650909 สังคมของคนที่ตายจากกิเลสจนเป็นพระอาริยะ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/13RFt3jVwcUwCtcZiWPd1oXXvB29HgW2HDyAl7ivsnKY/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1AGMWeFMOKEX2ftQaaWUnESrsmK-leE9Y/view?usp=sharing ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/B42byYkpnKM และ https://fb.watch/fqXFwWQToL/ สมณะฟ้าไท…วันนี้วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ถ้าดูข่าวในประเทศไทยก็จะมีเรื่องน้ำท่วมแถวๆรังสิต นึกถึงที่เราเคยไปช่วยเหลือตอนเขาถูกน้ำท่วมใหญ่ พ่อครูว่า… ที่จริงก็เทศน์ด้วยการใช้ SMS ของแต่ละคนนี่แหละ ขยายความให้รู้แง่มุมต่างๆของธรรมะ เป็นไปเพื่อความ ละหน่ายจางคลายจากกิเลส ตัณหาต่างๆได้ ทุกประเด็น SMS วันที่ 7-8 กันยายน 2565 คนจนฉลาดแท้ รู้จักพอและพ้นทุกข์ได้ _Masarat Buranajaroenpong (เมษารัฐ บูรณะเจริญพงษ์) · กราบนมัสการพ่อท่าน,สมณะ,สิกขมาตุ,ทุกท่าน …เจริญธรรมญาติธรรมทุกท่านค่ะ🙏ลูกปฎิบัติตามคำสอนของท่าน,ได้บ้าง,ไม่ได้บ้าง ,ชีวิตพบความทุกข์น้อยลง ,ชีวิตครอบครัวเจริญก้าวหน้า ไม่ทุกข์หนักๆเหมือนที่เคยผ่านๆมาค่ะ …ครอบครัวตอนนี้อยู่ที่สาขาหินผาฟ้าน้ำค่ะ 🙏😊 พ่อครูว่า…ปฏิบัติธรรมมาก็ลดละได้ แล้วก็รู้ว่าทุกข์คืออะไร ชีวิตได้พบความทุกข์น้อยลง ที่ถ่อมตนว่า ทำได้บ้างไม่ได้บ้างแต่คนที่สามารถรู้ทุกข์และธรรม ปฏิบัติธรรมให้ตัวเองลดความทุกข์ลงได้ และก็รู้ว่าทุกข์ของตัวเองลดลง ทุกข์จะลดลงได้ก็ด้วยการ มันเป็นสามัญอัตโนมัติ ทุกคนก็พยายามลด ด้วยการแก้ไขด้วยการกดข่มอะไรก็แล้วแต่ แล้วมันก็ลดลงได้เป็นชั่วครั้งชั่วคราว ส่วนพระพุทธเจ้านั้นท่านให้ลดทุกข์ด้วยการพยายามหาเหตุของมัน ทุกข์ ที่มันเกิดขณะนี้ อาการทุกข์ มันมีเหตุปัจจัยเกี่ยวข้อง ตั้งแต่สัมผัสต่างๆของจมูกลิ้นกายภายนอก แล้วโยงไปถึงจิต ทำให้จิตมันปรุงแต่งกันขึ้นเป็นเวทนา มันก็มีเหตุให้เราปรุงแต่ง ผสมสังขารกัน อย่างนี้พอใจ มันมีอุปาทานเป็นตัวตั้งเอาไว้ อย่างนี้พอใจที่ต้องการก็สุข อย่างนี้ไม่พอใจตามที่ต้องการก็เป็นทุกข์หรือไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ถ้าสุขก็พอใจ มันก็เป็นอยู่แค่นี้แหละมนุษยชาติที่ไม่ได้เรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อเรียนรู้ให้ลึกซึ้งเข้าไปแล้ว ปัดโธ่ เราเข้าไปตั้งอุปาทาน สมมุติเข้าไปว่าจะต้องได้อย่างนี้เป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่ตั้งว่าจะต้องได้อย่างนี้ เป้นอย่างนี้ รู้ความจริงว่า อ๋อ.. มันกระทบกับเราทางตาตอนนี้แหละ ขณะนี้ปัจจุบันนี้กระทบทางตาก็เป็นรูปอย่างนี้ สีอย่างนี้ กลิ่น รสจมูกอย่างนี้ กระทบทางหูเป็นเสียงอย่างนี้ อ้อ ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงของมัน ก็เห็นว่ามันควรจะช่วย มันจะได้เจริญก้าวหน้ามันจะได้ดูดี เป็นไปตามที่ควรก็ทำก็ช่วย แต่เห็นว่าไม่ควรจะต้องไปแตะต้องปล่อยเขาไปตามเรื่อง ไม่ต้องไปเป็นเจ้ากี้เจ้าการจนเกินไป แล้วเราก็เป็นอยู่สุขไม่มีปัญหาอะไร คนเราอยู่ด้วยกัน คนนั้นคนนี้พอบอกได้ รู้ เห็นว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็เข้าใจตามภูมิของเราว่า เขาควรจะเลิกอันนี้ เขาควรจะทำอันนี้ แนะนำกันได้ก็ทำ แนะนำกันไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ปล่อยไปเฉยๆ คนเราก็ช่วยกันเท่าที่ทำได้ อย่างอาตมาก็ได้แต่พูดได้แต่บอกส่วนใหญ่ ไปจับมือจับไม้ไปบังคับให้ทำอะไรไม่เอา เอาแค่นี้แหละ ก็มีคนพอเข้าใจแล้วก็ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปเพื่อ ละหน่ายคลายกิเลส พอฟังแล้วก็ได้เอาไปลดละกิเลส จนกระทั่งลดความทุกข์ ลดสิ่งที่มันไม่ดีไม่งาม จนกระทั่งบรรลุโลกุตรธรรมมาเป็นอย่างนี้ ทำให้เราเป็นเช่นนี้ได้ เป็นอย่างที่เราเป็นทุกวันนี้ อาตมาก็เห็นผลแล้วว่า อาตมาประสบผลสำเร็จตามธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว ซึ่งก็พูดไปหลายทีแล้ว ว่าอาตมาไม่สูญเปล่าเกิดมาในชาตินี้ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยและมีผู้ฟังธรรมเข้าใจเอาไปทำตาม จนเกิดพฤติกรรม เกิดการประพฤติปฏิบัติ แล้วได้มรรคผล จนเสร็จแล้วก็มาใช้พฤติกรรม พฤติการณ์นี้แหละ อาศัยให้ชีวิตเป็นอยู่ทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันมีองค์รวม เป็นความคิดองค์รวม ความเห็นองค์รวม เรียกว่า ทิฏฐิสามัญญตาก็เลยมารวมกัน เป็นวัฒนธรรมเป็นหมู่กลุ่มที่มีทิศทาง เรียกว่า ทิฏฐิสามัญญตาไปในทางเดียวกัน มันมีตัวขัดแย้งกันบ้าง แต่ไม่รุนแรง อันพอเหมาะ ขัดแย้งอันพอเหมาะ มันเป็นธรรมชาติของสิ่งที่ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน มันก็ขัดแย้งกันโดยธรรมชาติ แล้วแต่ละคนก็ยึดตามอัตโนมัติ ยึดว่าเออ.. ของเราน่าจะดีกว่าของเขาน่าจะลดลง หรือก็เห็นว่าของเราไม่ดีของเขาดีกว่า ของเขาน่าจะได้กำไรกว่า อย่างนั้นดีกว่า ก็เห็นได้ว่า มีความบกพร่องของเรา อันนั้นของเขาเจริญกว่า เราก็พัฒนาตามให้ทำอย่างโน้น ไม่รู้ว่าจะทำให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ก็ถามกัน เขาบอกไม่ได้ ก็ถามคนที่พอจะอธิบายได้ เออ คนนี้ทำไมเขาเป็นอย่างนี้ได้ ก็ว่ากันไป สรุปแล้วคนเรามาอยู่รวมกัน แล้วเป็นหมู่กลุ่ม คือคนนี้มันเป็นสัตว์โขลง เป็นสัตว์ที่รวมกันเป็นกลุ่มหมู่ แล้วเป็นหมู่ที่มีพฤติกรรมอย่างนี้ มี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ได้ลาภโดยธรรม ลาภธัมมิกา เอามารวมกันอย่างนี้ พัฒนา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ปฏิบัติตามศีลที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราปฏิบัติ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีลก็เสมอสมานกันไป คนที่เขาทำได้ เรายังทำไม่ได้ ก็เกื้อกูลกัน เคารพกัน รักกัน ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง อาตมาว่าได้นำคำสอนพระพุทธเจ้ามาขยายความ ยืนยันให้พวกคุณเข้าใจ แล้วก็ได้ปฏิบัติ ได้มรรคได้ผลตามที่มันเป็นจริง จนเกิดมรรคเกิดผลในชีวิต จนชีวิตของพวกคุณนี้ เอาไปเอามาก็มาอยู่รวมกัน คนนี้ปักษ์ใต้ คนนี้ปักษ์เหนือ คนนี้ปักษ์อีสาน ปักษ์กลางก็แล้วแต่ ก็อยู่ บางคนก็อยู่ไกล แต่ก็มีต่างประเทศนะ เป็นคนไทย มีเชื้อจีนบ้าง เชื้อแขกบ้าง คงไม่มีใครมีเชื้อโควิดนะ ก็ดีแล้ว มีเชื้อแขก เชื้อไทย เชื้อจีน ก็ว่ากันไป แล้วก็มามีชีวิต โดยเป้าหมายเราจะเดินทางไปสู่ความตาย เราเห็นว่าชีวิตเรา กลุ่มนี้แหละ มนุษย์กลุ่มนี้ คนกลุ่มนี้แหละ มีวัฒนธรรม มีการพากันประพฤติปฏิบัติไป เราอยู่ด้วยได้นะ ถ้าเราจะมาอยู่ด้วยก็อยู่ได้ เราอยู่กับหมู่นี้ดีกว่า แต่ก่อนนี้เราก็อยู่เดี่ยวๆ อยู่ตามความคิดของเราเป็นเอก เสร็จแล้วเราก็เป็นเจ้าใหญ่เลยในบ้าน หาเงินหาทอง สร้างอำนาจบาตรใหญ่ของเราไปตามประสาเราไป แล้วคนส่วนใหญ่เขาก็เป็นอย่างนั้นจนกว่าเขาตาย แต่พวกเรานี้ถอดตัวถอดตน ปัดโธ่ ชีวิตของเราก็เป็นแค่นั้น ยิ่งมีระบบ สาธารณโภคี มีระบบที่ร่วมกันรวมกัน ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน เป็นของตนอะไรกันมากมาย มีอะไรก็อาศัยช่วยกัน สร้างสรรไป บูรณะไป เก็บกวาดกันไป อะไรที่จะพอเก็บกวาดกันได้ อะไรไม่พอก็สร้างขึ้น อะไรที่ทำขึ้นได้แล้ว มันเจริญของมันไป เช่นเราปลูกพืชผัก มันก็ทำของมันต่อ อย่างเช่นหน่อไม้มันก็ขึ้นของมันโตของมันเราก็เก็บเงินมากินมาแจก ซึ่งคนเรามีภูมิปัญญามีความรู้ความเข้าใจ โดยที่เราไม่ไปหลงโลกเขา อ้าขาผวาปีก ว่าเราจะต้องไปรวยอย่างนั้น ระดับอย่างนั้น เราจะต้องไปได้มีอลังการ มีวัตถุแบบนั้นแบบนั้น เราเห็นแล้วว่าเราพอแล้ว ไม่ต้อง แต่ก่อนนี้เราก็ไขว่คว้า ตามคิดว่า..แหม!..เราน่าจะได้ น่าจะมี แล้วก็ได้มาบ้างไม่ได้บ้าง ก็เห็นแล้วว่ามันได้มันจะต้องได้ต่อ จนกระทั่งมาถึงวาระนี้ รู้จักพอ รู้จักหยุด รู้จักขอบเขตแล้วก็ลดลง ลดลง มีสันตุฏฐิ อัปปิจฉะ พอ น้อยลงๆๆ จนกระทั่งมาถึงขนาดนี้ แต่ละคนอยู่ มี สันตุฏฐิ อัปปิจฉะ มีพอ มีน้อยลงๆๆ จนกระทั่งได้ที่ แล้วก็อาศัยสิ่งที่น้อยที่เราอาศัย อาศัยสิ่งน้อยๆนี้ แค่นี้พอแล้ว จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านย่นย่อเข้าไปสรุปที่ ปัจจัย 4 มีบริขาร มีองค์ประกอบบ้าง เครื่องอาศัยพอสมควร ทุกวันนี้เราก็พอ พอทั้ง ปัจจัย 4 ทั้งบริขารที่เป็นอยู่ บางทีบางครั้งเราก็บอกว่า เราน่าจะมีอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ก็น่าไป เห็นว่าควรก็เอา โอ้ มันมากไป แล้วไม่ควรก็ไม่ต้อง ถ้าเป็นไปได้ก็ทำ ทำแล้วมันก็เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะตัวเราเองไม่ต้องเป็นของตัวของตนนี่นะ คนที่วางตัวนี้ได้แล้ว อย่างพวกคุณเข้ามาอยู่ในนี้ โอ้โห มันสบายแล้ว เบาแล้ว นอกนั้นก็มาช่วยกัน ดูองค์ประกอบที่ควรจะมีไป ของตัวของตนไม่ต้องไปกังวลเลย ทุกวันนี้มันพอ แค่เรามีนี้ แต่ละคนที่มีนี้ ซึ่งไม่ได้มีใครอยากจะได้อะไรมากมายเกินไปในแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสาว ไม่ว่าจะแก่ ใช่ไหม เข้าใจสภาวะธรรมคำว่า เอ้อ.. มันพอ แล้วมันก็น้อยแล้วนะ ขนาดนี้ น้อยกว่านี้ได้อีกไหมถ้าได้ก็ทำ 0 โน่นแหละ น้อยที่สุด อะไร 0 ได้ก็ 0 อะไรมัน 0 ไม่ได้ เช่นไม่ต้องนุ่งผ้าเลย มันไม่ไหว 0 อย่างนี้ไม่ไหว มันมากไป เราก็รู้ความเหมาะความควร หรือแม้ว่า มีเสื้อผ้านี่แหละ มีชุดแค่นี้ พอไหม ขณะนี้ อย่างพวกเรา มีเสื้อผ้าที่ใช้แต่ละคน เท่าที่มีอยู่นี้ใช้ไปจนตายได้ไหม…ได้ แฟชั่นใหม่อะไรที่เขาจะมีเราก็เข้าใจ แล้วก็ไม่กระดี๊กระด๊าที่อยากจะไปมีอะไรอีกหรอก นี่คือ ปัจจัยสำคัญของชีวิตนะ เครื่องนุ่งห่ม เงินทองข้าวของนั้นยิ่งสบายกว่านี้เยอะเลย แต่ก่อนนี้โอ้โห มักได้ใคร่ดี อยากจะได้มากมาย อยากจะรวยมากๆ แต่ ผู้ที่หยุด แค่ ไม่ต้องไปวิ่งไล่ สะสมเงินทองกับใครอีกแล้วนี่ ชีวิต ตัดอันนี้ได้ แค่นี้ก็สุขสบายแล้ว นอกนั้นก็มีชีวิตอยู่กับประจำวัน วันๆ เราจะสร้างสรรอะไรมากินมาใช้มาอาศัยไป นี่มันเป็นความตั้งอยู่ เป็นเครื่องอาศัยของชีวิตเรา พอดีแล้ว พอดี พอเพียง ศัพท์ในหลวงบอกพอเพียง แค่นี้ก็พอ พอดี ทุกวันนี้พวกเราจึงสบ๊ายสบาย รู้สึกว่า เราเองไม่พอหรือเราเหลือเฟือ … โยมตอบ เหลือเฟือ .. ชีวิตพวกเราจะเห็นได้เลยว่า เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เราพอพอ ไม่พอ หรือเหลือเฟือ แค่นี้เราก็ตัดสินให้ตัวเราเองได้แล้วว่า ถ้าหากชีวิตเราเหลือเฟือ ผู้นี้เป็นเศรษฐี ใช่ไหม มีเท่านี้ก็เหลือเฟือแล้วก็คือเศรษฐี ถ้าหากผู้นี้มีแสนล้านอยู่ยังไม่พอ โอ้ จนชิบหายเลยผู้นี้ เห็นชัดเจนไหม ในสภาวะจิตของคนว่าคนนี้ทำไมจนไม่รู้เสร็จเลย มันมีแสนล้านแล้วนะมันยังบอกไม่พอ มันจนไม่รู้เสร็จเลยคนนี้จนไม่เสร็จ มันจะมีไปอีกเท่าไหร่ถึงจะพอ ทำไมมันจนไม่รู้จักเสร็จ เราจะเห็นว่าความโง่กับความฉลาดนี้ มันอยู่ตรงไหน ชีวิตของคน ใครเขาว่าพวกคุณโง่ เจ็บปวดไหม …โยมว่า ไม่ .. ทำไม? เขาบอกโง่อยู่ชัดๆ ถ้าฉลาดก็ต้องไปหาทางรวยๆๆๆ หมื่นล้าน แสนล้าน อย่างที่เขาเป็นกันทั่ว ส่วนใหญ่เขาต้องเป็นอย่างนั้นใช่ไหม มาเป็นทำไมกับพวกส่วนน้อย ทำไมไม่ฉลาด คนฉลาดส่วนใหญ่เขาฉลาดใช่ไหม พวกโง่ ส่วนน้อย สมณะฟ้าไท… เราพวกลดความโง่ อาตมาจะพูดอย่างไร (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะฟ้าไท… พวกเราเข้าใจแล้ว เราเคยเป็นอย่างพวกเขา เขาจะบอกว่าเราโง่ เราก็เคยเป็นอย่างเขามาแล้ว แต่คุณยังไม่เคยเป็นอย่างฉัน จะว่าฉันโง่ได้อย่างไร คุณรู้ข้างเดียว ก็รู้ทั้ง 2 อย่าง พ่อครูว่า… เคยมีแสนล้านแล้วหรือ สมณะฟ้าไท… เคยมีน้อยก็พอแล้ว แค่นั้นก็จะตายแล้ว พ่อครูว่า… รู้แล้ว ทุกข์ฉิบหายเลย โอ้โห นี่เป็นสัจจะที่คนอย่างพระพุทธเจ้านี่แหละค้นพบแล้วก็เอามาขยาย จนกระทั่งมาทำให้คนรู้ตาม อย่างพวกเรานี่รู้ตามและเป็นไปได้ _สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · ประทับใจโรงบุญปันสุขบ้านราชเมืองเรือ แบ่งพืชผลผักพันธุ์ธัญญาหาร ชาวแม่มูนเจริญสังคหวัตถุธรรม-พรหมวิหารธรรม รวมไทยหัวใจจิตอาสาในพระราชทานฯ พึ่งตนพึ่งพิงพึ่งพากันและกัน ฟันฝ่าอุทกภัยผ่านพ้นวิกฤติภัยไปด้วยกันทุกหมู่เหล่าฯ สาธุ😷🍀🚣🌿😷 อัตตวาทุปาทานกอดกระดาษกับตัวหนังสือ _สินพุทธ สุขพูล · กราบนมัสการพ่อครู สมณะโพธิรักษ์อย่างสูงครับ ผมได้ฟังธรรมะพ่อครูฯแทบจะไม่ได้ขาดเลย เท่าที่ผมตั้งข้อสังเกต พ่อครูฯจะเทศน์เรื่องศาสนากระแสหลักในประเทศไทย ไม่ใช่ไปนั่งหลับตากัน พ่อครูฯสอนธรรมะให้ลืมตาปฏิบัติธรรมกัน ตรงนี้ผมเข้าใจชัดและไม่ติดใจอะไร เข้าใจได้ครับ ที่พ่อครูฯสอนธรรมะต้องปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 จรณะ 15 ผมเข้าใจอย่างชัดเจนในประเด็นนี้ เพียงแต่ผมสงสัยว่า ทำไมพ่อครูฯไม่กล่าวถึงพุทธวจนะบ้าง ซึ่งผมก็เคยศึกษามาบ้าง เมื่อในอดีตแต่ผมไม่ติดเลย แต่อยากจะทราบความเห็นของพ่อครูฯบ้าง ซึ่งเป็นกิเลสของผมครับ อยากจะรู้หลายๆมุม ที่พ่อครูฯ สอนธรรมะในแนวของพุทธวจนะบ้าง ว่ามีส่วนผิด-ถูกระดับไหน ซึ่งผมจะเอาไปใช้และเข้าใจพุทธวจนะให้มากกว่านี้เพราะพุทธวจนะนั้น ตอนนี้กระแสคนนิยมค่อนข้างเยอะพอควรเลยครับ เท่าที่ผม สังเกต แต่ผมนั้นไม่ติดเลยเพราะไม่ถูกจริตผม…ผมมาติดธรรมะของชาวอโศกซะมากกว่า อันนี้ผมไม่ได้พูดชมนะครับ ผมพูดจากความรู้สึกจากใจจริงๆ ว่า ธรรมะที่พ่อครูฯสอนนั้น ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ แต่ผมอยากจะทราบมุมๆอื่นบ้าง เพราะพ่อครูฯ พูดถึงแต่สายนั่งหลับตามาเยอะแล้ว ขอเป็นพุทธวจนะบ้างจะได้ไหมครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูฯ ล่วงหน้าครับ พ่อครูว่า… อ้าว คุณยื่นดาบมาให้ก็เอา ฟัน พุทธวจนบ้าง อาตมาไม่ได้ไปตอแยกับพุทธวจนมากก็เพราะว่า ถ้าไปตอแยไปแตะเขา เขาก็จะยกพุทธวจนมายืนยัน แล้วยืนยันตามที่เขาเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ต้องหมายความว่าอย่างนี้ ซึ่งอาตมาไม่เชื่อว่าเขาจะเข้าใจ ที่เขาเข้าใจนั้นจะตรงกับอาตมา แต่ อาตมาเชื่อสนิทเลยว่า เขายึด พุทธวจน อย่างเหนียวแน่น เพราะฉะนั้นอาตมา ถ้าพูดไปแล้วมันก็จะแย้งได้ทั้งอย่างหยาบ กลาง ละเอียด ไปอีกเยอะเลย อาตมาแย้งได้ แล้วอาตมามั่นใจว่าอาตมาแก้ไขเขาไม่ได้ เพราะเขาติดอยู่ในพุทธวจน พุทธวจนเป็นศาสดาของเขาแล้ว กระดาษตัวหนังสือเป็นศาสดาของเขาแล้ว แล้วเขาจะเอาคำแปลที่เขาเข้าใจเป็น Concept ของเขาแล้ว เขาคิดถึงอันนั้นอาตมาไปแก้ไขเขาไม่ได้ คนกลุ่มนี้ก็จะมีจริตอย่างนี้ อาตมารู้จักพวกนี้อาตมาไม่อยากไปแตะ เพราะเขากอดตัวหนังสือหรือพยัญชนะหรือว่าตำราเที่เอามารวบรวม ขนาด พระพุทธสาวกเขาไม่เอานะ เขาเอาแต่พระพุทธวจน นะ เขาเลือกเฟ้นเลยนะ เพราะฉะนั้นคนนี้ อัตตายึดติด พระพุทธเจ้า อื้อหือ! หนัก อาตมารู้อันนี้ลึกๆ เพราะฉะนั้นอาตมาไม่เสียเวลากับคนชนิดนี้ ปล่อยให้เขาเข้าใจไป ถ้าเขาเข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ ความหมายที่เขาเรียนพุทธวจนพระพุทธเจ้า แล้วเขาเข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ มันจะมาตรงกันกับของผู้ที่เขาถูกต้องจริง เช่น อาตมาว่า อาตมาถูกต้องจริง เขาก็จะมาตรงกับอาตมา อาตมาก็จะตรงกับเขา แต่อาตมาเชื่อว่าอย่างไรมันก็ไม่ตรง เพราะฉะนั้นอาตมาไม่เอา อาตมาเชื่อว่าที่อาตมาพูดนี้ตรง และพุทธวจนอาตมาก็อาศัยอยู่นะ ไม่ได้ไปทิ้งพุทธวจน แต่อาตมาไม่ได้หลงติดยึดพุทธวจนอย่างที่เขาติดยึดเลย จะเห็นได้ว่ามันต่างกันนะ เขาใช้พุทธวจนหรืออาศัยพุทธวจนอย่างขนาดไหน กับอาตมา เพราะอาตมาจะอนุโลมปฏิโลมกับมนุษยชาติอยู่ แต่เขานั้นเหนียวแน่น _สู่แดนธรรม… อย่างนี้ถือว่ามีอุปทานในทิฏฐิได้ไหมครับ พ่อครูว่า… ใช่ ทิฏฐุปาทาน สุดยอด อาตมาก็ต้องปล่อยไปตามที่เขาเป็น แก้ไม่ได้ แตะไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ เสียเวลา ซึ่งพูดไปก็แย้งกันเปล่าๆ หรือว่า ถึงขั้นทะเลาะนั่นแหละ แต่อาตมาไม่ทะเลาะด้วย เพราะถ้ามีเหตุปัจจัยจะไปทะเลาะ อาตมาก็ไม่เริ่ม อาตมาจะเริ่มตำหนิหรือแย้งกับผู้ที่ทะเลาะอาตมาไม่ไหว แต่นี้อาตมาเชื่อว่าเขาจะทะเลาะกับอาตมาไหว หนักด้วย อาตมาไม่เอา ไม่สู้ ยอมแพ้ก่อน แพ้ดีกว่า ไม่เอา เพราะอาตมาไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะมาเอาแพ้เอาชนะกับใคร อาตมาเป็นผู้แพ้ดีกว่า ในชีวิตนี้อาตมาไม่คิดจะไปเอาชนะใคร อาตมาจึงไม่ไปเกี่ยวข้องกับคณะพุทธวจนะ เอาล่ะพูดแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว พูดไปจะหนักกว่านี้ _วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ ที่ผมว่าผมปฏิบัติตามพ่อครูที่ว่าผมไม่ค่อยมีความทุกข์รบกวนมากนัก ไม่ใช้ผมเป็นอรหันต์นะครับ ที่ผมไม่มีทุกข์รบกวนมาก เพราะผมพยายามมีสติรู้เท่าทันอาการอารมณ์ของจิตเมื่อคิดอะไรที่เป็นกุศล อะไรเป็นอกุศลผมก็จะกำหนดรู้โทษภัยของมัน แล้วปรับอารมณ์อาการของจิตแล้วบอกตัวเองว่าอย่าเอาทุกข์มาถมตัวเองผมจึงรอดตัวครับ พ่อครูว่า… ถ้าเชื่อว่าอาตมารู้ธรรมะพ่อจะเป็นครูคุณได้ คุณก็ฟังอาตมาไป ซึ่งอาตมาได้บอกตัวเองหมดเนื้อหมดตัวไปแล้วคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าคุณเชื่อว่าคุณเองพอจะฟังธรรมะจากอาตมาได้ คุณก็เอา แต่ถ้าเห็นว่าโพธิรักษ์ก็เท่านั้นแหละ รู้แล้ว พูดวนไปวนมาก็เท่านี้ เรารู้มากกว่า เขาก็ไม่ฟังไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องมาด่า ฟังธรรมอย่างไรให้เกิดประโยชน์เกิดสัมมาทิฏฐิ _มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ : น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สุดเศียรสุดเกล้า ลูกมีคำถามดังนี้ เราควรวางจิตในขณะฟังธรรมอย่างไร จึงจะเป็นการฟังธรรมที่ประกอบไปด้วยสัมมาทิฐิ เกิดประโยชน์ต่อตน อย่างแท้จริง น้อมกราบขอบพระคุณยิ่งเจ้าค่ะ พ่อครูว่า… มันก็เคยมีคนพูด มันเคยมีคำกล่าวของ พระพุทธเจ้าด้วยว่า วางใจให้เป็นกลางๆ อย่าทำใจให้เหมือนคนมีชาเต็มถ้วย เป็นต้นอะไรอย่างนี้ เปิดใจฟังนั่นเอง 1.เปิดใจฟัง 2. อย่าเพ่งโทษ ผู้ที่เขากำลังอธิบาย มีนะ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ อย่าเพ่งโทษฟังธรรม เพ่งโทษฟังธรรม (ธัมมัง สุณาติรันธคเวสี) ฟังด้วยใจเปิดๆ ฟังธรรมะเพื่อศึกษาทำความเข้าใจกับสิ่งที่เราฟัง ที่ผู้บรรยายกำลังพูดอธิบาย แล้วมันจะเป็นอัตโนมัติในตัวเราเองว่า ที่ตัวเราเองเห็นว่า อันนี้เรารู้แล้วเราได้แล้ว อันนี้ถูก แต่พอได้ฟังอันนี้ทำไมมันแย้งกับที่เราว่าถูก เราก็จะวิจัยวิจารณ์ ถ้าหากวิจัยวิจารณ์เห็นว่า ใช่เว้ย เราเข้าใจผิดอันนี้ก็ได้นะอันนี้ก็ขอบคุณ แต่ถ้าเห็นว่าท่านผิดนะควรแย้งได้ไหม มีโอกาสไหม ก็ดูแย้งได้มีโอกาสก็แย้งดู ไม่มีโอกาสเราก็ค้นคว้าต่อไป ว่าทำไมมันไม่เป็นไปตามที่เราเชื่อ เราเห็น เราเข้าใจอยู่ ก็ติดตาม ถ้าเรายังติดใจหรือต้องการจะรู้ความจริง ความถูกต้องที่มันยิ่งกว่านั้น การศึกษาก็มีไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สรุปแล้ววางจิตวางใจ ฟังธรรมแล้วก็เปิดใจไม่เพ่งโทษ เอามาเพิ่มเติมไปตามลำดับ แก้ไขปรับปรุงไป หยุดบ้าได้แล้วสำหรับดาวติ๊กต๊อก _จรรยา ประเสริฐ · กราบนมัสการพ่อค่ะ เกิดอะไรขึ้น กับท่านสรณีโย (ครูบาเฮง ครูบาครูบุญ ดาวติ๊กต๊อก คนตามดูเป็นแสน เป็นล้าน) ท่านเคยยอมติดคุกองค์เดียว เรื่องอะไรจำไม่ได้ ตอนนี้ดูแล้วสุดโต่งทางโซเชียลแล้ว ดิฉันดูแต่บุญนิยม เพิ่งเห็นเมื่อลูกมาบอกว่า ท่านองค์นี้เคยอยู่อโศก จึงเข้าไปดูทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้ ท่านทำคอนเทนต์ ดูแล้วท่านไปไกลมากเลย (ไม่รู้ดิฉันพูดถูกหรือเปล่า) นึกถึงสมณะที่หายไป ท่านยุทธวโร ท่านสีลวัณโณ ถ้าออกไปข้างนอก ก็เสียดายมากค่ะ พ่อครูว่า… คุณก็พูดมาถูกแล้ว ท่านกำลังบ้ากำลังหลง อาตมาก็ขอเตือนนะ ท่านสรณีโย หยุดบ้า ท่านเคยยอมติดคุกคนเดียว เรื่องอะไรจำไม่ได้ ตอนนี้สุดโต่งทางโซเชียลแล้ว ใช่ คุณสุดโต่งไปทางโซเชียลมากไปแล้วท่านสรณีโย ตอนนี้ก็เป็นสัทธิวิหาริกอาตมาอยู่ เขาเห็นแล้วว่าท่านกำลังบ้า หยุดบ้าได้แล้ว อาตมาก็เห็นว่าคุณพูดถูกแล้ว ไม่ค่อยได้ดูยังรู้ได้เลย ท่านก็ยังอยู่ แต่ท่านเข้าถ้ำของท่าน คนละถ้ำ คนละรูไป ก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นธรรมดาธรรมชาติ ส่วนท่านครูบาเฮง บ้าใหญ่แล้วขอเตือน ส่วนท่านที่อยู่ในรูในเลี้ยว ไม่มีปัญหาอะไรมาก มันไม่กระจายสิ่งบ้าๆไปสู่คนเท่าไหร่ มันอยู่ของท่าน ท่านก็เป็นของท่าน อัตตาของท่าน มันก็ยังพอทำเนา แต่ก็เตือนอยู่ มันยาก ให้ออกมาสัมพันธ์เป็นสามัญปกติของมนุษย์ แต่มันไม่ จริตมันเป็นอย่างนั้นจะไปทำอย่างไร คนเราจะไปเอาตามใจเราเองไม่ได้ เราก็พออยู่กันได้ก็อยู่กันไป อยู่กันไม่ได้ก็ตัดออก อย่างที่ได้ตัดออก อย่างบางผู้บางคน เช่น หินกลั่น เราตัดออกไป เพราะถึงขั้นปาราชิกแล้ว อย่างนี้เป็นต้น จะบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ต้องมีความจริงและสาธยายได้ _สุรีย์บุตร · ทุกข์ควรกำหนดรู้ ผู้ใดเห็นทุกข์ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ….. เรา นิยตะโพธิ ที่มีลายมือเท้าดาราจักร ยังไม่หลงตัวอวดตัวขนาดนี้เลย อวด อวด อวด พ่อครูว่า… ตกลง คุณไม่หลงตัวก็ดีแล้ว ไม่อวดตัวก็ดีแล้ว ก็อยู่กับดาราจักรของคุณก็แล้วกันที่มือที่เท้านั่นแหละ หรือเป็นนิยตโพธิ ก็เอา ที่จะพูดว่าตัวเองเป็นนิยตโพธิ พูดเต็มๆก็คือ นิยตโพธิสัตว์ ต้องรู้สาระความสำคัญของโพธิสัตว์ หรือความเป็นโพธิสัตว์ขั้นนิยตโพธิสัตว์ ซึ่งอาตมาก็ได้ไล่ โพธิสัตว์ 9 ระดับให้ฟังบ้างแล้ว โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวเองต้องมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ เป็นไปได้จริงตามคุณสมบัติของแต่ละระดับ เป็นสภาวะมีขั้นชั้นของมัน มีเนื้อหาสาระของมัน แตกต่างสูงกว่ากันคนละขั้น ต้องมีจริง ไล่ได้ ยิ่งเป็นโพธิสัตว์จะรู้หรือไล่ได้ เอามาสาธยายอย่างที่อาตมาแยกแยะสาธยายให้ฟังได้ คุณบอกว่าคุณรู้ ก็ต้องเอามาสาธยายบ้างสิ ช่วยกัน ช่วยกันเปิดเผย ช่วยกันสืบสานศาสนาพระพุทธเจ้า คนมีจริงเป็นจริงก็ต้องทำจริง เป็นประโยชน์จริง แสดงออกจริง แต่คนโง่งมงาย ก็ได้แต่พยัญชนะ ได้แต่ภพชาติที่คิดว่าเราเป็นอย่างนี้ๆ เอาตัวเท่ๆ ภาษาโก้ๆ มาใส่ตัวเอง ช่วยกันพระพุทธเจ้าอะไรนะ พระศรีอริยเมตไตรย นี่ บอกว่าเป็นพระศรีอาริยเมตไตรยมาเกิด พูดอย่างนี้ออกมา คนนี้ก็ขี้ฟันร่วงออกมาจนเหม็นฉึ่ง คือ แสดงความโง่เง่าของตัวเองที่ไม่รู้อะไรเลย บอกว่าตัวเองเป็นพระศรีอริยเมตไตรย คือ ไม่มีความรู้อะไรในเรื่องพุทธศาสนาเลยที่คนพูดอย่างนั้นออกมา แสดงออกมาได้ยังไง ยุคนี้ศาสนาพระพุทธเจ้า ในกัปของพระพุทธเจ้าสมณโคดมอยู่เลย แล้ว พระศรีอริยเมตไตรยจะมาเกิดในยุคนี้แล้วก็เล็กกว่าพระพุทธเจ้าสมณโคดม มันขี้ฟันเน่าๆร่วงกราวๆเหม็นฉึ่ง จะบอกว่าตัวเองเป็นนิยตโพธิสัตว์ ถ้ามันจริงก็เป็นประโยชน์ เอามาทำสิ อย่าพูดให้คนเขาเห็นว่า โธ่ มันอวดขี้โม้เหม็นขี้ฟัน ไม่เข้าใจสาระ สู่แดนธรรม… หากใครเป็น นิยตะดังกล่าจริง มีชีวิตอยู่ในประเทศไทยด้วย ประวัติสังคมจะรู้จักเขา รู้ว่าเขามีปัญหาใหญ่โตขนาดไหน แล้วเขาแก้ปัญหาได้ขนาดไหน อย่างพ่อท่าน ทำปัญหาให้แก่ มหาเถรสมาคมจนสั่นสะเทือน แล้วพ่อท่านก็เอาชนะมหาเถรสมาคมด้วยการยอมแพ้ ถ้าอย่างนี้ มีใครทำได้ พ่อครูว่า… คมบาดเลย ชนะด้วยการยอมแพ้ จริง นี่เรื่องจริง ก็ติดตามดีๆ ธรรมะพระพุทธเจ้ามีลักษณะ dialactic เป็นลักษณะสิริมหามายา ย้อนแย้งอยู่ในตัว อย่างยิ่งใหญ่ ฟังแล้วก็ไปติดตามดู _วิมล เจวรัมย์ · กราบนมัสการพ่อครู ตอนมาฟังธรรมใหม่ๆ ปี2524 ก็ยังมีความลังเลสงสัยมากมาย แต่พอฟังที่พ่อครูตอบข้อซักถามของนายพวง พันธุลาภที่เขาถามพ่อครูว่าใครมาปฎิบัติที่สันติอยู่ๆก็บวชแล้ว ถ้าคนมาบวชหมดแล้วพ่อครูจะทำยังไง อยากให้พ่อครูทวนให้ฟังอีกสักครั้งได้ใหม?คะ กราบขอบพระคุณค่ะ พ่อครูว่า… เขาเอาคำพูดอาตมาที่อาตมาสอนแล้ว เพราะคนฟังธรรมะอาตมาแล้ว คุณไปปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วมาอยู่สันติอโศกหมด ฟังแล้วมาบวชหมด แล้วอาตมาจะทำอะไรจะเลี้ยงไหวไหมนี่ คือจริงๆแล้วมันเป็นคำพูดที่โอเวอร์ คำพูดที่เกินไป มันเป็นไปไม่ได้หรอก ใครฟังธรรมที่อาตมาพูดไปแล้วแล้วก็มาปฏิบัติ แล้วบวชหมด ปัดโธ่เอ๊ย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องไปพูดอะไรให้มาก สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยตอบว่า เอาตัวคนที่ถามมาบวชก่อนสิ คุณจะบวชตลอดชีวิตได้ไหม คนถามก็ยังไม่กล้ามา แล้วจะหวังให้คนอื่นมาได้ยังไง พ่อครูว่า… เก่งๆ พวกคุณเข้าใจแล้วจำได้ อาตมาก็ย้อนอย่างนั้นเขาก็จำนน เอาที่คุณก่อน อย่าไปคิดว่าคนอื่นจะมาบวชหมด ยุคนี้พระศรีอริยเมตไตรยยังไม่มาเกิด _แจ๊ค สิ้น หวัง · พระศรีมาเกิดรึยังครับ พ่อครูว่า…เขาคงหมายถึงพระศรีอริยเมตไตรย ตอบว่า ยัง เป็นคำตอบที่ถูกต้อง คำว่าศรีอริยเมตไตรย คนยังไม่เข้าใจได้ง่ายๆว่าหมายถึงอะไร มันหมายถึงว่าพระพุทธเจ้าในอนาคต ทุกองค์นั่นแหละ มันเป็นตำแหน่ง ตำแหน่งของพระพุทธเจ้าองค์ข้างหน้า องค์ไหนที่เกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็คือพระศรีอริยเมตไตรย เมื่อเกิดพระพุทธเจ้าองค์นั้นแล้วก็จะมีตำแหน่งไปข้างหน้าอีก ใครไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็คือพระศรีอาริยเมตไตรยองค์ต่อไป แล้วก็มีพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วก็ยังมีพระศรีอริยเมตไตรย ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปทั้งนั้น เป็นภาษาอนาคต คนที่บอกว่าตัวเองเป็นพระศรีอาริยเมตไตรยมาเกิดในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งนั้นที่ยังอยู่นั้น คนนั้น ยังไม่รู้เรื่อง ยังไม่เข้าใจพุทธศาสนา จะมีพระพุทธเจ้ามาเกิด 2 องค์ได้อย่างไร องค์นี้ยังไม่หมดเนื้อของพระพุทธเจ้าเลยมันเป็นไปไม่ได้ พุทธเจ้าก็ตรัส ก็คือเป็นเรื่องความปรารถนาใหญ่ของคนที่จะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรยมาเกิด เป็นคนหลง เป็นคนไม่รู้เรื่อง โง่ๆ หลงตัวเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไม่ต้องพึ่งพระเจ้า _อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · เรียนถามพ่อครู 1.คำว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนกับ 2.จงช่วยตัวเองก่อนแล้วพระเจ้าจะช่วยท่านหรือ 3.ให้พระเจ้าช่วยลูกเดียว 3 ตัวอย่างนี้อันไหนถูกต้องครับ พ่อครูว่า…คุณว่าข้อไหนถูกต้อง เทวนิยมเขาจะบอกว่าข้อ 3 นี่แหละพระเจ้าช่วยลูกเดียว บอกว่า อันนี้ถูก ทุกอย่างพระเจ้าช่วยทั้งนั้น หรือพระเจ้าจะลงโทษก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ข้อ 1 ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อันนี้เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คำว่า จงช่วยตัวเองก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วยท่านที่เป็นคำสอนของศาสนาคริสต์ ศาสนาพระเจ้าเขาเหมือนกัน ฉลาดนะ อันนี้ถูกต้อง พุทธเจ้าสอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจนเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ คำที่ว่าช่วยตัวเองก่อนแล้วพระเจ้าจะช่วยก็ถูกอีก เพราะฉะนั้นช่วยตัวเองพ้นทุกข์จบกิจแล้ว พระเจ้าก็ไม่ต้องมาช่วย เสร็จแล้ว ก็ต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเสร็จแล้ว ส่วนที่บอกว่าพระเจ้าจะช่วยทุกอย่าง อย่างนั้นเป็นเทวนิยม หรือไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีอิสรเสรีภาพ จะทำอะไรจบสูงสุด หมดได้ ก็เป็นศาสนาที่ไม่สมบูรณ์ เป็นศาสนาที่ยังไม่จบกิจ เป็นศาสนาที่ยังไม่เสร็จสิ้น เวทนา 108 คือกรรมฐานของพุทธ _ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ คือเกิดมาเป็นคนมีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา แล้วยังมายึดมั่นถือมั่นอีกโดยถือโลกธรรมเป็นใหญ่อีก ผมจึงขอสัมมาทิฎฐิจากพ่อท่านด้วยครับ กราบนมัสการขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งครับ พ่อครูว่า… มันลึกซึ้งนะ คำตรัสของพระพุทธเจ้าแค่นี้ก็เถอะ คนเราเกิดมานี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าก็เป็นธรรมดา มีความเกิดเป็นธรรมดา ความแก่เป็นธรรมดา ความเจ็บเป็นธรรมดา ควาตายเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาก็หมายความว่า เป็นปกติสามัญ มันจะต้องเป็นอย่างนี้ เป็นตถตา มันจะต้องเกิดมา แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บป่วย ผู้ที่ไม่เจ็บไม่ป่วยเลย การเกิดมาแต่ละชาติและไม่เจ็บไม่ป่วยนี่ โอ้โห สุดยอด เป็นผู้ที่หลุดพ้น ชีวิตนี้ปลอดโปร่งมาก ความตายเป็นธรรมดา สุดท้ายก็จะตาย ความตาย ตายไม่จริง ความตายนี้ตายไม่จริง คำว่าตายคำนี้ ภาษาไทยว่าตาย ก็รู้กันดีว่าตายคือสิ้นลมหายใจ แล้วก็เอาไปใช้ในทางภาษาธรรม ว่ามันคือตาย คือสิ้นหมด หมายถึงกิเลสสิ้นหมด คือตาย แล้วก็ไปเข้าใจว่ากิเลสหยุด มันแค่หยุด มันแค่พักยก หยุด ก็ไปเชื่อว่ามันตาย โดยไม่เข้าใจ สายนั่งหลับตาหรือว่าสายที่เกิดใช้ตรรกะ เออมันก็เป็นเช่นนั้นเอง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ใช้คาถา ใช้ภาษาพวกนี้แล้วก็วาง จิตเขาวางอย่างสายท่านพุทธทาส วาง วาง อันนี้คือสมถะลืมตา วาง วาง วาง สายท่านพุทธทาส อย่าไปคิดมัน ซึ่งผิด พระพุทธเจ้าท่านใดรู้จักมีสติรู้ว่ามันคิดอย่างนี้ มีเหตุปัจจัยอย่างนี้ แล้วมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยให้ดี วิจัยให้ออกเลยว่ามันมีประกอบไปด้วยสังขาร นี่แหละมันเป็นจิตวิญญาณ แยกแล้วจะเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จับคู่ทีละคู่ เรียกว่านามรูป นามรูปรวมกันก็จะเป็นอายตนะ ก็ปฏิบัติอายตนะนี่แหละคือตัว 2 มันจะปรุงแต่งกันเนียนมากเลยอะนะ ถ้าไม่รู้มันก็จะกลายเป็นตัวแท่งก้อน เป็นตัวเวทนา เป็นตัวตัณหาอุปาทาน ภพชาติ อยู่ในนี้ทั้งหมด ผู้ที่สามารถแยกอายตนะเป็น 2 ได้ จะเห็นว่ามีเวทนา เมื่อมีผัสสะเกิดเวทนา เกิดความรู้สึกเมื่อมีการสัมผัส เมื่อมีการสัมผัสปั๊บ มันก็จะเกิดเวทนาให้เรารู้ ปรุงแต่งปุ๊บ เป็นเวทนา เป็นอารมณ์ รวมเป็นหนึ่งเลย เอกสโมสรณา ในตัวอัตโนมัติ รวมแล้วโดยอวิชชา เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นได้ 3 แง่ นี่คือ 3 แง่ของเวทนาคู่แรก พระพุทธเจ้าท่านสอนเวทนา 108 มี 2 แง่ก่อน คือ กายิกเวทนา กับเจตสิกเวทนา มีกาย เกี่ยวข้องกับข้างนอก เรียกว่า กายิกเวทนา กาย เกี่ยวข้องกับภายนอกมีธาตุรู้ร่วมกันกับข้างนอกเป็น 2 คำว่า กาย คำนี้แหละ มันจะเป็นอย่างเดียวเฉพาะร่างภายนอกไม่มีจิตไปร่วมเลย ไม่ได้ อันนี้แหละคือต้องสัมมาทิฏฐิในคำว่า “กาย” คำนี้ให้ได้ ถ้าสัมมาทิฏฐิตัวนี้ไม่ได้ เริ่มต้นสัมมาทิฏฐิตัวนี้ไม่ได้ แล้วก็นำมาเรียนรู้กับตัวเอง เรียกว่า สักกะ เข้าใจกาย หมายถึงสภาพภายนอกภายใน มีสัมผัส ต้องมีผัสสะ มีภายนอกภายในตลอด แล้วจะมีตัวที่ 3 รวมเป็นกิเลส มีจิต มีรูปนาม แล้วมีกิเลส ก็จัดการกิเลสออกให้ได้ก็คือทำเวทนานั่นแหละ มันปรุงแต่งเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ได้ทั้ง 3 แง่ เพราะฉะนั้นเวทนา 3 นี่แหละมันจะเกิดจากเหตุปัจจัย 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมันสัมผัสกันปรุงแต่งกันมันจะเกิดมีอาการ ของ สุข ของทุกข์ ซึ่ง หยาบภายนอก แล้วเรียกภายในอีกคู่ว่า โสมนัส โทมนัส แล้วอุเบกขาอีกอัน มันคือน้ำหนัก ดีกรีของความรู้สึก แยกให้เห็นเป็น 5 ระดับ ทุกข์สุข โทมนัส โสมนัส อุเบกขา นี่คือเวทนา 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้เกิดกิเลสใกล้จะเกิดน้ำหนักของกิเลสแล้วรู้สึกเป็นเวทนาสุขทุกข์ โทมนัสโสมัสหรืออุเบกขา มากหรือน้อยท่านทำไว้ 5 ระดับ จะมากกว่านี้ด้วยซ้ำแต่ก็ให้รู้ขั้นหยาบนี้ไปก่อน 5 อย่างนี้คือ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ สุขมาก ทุกข์มาก หรือโทมนัสโสมนัส ไม่สุขไม่ทุกข์ก็คือ อุเบกขา เกิดจากอะไร ก็เกิดจาก 6 ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน ทั้งหมด ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบไปเป็นคู่ ข้างนอก 5 คู่ หยาบ ต้องทำ เรียนรู้ก่อน ละกิเลสนี้ให้ได้ก่อน เมื่อกกิเลสภายนอกได้ก่อนกระทบอย่างไรกิเลสภายนอกก็ไม่เกิด แต่มันจะเกิดภายในเป็นรูปหรือเป็น อรูปที่เหลือ คุณก็ล้างไปตามลำดับ ไปนั่งหลับตา กิเลสภายนอกไม่ได้ทำเลย ยังไม่ปอกเปลือกทุเรียนแล้วจะกินเนื้อทุเรียน ขบเข้าไป ปากแตกปากพองไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้จะแก้ไขยังไงกับพวกที่ทำไม่รู้ลำดับ ลำดับนี้ สำคัญมากเลยนะ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่สามารถทำ 6 ทวารนี้ แล้วก็เรียนรู้การ สัมผัสแต่ต้องปรุงแต่งเป็นสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ หกคู่ สามนัยยะ คือ สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ 6 คู่ ก็เป็น 18 อาการ เรียกว่ามโนปวิจาร 18 เป็นของโลกีย์เรียกว่า เคหสิตเวทนา มี 18 มีกิเลสผสมร่วม แม้แต่อุเบกขาก็เป็นกิเลสมันเฉยอย่างมีกิเลส ทำให้มันเฉยๆอย่างโง่ๆ อย่างมีอวิชชา ทำให้มันอยู่เฉยๆ ด้วยการสะกดจิตบ้าง มันเฉยๆด้วยการอัตโนมัติบ้าง ลืมตา ทำให้มันเฉยบ้างหลับตาทำให้มันเฉยบ้าง เป็น เคหสิตะ นอกนั้น ข้างในเรียก โสมนัสโทมนัส รวมกันอย่างหยาบคือ ไม่ทุกข์ไม่สุข ถ้ายังมีกิเลสอยู่ เราก็เรียนรู้ซะ แล้วเรียนแยกกิเลสให้ได้ เอามันออก เรียกว่าเนกขัมมะ เรียนรู้แยกกิเลสให้ออกในเวทนา ในอารมณ์ที่เรากระทบสัมผัสอีกที ถ้าไม่เปิดตากระทบไม่เปิดหูจมูกลิ้นกายใจ ใจเอาไว้ทีหลัง เป็นคู่หลังสุด ตาหูจมูกลิ้นกายนี้เรียนรู้ 5 ทวารนอกก่อน แล้วเรียนรู้ทำให้กิเลสดับ ถ้าไม่ทำอันนี้ก่อน ก็ ไม่มีประตูจะบรรลุธรรมไม่ว่าจะคนไหนก็แล้วแต่ รู้จักตาหูจมูกลิ้นกายกระทบสัมผัสทีละคู่ๆๆ แล้วมันก็กระทบอยู่ตลอดเวลาเลยนะ เยอะแยะไปหมด หูก็ได้ยินเสียงพร้อมกับตาได้เห็น ดีไม่ดีได้กลิ่นด้วยนะ กลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็น เพราะฉะนั้นเราเรียนรู้เวทนาในเวทนา เป็นกรรมฐาน เป็นฐานในการปฏิบัติ ในการกระทำ ในการปฏิบัติ จะไปเรียนรู้ในวิสุทธิมรรค มีกสิณ 40 พวกนี้เป็นเรื่องนอกรีตหมด ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าสอนหรอก รวบรวมมาจากเกจิอาจารย์เป็นอรรถกถาจารย์มารวมไว้ แล้วก็เรียนกันไป เสียเวลาเปล่าๆ มันเป็นสมถะ ของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสมถะอย่างนั้น ลืมตามีจรณะ 15 วิชชา 8 อันนี้สัมมาทิฏฐิ อันนี้มิจฉาทิฏฐิ เมื่ออาตมาเอามาพูด เขาก็เห็นว่าแปลก ไม่มีอาจารย์คนไหนพูด ใช่ เพราะมันเสื่อมไปหมดแล้วโลกุตรธรรมของพุทธเจ้ามันไม่เหลือแล้วในยุคนี้อาตมาเอามาพูดขึ้น เพราะฉะนั้นอาตมาจึงจำเป็นมากเลย แล้วอาตมาชื่อว่าอาตมาไม่ได้เข้าใจผิด อาตมาเข้าใจถูกแล้วว่าจริงๆด้วย มันได้เพี้ยนได้ผิดไปจนกระทั่งต้องเอากลับคืนมา เรียนรู้พัฒนา 108 ให้สมบูรณ์แบบนี้แหละ มันจะเข้าใจง่ายๆนะที่จะแยกแยะมาสาธยายให้รู้ว่า เวทนา 108 คืออะไร แล้วมันจะเอาไปปฏิบัติอย่างไร จะได้สภาวะอย่างเป็นลำดับอย่างไร คนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า หากไม่สามารถแยกแยะ เวทนาตนเอง อ้อ อันนี้เป็น เคหสิตะ เป็นโลกียะ ถ้าเราสามารถจับกิเลสได้แล้วเอากิเลสออกได้ มันก็เริ่มเป็นเนกขัมมะ ก็ 18 นี่แหละ เวทนา ทำให้เป็นเนกขัมมะ สำเร็จผลสำเร็จผลเป็นอุเบกขาสุดท้ายก็กิเลสหมด เป็นสัมมาทิฏฐิ อุเบกขาของเคหสิตะ มันเป็นมิจฉาทิฐิ อุเบกขาแปลว่า บริสุทธิ์ มีจิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มีองค์ธรรม 5 บริสุทธิ์จากกิเลส เหนือชั้นกว่าไม่มีสุขไม่มีทุกข์ บาลีไม่มีสุขไม่มีทุกข์ก็คือ อทุกขมสุข หรือยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ ทำกดข่ม ทำลืมๆ สมถะลืมตาบ้าง อยู่กับจิตว่างบ้าง อยู่กับความไม่ยึดมั่นถือมั่นบ้าง มันก็พอได้ อทุกขมสุข พอได้ ทำเก่งๆก็ได้ แต่มันทำได้ยากกว่า เป็นนักสะกดจิต สะกดจิตมันง่าย ไปนั่งหลับตาก็สะกดจิตได้ง่าย แต่ถ้าออกมา มันสู้พวกลืมตาไม่ได้พวกลืมตาก็ทำได้เก่งกว่าในขณะลืมตา แต่ไปนั่งหลับตาถ้าไม่ฝึก สู้พวกนั่งหลับตาไม่ได้หรอก ถนัดกันคนละอย่าง แต่ของพระพุทธเจ้าไม่เกี่ยวกับหลับตาลืมตา เกี่ยวกับให้เรียนรู้ที่สัมมาทิฏฐิ รู้จักเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วมาจับตัวเวทนาเป็นตัวหลัก พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสเอาไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… ที่ว่า ไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาไม่เป็นฐานที่จะปฏิบัติได้ สมณะฟ้าไท… เรื่องนี้เขาเรียนรู้มาผิดหมดพ่อครู อธิบายมาเขาก็บอกว่าไม่เหมือนเขา ที่ผ่านมาตัวเองจะไม่ประกาศว่าเป็นอรหันต์มีแต่ลูกศิษย์ลูกหาบอกให้ แต่พ่อครูสามารถอธิบายแจกแจงได้ทุกอย่าง สังคมของคนที่ตายจากกิเลสจนเป็นพระอาริยะ พ่อครูว่า… คนเราเกิดแก่เจ็บตายแล้วก็มีชีวิต ยึดมั่นถือมั่น ถือเป็นโลกธรรม มีชีวิตก็ไปหลงอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า อยู่ก็เท่านั้น มันต้องมาเรียนรู้กันจริงๆ ไม่ต้องไปแบก ลาภ ยศ สรรเสริญ คนแบกสรรเสริญ มันน่าเห็นใจเพราะเขาไม่รู้ตัวเขาได้ง่ายๆ เขาติดสรรเสริญ แล้วยิ่งสุข ยิ่งเนียนใหญ่เลย โลกียสุข เคหสิตสุข เนียน สุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกข์กับสุขเป็นเรื่องเดียวกัน เขาก็ยึดทุกข์เป็นสุขยึดสุขเป็นทุกข์ เพราะมันเป็นเรื่องเดียวกันเลย ซึ่งยากที่จะเข้าใจ คนที่ไปเข้าใจทุกข์ว่าเป็นสุข ไปยึดความทุกข์กับยึดความสุข ถ้ายึดสุขก็เป็นยึดทุกข์ เพราะฉะนั้นจึงเป็นความวิปลาสชนิดหนึ่ง เป็นคู่หนึ่งที่เรียกว่า ไปยึดทุกข์ว่าเป็นสุข ซึ่งมันมีหลอก เป็นภาษาพยัญชนะหลอก คิดถึงอาการที่เกิดขึ้นมันเป็น ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือสิ่งที่ตั้งอยู่ทนอยู่ไม่ได้มันจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย เดี๋ยวก็แปลงเป็นสุข เดี๋ยวก็แปลเป็นทุกข์มากทุกข์น้อย ทุกข์หนักหนา โง่หนักก็ทุกข์หนัก คนที่ไปหลงเอาลาภแล้วก็เป็นสุข มีลาภเยอะแล้วเป็นสุข คนหลงยศเป็นสุข มียศ มีตำแหน่ง มีบั้ง มีเบอร์ คนก็หลง คนหลง สรรเสริญเยินยอยกย่องเป็นสุข เนียน เข้ามาในตัวเอง เป็นสุข มากน้อยจากลาภยศสรรเสริญอะไรก็แล้วแต่ มันไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะมาเรียนรู้แล้วว่า ปัดโธ่เอ๊ย สิ่งเหล่านี้ เราอย่าไปหลงใหลได้ปลื้มอะไรกับมันเลย อัตตมนตาโสมนัสสัง ปลื้มใจ ไปหลงยึด ซึ่งพูดไปก็เป็นพยัญชนะ ถ้ามันเข้าใจพฤติการณ์สภาวะธรรมไม่ได้ ขออภัยเขาพูดชัดๆ แจ้งท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านมาเรียนรู้สภาวะธรรมให้ดี ความรู้ของท่านมันมากเกินที่จะปฏิบัติ บรรลุอรหันต์ได้ไม่รู้กี่ล้านเที่ยวแล้ว ความรู้ของท่านเยอะ แต่ท่านไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้มาเรียนรู้สภาวะ ท่านก็เลยยังติดอยู่อย่างนั้น ไม่งั้นจะออกมาสอนอย่างอาตมา ท่านจะไม่หลงติดอยู่กับเถรสมาคมอย่างนั้น ต้องอาศัยเถรสมาคม มอบตนอยู่ในทางผิดอยู่เลย มอบตนในทางที่ผิดยังไม่หมดในสัมมาอาชีวะข้อง 1 นะ อาตมายกฐานะให้ท่านว่าเข้าใจตนเองแล้วและท่านก็ไม่มีกิเลสที่จะไปติดยึดพวกนี้แล้ว แต่ท่านยังมอบตนในทางที่ผิดอยู่ในเถรสมาคม ยังไม่พ้นมิจฉาอาชีวะข้อที่ 4 ท่านไม่เข้าใจสภาวะพวกนี้ถ้าท่านเข้าใจท่านจะไม่อยู่ด้วย อาตมาเปรียบเทียบ อย่าว่าแต่ไปอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของเถรสมาคม พระพุทธเจ้าท่านดำรงตำแหน่งอยู่ในพระเจ้าแผ่นดินนะ ท่านยังไม่เอาเลย ท่านยังออกมาทิ้งหมดเลย เดินพระบาทเปล่า มาสอนธรรมะอย่างเดียว ไม่เอาเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทรัพย์ศฤงคารไม่เอาทั้งนั้น มาสอนธรรมะ อยู่ให้ประชาชนเลี้ยงไว้ เห็นไหมว่าท่านไม่รู้สภาวะธรรมเลย ท่านติดจมอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่แค่เถรสมาคม ติดตํารา ติดพยัญชนะ ติดภาษาความรู้ อะไรก็น่ารู้ไปหมด เป็น ปทปรมบุคคล ขออภัย วันนี้เอาหนักหน่อย รู้พระพุทธพจน์ก็มาก ท่องจำได้ก็มาก สอนคนอื่นอยู่ก็มากแต่ตัวเองไม่บรรลุธรรมเลย นี่ท่านเป็นปทปรมบุคคล แล้วมันได้แก่ใคร ท่านประยุทธ์ ปยุตโต เอาแรงหน่อย ก็ต้องขออภัยท่านจริงๆ เพราะท่านเป็นภันเต ท่านบวชก่อน อาตมาจะต้องขอคารวะ นานๆที ไม่เหมือนท่านมหาบัวบ่อยๆ สู่แดนธรรม… ทำไมพ่อท่านถึงกล้า พ่อครูว่า…เพราะอาตมามีความจริง และมีความจริงใจ เพราะอาตมาไม่ได้ปรารถนาร้ายต่อท่าน อาตมาพูดสิ่งนี้ที่เป็นความจริง ไม่เช่นนั้นเหมือนคนใจดำเหมือนกัน ทำไมไม่บอกท่าน ซึ่งจะไม่มีใครกล้าเตือนท่านนะอาตมาพูดอย่างเกรงใจมาก นี่เตือนไป ก็ถือว่าอาตมาก็ไม่ใช่เล่นนะ จริงๆก็กล้าอยู่ไม่ได้กลัวอะไร แต่เอาน่า ไปว่าท่านบ่อยๆนักท่านก็จะเมินหมางเลย ไม่ฟังเลยตีทิ้งไปเลยไม่คบกันเลยก็ไม่ดี ก็ นานๆทีท่านก็เป็นผู้ที่มีปฏิภาณไหวพริบเยอะอยู่พอสมควร เอ้า..พอ สำหรับท่านประยุทธ์ ปยุตโต ก็ขอสรุปว่า อาตมาเกิดมาในชาตินี้ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามารื้อฟื้นมาเปิดเผย โลกุตรธรรมจนกระทั่งทำให้คนรับรู้ ฟื้นโลกุตรธรรมขึ้นมาได้ จนกระทั่งเกิดโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมเป็นคำรวม คำใหญ่ เป็นธรรมะขั้นโลกุตระ ปฏิบัติได้มรรคได้ผลด้วย เป็นอารยธรรมหรือเป็นโลกุตรธรรม นี่ มาเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ในสังคมชาวอโศก ซึ่งอาตมาบอกว่าสังคมไทยเป็นสังคมอาริยบุคคล คนที่เขายังไม่มีภูมิไม่มีความรู้ เขาไม่เชื่อหรอก โน่น เขาไปเชื่อว่าสังคมของมหาบัวโน่น เป็นอรหันต์กัน แต่ มหาบัว ไม่มีชุมชนนะ ไม่มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แม้แต่ในพระเขาก็แยกแยะไม่ได้ว่าใครเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แต่ของพวกเรานี้แจกแจงกันได้ อันนี้ก็เป็นความต่างแล้วก็ยืนยันกันได้ด้วย คุณแต่ละคนจะปฏิญาณตนว่าเป็นโสดาบัน ปฏิญาณตนว่าเป็นสกิทาคามี ปฏิญาณตนว่าเป็นอนาคามี ยังไม่แม่น ยังไม่กล้า ยังไม่ชัดเจน ยังไม่ยืนยันให้แก่ตัวเองได้ ก็เถอะ คุณก็ยังพอรู้ว่า เอ้อ โสดาบัน มีหลักเกณฑ์ของพระโสดาบันขนาดไหน รู้จัก สักกายทิฏฐิ ปฏิบัติศีล 5 เราเอา ศีล 5 มาเป็นเครื่องตรวจสอบ แล้วจิตของเราก็เป็นปกตินะ กับเรื่องสัตว์ เรื่องของ สัตว์ เราก็มีจิตใจที่เอ็นดูเป็นเพื่อนทุกข์ หวังประโยชน์แก่กันและกันอยู่ มีข้าวมีของ เราก็ไม่ทุจริตแล้ว ของเขาก็ของเขา ของเราก็ของเรา ถือวิสาสะกันบ้างก็ต้องระมัดระวัง มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็สังวรระวัง ยิ่งเป็นอนาคามีสบาย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็สบายแล้ว ไม่มีเรื่องที่จะเป็นทุกข์เป็นสุขกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่มีแล้ว ก็เป็นอนาคามีจริง ยิ่งหมดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ก็อยู่ด้วยกันสบาย ข้าวของก็ไม่มีทุจริต รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่มีกิเลสอะไรเลย เข้าใจหมด หลุดพ้น อย่างน้อยก็อนาคามีขึ้นไป เหลือเศษที่คุณสรุปไม่ได้เท่านั้นที่จะเป็นอรหันต์ ที่อาตมาพูดแล้วพูดอีกว่า พวกเรานี้เป็นอรหันต์แต่สรุปไม่เป็น สรุปไม่ลง ถ้าสรุปลงเป็นอรหันต์กันเยอะไม่ใช่เล่นนะ อรหันต์ก็มีขั้นตอนเหมือนกัน สมณะฟ้าไท… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin9 กันยายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650907 คุณลักษณะของไก่ตัวพี่ที่มาสืบสานศาสนา พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯNextNext post:650914 ฟังธรรมศีลข้อ 1 ให้ลึกซึ้งถึงกรรมวิบาก พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024