6508122 เป็นผู้แพ้ผู้รับใช้ได้ไม่ยาก ด้วยฌานทั้ง 4 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 51
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/19gafCijNIoF6ZKdRtdr2uccqOECzf4kEyoXindUmz7Q/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1IKAkmgOcQlwjyugQQ9rxD22ryBGcxtlS/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่
และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1034258523944137
_สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อท่านได้ อบรมและสอนพวกเรามาหลายสิบปี สอนอย่างเป็นลำดับ เป็นทั้งแม่และพ่อ ที่ดูแลลูกๆ และในระยะหลังพ่อครูก็ได้วางมือให้ลูกๆที่ได้เติบโตมาเป็นพี่ ได้ช่วยดูแลน้องๆต่อ
พ่อครูว่า… ครั้งที่ผ่านมาได้อธิบายปฏิจจสมุปบาทไปถึงอุปาทาน
ที่จริงก็มี SMS อยู่หน้าเดียว คือพูดไปเรื่อยๆอย่าเพิ่งรีบตายก็แล้วกัน อาตมามีอะไรพูดให้ฟังเรื่อยๆ มันไม่มีวันหมดหรอก อาตมารู้มากพูดได้ไม่มีวันหมด วนเวียนขยายทีละเล็กทีละน้อยขยายมากขึ้น อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาพูดถึงสิ่งที่เป็น ของเก่า มีของเก่าร่วมด้วยเสมอ แต่ขยายใหม่เสมอทุกทีด้วย อย่างไม่เก่งก็นิดนึง อย่างเก่งก็มากขึ้น ขยายใหม่มากขึ้น หรือขยายใหม่มากขึ้นจนบางทีมองไม่ออกว่า นี่มันอยู่ด้วยกันกับของเก่า มันกระจายออกไปมากไกลจนรวมกันไม่ติดแล้ว มันเป็นอันเดียวกับของเก่าหรือไม่
อาตมารู้สึกว่าอยากอธิบายอะไรหลายๆอย่าง ให้ฟัง ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก
ศรัทธากับสายปัญญา และ มายากับสิริมหามายา
SMS วันที่ 19-21 ส.ค. 2565
_ประไพ ยาสาร · สายศรัทธากับสายปัญญาควรมีควบคู่กันไป ขอให้ทั้งสองสายปฏิบัติให้ถูกตรงถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิก็จะไม่มีปัญหาค่ะ
พ่อครูว่า…คุณคนนี้เข้าใจดี ดีแล้ว เพราะปัญญากับศรัทธาเขาจะต้องเป็นคู่กันเสมอ แต่แน่นอน สิ่งที่เป็นคู่กันนี้ เป็น 2 นี้ จะไม่เท่ากัน ภาวะ 2 จะไม่เท่ากัน ตั้งแต่วัตถุเลย พวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายรู้ 2 ก็คือมีบวกกับลบ ลบมี 1 ถ้าบวกมี 2 ชาติไหนๆก็ทำเครื่องหมาย 1, 2 แล้วมาเป็นบวก + เป็นคูณ x แล้วแยกเป็นหาร แล้วมาแยกเป็นยกกำลัง นี่เป็นการขยายความหมายของสังขารทั้งหลายทั้งหมด บวกลบคูณหาร ยกกำลัง หรือจะมาถอดรูท ก็เป็นวิธีคิดของคนที่จะรู้จักการรวมกับการแยกแบ่ง มีอยู่เท่านี้
รวมให้เป็น 1 หรือสุดสูงสุดเป็น 0 กับขยายไปเรื่อยเป็น 2 เป็น 3 เป็น 4 แล้วมันก็จะมีหารร่วมมาก คูณร่วมน้อย อะไรเข้าไปอีกเยอะ ขยายไปได้
หาร ร่วม มาก หมายความว่า แบ่งย่อยนะ มันก็ยิ่งมาก
คูณ ร่วม น้อย คือคูณ มันยิ่งเพิ่มนะ แต่รวมเข้ามาน้อย
มันมีตัวคูณร่วมน้อยลงๆๆ แต่มีผลมาก ตัวหาร แยกออกไปมาก แต่มันเป็นตัวกะปริดกะปรอย น้อยลงๆเรื่อยๆ เป็นสภาวะ 2 อย่างที่เรียกว่า 2 อย่าง มันจะค้านแย้งกันในตัวเสมอ เรียกภาษาอังกฤษว่า Dialactic แปลเป็นภาษาโก้ๆว่า วิพากษ์วิภาษ ภาษามันแย้งในตัว ศัพท์ทาง พระพุทธเจ้าเรียกว่า สิริมหามายา
เหมือนมันเป็นสภาพกลับกลอกไปมา ซับซ้อน แต่ของพระพุทธเจ้ากลับเร็ว หมุนเร็ว ชัดเจน หมุนไปทางไหนก็เป็นความจริงทั้งนั้น เต่มายานี่ หมุนไปทางไหนก็หลอกทั้ง 2 ส่วนเลย มายาของนักมายากล นักเล่นกล
นักมายากลกับสิริมหามายานั้นจึงเป็น 2 คำ ที่บอกความหมายสุดยอดแล้ว อันหนึ่งไม่จริงเป็นมายา อันหนึ่งจริง สิริมหามายา
มายา หรือ นักมายากลที่เก่ง ยิ่งไม่จริงมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น
ส่วน สิริมหามายานั้น ยิ่งทำความไม่จริงนั้น แยกให้เห็นความจริงกับความไม่จริง ชัดขึ้น ๆๆๆๆ ชัดขึ้น ชี้สิ่งที่ 2 อัน ที่มันไม่เป็น 1 รวมลงไม่เป็น 1 ถ้ามันเป็น 2 มันจะต้องมีอันหนึ่งที่ควรกับอันหนึ่งที่ไม่ควร เราก็จะต้องเลือกเอาสิ่งที่ควรเสมอ ซึ่งไม่เที่ยง ขึ้นอยู่กับกาละ เทศะ ฐานะ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของทั้งหลาย
อาตมาย่อๆลงมาเหลือ กาละคือเวลา เทศะคือที่ต่างๆ ฐานะคือตัวเรา เราจะตั้งอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ กาละเวลา เทศะคือที่ต่างๆ ฐานะคือตัวเรา ขึ้นอยู่กับ สรุปสั้นย่อลงมาเหลือ 3 คำนี้ คือกาละ เทศะ ฐานะ แล้วเราก็จะรู้ว่ารวมกัน เอามาใช้ร่วมกันตั้งแต่ 2 ขึ้นไปเป็น 3-4 เป็น 5 เป็น 6 เป็น 7 จนหาประมาณมิได้ จะไปจับคู่ทีละคู่ก็จะค่อยๆรู้
การจะรู้ได้ด้วยการจับคู่มาเปรียบเทียบกัน มันต่างกันอย่างไร มันต่างมาก ต่างน้อย ต่างกันด้วยมุมเหลี่ยมไหน มิติไหน ประเด็นไหน แบบไหน อย่างไหน
รู้แล้วก็คือ รู้ความเหมือนกันกับความต่างกัน เท่านั้นเองเรียกว่า 2
ทีนี้ผู้ที่เข้าใจรวมได้แล้วว่าในโลกนี้มีความเหมือนและความต่างเท่านั้น ผู้ที่เข้าใจใน 2 พยายามให้ 2 นี้อยู่ด้วยกันได้อย่างรวมเป็น 1 ให้ได้ แน่นอนมันจะมี 2 ชิ้นขึ้นมาก็ต่างกันทุกอย่างไม่มีอะไรไม่ต่างกันเลย แยกเป็น 2 แล้วต่างกันทั้งนั้น
แล้วทำอย่างไรให้ 2 นั้นอยู่ด้วยกันให้ได้ มันมีมุมเหลี่ยมที่แตกต่างกันตั้งร้อยเหลี่ยม พันเหลี่ยม ก็ต้องพยายามที่จะรู้ทันร้อยเหลี่ยม พันเหลี่ยมนั้น แล้วเข้ากับเหลี่ยมต่างๆ ของที่เขามีให้ได้ทุกเหลี่ยม เราก็อยู่ร่วมกับเขาได้หมด
เพราะฉะนั้น ผู้สามารถรู้เหลี่ยมของคนได้มาก แล้วร่วมอยู่กับเขาอย่างประนีประนอม ไม่ใช่รู้เหลี่ยมเพื่อจะไปทะเลาะกัน แล้วก็จะเอาตัวเองเป็นผู้ชนะ นั่นคือคนโง่ที่สุด
ผู้ใดที่รู้เหลี่ยมของคนอื่นแล้วเราก็จะเอาชนะเขา โง่ที่สุด
ผู้ใดที่รู้เหลี่ยมของผู้อื่นแล้ว แล้วก็จะต้องพยายามอยู่กับเขาให้ได้
อยู่กับเขาให้ได้ ถ้าเขาจะเอาชนะจริงๆ ยอมแพ้ ให้เขาเป็นผู้ชนะ
แต่ผู้ที่จะแพ้เขานั้นคือ ผู้ที่มีความรู้มากกว่า รู้ดีกว่า รู้ถูกต้องกว่า เก่งกว่า จริงๆ จึงยอม เพราะอยู่เหนือ ยังไงก็เหนือกว่า เพราะรู้มากกว่า เก่งกว่า วิเศษกว่า
เพราะฉะนั้นจึงยอม ยอมอยู่ด้วย เพราะเก่งกว่า รู้กว่า ถูกต้องกว่า คนที่มันไม่กว่า มันทำอะไรคนที่กว่าไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น คนที่รู้ชัดเจนแล้วว่า เราเหนือกว่าเขาจริงๆ ฆ่าก็ตายคลายก็รอด จะไปทำทำไม ก็อยู่ด้วยกันดีกว่า เราจะได้มี 2 แรง
แล้วก็ทำให้เขาเข้าใจให้ได้ โดยไม่ต้องไปบังคับเขา ทำให้เข้าใจให้ได้จนยอมรับว่า ไอ้ที่คุณรู้นั้น เรารู้เหนือกว่า ไอ้ที่คุณทำได้ เราทำได้เหนือกว่า ให้เขาเข้าใจเอาเอง ยอมรับ เองเลย ยังไม่ยอมรับตัวเอง ก็เขาดิ้นอยู่อย่างนี้แหละ แต่ถ้าเราเหนือกว่าจริงแล้วนี่ ไม่ต้อง ไปกังวลเลย เขาจะมาทำเป็นเหนือกว่าเราอย่างไรก็ตาม ความจริงมันก็คือความจริง เราเหนือกว่าอยู่แล้ว นอกจากว่าเราจะหลงผิดตัวเองว่า เราเหนือกว่า
เหมือนอย่างทักษิณ ไม่ยอมเลย บอกว่า ผมแพ้ไม่เป็น ไม่เคยรู้จักความแพ้ ทั้งๆที่เขาแพ้อยู่ทุกวันนี้ เขาก็แพ้ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองแพ้ พยายามโหดอำมหิตที่สุด เอาคนที่รู้จักมา เอานอมินี่มาทำแทน นอมินีตายไป เอาญาติมาทำแทน สมัครตายไปก็เอาสมชายมาทำแทน เอาสมชายมาทำแทนเป็นญาตินะ ตายไปอีก จะตายจริงไม่ตายจริงก็คือหมดฤทธิ์ไป เอาน้องมาทีนี้ น้องแพ้อีก เอาลูกเลยทีนี้
คือมันสุดอำมหิตที่สุดเลยทักษิณนี่ สุดอำมหิตจริงๆ ไม่เอาตัวเองนะ ไอ้ตัวเองนั้นแพ้ ไปแล้ว แล้วตัวเองอยากจะเข้ามาบงการ ก็เอ็งแพ้ไม่รู้จักแพ้ ถึงดิ้นเพื่อจะชนะให้ได้ นี่แหละคือตัวอย่าง เทวทัตยุคนี้
ขออภัยที่อาตมาพูดความจริง ใช้ศัพท์ ใช้ภาษาเรียก ตรงเลย เพราะมันเป็นความจริงที่อาตมาว่าไม่ได้พูดความเหลาะแหละ ไม่ได้พูดโกหก แม้แต่ลูกเต้าเหล่าหลานของ คุณทักษิณฟังก็ฟังดีๆว่า
อาตมาอธิบายด้วยเมตตา อธิบายด้วยความจริง ไม่ได้มี ความผิด ไม่ได้มีความชิงชัง ไม่ได้มีความโกรธความโหดเหมือนอย่างคุณทักษิณเลย มีแต่ความเมตตา มีแต่ความเกื้อกูล อยากให้เข้าไปถึงความจริง ติดตามดีๆ
สู่แดนธรรม… วันนี้พ่อท่านอธิบายสิ่งที่พวกเราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน พ่อท่านคิดได้ในขณะนี้หรือครับ
พ่อครูว่า… ขณะนี้ เป็นเรื่องปกติทันทีทันใดไม่ได้เตรียมเรื่องนี้มาพูดเลย
ศรัทธากับปัญญาเป็นคู่ที่มีมาตลอดแต่ไหนแต่ไร สัทธานุสารี ธัมมานุสารี หรือผู้มีผู้ที่มีศรัทธานำกับปัญญานำ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตรัสรู้อันนี้ทั้งนั้น เพราะงั้นก็จะต้องยอมรับความจริงให้ได้อยู่อย่างหนึ่งว่า อย่างไร อย่างไร ศรัทธาก็ช้ากว่าปัญญา ศรัทธาก็ยากกว่าปัญญา ปัญญาก็ง่ายกว่าศรัทธา เจ้าของนะง่าย เจ้าของนะยาก เจ้าของนะช้า เจ้าของนะเร็ว ปัญญาเร็ว ศรัทธาช้า
มันเป็นสัจจะของมันในตัวไม่มีใครอยากเป็น ศรัทธาจริงๆเขาอยากจะเป็นปัญญา แต่คุณต้องเป็นสิ่งที่คุณสะสมมาด้วยบารมีกี่ชาติก็ไม่รู้ คุณก็ต้องไปกับอันนี้ เพราะว่าคุณสั่งสมมาเอง พระเจ้าไม่ได้สร้างคุณหรอกคุณสร้างตัวเองมา แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นมา เดี๋ยวนี้ก็ยังมี จะยกตัวอย่างให้ฟังในปัจจุบันนี้
สายศรัทธาคิดว่าตัวเองเป็นปัญญาเรียนรู้มาก กับสายที่ไม่เรียนรู้อะไรมาก แต่มีวิธีว่าจะต้องเป็นอรหันต์ได้ด้วยการนั่งหลับตาเข้าไปหา 1 1 1 อย่างเดียวจนถึง 0 ส่วนอีกสายหนึ่งบอกว่ารู้ให้มากๆ แล้วจะรู้ได้บริบูรณ์ รู้อย่างครอบจักรวาลก็คือเอกภพเป็น 1 แนวคิดคนละทาง เห็นไหม
เพราะฉะนั้น สายเพ้อ ฟุ้งซ่านมาก สรุปไม่ลง สายสรุปก็ไม่รู้อะไรอื่นเลย เป็นก้อนเป็น แท่งเป็นแข็งเป็นบื้อ มันเป็นลักษณะสภาพ 2 แต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้นมาช่วยกัน
ปัญญาเป็นผู้รู้ดี ก็พยายามจะช่วยศรัทธาเสมอ ศรัทธาอธิบายให้ชัดลงไปอีกก็คือ โง่มากกว่า ปัญญา นี่สภาวธรรมนะไม่ได้ไปดูถูกศรัทธานะ เป็นสัจจะอย่างนั้น โมหะมากกว่า โง่มากกว่า สับสนมากกว่า รู้ได้ยากกว่า ทั้งนั้น มันจึงช้าไง
เพราะฉะนั้น สภาวะ 2 ตั้งแต่ท่านแยกอันแรก ท่านยังไม่แยกคำว่า ปัญญา ท่านใช้คำว่า ธรรมะ
ธรรมะคือสิ่งที่ปรุงแต่งตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป ถ้าธาตุ ก็คือ 1 ถ้าเป็นธรรมะก็ 2 จะไม่อธิบายลงรายละเอียดถึงพยัญชนะ
ธัมมานุสารี พระพุทธเจ้าบอกว่ายังไม่เป็นปัญญา แต่ผู้จะบอกไว้ว่ามีปัญญานำ ธัมมานุสารีมีปัญญานำ สัทธานุสารีใช้ศรัทธานำ
ฉะนั้นจากผู้ที่แสวงหา ที่จะต้องไปเป็นปัญญานั่นแหละสูงสุด สัทธานุสารีจะต้องตามเอาปัญญาให้ได้ เพราะฉะนั้นจึงจะได้เป็นตัวที่ 7 อุภโตภาควิมุติ ได้เจโตวิมุติแล้ว ต้องได้ปัญญาวิมุติแล้วจะจบ อุภโตภาควิมุติ
ส่วนปัญญานั้นนำมาแต่ต้นแล้ว ตั้งแต่คู่แรก สัทธานุสารีกับธัมมานุสารี ธัมมานุสารีก็อยู่ในระดับสูงกว่าอยู่แล้ว พอเลื่อนฐานปั๊ปก็เป็นทิฏฐิปัตตะ ส่วน สัทธานุสารีพอเลื่อนฐาน เป็นสัทธาวิมุติแล้วก็จะไปมุดอยู่ที่ศรัทธานั่นแหละนาน กว่าจะเกิดมีภูมิมีปัญญา ก็จะเริ่มออกจากสิ่งที่พูดออกมาได้มาเป็น ทิฏฐิปัตตะ ก็นาน กว่าจะหลุดออกมาจากสัทธาวิมุต
กว่าจะมีปัญญา นี้ทุกข์ สมุทัยนิโรธมรรค ตราบใดที่ยังไม่รู้ชัดถึงว่านี่คือ ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค ก็จะกดข่มไว้กดดันไว้ วนอยู่ในรูแคบๆที่เล็กๆแล้วกดนิ่ง นึกว่าจบนึกว่าหลุดพ้นนึกว่าดับนึกว่านิโรธ มันเป็นความยังไม่ฉลาดของเขาที่เรียกว่า ไม่ใช่ปัญญา แต่เขาก็เชื่อรู้ เชื่อและรู้ของตัวเอง ซึ่งตัวเองทุกคน เกิดมาเป็นตัวเองนี่ รู้เองไม่ได้ จะต้องรู้จักพระพุทธเจ้าที่เป็นคนเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์รู้ก่อน ทุกคนในแต่ละยุคพระพุทธเจ้า คนจะเกิดมาเป็นจิตนิยามแล้วบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า คือผู้บรรลุสูงสุด
เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เกิดมาเป็นพุทธเจ้า ยังไม่มีพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่มีผู้บรรลุสูงสุด จนจบ จนแยกธาตุจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยรู้ว่าทุกอย่างไม่มีอะไร อนัตตา มันรวมตัวกันอยู่อย่างสมมติ แล้วก็ควบคุมสมมุตินั้น ผู้ที่ควบคุมสมมุติ ได้ก็เรียกว่า มีปรมัตถธรรม มีเนื้อแท้อันยิ่งเรียกว่า อัตถะ(เนื้อแท้) บรม(ยิ่งใหญ่)
ที่อาตมาธิบายเป็นภาษาของอาตมาเองทั้งนั้นขยายเป็นภาษาไทยที่พอคุณฟังได้ง่ายหมด ไม่ได้ต้องมาจากคำแปลของใคร ไม่มี ใครจะพูดไม่เหมือนอาตมาทีเดียวหรอก ลอกเลียนได้ แต่ถ้าคุณไม่เหมือนอาตมาไม่เท่าอาตมาคุณพูดเท่าอาตมาไม่ได้หรอก คุณต้องเท่าอาตมาคุณจึงจะพูดอย่างอาตมาได้ ถ้าคุณไม่เท่าจะพูดว่าเท่าได้อย่างไร อธิบายเท่าอาตมาไม่ได้ อยากจะแกล้งอธิบายเก่งๆเหมือนอย่างอาตมาก็เอาสิ แบ่งให้ได้นะ เอาให้เหมือนนะ แล้วอาตมาก็ไม่มีวันหมดง่ายๆด้วย ขยายไปได้เรื่อยๆ
สรุปตรงนี้ก่อนว่าปัญญากับศรัทธา เป็นจิตนิยามคู่เป็นธาตุคู่ เทวะ ตั้งแต่เกิดจน สูงสุดท้าย ก็คือเลิกเป็นเทวะไปหมดเลย เทวะนี้ ผู้ไม่รู้ก็เลิกไม่ได้ เป็นพวกสายเทวนิยม ดับเทวะไม่ได้ ดับคู่ไม่ได้ แล้วหลงคู่นี้ว่าเป็นหนึ่งใหญ่ที่สุด ศาสดาแต่ละองค์ก็นึกว่า ตัวเองใหญ่ที่สุด แต่จริงๆแล้วศาสดาในโลกนี้มีตั้งไม่รู้กี่องค์ ศาสดาทางเทวนิยม ต่างคนต่างใหญ่ทั้งนั้น เสร็จแล้วก็แข่งดีแข่งเด่นกัน
แล้วมีความลึกซึ้ง เทวนิยมเขาก็ลึกซึ้งว่า อย่าไปแข่งดีให้คนอื่นเขาเห็นว่า เราไปแข่งดีแข่งเด่นเขานะ คนที่แข่งดีแข่งเด่นกับคนอื่น มันไม่ดีหรอก แต่แข่งดีแข่งเด่น อยู่ในตัวเรา เป็นธรรมชาติของความโง่ที่ซ่อนอยู่ในความฉลาด คือยังมี 2 อยู่ใน 1 แต่เขานึกว่า เขาเป็นหนึ่งคือฉลาดไม่มีโง่ ไม่มีโง่กว่าใคร เขานึกว่าอย่างนั้น
สำหรับพระพุทธเจ้านั้น รู้ทั้งโง่ซ่อนฉลาดและฉลาดซ่อนโง่ แล้วรู้ชัดเจนด้วยว่าอะไรโง่กว่าฉลาดมันไม่ใช่อันเดียวกัน รู้ชัดด้วย ถูกต้องด้วย แล้วรู้ด้วยว่า พวกที่เขายึดว่าโง่กว่าฉลาด เขายึดว่าเขาฉลาดแต่เขาโง่ รู้ด้วยว่าคนนี้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปแก้ไขเขาหรอก แสดงความจริงให้เขามาฉลาดตาม แล้วเขาก็จะหลุดพ้นด้วยตัวเขาเอง
คนที่หลุดพ้นด้วยตัวเอง แจ้งเองเป็นปัจจัตตัง รู้ด้วยตัวเองแจ้งเอง เมื่อนั้นเขาจำนนแล้วหรือเมื่อนั้นเขาถึงที่สุด อ๋อ.. นี่คือเราเองนะ เรารู้อย่างนี้ เรายอมรับตัวเอง
เช่น ขณะนี้ คนที่อวดดีกว่า ตัวเองรู้ ตัวเองเก่งอยู่ในโลก อยู่ในสังคม อยู่ในประเทศไทย อยู่ในวงการธรรมะ เขาจะนึกว่า เขานี่ยอดกว่าอาตมา รู้มากกว่าอาตมา เหนือกว่าอาตมาว่างั้นเถอะ เขาเชื่ออย่างนั้นอยู่
แต่จริงๆเลยอาตมาขอพูดความจริงว่าเขาไม่ได้เหนือกว่าอาตมา อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ในเรื่องของธรรมะพระพุทธเจ้า หรือธรรมะของมนุษย์ มนุษย์ที่สูงสุดก็คือพระพุทธเจ้า นอกจากสิ่งที่เขาไม่รู้ตัวสูง
พระเจ้าคือศาสดาเทวนิยมแต่ละองค์นี่หละ แต่ศาสดาเทวนิยม ตัวเองมีบารมีได้สั่งสมความรู้ความจริงมายอด ก็เบ่งขึ้นมา มีสมาชิก มีลูกน้อง มีสาวก ก็มาขึ้น ก็ได้ก๊กได้หมู่ได้เหล่าเป็นคณะๆๆ
แต่ ภูมิปัญญานั้นอยู่ในวงแคบของสูงสุดก็เท่ากับศาสดา ของศาสนาแต่ละศาสนา สูงสุด เท่ากับ ศาสดา ไม่มากกว่านั้นอีก แล้วบล็อคด้วย ยึดด้วยว่า ไม่เป็นอื่น ทุกคำไม่ดิ้น ทุกคำไม่ขึ้นอยู่กับกาละเทศะฐานะ เที่ยง ทุกสิ่งเที่ยงตามความจริงของพระเจ้า ของพระบิดา พูดเป็นหนึ่งแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เที่ยง
คนนี้แหละจะอยู่ตรงที่ตัวเองรู้สูงสุด แล้วไม่ยอมรับคนอื่นเลย คุณก็เท่ากับกบอยู่ในกะลาครอบของคุณ กี่กัปป์กี่กัลกาลเวลา กี่ 100 ปีแสง คุณก็อยู่ในกรอบกะลาครอบเพราะคุณไม่รับใครแล้ว คุณมีแต่ตัวเองคุณถือว่าตัวเองสูงสุดยอดไม่มีใครสูงกว่านี้อีกแล้ว
พระพุทธเจ้าไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น ผู้ที่สูงกว่าพระพุทธเจ้าคือพระพุทธเจ้าองค์ก่อน แล้วท่านก็ตรัสรู้ องค์ก่อนคือ ผู้มีทั้งอดีตและอนาคต ส่วนท่านเป็นปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ก่อนคืออดีตกับอนาคต 2 สภาพรวมกันเป็น 1 ในโลกนี้มีอดีตกับอนาคตและรู้ตรงไหน รู้ตรงปัจจุบันนี้แหละ
ผู้ที่รู้อดีตกับอนาคตมากที่สุด นั่นแหละในปัจจุบันนี้เอามาใช้ อดีตก็เอามาใช้อนาคต ก็มาใช้ได้มากที่สุด ผู้นั้นแหละคือพระพุทธเจ้า ทุกองค์แหละ ในขณะที่พระพุทธเจ้าตัวจริง ยังไม่เกิดในขณะเวลานี้ในโลกโลกที่อยู่ในความมืดอเมริกาเป็นต้นกับไทยสว่างเป็นต้น อยู่คนละฟากฝั่ง หรืออยู่เหนืออยู่ใต้เป็นต้น ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ก็ตาม กาละเดียวกันนี้ ไม่เท่ากัน
มีผู้ที่ ปัจจัยอยู่ในสิ่งที่มีเหตุปัจจัยสมบูรณ์สูงสุดคือ โซน ศูนย์สูตร กลาง ดีที่สุด รู้ที่สุดจบสูงสุด
สรุปว่าต้องเอาศรัทธากับปัญญามาศึกษาและคุณจะประนีประนอม รู้จบ ความจบเรียกว่านานาสังวาส นานาคือต่างกัน สังวาสคือ มันต่างกันแต่อยู่ร่วมกันให้ได้ สังวาสแปลว่าอยู่ร่วมกัน ผู้ที่รู้แล้วว่าเรามีอะไรต่างกัน แต่อยู่กันยังประนีประนอมอยู่กัน อย่างสามัคคีอย่างอาศัยกัน
และผู้ที่มีนานาสังวาสนั้นจะเป็นผู้ที่สูงกว่า และเป็นผู้ที่ยอมแพ้ เพราะว่าไม่ต้องไป ดึงดันกับคนที่จะเอาชนะหรอก ถ้าเขามีความจริงที่ชนะ เขาก็เป็นความจริง แต่ถ้าเขาไม่มี ความจริงที่เป็นความชนะ เขาก็มีความจริงที่ไม่ชนะอยู่ดี
เพราะฉะนั้นที่ผู้ที่รู้ความแพ้ความชนะหรือความจริงว่าอะไรสูงกว่าอะไรแล้ว คุณไม่ต้องไปแข่งความดีความชนะความแพ้อะไรหรอกมันเป็นความจริง ที่สำคัญก็คือรู้ว่า เรานี่แหละเป็นผู้ที่ถูกต้องกว่าจริงกว่าอยู่เหนือกว่า จริงๆ
เพราะฉะนั้นความคิด แพ้ได้ แต่ความจริงสูงกว่า
เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้จักความคิดไม่รู้จักความจริงก็ยกตนข่มความจริง ผู้ที่ยกตนข่ม ความจริงทั้งๆที่เขาไม่จริง เขาต่ำกว่าแต่เขายกตนสูงกว่า แล้วเขาก็นึกว่าเขาสูงกว่า เขาก็ จบอยู่ตรงที่ไม่จริง เขาเข้าใจความไม่จริงว่า จริง จบอยู่ที่ตรงนั้นแหละ
เด็กๆฟังทันไหม
สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นบุญหูพวกเรามากเลยครับ
พ่อครูว่า… ศรัทธากับปัญญาขยายความไปได้อีก สักพันปีก็ยังขยายได้เพราะฉะนั้นพอแค่นี้
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · กราบขอบคุณคุรุปะฯ-สื่อในน้ำคำกับทุกบรรยากาศรายงานความเป็นจริง กับการรับมือน้องน้ำมาเยือนบ้านราชเมืองเรือ ด้วยกายใจรู้ตัวทั่วพร้อมพรั่งประสบการณ์ แปรทุกข์เป็นสุข อยู่กับน้องน้ำทั่วท้องถิ่นไทยได้อย่างปลอดภัยมาได้ทุกฤดูมรสุมฯ สาธุ🙏🚣🙏
พ่อครูว่า… เราสามารถอยู่อาศัยที่นี่ได้อย่างดี ซึ่งเดี๋ยวนี้น้ำมันก็กระจายไปตรงนั้นตรงนี้เยอะ เราก็ทำที่หนีและที่อยู่ จนกระทั่งไม่มีปัญหา น้ำจะท่วมบ้านราชฯ ถ้าจะท่วมเฮือนศูนย์เราก็ขึ้นไปอยู่บวร มันจะท่วมด้านล่างบวร เราก็ไปอยู่ชั้นบนของบวร มีพื้นที่ข้างบน 7 ไร่ พวกเรา 500 คนอยู่ได้สบาย คนมาเพิ่มได้อีก
แม้ว่า บวรนี้ รับคนได้เท่านั้น ที่เฮือนศูนย์สูญมีชั้น 4 ก็รับได้อีก รับได้เป็นร้อย เป็นพัน
เพราะฉะนั้น สถานที่นี้มีพอที่จะรับคนได้อีก แต่คนจะเข้ามายาก ไม่ได้ปิดกั้นนะ ใครจะเข้ามา คุณจะต้องมาด้วยสมรรถนะ มาด้วยภูมิธรรม ภูมิธรรมคุณมาเข้ากับที่นี่ไม่ได้ คุณอยู่ไม่ได้เอง ไม่ได้เป็นอะไรมากมายหรอก
ผลงานของโพธิสัตว์ในเมืองไทยยุคนี้
_วัดป่าสวนธรรมร่วมใจ ยโสธร · อดีตผู้ว่าฯ อัศวิน วันๆไม่ค่อยปรากฏฃตัว แต่ปรากฏผลงาน…คุณชัชชาติปรากฏตัวทั้งวัน แต่ผลงานไม่ปรากฏ
…กราบนมัสการครับท่านพ่อครู..กระผมขอนอกเรื่องนะครับ🙏🙏🙏/ ลุงตู่ ยืนยันไม่ยุบสภา ขอให้เวลาที่เหลือทำงานเพื่อประชาชน
พ่อครูว่า…นายกฯ เลือกเฟ้นทำงานมีผลงานเยอะ คนก็เรียบเรียงเก็บผลงานมาให้ดู แต่พวก Fake News โกหก ข่ม ถล่ม นายกประยุทธ์ ก็ทำไปเลวซ้ำเลวซาก ตัวเองกรรมเป็นอันทำ ส่วนพลเอกประยุทธ์ก็ทำไป ได้ผลงานจริง ไม่ต้องแคร์ พระอาทิตย์จะส่องหรือไม่ หรือว่า พระจันทร์จะตาบอดก็ช่าง I don’t care If the sun Don’t Shine, I don’t care if the moon go blind. ไม่ต้องไปแคร์ พระจันทร์จะตาบอด พระอาทิตย์จะไม่ส่องแสงก็ช่าง เราทำงาน มีกลางวันกับกลางคืนที่ทำได้ ถึงเวลาพักกลางคืนก็พักบ้าง เวลากลางวันก็ทำงานเต็มที่ไป
พลเอกประยุทธ์นี้เป็นโพธิสัตว์องค์หนึ่งที่ขึ้นมาบำเพ็ญในชาตินี้ อาตมาไม่อยากจะขยายความมากเกิน เพราะว่ามีโพธิสัตว์หลายรูปอยู่ในยุคนี้ที่อาตมาพอรู้จัก กล่าวถึงบ้าง ยังไม่ได้กล่าวถึงบ้าง
กล่าวถึงบ้างแล้วอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ดูโพธิสัตว์รูปนั้นรูปนี้บ้างก็น้อย ไม่ได้กล่าวอะไรมาก ก็ไม่อยากขยายความอีกเยอะ เอาตัวเองเป็นหลักว่าเป็น โพธิสัตว์ และเป็นไก่ตัวพี่พี่ก็ไม่ได้หลงตัวหลงตนอะไร ในยุคนี้
อาตมาเป็นผู้นำโลกุตรธรรมมาประกาศในที่นี้ ในประเทศไทย ไม่ใช่ประกาศคำว่า โลกุตระเฉยๆเหมือนท่านพุทธทาสที่กล่าวพยัญชนะโลกุตระ แต่ท่านไม่มีสภาวะไม่มีเนื้อหาของโลกุตระ ขออภัย เท่าอาตมา อาตมามีเนื้อหาโลกุตระ ละเอียดกว่า ชัดเจนกว่าและเป็นจริงกว่า อธิบายให้พวกคุณเข้าใจ ปฏิบัติตามมีมรรคผล เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มารวมเป็นชุมชนอโศก
ในอนาคต ในโลกเขาแสวงหา จุดสูงสุดคือโลกุตรธรรม เขาจะค่อยๆรู้ อาตมาทำมาห้าสิบปี คนไม่รู้มีเจ็ดพันล้านในโลก รู้แค่เจ็ดหมื่นอย่างหลวมๆ เจ็ดแสนคิดว่ายังไม่ถึง โลกุตรธรรม อย่างหลวมๆ เจ็ดหมื่น
อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไรก็ทำงานพาพวกเราทำไป มันก็เติมทั้งภาษาและสภาวะทั้ง บุคคลที่เป็นจริงทั้งวัฒนธรรม จนถึงที่สุดแล้วเป็นสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม 6 แต่ละคนเข้าใจวรรณะ 9 มีพุทธพจน์ 7 ติดตามศึกษาแล้วจะรู้ว่านี้แหละคือสังคมศาสตร์ นี้แหละคือเศรษฐศาสตร์ นี้แหละคือรัฐศาสตร์ แบบบุญนิยมสุดยอดเรียกว่าสาธารณโภคี บุญนิยมอย่างสุดยอดคือสาธารณโภคี
ไม่มีสังคมอะไรที่เยี่ยมยอดกว่าสาธารณโภคีอีกแล้ว ด้านเศรษฐศาสตร์ก็ตาม ด้านการเมืองก็ตาม สุดยอดที่สาธารณโภคี
_บัวดาว พรมเลิศ · พ่อครูเทศน์เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 65 แม้เสียงฝนตกจะดังมากแต่พ่อครูเทศน์เสียงดังกว่าค่ะ
อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ คือประโยคยิ่งใหญ่
_ใบฟ้า ธัมทะมาลา · โลกุตรธรรม มีคุณค่าสูงเยี่ยมสุดยอด จริงๆค่ะ พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ดิฉันจากคนที่มากด้วย”อรูปอัตตา”เชื่อมั่นในความคิดเห็นของตนเองว่าดีกว่าใครๆในอดีต จนได้รับโทษภัยอันแสบเผ็ด…มาบัดนี้ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาตนเอง จนสามารถเป็นผู้ที่รับฟังหรือปรโตโฆษะที่ดีขึ้น ฝึก”อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ “ได้ดีเป็นลำดับ ค่ะ กราบขอบพระคุณ พ่อครู ด้วยเศียรเกล้าฯค่ะ
พ่อครูว่า… “คนเริ่มรู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่อง คนนั้นเริ่มฉลาด
คนที่ยังไม่ยอมรู้ความบกพร่องของตัวเอง คนนี้จะโง่ดักดานไปเรื่อยๆ”
เขาเรียกว่าคางคก เลือดหัวไม่ตกยางไม่ออก ก็จะไม่ยอมจำนน
ประโยคนี้ยิ่งใหญ่มาก “อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้” คุณเป็นคนรับใช้นี่คือคุณเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
คุณเป็นเจ้านายเขานี่คือคุณเป็นลูกหนี้ คุณเป็นเจ้านายเขา ใช้เขา บังคับเขา คุณเป็นแต่ลูกหนี้
หากว่าคุณรับใช้เขา ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตนจนไม่มีตัวตนเลย เป็นคนยอดร่ำรวย คนนี้เป็นเจ้าหนี้ที่ยิ่งใหญ่
เพราะฉะนั้นมาอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ได้ดีเป็นลำดับก็ใช่แล้ว ดี คนเราหากยอมรับความจริงแล้วแก้ไข คือมีปัญญา
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม…
_จรรยา ประเสริฐ · กราบนมัสการพ่อท่าน กราบสมณะ และสิกขมาตุค่ะ ฟังท่านจันทร์ให้เรียนรู้เรื่องทุกข์และหาต้นเหตุแห่งทุกข์มาถึงนิโรธ มรรค ภาพดิฉันขณะนี้ได้เห็นหน้าทุกข์ และหาเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว ดีใจที่เห็น ดิฉันเป็นลูกอโศกปลายแถว เห็นทางพ้นทุกข์ เห็นนิวรณ์ที่ดิฉันจับมันไว้นาน คือความพยาบาท พอให้อภัยกับตัวเองแล้ว มีปิติน้ำตาไหล เกิดสภาวะแบบนี้ ปล่อยวางแล้ว ความสว่าง โล่ง สบาย ในจิตมีมาให้เห็นโลกใหม่ในตัวเอง แล้วก็วาง และทำต่อไปด้วยการฟังธรรม ดูอาการผัสสะที่เกิดเวทนาตามมา และมีปัญญา เห็นทุกอริยาบทในปัจจุบัน หมดแล้วอดีตจะมาขยำขี้ (ความทุกข์ที่อยู่ในใจมานาน) ถ้ามันเข้ามาก็จะรีบตัดทิ้งไป ไม่คำนึงถึงมันอีก เพราะรู้แล้วว่าอะไรมิจฉาฯ อะไรสัมมาฯ กราบสาธุผู้ลากจูง ดึงสติให้เห็นจากมิตรดีทางบุญนิยมนี้สาธุค่ะ ด้วยความเคารพด้วยเศียรเกล้าที่มีอยู่
พ่อครูว่า… ดีแล้วที่บอกว่าสภาวะเป็นจริงของตนมา
_Ka Por กล้า พอ · บุญนิยม ไม่ได้บอกชื่อรายการ การแชร์ FB ไปให้ FC ต้องทราบชื่อรายการต้องโทรถาม อาปะตรงเตือน ถึงทราบชื่อรายการ
ปฏิบัติให้ถึงสภาวะให้ยิ่งกว่าพูดแต่พยัญชนะ
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ คือผมมีความโลภในบุญกุศล เช่นฟังธรรมพ่อท่านก็อยากกอบโกยเอามากๆ โดยที่ตัวผมเองยังไม่ค่อยเข้าใจในธรรมะที่พ่อท่านเทศน์สอน แต่อยากจะสื่อให้ผู้อื่นได้รับทราบ อย่างนี้เป็นกิเลสใช่ไหมครับ ผมจะลดได้อย่างไรครับ กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ใช่ เอาให้ตัวเองปฏิบัติรู้สภาวะให้ดีก่อน แล้วทีนี้พูดภาษาจะได้ไม่ผิดด้วย คนที่เรียนรู้มากพวกคงแก่เรียน learned man จะรู้ภาษาบัญญัติมากแต่ไม่เข้าถึงสภาวะก็ไม่มีทางจบได้ ต้องรู้จักสภาวะเข้ามาหาจิตเจตสิก อ่านกายอ่านจิต เข้าใจกายให้สัมมาทิฏฐิคือสภาวะคู่ คู่แรกและคู่ต่างๆ จนกระทั่งคู่สุดท้าย กายกับจิต
คู่แรก และคู่ต่อๆๆไป ซึ่งจะเป็นสภาวะ 2 จนถึงที่สุดจบ คู่สุดท้าย ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ในวิญญาณฐิติ 7 มีกายกับสัญญา เป็น 2 ตัว แยกกายไปเป็นอีกตัวหนึ่งคือสัญญา ก็กำหนดรู้กายนั่นแหละสัญญา
กำหนดแยกกายให้ออก อะไรกาย อะไรไม่ใช่กาย เพราะฉะนั้นจะต้องรู้อะไรใช่กาย อะไรไม่ใช่ กาย ให้สัมมาทิฏฐิ
ถ้าใครมีสัมมาทิฐิในเรื่องกายแล้ว คุณก็ถึงจะจบวิญญาณฐีติ 7 จบที่ อากิญจัญญายตนะ ไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนะ หมายความว่า คุณยังไม่รู้จบ ยังไม่รู้เสร็จ เนวสัญญานาสัญญายตนะ หมายความว่า คุณยังไม่รู้จบยังไม่รู้เสร็จ จะว่าใช่ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ สรุปยังไม่ได้
เพราะฉะนั้น เมื่อมีความคมชัดสัมมาทิฏฐิ เสร็จ อากิญจัญญายตนะ แปลว่าไม่มี กิเลสไม่มีหมดเลย สิ่งที่ไม่รู้ไม่มี มีแต่รู้หมดแล้ว อย่างนี้เป็นต้น อากิญจัญญายตนะ คุณก็ต้องจบ คุณจบ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่วิจิกิจฉา ไม่ฟุ้งอะไรอีกแล้ว
เพราะฉะนั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงไม่ต้องมี จบที่ อากิญจัญญายตนะ ในวิญญาณฐีติ 7
คุณซึ้งซื่อ พยายามเอาของตัวเองให้จบ อย่าเพิ่งไปพยายามอธิบายให้คนอื่นเขาฟังก่อนนะ
อันนี้เป็นปัญญาข้อที่ 7 ในปัญญา 8
เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ดีแล้วว่า อ๋อ.. ขนาดในกลุ่มผู้รู้ เข้าไปสู่สภา มีบัณฑิตทั้งนั้น ถ้าในสภาไม่มีบัณฑิต สภานั้นก็บกพร่อง สภานั้นต้องบรรจุบัณฑิตอยู่ เพราะฉะนั้น อย่าไปดูถูกใครในสภา เพราะสภาจะต้องคือบรรจุผู้ที่คัดเลือกแล้วมาเป็นผู้อยู่ในสภา เป็นสมาชิกของสภา อย่าไปดูถูกใคร
เพราะฉะนั้น ใครไม่พูดนั่งเงียบไม่อธิบาย อย่าไปดูถูกเขาเชียวนะ จะไม่ตำหนิผู้ที่นิ่งเงียบ ข้อที่ 7 แล้วจะพูดเท่าที่ควรพูด ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง เชื้อเชิญคนอื่นแสดงธรรมบ้าง ไม่ดูหมิ่นผู้ที่เขานิ่งเฉยไม่พูด และแน่นอน อยู่ในสภาไม่พูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ยิ่งพูดสิ่งที่เป็นโกหก เป็นสิ่งที่ไร้สาระ คนนี้เอาออกไปจากสภาเถอะ รกสภาทำให้สภาเขาเสียหมด แล้วมีกันเยอะด้วยนะ นี่คือสภามันไม่สมบูรณ์แบบ
สภาที่สมบูรณ์แบบต้องมีแต่บัณฑิต ขนาดบัณฑิตนี้ก็ต้องระมัดระวังตัวเองเลย เพราะบัณฑิตอยู่ด้วยกัน ต้องระวังตัวเอง อย่าไปทำเป็นแหลม แม้จะรู้ดีกว่าเขาก็ควรให้เขายก เพราะฉะนั้นอยู่ในสภารู้ดีกันแล้วจึงคัดเลือกหัวหน้าสภา เพราะทุกคนจริงใจและทุกคนก็รู้ว่าใครเป็นใคร คนนี้จะเป็นประธานก็เป็นความจริง แต่พยายามจะเอาพวกกูมาเป็นประธานเอาพวกกูมาเป็นใหญ่ มันก็โกงสภาอยู่นั่นแหละ สภาก็ไม่ใช่สภาที่สมบูรณ์แบบ นี่มันก็บกพร่องกันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา
แต่เมืองไทยนี่นะ ก็ขอชมเมืองไทย เมืองไทยได้ประธานสภา 2 สมัยแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นประธานสภาอยู่ อายุก็ 83 , 84 แล้ว คือคุณชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาที่ดี จึงทำให้สภาของไทยอยู่ดีมาก แม้จะมีคนเลวอยู่ในสภาเยอะ ขออภัยพูดความจริง แต่เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาเลว เขาไม่ยอมรับหรอกว่าเขาเลว แต่ประธานสามารถที่จะคุมเกมสภาได้ดี เมืองไทยเป็นเมืองที่ดีอย่างนี้ จะพอเป็นไป
แล้วมีประธานสภาและมีนายกที่ใช้ได้ ดีอีก อย่างคุณชวน หลีกภัย เขาก็เป็นโพธิสัตว์แต่อาตมายังไม่อยากขยายความ เพราะคุณชวนเป็นโพธิสัตว์ระดับสายศรัทธา นิ่งแต่คม ไม่มาก ไม่พูดมาก แต่ใช้ได้ ออกมาแต่ละหมัดนี่ น็อคๆๆ แล้วมันมีสภาวะย้อนแย้ง หมัดนี้เบานะแต่แรงมาก dialactic อยู่
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ลึกซึ้ง ซับซ้อนเหมือนขัดแย้งในตัว แต่มันสุดยอดในตัว นี่คือคุณลักษณะที่คนไทยมีในเมืองไทย นี่ คนไทยต่างๆพวกนี้คือโพธิสัตว์
โพธิสัตว์คืออะไร โพธิสัตว์คือผู้ที่ฉลาด โพธิสัตว์ฉลาดกว่าอรหันต์ โพธิเป็นผู้ที่มีความตรัสรู้ มีความรู้ในระดับสูงขึ้นสูงขึ้น อรหันต์เป็นผู้ที่ไขความลึกลับ รู้จักความลึกลับ โดยเฉพาะรู้จักของตัวเอง รู้ของตัวเองหมดเรียกว่า อรหันตะ รู้ความลับของตัวเองหมด จบ
ส่วนโพธินั้นฉลาดรู้ไปเรื่อยๆ โพธิสัตว์นั้นสูงกว่าอรหันต์ ทุกเมื่อ ตั้งแต่โพธิสัตว์ระดับที่ 1 โสดาบัน อรหัตตผลของโสดาบัน ก็ยังเป็นรองโพธิสัตว์ของโสดาบัน
สกิทาคามีก็เหมือนกัน โพธิสัตว์ของสกิทาคามีก็เหนือก็อรหัตตผลของ สกิทาคามี
อรหัตผลของสกิทาคามี โพธิสัตว์ก็เหนือกว่าอรหัตผลของสกิทาคามี
เพราะฉะนั้น อรหันต์ เป็นความอยู่กับตัวเอง รู้แต่ตัวเอง พยายามทำลายความไม่รู้ ความลึกลับ ให้รู้ ให้พ้นความลับ หลุดพ้นจากความลับ แจ้งสว่าง จบให้ได้ ของตัวเอง แต่ โพธิสัตว์ รู้ ความเป็นของตัวเองแล้ว และกำลังรู้ของผู้อื่นเพิ่ม อันอื่นเพิ่ม ก็เลยเหนือกว่าอรหันต์
แต่อรหันต์ ที่มีอัตตามานะหรือสายตัวเอง จะยึดตัวเอง ไม่ยอมรับคนอื่น โดยเฉพาะเป็นอรหันต์โง่ คือ อรหันต์ที่ ไม่เชื่อว่าจะมีโพธิสัตว์ ไม่เชื่อว่าจะมีใครรู้ดีกว่ากู คนนี้จะโง่ตลอดกาล ผู้ที่อยู่กับตัวคนเดียวและนึกว่าตัวเองรู้แล้วไม่ยอมรับ และไม่ยอมศึกษาว่า อ๋อ โลกนี้มีคนรู้กว่าเรานะ
ตราบใดที่คุณยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า คุณจะต้องยอมรับผู้ที่เป็นสัตบุรุษ หรือโพธิสัตว์ระดับเหนือกว่า โพธิสัตว์ระดับเหนือกว่าที่จะมาเกิดในแต่ละยุคนี้คือสัตบุรุษ ผู้ที่อยู่ในขั้น 7 สัตตะคือ 7 เคยขยายความมาแล้ว 1-7 แล้วไปเป็น 8 ไปเป็นพระพุทธเจ้าสูงสุดและสุดท้าย
ก็ขยายความยากอยู่ เรื่องนี้ วรรคพักไว้ก่อน
มาพูดถึงสิ่งที่ควรจะพูดเฉลี่ย เกลี่ย ความรู้สำหรับวันนี้ อาตมาเตรียมเรื่องมาแต่ไม่ได้พูดเรื่องที่เตรียมมาเลย ไปกับ SMS ได้ หยิบ ไม้จิ้มฟันขี้ฟันมาก็อธิบายได้แล้ว หยิบเพชรมาเม็ดหนึ่งก็ยิ่งอธิบายได้ดี
สู่แดนธรรม… พ่อท่านเตรียมจะพูด
พ่อครูว่า… ที่จะเตรียมไปพูดมี 3 ประเด็น 1. จะพูดถึงสัญญาต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎกเล่ม 11 กับเล่ม 24
-
จะพูดถึงเรื่องของ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
-
จะพูดถึงเรื่อง ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ในฌานทั้ง 4
สู่แดนธรรม… ผมคิดว่า เด็กๆคงจะหูหนักแน่นอน
พ่อครูว่า… จะพยายามพูดให้ง่าย
สู่แดนธรรม… เอาเรื่องฌาน น่าจะได้ไม่ยาก
ได้โดยไม่ลำบาก ในฌานทั้ง 4
พ่อครูว่า… ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ในฌานทั้ง 4
หมายความว่า ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้นได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ได้ลำบาก ได้เร็ว แต่ฌานของฤาษี รู้ได้ยาก รู้ได้ลำบาก ได้ช้า แต่ต้องเต๊ะท่า ต้องหาสถานที่ หาโอกาส หาเวลา เมื่อยฉิบเป๋ง
แต่ของ พระพุทธเจ้า ฌานที่เป็นฌานวิสัย เป็นเรื่องของความปกติ เป็นเรื่องของความ สามัญ
ฌาน แปลว่าพลังงานทางจิต พลังงานทางจิตที่เราอภิสังขาร เราจัดการมันขึ้นมา ปรุง พลังงานนั้นขึ้นมาในจิตเรา หรือใช้ศัพท์อีกอันว่า มนสิการ ทำใจในใจหรือทำจิตในจิต ของเราขึ้นมา ทำขึ้นมา ให้ได้ ให้เป็นไฟหรือเป็น อุณหธาตุ หรือ เป็นพลังงานที่มีฤทธิ์ มีธรรมฤทธิ์
ธรรมฤทธิ์นี้จะเรียกว่าความร้อน จะเรียกว่าความมีฤทธิ์เดชอย่างไรก็ตามใจ มันจะมีฤทธิ์มีร้อน มีความเหนือกว่า ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ
จับประเด็นของกาม ราคะ มาก่อน ก็ต้องสร้างไฟให้เหนือกว่ากามราคะ หรือจะเอาพยาบาทก่อนก็ได้ ให้ไฟฌานเหนือกว่าไฟโทสะ มันก็จะทำลายไปได้ มีภาษาอธิบายได้แค่มันก็นี
ส่วนพลังงานจะเป็นอย่างไรคุณรู้ของคุณได้เองเป็นพลังงานทางจิต คุณมี
-
คุณจะเผาพยาบาท หรือ คุณจะเผาความโกรธ คุณก็รู้อาการโกรธที่มีในจิต แล้วคุณต้องสร้างพลังงานที่จะเข้ามาทำลายอาการโกรธให้สลายไป คุณจะสร้างให้มันเหนือให้มันสลายได้ พระพุทธเจ้าท่านแยกเอาไว้ 2 สภาพใหญ่ๆ 1. สภาพสติ 2. สภาพปัญญา