650905 ประโยชน์อันสูงสุดจากศาสนาที่มนุษย์พึงได้ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 53
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1aMalaidzoOWkmLylN5oR-tRuEtM2-cxpNwF48WpT_Z8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/15PyCUc_EHhY4pogtF2n2BXHIt_kivlrY/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/XrZYBvmHTqY
และ https://fb.watch/flGm-H9qR6/
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 5 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีขาล ผมเคยมีเพื่อนต่างชาติที่เขาไม่นับถือศาสนาอะไร เขาบอกว่าเป็นเพราะเขาไม่เห็นประโยชน์อะไรจากการศรัทธาในศาสนา ซึ่งผมคิดว่า ศาสนาส่วนใหญ่ เป็นศาสนาให้ศรัทธาในพระเจ้า แต่ไม่สามารถพิสูจน์ว่าพระเจ้าจะสามารถให้คุณประโยชน์หรือเป็นโทษต่อเขาได้อย่างไร
ผมจะขอถามพ่อท่านว่า ศาสนาพุทธของเรา มีอะไรที่เหมือนกับศาสนาแบบพระเจ้า มีประโยชน์อะไรบ้างมวลมนุษยชาติ มันเป็นรูปธรรมชัดเจนบ้าง
พ่อครูว่า… เป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ ที่จะต้องตอบกันอย่างนี้ อันนี้ คุณลองทวนคำถามมาหน่อยสิ
ศาสนาพุทธมีประโยชน์อะไรให้แก่มวลมนุษยชาติ
_สู่แดนธรรม… คนที่เขาไม่นับถือศาสนาพระเจ้าเพราะเขาไม่สามารถจับต้องด้วยเหตุผลได้ และไม่เห็นประโยชน์อะไรจากการศรัทธาในพระเจ้า ส่วนศาสนาพุทธนั้น พระพุทธเจ้าเป็นคนเดินดิน คนทุกคน แต่สามารถเป็นพระศาสดาได้ ศาสนาพุทธไม่อ้างถึงพระบิดา ไม่อ้างถึงพระเจ้า ศาสนาพุทธมีประโยชน์อะไรให้แก่มวลมนุษยชาติ ศาสนาเทวนิยมที่มีพระเจ้ายังไงบ้างครับ
พ่อครูว่า… ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สามารถมีความรู้ความฉลาด คุณจะหมายถึงหรือคุณจะเข้าใจเอาอย่างไรก็เข้าใจเอา ว่าคนจะมีความรู้ความฉลาด เป็นความรู้ความฉลาดที่ยิ่งใหญ่ ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ทั้งหมดเลยว่า เราเกิดมาเป็นคน มีชีวิต มีจิตวิญญาณ และมันจะต้องเป็นคนอยู่นิรันดรหรือ มันคืออะไรแน่
มันจะต้องเป็นคนอยู่ในโลกมีพฤติกรรม ดี ชั่ว พฤติกรรม รวย จน พฤติกรรม สุข พฤติกรรมทุกข์
มีคู่ ดีชั่ว รวยจน สุขทุกข์ เป็นสิ่งที่เปรียบเทียบกันเป็นคู่ทุกอย่าง ตั้งแต่ธุลีละออง 2 ปรมาณูก็มีความแตกต่างกัน และก็จะมีความแตกต่างกันเป็นคู่อย่างนี้ เพราะอะไร
เพราะคนเป็นธาตุคู่ คือมีสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งหนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ถูกรู้เรียกว่า รูป อีกสิ่งหนึ่งเป็นตัวผู้รู้เองเรียกว่า นาม
เมื่อมีนามเกิดขึ้นในตัวที่เกิดเป็นคน เป็นมนุษย์ขึ้นมาในโลก มีจิตนิยาม มีจิตวิญญาณ ก็จะต้องมีความรู้เรียกว่า รูปนาม จะต้องมีคู่ 2 อย่าง ในสามัญ ธาตุ ดินน้ำลมไฟหรือฟิสิกส์ทั้งหลายก็มีคู่คือ บวกกับลบ หรือเพิ่มขึ้นมาสูงอีกหน่อย ใช้วิชาการทางศาสนาก็ด้วยความเป็นคู่ ปุริสภาวะ กับ อิตถีภาวะ เป็น 2 เพศ 2 อย่าง แตกต่างกัน
แล้วก็ไม่รู้ความจบของ 2 อย่างนี้ ไม่รู้ความจบของความเป็น 2 รวมลงเป็นหนึ่งไม่ได้ ที่สุดแห่งที่สุด ไม่รู้ว่า จิตวิญญาณนี้ อนัตตา เกิดมาเป็นคนนี้ มันเป็นแค่สองสิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ เกี่ยวข้องสังขาร อยู่รวมกันอย่างไม่แยกจากกันได้เลยตลอดนิรันดรของเทวนิยมทั้งหมด
แต่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ว่า มันแยกกันได้ และแยกกันหมดไปเลย จิตวิญญาณหายพระเจ้าหาย ธาตุรู้หาย ธาตุรู้ ความรับรู้ของความเป็นเรา ของความเป็นตัวตนของความเป็นอัตตา ของชีวิตชีวิตหนึ่งที่เป็นมนุษย์ มันเลิกไปจากโลกจากมหาจักรวาลนี้ จากกาละ time ของมหาจักรวาล
ไอสไตน์ค้นพบ Space and Time of Continuum หมายความว่าเป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ปรุงแต่งกันอยู่ในปัจจุบันนั้นระหว่างสิ่งหนึ่ง กับกาละ สิ่งนั้นคือ Space ทุกอย่างในอวกาศในมหาจักรวาล กับกาละ and Time และเวลา นั่นคือ ไอน์สไตน์ค้นพบ
พระพุทธเจ้าค้นพบเหมือนกัน Space and Time แบบนั้นพระพุทธเจ้าก็รู้เพราะว่ามันง่าย แต่พระพุทธเจ้าค้นพบถึง Kamma and Time of continuum แล้วที่สุดเลย เลิกกรรมจากกาละเลิก สลายธาตุอัตตาให้หมดไปจากกาละไม่เหลือเลย สูญหายเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเลยได้
นี่คือความรู้ความฉลาดต้องมีเหตุมีผลมีสภาพ 2 คือเหตุและปัจจัย เพราะฉะนั้นเหตุและปัจจัยที่เป็นปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องที่เพราะอันนี้จึงมีอันนี้ พระพุทธเจ้าจึงมีความรู้หรือความฉลาดที่เรียกว่า วิชชา รู้จักเริ่มตั้งแต่ ธาตุ 2 ธาตุ รูปกับนาม เกี่ยวเกาะ ปรุงแต่งกันอยู่ตั้งแต่ 2 ธาตุจนถึงนับไม่ถ้วน สังขารวิญญาณไปเป็นวิญญาณนามรูปแล้วก็เรียนรู้แยกได้ว่า มันมาจับตัวกันเรียกว่าอายตนะ กระทบกันไปกระทบกันมา จึงจะเกิดภาวะต่างๆ และภาวะต่างๆนั้นคือเรียกว่าความรู้สึกเรียกว่าเวทนา
แล้วก็ความรู้สึกนี่แหละมันไม่หมดไปในมหาจักรวาล พระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้เวทนาให้ชัด จบเวทนา รู้จักเหตุที่ทำให้เกิดเวทนา ดับเหตุเสียทุกอย่างก็ดับที่เวทนา
ตัวการที่ทำให้เวทนาไม่ดับก็คือตัณหาอุปาทาน ตัณหาอะไร ตัณหามันยังติดสุข เสพสุข ยึดสุข แต่ในสุขในทุกข์ มันเป็นภาวะ 2 ที่แยกกันไม่ได้ เขาก็ไม่รู้ เขาก็หนี้ความทุกข์แสวงหาความสุข วนอยู่ตลอดกาลนานของธาตุรู้ คือจิตนิยามวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอยู่นิรันดร
ชาวเทวนิยมต่างๆอยู่ในนิรันดรทั้งหมด พระพุทธเจ้าค้นพบว่า เลิกความเป็นนิรันดรได้ สลายธาตุรู้สลายวิญญาณสลายพระเจ้า สลายจิตวิญญาณนี้เป็นดินน้ำไฟลมของตนเองไปเลยเลิกเลย หรือจะไม่เลิกจะอยู่ ตัวเองก็อยู่อย่างไม่ต้องทุกข์ต้องสุข นอกจากไม่ต้องทุกข์ต้องสุขแล้วเป็นธาตุรู้ มันเป็นธาตุที่นิยามที่ ถ้าอยู่ก็มีแต่ธาตุดีไม่ชั่วเลย สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
ได้ล้างความโง่วิชชาได้หมดแล้วจึงสามารถรักษาธาตุรู้นี้ให้เป็นธาตุรู้ที่ได้อยู่ดีก็มีประโยชน์ตลอด ที่อยู่นิรันดรก็เชิญ หรือจะแยกเป็นสูญสลายถ้าดูนั้นเป็นศูนย์ไปเลย ก็ได้ จบ
นี่คือความรู้ความฉลาดที่มีทั้งเหตุและผล มีทั้งสุดยอดที่มนุษย์จะพึงรู้สึกคือเวทนา หรือจะเรียกได้ภาษาโลกๆเขา ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีนอะไรก็แล้วแต่ที่หมายถึงเวทนา หมายถึงความรู้สึกนี้ เรียนรู้ความรู้สึกตัวนี้ รู้ธาตุคู่ที่เป็นเวทนา จะรู้ทุกอย่างของจิตนิยาม และสามารถที่จะสลายจิตนิยามได้ หรือจะมีจิตนิยามอยู่ก็อยู่อย่างดีอย่างประเสริฐอย่างไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรอยู่ในโลกอีก นิรันดร ถ้าจะอยู่นิรันดร
แต่ผู้รู้แล้ว ไม่อยู่นิรันดรหรอก เพราะถ้าจะอยู่ก็เป็นธาตุคู่ ธาตุคู่ที่ร้ายที่สุดก็คือความสุขความทุกข์ ที่มันมีตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด ที่สุด แม้ที่สุดทุกข์เพราะ ภาราหเวปัญจขันธา ทุกข์เพราะตัวเองต้องมีขันธ์ 5 ต้องมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นภาระที่สุด ภาราหเวปัญจขันธา ต้องบริหารให้มัน ต้องเจ็บต้องป่วย มันต้องเกิดตายวนแล้วเวียนเล่า คุณรู้จักความวน เลิกความวนจบไม่เกิดอีก ไม่มีอีกไม่เป็นอีก ศูนย์ไปเลย
นี่คือ ความรู้สึกยอดที่มีพระพุทธเจ้ามี สิ่งที่คุณพูดถึงใครที่เขาไม่มีศาสนาเพราะเขาไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร ไม่มีเหตุไม่มีผล ตอนนี้มีทุกอย่างมีเหตุมีผลมีประโยชน์มีโทษเขารู้หมด แล้วก็สามารถที่จะแยกถ้าตัวเองให้เป็นศูนย์ได้ด้วย คุณอยากจบก็จบไปด้วย คุณไม่อยากจบคุณจะเป็นคนดีที่สุดอยู่เหนือความทุกข์ความสุขคุณก็อยู่ได้
ชาวพุทธจะเสียสละบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมได้มากหรือไม่
_สู่แดนธรรม… เพื่อนผมที่เป็นคนญี่ปุ่นแม้เขาบอกว่าเป็นคนไม่นับถือศาสนา แต่เขาก็นับถือประทับใจในชาวคริสต์ที่เขาเสียสละบำเพ็ญประโยช์ให้แก่สังคม
พอมามองชาวพุทธ เขาก็มองไม่เห็นว่า ชาวพุทธจะเสียสละได้อย่างคนที่มีศรัทธาในพระเจ้าเลย
พ่อครูว่า… ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าความเสียสละ ความไม่เห็นแก่ตัว ความเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นนั้น มันมีได้ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนกระทั่งถึงยากที่สุด ผู้ที่มีความสุดโต่ง ความยาก ถ้าใครสามารถทำความยากในโลกไปช่วยคนที่ตกทุกข์ได้ยากที่สุดได้ดีที่สุดเลย ประเสริฐที่สุด เขาก็ไปทำ คนที่ตกทุกข์ได้ยากที่สุด ในมวลของโลกมันก็มีจำนวนหนึ่ง
คนที่หลงสุข ก็เป็นคนที่น่าช่วยเหลือที่สุดเหมือนกันเพราะมันโง่ซ้อน คนที่เป็นทุกข์ อยากออกจากความทุกข์ไม่ได้เพราะเขาไม่รู้จักกรรมวิบากเขาก็ทุกข์ ก็พยายามช่วยเขาให้รู้จักกรรมวิบากและเลิกสร้างกรรมวิบากไม่ดีต่อไปในอนาคต อีกร้อยปี พันปี แสนปี เขาก็จะพ้นทุกข์ ถ้าเขาชัดเจนและเป็นไปได้เขาก็หนีทุกข์ไปได้ เพราะกาละมันยาวนานสำหรับชีวิตมนุษย์ เขาเข้าใจแล้วเขาจะหลุดพ้นได้ พ้นทุกข์อย่างศาสนาพุทธ
และพุทธก็มีทางออกที่ว่าจะสลายธาตุรู้นี้ไปเลย ไม่ต้องอยู่กับพระเจ้าด้วย สลายไปเลยอย่างนี้เป็นต้น อันนี้คือ สุดยอด ถ้าเพื่อนคุณมาฟังจะได้ปัญญาเลยจะนับถือศาสนาพุทธ
_สู่แดนธรรม… อย่างชาวบ้านราชฯก็เสียสละให้แก่สังคม แม้ไม่มีพระเจ้า ทำไมชาวพุทธถึงมีพลังเสียสละได้ขนาดนี้
พ่อครูว่า… ตัวนี้คือ ธาตุรู้ ในธาตุรู้นั้นพระพุทธเจ้าใช้บัญญัติว่า ปัญญา ซึ่งเป็นความรู้ความฉลาด ที่เป็น อัญญธาตุ เป็นธาตุรู้ธาตุฉลาดที่เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจได้ง่าย ๆเพราะมันครบหมดจบ เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับสูญ เป็นความรู้ที่จบครบบริบูรญ์สูญหมดใจและมีเหตุมีปัจจัย มีกระบวนการสามารถเรียนรู้ให้จบครบ ความรู้สึกก็รู้ครบบริบูรณ์อันนี้ได้ด้วย พลังสลายอัตตา สลายธาตุรู้ หรือจะไม่สลายเป็นผู้รับใช้โลกเสียสละให้แก่โลกยิ่งกว่าแม่ชีเทเรซาก็ได้ แต่จะไปทำงานอย่างแม่ชีเทเรซาจะเป็นการเลือกทำงานที่โก้ ช่วยคนอย่างหนักเต็มที่ โก้ๆ คนที่เป็นโรคเรื้อน โรคต่างๆที่แม่ชีเทเรซา ช่วยได้นั้นมีจำนวนไม่มากเท่าไหร่ในโลก แต่คนที่เป็นทุกข์อื่นๆยิ่งกว่านั้นอีกมีมากกว่า โดยเฉพาะคนที่ หลงรวย หลงใหญ่โต หลง จะมีอำนาจในโลกเป็นคนที่มีทุกข์ที่น่าช่วยเหลืออย่างที่สุดเลย เพราะมันจะซับซ้อนจะหลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนานมาก
ส่วนผู้ที่เป็นทุกข์เพราะโรคเรื้อน ไปสอนเขาจะรู้จักกรรมวิบากได้ง่าย จะไม่สร้างกรรมวิบากที่เป็นโรคเรื้อนได้ เร็วกว่าพวกหลงความรวย หลงความมีอำนาจ หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในโลกียะ ซึ่งสอนยากกว่าจะรู้ เพราะคนที่ทุกข์เพราะโรคเรื้อน สอนเรื่องกรรมวิบาก หาเหตุที่ไม่เป็นโรคเรื้อนมันจะรู้ได้ง่ายกว่า อย่างนี้เป็นต้น
ที่จริงแล้วที่อาตมาพูด พูดอย่างไรก็ยาก ที่จะทำให้คนเข้าใจครบถ้วนรอบ ถ้วนตามที่อาตมาได้พูดมาวนเวียนมากมายมากกว่า 50 ปี อาตมาว่า อาตมามีความรู้แค่นี้แหละ แค่ที่ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จะบอกว่า ระดับ 8 ก็ไม่ว่ากัน ยังไม่ถึงเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาก็รู้รอบที่สูญไม่รู้กี่สูญ รู้จักโลกรู้จักอัตตา รู้ความปรุงแต่งโลกไปกว้างใหญ่เท่าไหร่ที่อาตมาพอมีภูมิ มันก็เหลือที่จะล้างอัตตา หรือจะอยู่อย่างเหนือโลกอย่างสบายได้ มันเป็นความหลุดพ้นจากสุขจากทุกข์ ไปจากความเดือดเนื้อร้อนใจถ้าจะมีชีวิต
อาตมาไม่ได้เดินร่วมใจเลยก็เห็นทุกข์ เห็นทุกข์ จากความเจ็บป่วยทุกข์อื่นไม่เท่าไหร่ ความแก่ อาตมาไม่เป็นทุกข์กับมันมาก แต่ความเจ็บป่วยนี้เป็นทุกข์ มันสุดเลี่ยง มันเลี่ยงไม่ได้ เหตุปัจจัยหลายอย่าง เราก็ไม่ได้ไปหามาแต่มันมีวิบากของมัน
บางอย่างเราเผลอไผล ไปรับเหตุปัจจัยมาบ้าง ซึ่งเราก็เลี่ยงได้ด้วย พยายามไม่ไปรับเหตุอย่างเช่น Covid เราก็ไม่ได้ไปรับกับเขา เราก็สามารถอยู่ได้ แต่ที่เป็นวิบากตามมา บางอย่างมันสุดทางหนี มันก็ทุกข์ ถึงเลี่ยงก็ไม่พ้นทุกข์เลย
_สู่แดนธรรม… ตอนที่พ่อท่านตอบ ในการที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์นั้น มันเป็นรูปธรรมชัดๆ อย่างเช่น แม่ชีเทเรซาช่วยคนโรคเรื้อน กรณีคนไทยก็มาโต้พ่อท่าน เขาจะว่า ถ้าศาสนาพุทธของท่านดีและในเมืองไทยมีพวกสลัมคลองเตย มีคนยากลำบากเยอะ ทำไมไม่ไปช่วยพวกนั้นให้พ้นทุกข์เล่า พ่อท่านเคยตอบว่า การทำงานของเรามีขั้นตอนในการล้างเหตุแห่งทุกข์ของคน มากกว่านั้น มันมีเรื่องกรรมวิบากด้วย พ่อท่านว่า หน้าที่ของอาตมามีงานโลกุตระ ให้เป็นที่พึ่งอย่างถาวร เป็นงานสำคัญกว่านั้น
ความมีและความไม่มีที่รวมเป็นหนึ่งจึงพ้นอวิชชา
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 2-4 กันยายน 2565
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ลูกได้ฟังเรื่องที่มีคนมาถามพ่อครูถึงบุคคล 9 ระดับที่พ่อครูสอนนั้นโดยเบื้องต้นเขาได้”กำหนดให้” พ่อครูเป็นผู้สอนแบบคิดขึ้นมาเอง แล้วเขาก็ถามว่า อย่างนี้จะเป็นการสอนโดยการบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ ได้หรือไม่ พ่อครูตอบว่า ได้ แล้วพ่อครูก็อธิบายว่า
(1)พ่อครูสอนตามที่พระพุทธเจ้าได้อนุญาตให้สอนธรรมได้ด้วยภาษาท้องถิ่นตามยุคสมัยนั้นๆ
พ่อครูว่า… คุณสว่างแสง ก็เป็นคนที่เข้าใจสภาวธรรมกับภาษาหรือพยัญชนะดีพอได้เลยเนาะ เข้าใจสภาวะแยกกันออกได้ดี ว่าอาตมาหมายถึงอะไร มันก็มี 2 อย่างนี่แหละที่จะพึงสื่อให้รู้กัน ในโลกมนุษย์ คือสภาวะกับภาษาหรือคำพูดพยัญชนะ สื่อกัน 2 อย่างนี้แหละ ถ้าไม่สับสน ลงตัวกันว่าพยัญชนะภาษา กับสภาวธรรมจริงๆแล้วมันอันเดียวกัน ในที่สุด ตั้งแต่พยัญชนะความมีกับความไม่มี
แล้วมันมีคืออะไร ไม่มีคืออะไร มันรวมลงเป็นหนึ่งแล้วมันก็ไม่มีหรอก มันก็รวมกันเป็นสังขารวิญญาณนามรูปอายตนะ ผัสสะ เวทนาตัณหาอุปาทาน ภพ ชาติ เท่านั้นเอง แล้วจมใน โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ มีอยู่เท่านี้ ถ้าเข้าใจปฏิจจสมุปบาททั้งหมด ก็จบ
เพราะฉะนั้น ความไม่รู้พระพุทธเจ้าท่านตรัสสรุปไว้ในพระไตรปิฎก อวิชชา 8
๑. ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
๒. ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
๓. ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ)
๔. ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ ๘)
๕. ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
๖. ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
๗. ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) .
๘. ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา)
(พตปฎ. ล.๓๔ ข.๖๙๑ ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
พ่อครูว่า… การเกี่ยวเนื่องอยู่กับธาตุ 2 ธาตุก็คือพระเจ้าแต่พระเจ้าไม่รู้ตัวเอง พระเจ้านึกว่าเป็นหนึ่ง นึกว่าตัวเป็นนิรันดร ตีไม่แตกแยกไม่ได้และเป็นผู้สร้างทุกอย่างด้วย พระเจ้าจึงหมดความฉลาด เพราะท่านฉลาดสูงสุดหมดความฉลาดแล้ว ผู้ที่หมดสิ้นความฉลาดแล้วคือผู้ที่รู้จักความ ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างขึ้นไปทุกอย่างไม่แน่นอน ทุกอย่างคืออดีต ปัจจุบัน อนาคตกับสิ่งที่เป็นไปตามกาละ ของอดีต ปัจจุบัน อนาคต ซึ่งไม่ได้อยู่คงเดิม ไม่ได้เป็นไปตามเดิม
โลกมันหมุนอยู่ จักรวาลมันเคลื่อนที่อยู่ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ทุกอย่างมีอยู่ 2 ทิศทาง ปรุงแต่งขึ้นใหม่กับเสื่อมไป ปัจจุบันเป็นจุดนิดนึงของสิ่งที่จะยึดไว้ให้มันมีอยู่ แต่หลายอย่างที่มันยึดกันอยู่ไว้ บางทีก็เป็นแสนปีแสง มันทรงอยู่กว่ามันจะเป็นรูปจนกระทั่งเห็นว่ามันเปลี่ยน บางทีเป็นล้านปีแสง บางอย่างแวบเดียว คุณเห็นไม่ทันเห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เร็วยิ่งกว่าวินาที มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว คุณเห็นมันไม่ทันหรอก
เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้อะไรทั้งโลก ที่เป็นล้านปีแสงที่ไม่เปลี่ยนแปลง หรือแป๊บเดียวก็เป็นต่อไม่ต้องไปตามรู้
ให้ตามรู้ธาตุรู้ที่เป็นจิตวิญญาณของเรา ว่าจะไปโง่กับมันทำไม คุณรู้กับสิ่งที่อยู่เป็นปัจจุบันมีชีวิตคือรวมเป็นชีวิตประเสริฐ ถ้าคุณมีชีวิตอยู่
-
คุณไม่ทำชั่วคุณทำดีตาม
สมมุติโลกเขา ดีชั่วเป็นสมมุติ
-
รู้ความสุข รู้ความทุกข์แล้วอยู่เหนือความสุขความทุกข์ก็ได้ ชีวิตจบแล้ว