปฏิบัติธรรมบรรลุอรหันต์ได้ ถ้าแยกกายแยกจิตไม่เป็น บรรลุอรหันต์ไม่ได้หรอก แม้จะศึกษาไปรู้รอบโลก เหมือนท่านพุทธโฆษาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นพุทธโฆษาจารย์ที่เขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรค หรือที่เป็นคนไทยปัจจุบันนี้ก็ตาม รู้มาก ศึกษาพยัญชนะ แต่ไม่ศึกษา เป็นปทปรมะ ไม่ศึกษาให้ลงไปถึงจิต มนสิการจนเป็นโยนิโส จนลงไปถึงที่เกิดอย่างถ่องแท้แยบคาย ละเอียด จนไปถึงนามธรรมที่เกิด สัมภวะหรือปภวะ แดนเกิดที่เกิด แต่ต้องมีผัสสะ จึงจะเห็นที่เกิดแดนเกิด ผัสสะเป็นสมุทัย ต้องมีผัสสะเป็นเหตุ แล้วจึงจะมาทำเวทนาได้ ถ้าไม่มีผัสสะ เวทนาไม่เกิด เป็นสัมภเวสี ไม่มีวิญญาณฐีติ ปฏิบัติที่ตาหูจมูกลิ้นกายก่อน แล้วปฏิบัติเอากิเลสออกให้ได้จริงๆ ในเวทนา ให้มาเรียนเป็นกรรมฐาน ที่ไปเรียนในวิสุทธิมรรคกรรมฐาน 40 มันเป็นสมถะทั้งนั้น เป็นของเดียรถีย์หมด ไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธเลย จริงๆนะ อาตมาถึงว่า ทำอย่างไรให้คนมาศรัทธาเรา เราไปบังคับเขาไม่ได้ แต่เราก็ได้แต่แสดงความจริง น่าจะฟังความจริงที่อาตมาพูดอธิบายตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า เอาพระไตรปิฎกมายืนยัน อ้างอิง ไม่ใช่ไปอ้างอิงอรรถกถาจารย์มาประกอบ ซึ่งอาตมาไม่เอามาประกอบ อาตมาเอาแต่พระไตรปิฎกก็ชัดเจน ได้ครบแล้ว ไม่ต้องไปอาศัยอรรถกถาจารย์ เพราะอาตมาก็เป็นอรรถกถาจารย์อยู่ในตัวอยู่แล้ว ก็เอามายืนยันอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 วิโมกข์ 8 รู้จักความเป็นสัตว์ทั้ง 9 จนกระทั่งทำความเป็นสัตว์หมดไป ไม่เป็นสัตว์แล้ว กลายเป็นผู้เจริญ กลายเป็นผู้บรรลุ สุดท้ายก็ยิ่งกว่าพระเจ้า เจริญยิ่งกว่าพระเจ้า สามารถรู้แจ้งรู้จริงในเรื่องของจิตวิญญาณ เรื่องของอัตภาพหมด จบ ทำความเกิดความดับได้จริงๆ ฉะนั้นจึงสามารถที่จะมีสติ มีปัญญา มีวิมุติ ในมูลสูตรอีก 3 ข้อ มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ มีวิฟมุติเป็นแก่นสารเป็นสาระ เพราะปฏิบัติศึกษาถูกต้อง มาถึงเวทนาเป็นที่ประชุมลง ศึกษาอยู่ที่ฐานเวทนาเป็นกรรมฐาน เป็นที่ประชุมลง จึงรู้หมด สติถึงบริบูรณ์เป็นอธิปไตย ปัญญาก็บริบูรณ์เป็นอุตตระ วิมุติก็บริบูรณ์ จบ เป็นแก่น ด้วยหลักการ ศีล สมาธิ ปัญญา แก่น ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น พระพุทธเจ้าอธิบายไว้หมดแล้ว ในมหาสาโรปมสูตร ศาสนาพุทธทุกวันนี้ศีลก็ไม่มี แค่สะเก็ดก็ไม่มีแม้นิดนึง สมาธิก็เลอะเทอะไปหมดเลย เป็นสมาธิมิจฉาทิฏฐิของเดียรถีย์ ปัญญายิ่งไปใหญ่ เป็นเฉโกทั้งนั้น ไม่ใช่ปัญญา 8 เลย วิมุติจึงไม่ต้องหวังเลย แก่น แต่เขาไม่ได้อะไรรู้ไหม เขาได้ใบกับดอก พระพุทธเจ้ายืนยันสรุปว่า ใบกับดอกก็คือ ลาภสักการะสรรเสริญ ทั้งหลายแหล่ ก็จริงไหมล่ะ เถรสมาคมทั้งเถรสมาคม ถ้าไม่มีลาภสักการะสรรเสริญพวกนี้ จะอยู่กับอะไร มาเป็นผู้ปฏิบัติพยายามจะไม่เอาตำแหน่งยศศักดิ์ ไม่เอาลาภยศอะไร ก็ไปนั่งหลับตาเป็นเดียรถีย์ออกป่า มืดๆไปควักขึ้นมาไม่ออกเลย จนกระทั่งจมไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาตมาก็ไม่กล้าเข้าไปสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เพราะไปแล้วมันหายไปเลย เข้าไปแล้วไม่ได้ออกมา เพราะมันยิ่งกว่านรกอเวจี มืดหมดเลย ทางโลกเขาก็มีสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นหลุมดำ ใครตกไปในหลุมดำก็หายไปเลย นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… พ่อครูว่า… ในมูลสูตร 10 กว่าจะถึงประชุมลงที่เวทนาจบ สโมสรณา ก็จะสมบูรณ์ด้วยสติ ปัญญา วิมุติ เป็นแก่นแกนหมดเลย ผู้ที่สมบูรณ์ด้วย 3 อย่างก็เป็นอมตะบุคคล ในมูลสูตรข้อที่ 9 เป็นอมตะบุคคล เป็นคนที่อยู่เหนือความเป็นความตาย อยู่เหนือความเกิดความตาย จะเกิดก็ได้จะตายก็ได้ สามารถจริงๆ ผู้มีบารมีสูงสามารถจะตายก็ตาย เกิดก็เกิด จะไม่เกิดอีกก็ได้ จะตายแล้วไม่เกิดอีกก็ได้ ผู้ที่ไม่มีปัญญารู้ถึงขนาดนี้ ตายแล้วไม่เกิดอีก ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเทวนิยมจึงจำนน ตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้า อยู่กับความลึกลับ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อยู่ในที่ลึกลับมืดไม่รู้อยู่ที่ไหนอะไรอย่างไร อนุปคัมมะผู้ไม่เข้าใกล้ทั้งความมีและความไม่มี ที่จริงความรู้ของพระศาสดาแต่ละองค์ เป็นความรู้ของตัวเองที่ได้ศึกษามาแต่ละชาติแต่ละชาติ แต่เขาไม่รู้ตัวเองไม่รู้อัตตา ไม่รู้ว่าตัวเองสั่งสมมาได้ขนาดนี้ มาประกาศให้คนอื่นยอมรับ คนอื่นเขาก็รับ ว่าจริงเป็นความรู้ขนาดนี้ เป็นโลกียะที่เข้าท่า คนที่มีฐานะขนาดนั้นก็รับขนาดนั้น เป็นบริวารของศาสดานั้นไป ศาสดาของเทวนิยมจึงมีหลากหลายมากมาย ทุกวันนี้ก็ไม่รู้มีกี่ศาสนา ศาสดาองค์สุดท้ายที่พยายามสร้างศาสนาก็คือ ศาสนาที่ชื่อว่าบาไฮ มีพระบาฮาอูลา พยายามจะรวมศาสนา เอาศาสนาพุทธไปรวมด้วย แต่ท่านเป็นเทวนิยมเป็นโลกียะะ ซึ่งเขาไม่รู้มันรวมไม่ได้ มันทำไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นศาสนาของท่านจึงไม่เจริญจึงไม่ขึ้น ท่านหลงว่าท่านใหญ่กว่าศาสนาพุทธ จะเอาศาสนาพุทธไปรวมด้วย มันก็เลยฟ่ามๆ เป็นความรู้ไม่เป็นก้อนหนึ่งที่จะดิ่งไปในทางเทวนิยมก็ไม่ดิ่ง มันก็เลยเพ้อๆฝันๆ คนก็เลยไม่ยอมรับนับถือเท่าไหร่ ศาสนาบาไฮจึงไม่เจริญ ได้แค่นั้น ไม่เจริญ นี่ก็เป็นความรู้ที่อาตมาเข้าใจ ไม่ได้ไปวิจัยวิจารณ์ผิดอะไร แต่เป็นเรื่องจริง ก็ได้แค่นั้น จนกว่าศาสนาเทวนิยมหรือผู้ที่ไปยึดติดเทวนิยม จะค่อยๆซึมซับ เกิดมาอีกหลายชาติ ก็จะซึมซับว่า พุทธเขามีอะไรดีก็เข้ามาศึกษา เหมือนกับศาสดาทางศาสนาคริสต์ อิสลาม แต่อิสลามนั้นช้าหรือยากนานกว่าศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์หลายท่าน แม้แต่เป็นคนไทยก็หลายท่าน ศึกษาศาสนาพุทธ จนกระทั่ง ค่อนข้างจะอิน ไปในศาสนาพุทธเยอะ จนวันใดวันหนึ่งก็มาเกิดเป็นพุทธ ก็เริ่มจะไต่เต้าของศาสนาพุทธขึ้นมาเรื่อยๆ สนใจธรรมะ ก็จะมีวิบากบารมี ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ เริ่มจากเทวนิยมที่มาหาอเทวนิยม หรือมาหาพุทธไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆเป็นไป พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่พบศาสนาพุทธนั้นยากแสนยาก แล้วยิ่งจะเชื่อมั่นเข้าใจเห็นดีตามศาสนาพุทธยิ่งยากกว่า แล้วไม่ต้องพูดถึงที่ยากกว่านั้น ที่จะมาปฏิบัติตามเป็นสัมมาทิฏฐิและได้มรรคผลยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลย จริงๆแล้วเทวนิยมเขาไม่มีปัญญาที่จะเชื่อว่าพระพุทธเจ้านี้ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้านี้สูงสุดในการเกิดมาเป็นมนุษยชาติ เกิดมาเป็นอัตภาพ จนกระทั่งเลิกอัตภาพได้เลย สูงสุดแล้ว ไม่ต้องมีอัตภาพ ไม่ต้องเหลือเป็นจิตนิยามอีก สลายหายไปเลย เลิกมีเลิกเป็น เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมาเข้าใจได้ คนจะมาเห็นว่าชีวิตเกิดมา มันมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป จะมาเห็นทุกข์อริยสัจอย่างนี้ไม่ใช่ง่ายๆ แล้วก็มาเห็นจริงเชื่อมั่นว่า ก็มีศาสนาพุทธนี่แหละ จะพ้นทุกข์ พ้นการเกิดมามีทุกข์อีก ความทุกข์กับความสุข ก็จะรู้ว่ามันเป็นกระดาษแผ่นเดียวแยกกันไม่ได้ เป็นคู่ที่แยกกันไม่ได้ มัน เป็นมายาหลอกว่าสุข แต่ที่จริงก็ทุกข์ทั้งนั้น ที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป สุขมันหลอกเรา เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจอย่างนี้แล้ว จึงไม่กลัวทุกข์ ก็ศึกษาลึกเข้าไปที่ทุกข์ มีเหตุตัวไหนเป็นตัวการให้เกิดทุกข์อยู่อย่างนี้ ไม่ต้องเอามาหลอกเลยสุข เพราะฉะนั้นผู้ที่จะชัดเจนว่า อย่าเอาสุขมาหลอก มันมีแต่ทุกข์เท่านั้น เพราะฉะนั้นพวกนี้จึงหลงทิศทางไปทรมาน ทุกรกิริยา มากมาย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าอุบัติ ให้ปฏิบัติตาม พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติเถิด ปฏิบัติให้รู้จักเหตุ ทุกข์นั่นมันมีเหตุ และมันมีวิธีที่จะลดความทุกข์ไปตามลำดับเป็นข้อๆ เกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับข้าวของ เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส 3 ข้อหลัก ศีล 1 2 3 ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จบหมดแล้ว ศีล ข้อใดๆก็เป็นตัวขยายออกไปเรื่อยๆ ศีลแก่นแกน มี 3 ตัวนี้ ข้อที่ 4 เป็นวาจา ข้อที่ 5 ก็คือจิตที่มันจะเป็นอวิชชา หรือไม่อวิชชา มาเรียนรู้อันนี้ได้ ก็มาสรุปเรียนรู้ตั้งแต่เกี่ยวกับสัตว์ สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันมาก มันเกิดให้มันไปตามยถากรรม วิบากกรรมของมัน เราไม่ต้องไปทำอะไรกับมันได้หรอก ไม่ต้องไปเกี่ยวเกาะกับมัน คนที่เกิดมาอยู่ร่วมกันนี่แหละยังมีวิบากร่วมกันที่เกี่ยวเกาะร่วมกันอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเชิงรักเชิงชัง ยังเกี่ยวเกาะกันอยู่นักต่อนัก เพราะฉะนั้นในพวกเราแต่ละคนๆ ก็มีนิยายของแต่ละคน ใช่ไหม จะเห็นได้ว่า เออ มันก็เชิงรักเชิงชัง ไปติดในกาม ติดในสถานะอะไรอื่นๆอีก เฮ้อ! แล้วสถานะอื่นๆอีก ไม่ว่าจะเป็นสถานะของลาภยศสรรเสริญอะไร มันก็ยังเหลือตัว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กว่าจะมาเรียนรู้ แล้วก็หมดติดหมดยึด การหมดติดหมดยึด การเป็นอุเบกขา การเป็นความไม่ผลักไม่ดูด ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว จิตกลางๆ เป็น “อนุปคัมมะ” ลึกซึ้งมากเลยอันนี้ ท่านไปแปล มัชฌิมาปฏิปทาว่า ทางสายกลาง แล้วปฏิบัติให้เดินทางสายกลาง คนคนนี้ก็เดินไปในทางสายกลาง อย่าแวะข้างทางนะจ๊ะ ทางซ้ายทางขวาไม่เอาแล้วไม่มีไม่มก็เดินไปอีกยาวววววว ไกล ไม่ถึงที่หมายหรอก เพราะเขาเดินทางสายกลาง ไม่มาเรียนรู้ 2 ข้างว่าเป็นกามกับอัตตา จนรู้แจ้งในกามและอัตตาแล้ว ไม่มีกามและอัตตา ก็รู้ในความมีและไม่มี ไม่มีกามไม่มีอัตตา คนพวกนี้ก็จึงเป็น อนุปคัมมะ ไม่เข้าไปมีกับเขาแหละ เข้าไปมีกามก็ไม่มี เข้าไปมีอัตตาก็ไม่มี มนุษย์ที่ยังมีอวิชชาอยู่ เขาก็ต้องมีมากน้อยก็แล้วแต่ จนกว่าจะเป็นอรหันต์ เป็นอนาคามีก็ยังมีเหลืออัตตา จนหมดไม่มีกามไม่มีอัตตาแล้ว คุณก็บรรลุสูงสุดแล้ว เป็นคนเป็นกลาง เพราะฉะนั้นคนเป็นกลางถึงเรียกว่ามัชฌิมา คนผู้เป็นกลาง แต่ท่านไปแปล ตีขลุมรวม มัชฌิมาปฏิปทาว่า เป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ไปเป็นคนเป็นกลาง แต่ท่านก็ไปรวมกันซะ ว่า ข้อปฏิบัติกลางๆ ก็ให้ปฏิบัติตามข้อปฏิบัตินี้ไป อย่าไปแวะข้างทาง อย่าเรียนรู้เรื่อง กาม เรียนรู้อัตตา ซึ่งเป็นอันตาสองข้าง อันตา คือที่สุด 2 ฝั่ง ไม่ให้เรียน เรียนรู้แต่ตัวกลางๆแล้วก็เดินไปกลางๆ อาตมาพยายามอธิบายสภาวะจากที่ท่านเข้าใจตามภาษาที่ท่านยึดติด น่าสงสาร ก็จะกลายเป็นบุคคลผู้ที่แสวงหา พ่อแม่ลูก 3 คน เดินไปในทางทุรกันดาร ทางทุรกันดารนั่นแหละคือทางอวิชชา เดินไป แล้วก็มีความมุ่งหมายมี Concept มีทิฏฐิมีจุดมุ่งหมาย มีเจตนา จะไปสู่นิพพาน ได้แต่พยัญชนะภาษาว่านิพพาน จะไปสู่นิพพาน ก็ไปด้วยกัน 3 คน พ่อแม่ลูก คุณก็ยังมีคู่ มีพ่อมีแม่มีลูกอยู่นั่นแหละ ก็ยังไม่รู้มันเป็นภาระ มันเป็นห่วงทั้งนั้น เป็นผัวเป็นเมียก็ห่วง เป็นลูกก็ยิ่งห่วงเข้าไปอีก สุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้าก็สร้างเป็นพล็อตเรื่องว่า 3 พ่อแม่ลูกเดินทางไปแล้ว มีอาหารยังชีพไป หมดอาหารแล้ว ตายๆๆ จะทำอย่างไร พ่อแม่ 2 คนก็เห็นแก่ตัวจัด เมื่อไม่มีอาหารจะกินแล้ว และเป็นคนติดเนื้อสัตว์ด้วย ไม่มีอาหารแทนที่จะกินพืช จะเดินทางไปไหนอยู่แล้วไปป่าเขาถ้ำก็มีพืชทั้งนั้น แต่ดันไม่มีปัญญาจะกินพืช จะกินเนื้อ แล้วจะฆ่าสัตว์อื่นๆก็ไม่เป็นอีก มีลูกก็เอาคนนี้ล่ะวะ แหม.. นิทานพระพุทธเจ้านี้สุดแสบทรวงเลย เอาเนื้อลูกนี่แหละ ผัวเมียก็ตัดสินใจฆ่าลูกกิน โอ้โห.. พล็อตเรื่องของพระพุทธเจ้านี้สุดแสบจริงๆ เลย ทมยันตีตายไปแล้วนะนี่ แกมีจินตนาการเก่ง ผูกเรื่องอะไรต่ออะไรขึ้นมา เขียนนิยายเก่ง แกเขียนได้ลึกซึ้งลึกลับ ยิ่งกว่า Harry Potter ด้วย กินเนื้อลูก ฆ่าลูกตายเอามากินแล้ว ก็ยังงงๆอยู่ว่า ลูกที่น่ารักของฉันหายไปไหน ปัดโธ่เอ๊ย! ก็เอ็งฆ่าลูกกินก็ยังลืมไปเลยไม่รู้ตัว โอ้โห.. พล็อตเรื่องของพระพุทธเจ้านี้ สุดโง่ สุดลืมโง่ดักดานจริงๆเลย นี่ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน ปุตตมังสสูตร อันนี้ข้อที่ 4 วิญญาณาหาร โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา ล. 16 3. ปุตตมังสสูตร [๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด พ่อครูว่า… โจร ผู้ทำลายศาสนาคือใคร คือพวกนั่งหลับตาปฏิบัติออกนอกรีตศาสนาพุทธไม่มีทางบรรลุเลย ก็คือโจรปล้นศาสนาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไว้ จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า พ่อครูว่า…เจ้าหน้าที่ที่รับคำสั่งพระราชาคือใครคืออาตมา โพธิรักษ์ มีท่านเดินดิน ถือหอกไปช่วยอาตมาด้วย อาตมาหมดแรงท่านก็ช่วยแทง ท่านฟ้าไท ท่านถักบุญ ท่านด่วนดี สม.กล้าข้ามฝัน สม.รินฟ้า นั่นแหละช่วยกันถือหอกแทง ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน พ่อครูว่า…แทงจนหอกหักจนเมื่อยก็มาพัก ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง พ่อครูว่า…อาตมานี่แหละ เป็นเจ้าหน้าที่ เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น เจ้าหน้าที่(พ่อครูว่า…ก็คืออาตมานี่แหละ) คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น พ่อครูว่า…จบนิทานค้างไว้เท่านี้แล้วท่านก็ถามต่อ ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ พ่อครูว่า…จะเรียนรู้วิญญาณาหารต้องเรียนรู้นามรูป ก็เรียนรู้แยกรูป 28 นาม 5 มาศึกษาวิญญาณาหาร ศึกษาวิญญาณที่เราอาศัยนี้ จะรู้ได้ครบเลย รู้แค่นามรูปนี้แหละให้ดี แล้วปฏิบัติด้วยนามรูปนี้แหละ คุณจะทำลายวิญญาณ จบกิจได้เลย เพราะฉะนั้นคำว่า นามรูป มาขยาย ปฏิจจสมุปบาท คนที่มีอวิชชาไม่รู้จักสังขาร สังขารมีวิญญาณเป็นปัจจัย วิญญาณมีนามรูปเป็นปัจจัย ผู้ที่มีอวิชชาอยู่ไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้วิญญาณ แยกนามแยกรูปไม่ได้ ก็คือแยกสภาวะ 1 รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวผู้รู้ที่มีธาตุรู้ไปสัมผัสกับรูปนั้น ก็จะเกิดการรู้ขึ้นมา ตามวิโมกข์ 8 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ วิโมกข์ 8 มิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเถรสมาคม ไม่ว่าพระป่าที่นั่งหลับตาทั้งหลาย ก็เข้าใจว่าไปเข้าสมาบัติคือไปนั่งหลับตา เรียกว่าสมาบัติ เข้าสมาบัติ ซึ่งมันไม่ใช่ วิโมกข์ 8 นั้นเป็นการอธิบาย ให้รู้ว่าศาสนาพุทธนั้นมันมี รูปีรูปานิ แล้วต้องปัสสติ นี่เป็นวิโมกข์ข้อที่ 1 บาลีมีเท่านี้ รูปี กับรูปานิ คือมีรูปที่จะให้รู้ นี่ กล้วยอ้อย กระเจี๊ยบ มันจาวมะพร้าว ก็มีสารพัดให้รู้รูปี รูปานิ คือผู้ที่จะไปรู้รูป ก็จะรู้รูปก็ต้องมีประสาท มีโคจร มีวิสัย ที่ที่จะเข้าไปรู้ คนตาบอด รูปมันมี แต่ตาไม่มี ก็ปัสสติเห็นไม่ได้ หรือคนหูหนวก เสียงมันมี เสียงสารพัดเสียง แต่หูมันหนวก มันรู้ไม่ได้ คนจมูกบอด จมูกหนวก จมูกโหว่ ไม่มีประสาททางจมูกเลยที่จะสัมผัสรู้กลิ่น มันก็รู้กลิ่นไม่ได้ ลิ้น คนไม่รู้ ลิ้นเป็นไอ้เข้ ก็ไม่มีทางรับรู้รสได้ โผฏฐัพพะ คือการสัมผัสภายนอกทั้งหมดมันก็ไม่มีให้สัมผัส เช่น วิญญาณสัมภเวสี ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ได้สัมผัสอะไรเลย พวกนี้มืดตลอดกาล มืด พวกนั่งหลับตามีแต่วิญญาณสัมภเวสี ก็มืดอยู่ตลอดกาลนั่นแหละ ไม่ได้ผุดเกิดอะไรหรอก ไม่ได้มาเห็นแสงสว่าง ไม่ทำให้เห็นความจริงกับเขาเลย เลิกเถอะนั่งหลับตาเอ๋ย เลิกเถอะ ถ้าอาตมาทำให้พวก ที่พระพุทธเจ้าโปรด เหมือนพวกชฎิล 3 พี่น้อง เป็นหัวหน้าเผ่า มีหมู่ใหญ่ๆ ถ้าอาตมาทำให้พวกหลับตาหรือแม้แต่เถรสมาคมก็ตาม ชัดเจนในเรื่องนี้ได้นะ เลิกเรื่องนั่งหลับตาสมาธิอย่างเดียว มาลืมตาปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี้ เท่านี้แหละ โอ้โห.. ศาสนาพุทธนี้ อาตมาว่าชาตินี้ ถ้าอันนี้สำเร็จแล้ว อาตมาตายตาหลับจริงๆ ปัจฉาหนักแน่นถาม ..ไม่มารอบสองหรือ? พ่อครูว่า..มาก็ได้ มาดูงาน โอ้โห.. สุดยอดเลย อาตมาก็ต้องทำอย่างนี้ ต้องปลุกหัวหน้าชฏิล ก็ลูกน้องหัวหน้าชฎิลก็เหลือแหล่แล้ว เพราะว่าคนสนใจ มันมีทุกสำนักเลยรวมไว้หมดแล้ว ถ้าได้หัวหน้าชฏิล ก็สบายแล้วโพธิรักษ์ โพธิรักษ์คือใคร อ๋อ สัมมา มาเข้าใจว่ทิฏฐิที่อยู่ที่นี่สัตบุรุษอยู่ที่นี่ แต่ไปหลงมานานก็เพิ่งเข้าใจก็ ตายๆๆๆ หิริ อย่างแรงกล้า ด่าโพธิรักษ์เสียไม่มี ละอายอย่างแรงกล้า ก็เลยต้องรักอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า แหม.. จะเป็นได้ไหมหนอ สู่แดนธรรม… พ่อท่านพูดอย่างนี้พวกลูกศิษย์ทางโน้นก็จะบอกว่า เห็นไหม ท่านยังเรียกร้องจะเอาอะไรอยู่ พ่อครูว่า… ไม่ได้เรียกร้องจะเอาอะไร แต่เป็นการสาธยายธรรม มานั่งเพ่งโทษ เรียกร้องเอาอะไร โพธิรักษ์ไม่เอาอะไรแล้วจริงๆ แสดงธรรมอย่างเดียว เพื่อจะให้เกิดปัญญารับรู้ความจริงพวกนี้ สู่แดนธรรม… ถ้าสมมุติว่าพ่อท่านทำสำเร็จในชาตินี้ บารมีของพ่อท่านจะเพิ่มขึ้นมั้ยครับ พ่อครูว่า… เพิ่มสิ อาตมาก็จะทำบารมีที่ว่าคือ สามารถจะนำพาศาสนาพุทธให้กว้างขวางขึ้น ผู้ที่เป็นหัวหน้าคณะก็จะพร้อมมากับบริวารมากขึ้น มาเห็นดีเห็นด้วยว่าต้องเอาอย่างโพธิรักษ์นะ แต่ก่อนนี้อาจารย์เข้าใจผิด มิจฉาทิฏฐินะ ต้องมาเอาอย่างโพธิรักษ์นี่แหละถูก ก็จะมี หิริ ละอายเลย กลัวบาป มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ก็จะจมอยู่ในอวิชชา สัทธรรม 7 ของจรณะ 15 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา ถ้าศรัทธาไม่เปลี่ยนแปลง กับมิจฉาทิฏฐิ ที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็จะไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะขึ้นได้เลย ไม่มี ถ้าเข้าใจถูกต้องเลย ใครก็ตาม ที่ได้ซัดอาตมา จ้วงจาบอาตมาไปแล้วอย่างแรง ก็จะ หิริโอตตัปปะ ว่าไปว่าสัตบุรุษ ทั้งที่ตัวเราเองเป็นอสัตบุรุษ จะละอายเลย ถ้ารู้ตัวจะเกรงกลัวอาตมาเลย นี่สัจจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเทวธรรมอันนี้จะเกิดได้ ไม่ง่าย คนที่จะสำนึกจะรู้ตัวว่าตัวเองผิด โดยเฉพาะตอนยังมีชีวิตอยู่ร่วมกันนี้ โอ้โห.. อัตตามานะอะไรต่ออะไร มันค้ำคอ ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุขมันค้ำคอ สู่แดนธรรม… ถ้าเขาเป็นเช่นนั้นจริงมีหิริโอตตัปปะสำนึกใหม่ บารมีของเขาจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ใช่สิ ก็จะหันมาสนใจที่อาตมาพูดอธิบาย ที่เขาไปยึดติดอยู่อย่างนั้นมันต้องผิดแน่นอน แต่เขาไม่เชื่อหรอกว่าอาตมาถูกเขาผิด เขาก็เชื่อว่าอาตมาผิด เขาถูก ใช่ไหม มันต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเขาจะไปฝืนอยู่ทำไม เขาต้องการนะ เขาปรารถนา หลายคนบวชมาตั้งแต่เป็นเณร แสวงหามาทั้งชีวิต อย่างมหาประยุทธ์ เป็นต้น พระพุทธโฆษาจารย์ สู่แดนธรรม… หลายคนไม่อยากมาหิริโอตะกับพ่อท่าน เพราะว่าเหลือตำแหน่งลาภยศจะสูญเสีย เขาคิดว่าพ่อท่านจะได้ความดีความชอบ พ่อครูว่า… เขาจะลงจากบัลลังก์ไม่ได้ อาตมาไม่ได้มีตัวมีตนอะไร อาตมาดีชั่วไม่เอาความสุขความทุกข์ไม่เอา อาตมาไม่เอาสภาพ 2 ใดๆ เลย อาตมา อนุปคัมมะ ไม่เข้าไปใกล้ส่วน 2 ทั้ง 2 อย่างเลย ดีชั่วก็ไม่เอา สุขทุกข์ก็ไม่เอา เจริญหรือต่ำก็ไม่เอาทั้งนั้น สู่แดนธรรม… พ่อท่านเหน็ดเหนื่อยเพื่ออะไร พ่อครูว่า… เพื่อศาสนาอันยิ่งยอดของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำเพื่อตัวตนส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเลย นี่พูดอย่างจริงใจ จะบอกว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม ก็อวดสุดใหญ่เลยนะ อวดสุดบริบูรณ์เลยนะ ฟังธรรมะดีๆ อาตมาพูดแต่ความจริงทั้งนั้น อาตมาจะพูดความไม่จริงไม่ได้ อาตมาพูดมีแต่ความจริงทั้งนั้น แม้ว่าอาตมาตำหนิหรือใช้คำหนักว่าด่าก็ตาม อาตมาตำหนิใคร ด่าใคร ก็เป็นความจริงใจ ที่จะต้องตำหนิ เพราะท่านยังหลงความมืดงมงายเราก็ต้องช่วย อาตมาไม่ใช่คนใจดำ อาตมาเป็นคนมีเมตตาจริงๆ เกื้อกูลช่วยเหลือ ต้องทำ มันเป็นหน้าที่ของพระพรหม สมณะเดินดิน… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin12 พฤศจิกายน 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:641109_พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ NextNext post:641119_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024