650829 อรหันต์คือราชาแห่งแผ่นดินที่ไร้โจร รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 52
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1Ye1IWKPgMNv7tShMsBXLcZRrdP5klymnAC4lumc8Pag/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1y3l3pIG9sPMf3UOkyVEX2KvqmgZrpbNc/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่
และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/754708389073942
_สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 52 การนับว่า 1 ปีมี 52 สัปดาห์ วันนี้ก็ครบ 1 ปีแล้ว รายการที่ดำเนินมา
พ่อครูว่า… ครั้งที่แล้วอธิบายค้างเรื่องฌานทั้ง 4 ก็ให้เตือนก็แล้วกัน ที่จะอธิบาย
SMS วันที่ 26-28 สิงหาคม 2565
สติคืออำนาจ ปัญญาคือความเหนือ จึงเป็นประชาธิปไตยแท้
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · ปชธต.ขาเดียวล้มล้างปชธต.๒ขายุควิกฤติโควิทตั้งแต่ระลอกแรกถึงล่าสุด
พ่อครูว่า… เป็นศัพท์ของอาตมาเองที่เรียกว่าประชาธิปไตยขาเดียวหรือสองขา ในโลกเขามีประชาธิปไตยที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ เป็นประชาธิปไตยที่มีแต่ประธานาธิบดีเป็นผู้บริหารคนเดียวเป็นใหญ่คนเดียว ให้ประชาชนทั้งหมด เขาก็มองสุดโต่งไปว่า อิสระเสรีภาพจริงๆของคำว่าประชาธิปไตย อธิปไตยของประชาชนก็จะต้องมีแต่ของประชาชนเท่านั้น จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นผู้มีอำนาจในแผ่นดิน เป็นรัฏฐาธิปัตย์ 1 ในส่วนของ ผู้ที่จะมีรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจในรัฐ ไม่ได้ ต้องเป็นประชาชนทั้งหมดเท่านั้น มีอำนาจอธิปไตย ใครจะมีอำนาจเหนือกว่ากันไม่ได้
อาตมายังมองไม่เห็นโลกไหนเลยว่า ใครจะมีอธิปไตยของแต่ละคนเท่ากัน ยังมองไม่เห็น จะมีอำนาจของแต่ละคนเท่ากัน ไม่ว่าทางสมมุติหรือทางปรมัตถ์
สมมุติว่า คนนี้มีอำนาจกว่าคนนี้ ก็ไม่เห็นจริง สมมุติแต่งตั้งกำหนดเลย บัญญัติให้เป็นเลยนะ ขออภัย ตั้งให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วย ก็ไม่เห็นจะมีอำนาจเท่ากันกับประชาชนเขาบางคนเลย ในความมีอำนาจ
อำนาจคืออะไร อำนาจคือสติ สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตตระ ลึกไปในคำสอนพระพุทธเจ้า ผู้มีสติเต็มในตัวเอง ยิ่งมีสติเต็ม มีปัญญาเต็ม เต็มเลยมีพลังทั้งสติและปัญญาเต็ม แล้วก็มีความรู้ทางโลกุตระบริบูรณ์ด้วย สามารถรู้จักกิเลส ทำกิเลสดับไฟหมดได้ด้วยเป็นพลังของสติเรียกว่า อธิปไตย และก็เป็นผู้ที่มีจิตอยู่เหนือโลก เหนือกิเลสด้วย
ผู้นี้แหละเหนือยิ่งกว่าเหนือ เหนือกว่าพระเจ้าแผ่นดินด้วย อิสระเหนือกว่าพระเจ้าแผ่นดินด้วย พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้มีอิสระเสรีเท่ากับ ผู้ที่เป็น เอาง่ายๆว่าเป็นอรหันต์ก็แล้วกัน ผู้มีสติเต็ม มีปัญญาเต็ม นั่นแหละคือ ผู้ที่อยู่เหนือกว่า ไม่เห็นจะเท่ากันตรงไหนเลย จริงๆแล้วเหนือกว่าพระเจ้าแผ่นดินอีก พระอรหันต์ ไม่ว่ายุคไหนเลย อย่างนี้เป็นต้น
พระเจ้าแผ่นดินที่นับถือศาสนาพุทธ แน่นอน ก็เคารพผู้ที่เป็นอรหันต์แน่ ศาสนาพุทธนะ พระเจ้าแผ่นดินที่ไม่อยู่ในศาสนาพุทธก็แล้วไป แต่เขาก็ต้องเคารพอยู่ดี เขาก็เคารพโป๊ป เคารพผู้ที่อะไรของเขาที่เป็นผู้ใหญ่ทางศาสนา ทางธรรมะ พระเจ้าแผ่นดินของเขาก็ต้องเคารพพระศาสดา เห็นไหม ว่าความจริงของสัจธรรมมันเหนือชั้นกว่าเป็นไหนๆ
ฉะนั้นประชาธิปไตยจริงๆมันจะต้องมี 2 ขา มีสัจจะ สมมุติก็สมมุติไป เพราะฉะนั้นจะไปบังคับไม่ได้ ให้เข้าใจถึงธรรมชาติของมนุษย์จะต้องมีทั้งรูปและนาม ต้องมีทั้งวัตถุกับจิต ต้องมีทั้งสมมติและปรมัตถ์ ต้องมี 2 สภาวะเรียกว่า เทฺว
ความสุดโต้งเทวนิยมถือว่าพระเจ้าเป็นหนึ่ง บิดเบี้ยวไปเป็นหนึ่งเป็นหนึ่ง ประชาธิปไตยขาเดียว จึงเป็นพวกเทวนิยม เป็นพวกไม่มีภาวะ ความรู้เรื่อง 2 และไม่รู้เรื่องจิตเรื่องกายไม่รู้เรื่องรูปเรื่องนาม มันเป็นแบบนั้น มันจึงกลายเป็นประชาธิปไตยขาเป๋ หรือขาพิการ ขาเดียว เป็นคนไม่มีจิตวิญญาณ เป็นคนที่ไม่เข้าใจจิตวิญญาณ เอาแต่รูปธรรม
มันก็ลึกซึ้งอยู่ แต่เขาก็ไม่มีความรู้ในเรื่องโลกุตรธรรมหรือเรื่องเทวะแท้ๆ เขาไม่รู้ เขาพิการไปทาง เทฺว มัน 2 แล้วก็จะเป็น 1 แล้วจะทำเป็น 1 ให้ได้ โดยไม่รู้จักธรรมชาติว่ามันเป็น 1 ไม่ได้หรอกคน มันจะต้องเป็น 2
เพราะฉะนั้น การเมืองหรือบริหารปกครองแบบประชาธิปไตยต้องมี 2 ขา
_ปชธต.ขาเดียวล้มล้างปชธต.๒ขายุควิกฤติโควิทตั้งแต่ระลอกแรกถึงล่าสุด ทำให้เห็นมวลชนวิถีใหม่เห็นการต่อสู้ที่สำคัญในโลกไซเบอร์คือ fake news’ shock news’ breaking news’ hate speech’bully’การให้ข่าวร้ายที่ทำลายสันติสุขพุทธเอเซียฯ สันติภาพสังคมโลกฯ คือบทเรียนในการต่อสู้กับวิกฤติสงครามมหาอำนาจอาวุธแพร่วิกฤติพลัง งานลุกลามวิกฤติศก.โลกฯกระทบไม่กระทบสงครามมหาสยามยุทธ ๓ในไทย คำตอบอยู่ที่ดูไปที่พ่อครูกล่าวฯ ขอดูตามศก.รัสเซียและศก. แผ่นดินใหญ่ฯ ความเป็นอยู่ชน๒ ชาติที่เชื่อมั่นใน๒ผู้นำมหาอำนาจเอเซียคือ ดูไป ดูแล้วดูไปได้ดียิ่งกว่าดูไบ ดูตามปชธต.ตะวันตกที่ไม่เคยจริงใจกับปชธต.๒ขาเลย!
พ่อครูว่า… เป็นเรื่องยาก เรื่องอจินไตย ประชาธิปไตยขาเดียวมันเป็นประชาธิปไตยพิการ ที่จับตัว สมมุติเอาใครก็ได้ขึ้นไปมีอำนาจใหญ่ในประเทศ ชั่วคราวแล้วก็ลงมา แล้วก็แข่งอำนาจใหม่กันขึ้นไปบริหารอีกแล้วก็ลงมา การบริหารต่างๆมันไม่ปะติดปะต่อ มันไม่เป็นโล้เป็นพาย มันเละเทะ ยำเส็ง สับแหลกกันไปหมด มันไม่ครบ 2 มันได้แต่ความยึดผิด ที่ผิดธรรมชาติของรูปนาม ผิดธรรมชาติของกายกับจิต ผิดธรรมชาติของสภาพ 2 ที่จะมีในโลก ที่จะช่วยกัน ทั้ง 2 อันไม่ขาดอะไรกัน ไม่ขาดความรู้ในการเป็น 2 เป็นความรู้สุดโต่งไปในทางเป็น 1
เพราะหลงผิดว่า 1 นั้นคือความยอดเยี่ยมของโลก มันหลงตัวตน พระเจ้าแผ่นดินที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ผิด จะไม่ผิดก็ต่อเมื่อพระเจ้าแผ่นดินที่เป็น สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นมีทศพิธราชธรรมที่แท้จริง เป็นโลกุตรธรรม ท่านก็ต้องรู้ว่า ราชประชาสมาสัย ประชาชนกับพระเจ้าแผ่นดินต้องอาศัยกันและกัน ไม่เบ่งอำนาจ พระเจ้าแผ่นดินเป็นใหญ่ ประชาชนก็ต้องเป็นใหญ่
นี่คือ ความรู้อันสูงสุด ธรรมะของพระพุทธเจ้า โลกุตรธรรมนั้น ผู้ที่มีอำนาจโดยธรรมที่จริง จะไม่ถืออำนาจตนเองเลย พระพุทธเจ้ามีอำนาจโดยจริง หมายถึงอำนาจตนเองได้หมดตัวหมดตน ทำความเสมอภาคกับภิกษุทุกองค์
แต่ความไม่เสมอจริงนั้นอยู่ที่สัจธรรม สัจธรรมความรู้ยิ่ง ความรู้จริง ความเป็นผู้ที่รู้รอบรู้โลกรู้อะไรต่ออะไรจริง ซึ่งเป็นสัจจะที่สุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรในมนุษยชาติที่จะสูงด้วยสัจธรรมอันที่เป็นโลกุตรธรรม จริงอันนี้แล้ว
ในโลกเทวนิยม ศาสดาของเทวนิยม ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักกรรมวิบากของตัวเอง ไม่รู้ว่าความรู้และความจริงหรือแม้แต่ความดีงามของตัวเองนั้น คือกรรมวิบากที่ตนได้สั่งสมมา จนกระทั่งได้สูงสุด มีคนยอมรับก็ได้เป็นศาสดา เป็นความรู้ของตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าของตัวเอง กลับไปนึกว่าเป็นของใคร ไปนึกว่าเป็นของพระเจ้าอันยิ่งใหญ่ที่ควบคุมความรู้นี้ ไม่รู้จักกรรมวิบาก
เพราะฉะนั้นจึงสอนเรื่องกรรมเรื่องวิบากให้แก่คนไม่ได้ ได้แต่ตัวเอง เพราะไม่รู้รายละเอียดของจิตเจตสิกรูปนิพพาน ไม่รู้กรรมเป็นของตน ตนเป็นศาสดาได้เพราะว่าตนทำกรรมมา ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติกว่าจะได้เป็นศาสดา แล้วทำอย่างไรก็ไม่รู้ ก็เลยสอนให้คนทำตาม อย่างที่ตัวเองเป็นไม่ได้ เพราะไม่รู้ ไม่มีรายละเอียด
รู้แต่ว่าทำดี ให้ทำดี แล้วความดีของศาสดาแต่ละองค์แต่ละศาสนาก็มีดีไปคนละทาง ศาสดาองค์นี้ดีมีอย่างเดียว ดีสุดๆแม้แต่ความดีก็มีอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นพระอรหันต์มีความดีอย่างเดียวกันคือ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่กุศลเท่านั้น เพราะเหตุแห่งการทำบาปคือกิเลส หมด เท่ากันหมดเลย อรหันต์เท่ากันหมด
พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ทุกองค์ไม่ทำบาปทั้งปวงทำแต่ดี มีกิริยา มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ยังเป็นคนอยู่ในโลกเหมือนกันหมดเลย แต่มีความสูงมากกว่ากันโดยปรมัตถ์ ที่รู้ว่า คนนี้มีความต่างกัน มีขั้นตอนที่ต่างกันจริงๆ คนนี้มันไม่เท่ากัน
จริงมันไม่มีกิเลสได้หมดเท่ากัน จบ อันนี้เสมอภาคกันแล้ว แต่ความรู้โลก ความรู้องค์ประกอบของการปรุงแต่งของโลก ตั้งแต่คน 2 คนก็เป็นสังขารโลกชนิดหนึ่ง 3 คนก็มีอะไรเข้ามาแซม 4 5 6 7 ก็รู้รายละเอียดของความปรุงแต่งของความเป็นสังขารโลก ได้ละเอียดลออไปอีกเยอะเลย
ฉะนั้นจึงบริหารคน 2 คนบริหารคน 2 คน 3 คน 4 คน 5 คน 10 คน เพราะรู้เขารู้เรา รู้การประนีประนอม รู้การปรองดอง เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ เป็นผู้ที่มีภูมิปัญญา สามารถที่จะจัดสรรความกลมกลืนความเป็นอยู่ให้อยู่กันได้อย่างสงบ อยู่กันอย่างราบรื่นได้จริง จริงกว่าวิชาการใดๆที่จะบริหารสังคมมนุษย์เลย เป็นวิชาการที่เยี่ยมยอดที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่มีวิชาการในโลกไหนๆที่จะเท่าวิชาการนี้อีกแล้วในโลกุตรธรรม
เพราะฉะนั้นสรุปให้ฟังไม่รู้กี่ทีแล้วว่า พระพุทธเจ้าจึงเห็นว่าศึกษาวิชาอะไรก็ไม่ครบ วิชาโลกุตรธรรมวิชานี้วิชาเดียวครบเลย ครบเลย บริหารคน 2 คน 3 คน 4 คนนี่แหละคือความแตกต่างของความเป็นโลก รู้จักโลก ความเป็นโลกมากขึ้นไหม
โลกนี้มีคนอยู่ 2 คน อดัมกับอีฟ เป็นต้น ก็บริหารคนแค่ 2 คนเท่านั้นแหละ ไม่ยุ่งยากอะไรเท่าไหร่เลย พอไปกบฏเพิ่ม ไม่ 2 แล้ว ตอนนี้มี 3 มี 4 ก็ยากขึ้น ก็มีความแตกต่างมาก
สรุปแล้ว มนุษยชาติเรียนรู้ความแตกต่างของคน ตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไปของจิตนิยาม ผู้ที่เข้าใจจิตนิยามต่างกันตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไปได้มากเท่าไหร่ ผู้นั้นคือผู้ที่รู้จักโลก รู้จักความเป็นจิต เป็นวิญญาณ เป็นอัตตา อยู่กับมนุษย์โลกได้ ช่วยโลกได้ เพราะตัวเองก็รู้ตัวเองแล้ว ตัวเองไม่มีตัวตนได้แล้ว ช่วยคนอื่นได้อย่างสบาย ต้องเป็นคนอย่างนั้นเป็นคนช่วยคนแบบนั้นด้วย เพราะรู้หมดแล้ว
แม้ที่สุดแห่งที่สุดของศาสนาพุทธ จิตวิญญาณถ้าจะไม่เกิดเป็นชีวิตก็เลิกเลย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จบ สุดเลย ไม่ใช่ไปอยู่กับพระเจ้า จิตวิญญาณคือธาตุรู้รวมกันสังขารกันอยู่ เลิกสังขารปรุงแต่ง แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย พระเจ้าหน้าเด๋อเลย แล้ววิญญาณนี้ตายแล้วทำไมไม่มาหาพระเจ้า ก็เพราะเขาไม่ได้เป็นเทพเจ้า เขาก็ทำของเขาเอง
อันนี้เป็นเครื่องยืนยันตะวันตกก็ดีเทวนิยมก็ดี ก็ค่อยๆมาเรียนรู้ก็จะรู้ได้ว่า จริงๆแล้วเทวนิยมนี้ยังไม่จบ ยังไม่จบกิจ ยังไม่สมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบจะต้องเป็นพุทธศาสนาโลกุตรธรรม เราพูดในหมู่เรา เราก็พูดอย่างนี้ เราพูดที่อื่นไปข่มเขาก็ลำบาก ก็ต้องรู้กาละ เทศะ ฐานะ เท่าที่ควร
_แก้วตะวัน พวงบุบผา · กราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ…ประทับใจท่านดินทองที่ท่านได้อธิบายถึงความทุกข์ที่เกิดจากการยึด เทียบกับความสบายที่ทำตามหมู่โดยไม่ยึด ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ หมู่ให้ทำอะไรก็ทำตามได้ แม้แต่ดูดส้วมก็ทำได้โดยไม่รังเกียจเพราะได้ฝึกมาตั้งแต่อยู่ ชมร. สิ่งที่ควรระลึกถึงอยู่เสมอคืออย่าติดหลง…กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…ก็นับวันที่จะรู้ความเป็นจริงของธรรมะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและทำความเป็นจริง
ปุพเพกตปุญญตาคืออะไร
_ตุ๊ก อัศวิน · ได้เห็นคณะศรัทธาจาก Korea มากราบพ่อครูแล้ว เป็นปลื้มมมมยิ่งนักแล!! สำนึกในเมตตาธรรมที่พ่อครูมีต่อมวลมนุษยชาติ และรู้สึกขอบคุณใน ‘บุพเพ กตปุญญตา’ ของตนเอง..ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์..ได้พบพระพุทธศาสนา..(แม้นในกาละนี้ พุทธกลายพันธุ์ ดุจกลองอานกะที่ระบุอยู่ใน พตปฎ)..ได้มีโอกาสฟังธรรมจากพ่อครูผู้เป็นสยังอภิญญา..เป็นผู้ให้สัมมาทิฎฐิแก่ผู้หลงทาง..ได้เข้าใจในธรรมที่พ่อครู..ท่านสื่อในภาษาไทยที่ชัดเจน..แจ่มแจ้ง..เข้าใจ (ยิ่งเห็นใจในคณะศรัทธาจาก Korea ที่ท่านต้องสนทนาธรรมผ่านล่าม)..สัมมาทิฎฐิที่พ่อครูให้นี้ จักเป็นลายแทงมหาสมบัติ..ให้ได้น้อมนำสู่การปฏิบัติ..มุ่งเป้าสู่..วิมุติ..เจ้าค่ะ
ขอโอกาสนี้ น้อมกราบ._/\_.พ่อครู ด้วยความเคารพยิ่ง..เจ้าค่ะ / อาผึ้ง..ซู้ดดด..
ย้อด..ยอด.ยอด..เจ้าค่ะ!! เป็น ล่าม ผู้น่ารัก งดงาม !! You are so beautiful !!
พ่อครูว่า…ปุพเพกตปุญญตาแปลว่าบุญเก่าบุญที่ทำสำเร็จแล้ว บุญก็คือ ตัวความสามารถ พลังงานบุญกำจัดกิเลส ที่ได้ผ่านมาแล้ว ผู้ที่มีปุพเพกตปุญญตา คือผู้ที่เป็นอาริยะและลดกิเลสตัวเองมาแล้ว ในชาติก่อนๆ บุพเพฯก่อนๆ ทำมาแล้ว กตะ ปุญญตาคือ ความชำนาญ ผู้ที่เคยผ่านบุญมาแล้ว ทำบุญสำเร็จ กำจัดกิเลสมาแล้วในก่อนเก่าเป็นอาริยบุคคล เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปุพเพกตปุญญตาคือ อาริยบุคคล
ผู้ใดเกิดมาเป็นมนุษย์และมีปุพเพกตปุญญตาคือ ผู้ที่มีการลดกิเลสมาแล้ว อาจจะยังไม่ถึงอรหันต์
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · ยินดีกับชาวอโศกที่จะเปิดหมู่บ้านเปิดตลาดอาริยะวิถีใหม่ฯตลาดศก. คนจนตลาดขายของต่ำกว่าทุนตลาด ๑ ในพุทธสยามฯตลาดเดียวในโลก’ที่ถิ่นเกิดบ้านเดียวกันก็เปิดตลาดคลองถมวิถีใหม่ฯ ตลาดถนนคนเดินวิถีใหม่ที่จะเปิดปท.ต้อนรับ ททท.ได้อย่างยาวนาน ไม่ลักปิดลักเปิดตามคลัสเตอร์ไร้ไทม์ไลน์’สุขสวัสดิภาพภูมิคุ้มกันหมู่ รักษ์การ์ดปลอดภัยทุกเทศกาลวิถีใหม่ตลอดปีใหม่ ไทยศิวิไลซ์สาธุ😷🎉🌍🎊😷
พ่อครูว่า…มากเกินไปนะ เอาอะไรมารวมทั้งหมด อาตมาไม่ขยายความแล้ว
_แก้วลา ไชยวงค์ · ทีวีบุญนิยมย้ายไปอยู่หมายเลขอะไรเจ้าคะ
พ่อครูว่า… Infosat 217 , PSI 237 , GMM Grammy 155 , กล่องทั่วไป 171
อสัญญีสัตว์แบบพุทธก็ทำได้
_สมยศ ระวังผิด · สัตว์ที่มีสี่ขันธ์ มีห้าขันธ์ มีขันธ์เดียว ท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยและภพใหญ่ คือสัตว์จำพวกไหนครับ มีในพตฎ.ไหมครับ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าท่านมีให้เรียน 1. กิเลส 2. ขันธ์ 3. อภิสังขาร
ขันธ์คือ กอง หมู่ ฝูง ที่ร่วมกันอยู่เหมือนคำว่า กาย รวมกันอยู่เป็นธาตุ ธาตุนาม ธาตุรูป รวมกันอยู่
ถ้ารูปขันธ์จริงๆ ไม่มีนามไปเกี่ยวข้องเลย มันก็เป็นดินน้ำไฟลม มันไม่รู้ตัวของมันหรอกมันก็มีพลังงานของมันไปตามเรื่องของมัน ก็ไม่ต้องไปศึกษาอะไรมากหรอกสิ่งเหล่านั้นเพราะเราเกี่ยวกับชีวิต ชีวะ แต่วิทยาศาสตร์ก็ศึกษาเอามาใช้งาน เราก็อาศัยอยู่
สู่แดนธรรม… ปัญหานี้เขาถกกันในเว็บ Pantip มีผู้รู้ไปตอบบ้างว่า มีความหมายนี้อยู่ในพระไตรปิฎก แต่คิดว่า คงไม่ใช่คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่เขาตอบมา อยู่ไหนอภิธัมมัตถสังคหะ แต่ไม่รู้ว่าเล่มไหน
เขาบอกว่าสัตว์ที่มีขันธ์เดียวได้แก่ อสัญญีสัตว์ มีแต่รูป แต่ ไม่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
พ่อครูว่า… ได้ เอาสภาวะมาอธิบาย คือผู้ที่ดับสัญญาไปเป็น อสัญญี ไม่มีนามธรรมมารู้สึกแต่ไม่ได้หมายความว่า อสัญญีสัตว์ คือ สัตว์ที่ไม่มีนามธรรมอยู่ในจิตตลอดกาลนาน เป็นดินน้ำไฟลมไปเลยแล้ว ไม่ใช่ ยังเป็นสัตว์อยู่ เป็นสัตว์ที่ดับสัญญาในขณะนั้น ขณะที่ดับตัวเองได้นานเท่าไหร่ ก็อยู่ได้นานเท่านั้น ดับอสัญญี
ซึ่งอันนี้ในกระบวนการสัตว์ 9 ชนิด ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็จะเรียนรู้ฌาน 4 แบบมิจฉา แล้วสุดท้ายก็จะมาจบที่ อสัญญีสัตว์ ดับสัญญาได้ สูงสุด นั่นคือพวกมิจฉาทิฏฐิในการเรียนรู้ฌาน
ส่วนผู้ที่สัมมาทิฏฐินั้น จะเรียนรู้ ฌาน หรือ จิต ให้สะอาดจากกิเลสอย่างสัมมาทิฏฐิ
เพราะฉะนั้นจะไม่มี อสัญญีสัตว์ จะไม่ทำอสัญญีสัตว์ มันเป็นการทำให้จิตพิการไปเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากจะพักบ้าง จะเรียกว่า อสัญญีสัตว์ก็เป็นอสัญญีแบบมีสัญญี คือ มีการกำหนดรู้สัญญาอันนี้ สัญญีคือ ผู้มีสัญญา
การกำหนดรู้สัญญาของตนเองจะมีการกำหนดรู้หรือไม่ให้สัญญามันทำงานตามการกำหนดรู้ก็ได้ มีทั้งความมีสัญญา กับไม่มีสัญญา แต่เมื่อมีหรือไม่มีสัญญา คนผู้นี้ก็มีธาตุรู้รู้อยู่ไม่ได้ดับสัญญาไปเลย เป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้ที่เลือกจะอยู่เฉยๆ กลางๆ ว่างๆ
ไม่ได้ดับธาตุรู้ ถ้าจะดับ จะหลับ จะนอน ก็ทำให้สัญญามันไม่ทำงาน แต่สัญญามันก็จะลงไปในภพ เพราะฉะนั้น คนนอนหลับนี้แม้แต่พระอรหันต์ นอนหลับ จิตตกไปในภพ ก็จะมีสัญญาเดิมอะไรไป ท่องเที่ยวไปในสัญญาเดิม ตามอำนาจฤทธิ์แรงของผู้ที่ยังจำสัญญา เกี่ยวกับสัญญา เกี่ยวกับความจำ สัญญาคือความจำ แล้วก็เอามาปรุงแต่งไปตามแต่ละท่าน แต่ละองค์
ซึ่งมันไม่ได้ประโยชน์อะไรต่อไปหรอก ผู้รู้แล้วก็จะไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับสัญญาให้นัก แล้วก็ไม่ได้เรียนรู้กัน กดสัญญาไว้ไม่ให้มันทำงาน ให้มันเป็น สัญญาเวทยิตนิโรธังโหติ ให้สัญญามันเรียนรู้เวทนาในภาวะตื่นก็มีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกาย คุณก็พัก จิตก็หลับไปอยู่ในภวังค์ องค์ของภพ คุณจะเป็นพระอรหันต์ที่ควบคุมภพ หรือไม่หลงไปกับภพได้เท่าไหร่ ก็อยู่ที่คุณ คุณยังหลงกับภพเป็นจริงเป็นจังกับภพ อรหันต์ดับกิเลสในปัจจุบันได้แล้ว แต่ก็ยังตกภพ ก็ยังไปกับภพ ตามบารมีของแต่ละองค์ๆ นี่เป็นรายละเอียดเกินไปที่อาตมาพยายามพูด ให้ฟังเท่านั้น ค่อยๆศึกษาไป
ปีติ 5 ประการ ที่ไม่ต้องติดใจอะไรมากหรอก
_Tapanee Burakrai (ฐาปนีย์ บุรไกร) · น้อมกราบแทบเท้าพ่อท่านด้วยความเคารพ ลูกฟังพ่อท่านอบรมสั่งสอนเรื่องปิติ 5 แต่ลูกไม่ชัดเจนเรื่องสภาวะ ลูกขอน้อมกราบขอความกรุณาพ่ออธิบายสภาวะของปิติทั้ง 5 ด้วยเจ้าค่า
พ่อครูว่า…
๑. ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย) นิดๆหน่อยๆ เล็กๆน้อยๆ เป็น static
๒. ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ) นับเวลา ขณะหนึ่งๆ พูดภาษาวิทยาศาสตร์ก็คือเป็น Dynamic เป็นการเคลื่อน
๓. โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ) เป็นตัวกลางที่มันสั่งสมสภาวะอะไรลงไป มีอะไรเกิดและเข้ามาเป็นตัวกลาง อดีตก็ยังอยู่ในความจำ มีสัญญา อนาคตมันก็มาถึง เป็นปัจจุบัน มันก็หยั่งลงไปเกิดหยั่งลงไปในนั้น ก็แล้วแต่อินทรีย์พละ แล้วแต่แต่ละบุคคล จะจัดการกับไอ้สิ่งที่มันเกิดในตรงนั้น ถ้าคุณบอกว่า เอาตัวปิติเป็นตัวหลัก คุณก็เอาตัวที่ยินดี คนอวิชชา ก็ไปยินดีเมื่อกิเลสหยั่งลงในจิต แล้วก็ทำงาน สมใจกิเลส คุณก็ยินดี คุณก็ปีติกับกิเลสโง่ๆ
ถ้าคุณฉลาด คุณรู้ว่า อย่าไปตามกิเลส กำจัดกิเลสให้ได้คุณก็มีปีติ ในตัวคุณที่คุณสามารถทำกิเลสให้มันลดลงได้ จาก 4 กับ 5
๔. อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย) ปีติที่สั่งสมลงไปจับตัวทำงาน มันก็มีพลังแรง ผู้ที่มีจริตศรัทธาก็จะแรง เป็น อุพเพงคาปีติ ผู้ที่มีปัญญาพุทธิจริตก็จะกระจาย แผ่ไป เรียกว่า ผรณาปีติ
๕. ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)
(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)
เพราะฉะนั้น การมีปีติของสายศรัทธาจะแรง ส่วนผู้ที่มีพุทธิจริตปัญญา ไม่ตื่นเต้นอะไร ธรรมดา ยิ่งมีปัญญาเป็นอรหันต์ไปแล้ว ยิ่งจะไม่ตื่นเต้นอะไรเลย
เป็นการอธิบายลักษณะของจิตเจตสิกต่างๆ ที่เป็นตัวอาการเอาปีติ 5 อย่างมาขยายความเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปจริงจังอะไรกับมันมากนักหรอก คุณปฏิบัติธรรมให้ได้ ทำฌานให้เป็น คุณจะมีปีติ เกิดไปตามความเป็นจริงของคุณ คุณจะเป็นจริตอะไร มันก็จะคลี่คลายไปตามมัน
คนที่รู้มากก็เอามาบัญญัติให้คนอื่นฟัง มันก็เป็นตัวจริงของสภาวะพวกนี้แหละ รู้บ้างไม่รู้บ้างก็ไม่เป็นไร เข้าใจคำว่า ปิติ ซะแล้ว คุณก็รู้ว่า ถ้าจิตมันยังมีแรงพลังงานแรงอยู่ เช่น สายศรัทธาเอาลงยาก อุพเพงคา ถ้าสายปัญญาจะรู้ว่าไปแรงมันทำไม มันมีอันนี้ดี อันนี้สำเร็จ เช่น ลดกิเลสได้จริง หมด จบ มันไม่ตื่นเต้นอะไรหรอกสายปัญญา
ถ้าสาย เจโตสายศรัทธาจะตื่นเต้นเหมือนอย่างมหาบัวพูด ทั้งๆที่ผิดนะ มหาบัวไม่ได้ลดกิเลสจริงหรอก ปิติบ้าๆบอๆ หลงตัวเอง เสร็จแล้วก็ตื่นเต้น ดีใจ ผึงผังโผงผาง ซึ่งมันเสียแรงงาน เสียเวลา เสียกำลังอะไรเปล่าๆ พวกตื่นเต้นสุดๆ ผู้รู้จริงแล้วไม่ตื่นเต้นอะไรหรอก
_สุวิดา พิชยศ · ฟังพ่อท่านเทศน์วันที่ 26 ส.ค. 2565 แทบต้องปีนป่ายบันไดฟังกันเลยที่เดียวลึกมากกกกคะ สาธุ🙏🙏
_พอเพียง ตามรอยพ่อ · กราบนมัสการค่ะ เข้ามาร่วมฟังสดรายการมองโลก มองธรรมวันที่ 28 ส.ค. 2565 ดีเหลือเกินที่ได้ฟังท่านจันทร์แจกแจงได้เยี่ยมทีเดียว
เรื่องกามเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ละได้ตามลำดับ
_จากโยมในบวรอโศกแห่งหนึ่ง…ทุกวันนี้โยมเฝ้าดูการเติบโตของอนาคตชาวอโศกอยู่ห่างๆ ด้วยความชื่นชมยินดีและมีปีติยิ่ง ที่พวกเขาส่วนใหญ่ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ มีน้ำใจไม่ก้าวร้าวและอื่นๆ
กระนั้นก็ดีเนื่องจากเขาเหล่านี้กำลังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ จึงมีกรณีการหลงถังขี้สีชมพู ว่าช่างหอมหวลน่าได้น่ามีเสียนี่กระไร เกิดมีความทุกข์เป็นผลตามมา ฝ่ายชายเป็นเด็กดีมากไม่เคยมีเรื่องเสียหายใดๆโดยเฉพาะเรื่องนี้มาก่อน ผู้ใหญ่ต่างก็รักใคร่เป็นห่วงเป็นใย จึงคิดหาทางช่วยเหลือลูกหลานทั้งสองของตน ให้รอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ โดยให้อยู่กันคนละที่ การนี้ทำให้เขาเป็นทุกข์มาก ผู้ใหญ่(ไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้) ต่างก็พากันลุ้นจนตัวโก่ง พร้อมภาวนาขอให้ลูกหลานรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาด้วยเถิดเจ้าประคู้ณ อิฉันก็เช่นกัน ขอความกรุณาหลวงปู่ช่วยโปรดเขาด้วยเถิด เผื่อเขาจะมีบุญได้ฟังคำแนะนำของหลวงปู่ในครั้งนี้กราบขอบพระคุณหาที่สุดมิได้เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… คุณพูดไปอาตมาก็ไม่รู้หรอกว่าหมายถึงใคร บวรไหนก็ไม่รู้ ก็สอนธรรมะอยู่ พูดแต่ธรรมะไป เรื่องของเพศ เรื่องของคู่ เรื่องของหนุ่มสาว เรื่องของผู้หญิงผู้ชาย มันก็เป็นวิบากที่จะต้องผ่านต้องมีไป
พวกเราชาวอโศกศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ถึงจะเป็นอย่างไรอย่างไร มันก็ไม่ต่ำช้าสาระเลว ร้ายกาจรุนแรงอะไรหรอก แต่ก็เอาล่ะ เข้าใจที่คุณเป็นห่วง ไม่อยากให้มันได้รับทุกข์ มันก็มีเป็นธรรมดาที่คนที่ยังไม่พ้น ยังไม่เป็นอนาคามีขึ้นไป เรื่องของพวกนี้มันก็ยังเป็นอยู่ ธรรมดาแหละ ออกมาข้างนอกภายนอก
ผู้ที่มีจิตอนาคามีภูมิจริงๆเลย ก็ไม่เอาแล้วข้างนอก มันก็มีระริกระรี้อยู่ข้างในก็รู้ของตัวเองทำให้มันหมดไป มันเป็นของน่าละอาย มันเป็นของที่ควรจะเลิกได้แล้วผู้เจริญ ถ้าไม่เลิกมันก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ เพราะฉะนั้นมันก็จะต้องเลิก สำหรับผู้ที่เรียนรู้ทุกข์อริยสัจ เลิกยังไม่ได้ มันก็ไม่ได้ มันอ่อน มันเบาลงก็ยังดี มันเป็นธรรมชาติ ธรรมดา มันก็ไม่เลอะเทอะอะไรมากมาย
ผู้ที่ไม่ได้เรียนรู้เลยนี่เลอะเทอะ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้จะเห็นความย้อนแย้งของสังคม เทวนิยม เขาไม่ได้เรียนรู้เรื่องนี้ เขาก็มีแฟชั่น เรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรื่องปรุงแต่ง เรื่องเพศอะไรเลอะเทอะไปหมด จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องของเพศที่วิตถาร เป็นเรื่อง เสพสัมผัส
กูไม่เอาเรื่องเพศสัมผัสเสียดสี ไม่ว่าเพศชายเพศหญิง สัมผัสตามที่กูชอบ จนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ เปรอะ เลอะเทอะไปหมด อยากสัมผัสอะไรก็ไม่รู้เรื่องเพศเรื่องไม่เพศ มันก็เลยยิ่งปั่นป่วนเลอะเทอะไปหมดเลย สังคมเลอะ มันผิดเพี้ยนธรรมชาติ
สัตว์เดรัจฉานมันไม่ได้โง่เง่า เลอะเทอะเหมือนคน คนมันเลอะเทอะเรื่องเพศ เรื่องกระเทยสับสน ปนเปกันไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น แต่ละชาติแต่ละชาติสะสมมากขึ้น อาตมาไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้ พูดแล้วพวกกะเทยหรือพวกที่มีเพศที่วิปริตนี้ มันวิปริตไปแล้ว พูดไปแล้ว เราก็ต้องพูดว่าไม่ดี เขาก็ยิ่งไม่ชอบใจที่ว่า เขาไม่ดี แล้วมันเป็นไปแล้ว มันมีน้ำหนักเยอะ น้ำหนักมันติดเยอะ เพราะฉะนั้นก็ให้พวกเขาได้เข็ด ได้รู้ด้วยตัวเอง เขาถึงจะเปลี่ยน ซึ่งเปลี่ยนก็ไม่ง่าย พระพุทธเจ้าจึงไม่สอนกระเทย มันยาก ไม่ใช่ว่าไม่มีจิตสงสาร มีจิตสงสาร แต่มันช่วยได้ยาก ขนาดพระพุทธเจ้ายังช่วยได้ยาก แล้วอาตมาเป็นใคร จะไปบังอาจช่วยกระเทย อาตมาไม่บังอาจ
เพราะฉะนั้น พวกเราจึงไม่มีพวกกระเทยอะไรมากมาย ถึงมีเขาก็ปกปิดไม่ให้เปิดเผย พอรู้ว่าพวกเราไม่อยากคบพวกกระเทย จึงหากระเทยไม่ค่อยได้ในพวกชาวอโศก ก็เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่ว่า เรารังเกียจ เราสงสารไม่รู้จะช่วยอย่างไร พระพุทธเจ้ายังพยายามกัน ไม่ให้เข้ามายุ่งย่ามมาก แล้วเราเป็นใครจะไปอวดดีกว่าพระพุทธเจ้า ฟังความนี้ให้ได้เข้าใจแล้วก็เท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่า เรารังเกียจ ไม่ใช่ว่าเราชิงชัง เราผลักไส แต่เราไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยได้ คุณแรงเกินไป คุณมากเกินไป ให้คนอื่นเขาหรือคุณอยู่คุณเองก็รับภาวะวิบากกรรมของคุณเองเถอะ แล้วคุณก็จะได้เป็นคางคก เลือดหัวมันตกน้ำยางมันออก มันก็รู้สึกเอง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางแก้หรอก
เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธรู้จักขอบเขตที่จะช่วยคนได้ประมาณหนึ่ง ไม่ใช่เราจะอวดดีไปช่วยใครต่อใครได้หมด ไม่เก่งอย่างนั้นหรอก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม… พ่อท่านเป็นผู้ใหญ่เป็นผู้ที่เป็นอภิภู ก็ให้ความเมตตาเป็นลำดับ ไม่ได้เป็นผู้ที่ไปข่มเขา
พ่อท่านพูดไว้ สำหรับผู้ที่คิดว่า ตัวเองสูง ตัวเองใหญ่ ก็จะไปข่มเหงคนอื่น ไม่ได้เป็นการประสานเลย
สภาวะ 2 ของผู้ที่เป็นอภิภู
พ่อครูว่า… อยากจะพูดถึงเรื่องสังคมทั่วไปกว้างๆ ก็คงจะต้องพูดซ้ำซากกันอีก
คือสังคมมนุษย์ มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาเป็นคน ไม่ว่าจะชาติไหน ไม่ว่าจะศาสนาไหน ไม่ว่าจะประเทศไหน จิตวิญญาณนี้ 1. มันเป็นโลกียะ 2. มันเป็นโลกุตระ มันมี 2 แบบใหญ่ๆ
แบบโลกียะนั้น จะยืนหยัดอยู่ที่ดีและชั่ว จะยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องสุขและทุกข์ ส่วนโลกุตระนั้นจะเรียนรู้ดีและชั่วด้วย เรียนก่อน แล้วก็ปฏิบัติตนให้เป็นคนดี ไม่ทำชั่วเลย สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) จนมีพลังในจิตตัวเองเป็น อนุปคัมมะ หรือ เป็น วสวัตตี เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือจิตตัวเอง ไม่ให้จิตตัวเองไปทำชั่วรู้สมมุติที่ชั่วแล้วไม่ทำ ทำแต่ดีถ่ายเดียว แข็งแรงมั่นคงถาวร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
นี่เป็นคุณสมบัติอันวิเศษ เป็นคุณธรรมอันวิเศษของศาสนาพุทธ ที่รู้จักโลกียะ ทำดีไม่ทำชั่วเลย สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ก็เป็นหลักประกันของคน ที่ยังเป็นคนอยู่ คนคนนี้รับประกันว่าเกิดอีกกี่ชาติๆ ก็ไม่ทำชั่วไม่ทำบาปแล้ว ทำใจดีถ่ายเดียว ตลอดนิรันดร เท่าที่คุณจะยังเป็นชีวิตอยู่
-
เหลือสุขทุกข์ คนติดสุขหรือติดทุกข์ก็จะเวียนวนอยู่ในโลกีย์ อยู่ในโลกวนเวียน คนที่ดับสุข ดับทุกข์ได้ในจิตเลย เป็นสภาวะ 2 หมดสุขหมดทุกข์เลย คนนี้คือคนที่ไม่มีวนเวียน ไม่มีบวก ไม่มีลบ แต่รู้สมมุติของโลกว่ามีบวก มีลบ แต่ตัวเองไม่ได้เข้าไปอยู่ในบวกในลบเขา