650819 สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1_a8bRAgv6R6gtjSZQlp6xxBo3T30S4L94DtleOhs0U4/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1HANkbfFp-owQ65XvAo5kxLdnTJrfSBvy/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/MNa_K_eehwU
และ https://fb.watch/e-gA04WbIi/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้ข่าวทาง การเมืองดูเหมือนจะเล่นกันแรง เขาว่าเลยจากวันที่ 23 นี้ นายกประยุทธ์จะต้องออก สื่อทาง ตรงข้ามรัฐบาล ก็พยายามเชียร์ให้ออก ผลออกมาก็เกือบ 100% จะให้ออก
ในปี 2532 สมณะชาวอโศกก็ถูกให้ออกจากการเป็นพระ สื่อก็ออกมาบอกว่า แล้วคน ตัดสินเป็นใคร ก็เป็นผู้พิพากษาเถื่อน เราแม้จะเจอวิบาก เราก็อยู่กันมาได้ แม้จะแพ้คดีใน ศาล ก็ถูกลงโทษให้รอลงอาญา แต่ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้ไปเสียหายอะไร เราก็ไม่ได้เลวร้ายลง แต่อย่างใด พ่อครูก็ใช้ความนิ่งอย่างสบาย แต่งเพลงออกมาหลายอัลบัม แม้เพียง สถานการณ์บีบคั้น พ่อครูก็สามารถแต่งเพลงออกมาได้
พลเอกประยุทธ์ก็เหมือนกัน ก็ใช้ความนิ่งมาตลอดไม่ได้ไปคิดตอบโต้ และยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อประชาชนต่อไป แสดงให้เห็นว่าเป็นคนไม่หวงอำนาจยึดถืออำนาจ ถ้าศาลตัดสินให้ออก ก็ออก ถ้าศาลตัดสินให้อยู่ ก็อยู่ต่อ
พ่อครูว่า…ก็เอาจาก sms นี่แหละ เรื่องของพลเอกประยุทธ์ก็อยู่ในนั้นด้วย ก็พวกเราเข้าใจแล้วธรรมะก็คือเรื่องของการเมือง ธรรมะ เรื่องของสังคม เป็นเรื่องของเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ มันแยกกันไม่ได้ เราก็เข้าใจได้ว่าจะจัดการปรับปรุงกันอย่างไรเมื่อไหร่ เมื่อเข้าใจได้ก็จะจัดการได้ตามที่มันเหมาะควร ได้อย่างเรียบร้อยบ้างเรียบ 80 บ้าง 70 บ้าง..ก็เป็นไปตามนั้นมันบกพร่องเท่าไหร่จะทำให้ได้เต็ม100เท่าไหร่
เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันอยู่แต่ละสัดส่วนแต่ละการละ แต่ละองค์ประกอบของมันตามเวลา สถานที่ กาละ เทศะ ฐานะ มันไม่ได้อยู่เท่าเดิมมันไม่ได้อยู่แบบเดิม มันเคลื่อนไปเปลี่ยนไป มีอะไรเข้ามาปรุงแต่งปนเปกันไปอยู่ตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าถึงสรุปลงว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง มันก็ตั้งอยู่ในปัจจุบันให้เราเห็นเราก็จัดการแล้วมันก็ดับไปเปลี่ยนไปก็จบ เมื่อเรารู้ว่าทุกอย่างเป็นสังขาร เป็นอนัตตา ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก
ค่าไฟฟ้าแพงเกี่ยวกับอาริยสัจ 4 หรือไม่
_จากธุลีดิน : ขอเรียนถามพ่อครูจากกรณีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สื่อมวลชนไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ต้องขึ้นราคาค่าไฟฟ้า แต่ขึ้นจากอะไรต้องไปดูสาเหตุแห่งปัญหา ไปศึกษาธรรมะเสียบ้าง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เรียนเสียบ้าง ทุกข์เกิดจากอะไรแล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร ดูวิธีการแก้ปัญหาโน่น!
พระพยอม กล่าวว่า อริยสัจ 4 คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 4 เรื่อง เรื่องทุกข์ เหตุของทุกข์ การดับทุกข์ และข้อปฏิบัติที่ทำให้ทุกข์ดับ เพิ่งได้ยินนายกฯ พูด แสดงว่ากำลังจะรู้ทุกข์และเห็นทุกข์ ค่าไฟขึ้นมันจะเกี่ยวกับอริยสัจ 4 ได้ยังไง
เหตุที่เราเป็นทุกข์เพราะไม่อยากให้ค่าไฟขึ้นแพง บางคนมีความพร้อมก็ไม่ทุกข์ บางคนก็ทุกข์ ทุกคนมีเหตุผลในการดำเนินชีวิตอยู่ ที่วัดจ่ายค่าไฟประมาณเดือนละ 120,000 บาท ถ้าค่าไฟขึ้นคงจ่าย 150,000 บาท เราก็ใช้ไฟมาแปรรูปแช่ของไม่ให้มันเน่า เอามูลค่าของไฟมาเพิ่มรายได้ก็จะใช้ไฟไม่เป็นทุกข์ …….ฯลฯ
พ่อครูว่า… สุดยอด แล้วสื่อมวลชนหรือว่าผู้มาถาม จะฟังเข้าใจจะรู้เรื่องหรือ แล้วจะบอกว่า พลเอกประยุทธ์เอาอะไรมาพูดเขาพูดเรื่องโลกแล้วเอาเรื่องธรรมะมาพูด เออ นะ
ของเราบ้านวัดโรงเรียนประมาณ 3 แสนบาทต่อเดือน
_อยากทราบว่าคนที่ทุกข์เพราะไฟฟ้าแพงเกี่ยวข้องกับอริยสัจ 4 หรือเปล่าครับ?
พ่อครูว่า…เกี่ยว มันไม่มีอะไรแยกขาดจากกันหรอก รูปกับนาม กายกับจิต วัตถุกับจิต มันไม่มีอะไรแยกกัน คนดูแลมันจะเกี่ยวข้องกันไปตลอด เป็นแต่เพียงว่าเราเข้าใจ เรายึดถือหรือไม่ยึดถือ ถ้าเรารู้จักการจัดการ ก็ไม่มีอะไรที่เราจะจัดการไม่ได้ เราจัดการได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เรารู้จักเลิกรู้จักรับ อันนี้ไม่ไหวก็เลิกอันนี้ยังไหวอยู่ก็รับ ก็ทำไปเท่าที่ได้
ชีวิตปัจจัย 4 เรามีสมบูรณ์แบบไหมนี้ตัวนี้เป็นหลัก เมื่อปัจจัย 4 มีสมบูรณ์แล้วอุดมสมบูรณ์ชีวิตอยู่ดีแล้ว นอกนั้นก็เป็นเรื่องอาศัยที่เราอยู่เป็นประโยชน์หรือเป็นสิ่งที่เราเป็นผู้สร้างสรรค์ช่วยผู้อื่นต่อไป สำหรับปัจจัย 4 ตัวเองสบายบริบูรณ์อุดมสมบูรณ์แล้ว ชีวิตก็ง่าย พวกนั้นก็จะลดลงลดลงบ้าง ก็พยายามช่วยเขาช่วยกัน สำหรับตนเองนั้นปัจจัย 4 สมบูรณ์แล้ว จบเลย พึ่งตนเองรอด
โดยเฉพาะพฤติกรรมสังคมอย่างพวกเรานี้ ช่วยกันทำอยู่ทำกินไปคนละไม้คนละมือ คนละงานคนละหน้าที่ ก็ทำกันต่อไป ใครขี้เกียจใครกินแรงเพื่อน ก็เป็นหนี้เป็นบาปไป ใครไม่กินแรงเพื่อนก็ไม่เป็นหนี้เป็นบาปก็ได้เป็นกุศลของตนเองติด วิบากมีจริง สัจจะมีจริง ถึงแม้เราจะไม่รู้แต่มันมีจริง พวกกินแรงก็เป็นวิบากตัวเอง เป็นหนี้ตัวเองติดหนี้ไป เราไม่รู้ชาติหน้าใช้หนี้ใช้สินอะไรยังไง โดยเฉพาะมากินแรงของคนที่สูง คนที่เป็นอาริยะ คนที่เขายิ่งไม่ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา กลายเป็นคนกินแรงเขา ยิ่งราคาค่าหนี้ค่าบาป มันยิ่งสูง จะเป็นไปตามธรรม
SMS วันที่ 17- 18 สิงหาคม 2565
คนผลิตอาหารให้คนอื่นจะรอดจากสงครามแย่งชิงอาหาร
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : เขาก็ว่าสงครามมหาอำนาจอยู่ไกลบ้านเรา วิกฤติโปรโมทปรมาณูข่มโลกจะลุกบ่ลุกลามเอเชีย? ก็ไม่กระทบขวานไทย แต่กองทัพมหาอำนาจอาวุธทรงแสนยานุภาพอย่างไร กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องฯ ให้ความสำคัญคลังอาวุธอย่างไร? คลังอาหารโลกไหนสมบูรณ์ต้องเฝ้าดูแหล่งพืชพันธุ์ธัญญาหารโลกไหม? กองทัพชาติใดขาดเสบียงอาหารเสริมกำลังฯ สงครามมหาอำนาจค้าอาวุธจะกลายเป็นสงครามชิงเสบียงอาหารโลกไหมคะ?
พ่อครูว่า… มันไม่มีกิน มันก็ต้องปล้นเสบียงอาหารโลกกันแน่นอน อันนี้เราคิดต่อนิดนึง ถ้าเราไม่ได้หวงแหน เรามีอาหารกิน อาหารคือพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เขากินเขาใช้ แล้วเราก็แจกเราก็ใช้อยู่ ให้อยู่ คนที่มันใช้อาวุธ ถึงคราวไม่มีกินมีใช้ ไม่มีอาหารกินแล้ว จะใช้อาวุธไปรุกราน มันก็ไปรุกรานคนที่ไม่เคยให้และไม่คิดจะให้ก่อน เราให้อยู่เขาก็ไม่มารุกรานอะไรเราหรอก ซึ่งมันเป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้นอาหารนี้เป็นหนึ่งในโลก ช่วยชีวิตได้ตลอดทุกมุมเหลี่ยม รอดตัวทุกมุม เหลี่ยม
_เยาวลักษณ์ วัฒนเสรีกุล : น้อมกราบนมัสการพ่อครูและสมณะสิกขมาตุด้วยความเคารพยิ่ง อยากถามพ่อท่านว่า คนส่วนใหญ่ที่เครียดกันจะเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าที่พ่อท่านศึกษามา จะเอาธรรมะบทไหนบอกให้หายเครียดกันค่ะ
พ่อครูว่า… ตอบยากนะ ใครช่วยตอบหน่อยซิ
สู่แดนธรรม… ละความอยากก่อนครับ เพราะ ความเครียดเกิดจากการไม่ได้สมความอยาก เพราะความเครียดเกิดจากไม่ได้สมความอยาก
พ่อครูว่า… เออ เข้าท่า เราก็ตามหาความจริงว่า เราเครียด มันมีต้นเหตุอะไรของความเครียด ตามหามันเราก็จะเจอเหตุ เราก็จะรู้ว่าเหตุอันนี้มันไม่สมใจเรานี่เอง จริงนะ
_แก้วตะวัน พวงบุบผา : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาศรัทธายิ่งค่ะ..กราบเรียนถามพ่อครูว่า “ระลึกชาติอย่างไรให้เป็นสัมมาทิฏฐิและเกิดประโยชน์ในปัจจุบัน” กราบขอบพระคุณค่ะ
เข้าถึงสภาวะจริงให้ยิ่งกว่ารู้แค่ภาษา
_น้อมยอดธรรม : ถามคำถามอันนี้เป็นคำถามเกี่ยวเนื่องกับสภาวะที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ภาษาอาจไม่ได้เรียบเรียงมาตามหลักภาษานัก
พ่อครูว่า… คนไม่ต้องรู้หนังสือหาเก่งถึงขั้นปริญญาเอก เปรียญ 9 นักธรรมเอก ฟังดีๆธรรมะเข้าใจ พูดมาถูกต้องแล้วใช้ประโยชน์ได้ด้วย อย่างแจ๊วถามมา ก็นี่แหละ ฟังธรรมะ อาตมาก็สบายใจ คนมีพยัญชนะรู้ความก็ต้องเข้าใจดีกว่านี้แน่ ขนาดเขา ไม่เข้าใจภาษาอะไรต่ออะไรเลยอย่างนี้ ยังเข้าใจได้ นี่คือสัจจะคือธรรมะ
พูดแปลภาษาโกโก้แล้วไม่เข้าถึงสภาวะไม่เข้าถึงจิตเจตสิกรูปนิพพานอะไรเลย มันเปล่าดาย แล้วมีเยอะด้วยอวดรู้อวดเก่ง พยัญชนะรอบโลกเลยนะ แต่ไม่เข้าถึงสภาวะให้แก่ตัวเอง ตัวเองก็ไม่ได้ประโยชน์ไม่ได้บรรลุ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อะไรเลย อันนี้มีเยอะมากแต่เขาไม่รู้ตัวง่ายๆ
ยิ่งไปหลับตา ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอกสิ่งที่หยาบ ให้เกี่ยวข้องให้จิตมันรู้ ยิ่งจมหายไปกับเรื่อง ลมๆแล้งๆ สัมภเวสี ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกมันมี นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย ไปหมดเลย พวกหลับตาไปนี่ เพ้อพกไปสารพัด ไม่ได้มีอะไรที่จะมีความจริงไปได้เลย มีแต่อดีตกับอนาคต อดีต 18 อนาคต 44 ไปโน่น
ไม่มีประโยชน์อะไรเลย สูญเปล่า น่าเสียดาย น่าสงสาร ไม่รู้เมื่อไหร่เขาจะได้รู้ตัว
คำว่า ปัจจุบันนี้คือความจริง ทิฏฐธรรมหรือทิฏฐกาละ แปลว่าปัจจุบันชาติ ต้องมีความเกิดในปัจจุบันนี้ อันนี้คือความจริง นอกนั้น เป็นอดีตหรืออนาคต รู้จักความจริงที่ว่านี้ จมอยู่กับปัจจุบันอดีตกับอนาคตไม่ใช่ความจริง
แล้วคุณจะไปอยู่กับความไม่จริงตลอดเวลา คุณจะได้อะไรขึ้นมาในชีวิต ชีวิตคุณจะได้อะไร ก็จมอยู่กับอดีตและอนาคตอยู่อย่างนั้น แล้วทำไปทำไม มันแก้ไขอะไรไม่ได้ มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ขยำซ้ำซากไปกับอดีตและอนาคตเฉยๆ
เอาจิตวิญญาณเอาตัวเองมาอยู่กับปัจจุบันนี่ แล้วจัดการกับปัจจุบันนี้ จนกระทั่งรู้แล้วว่าปัจจุบันนี้สบาย ปัจจุบันนี้ อยู่กับทุกๆคนเป็นปัจจุบัน แล้วก็เกี่ยวข้องเป็นปัจจุบันนี้แล้วก็มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันนี้ โอ้โห อยู่กันอย่างมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา กายกรรม เมตตาวจีกรรมเมตตามโนกรรม แล้วก็อยู่กันอย่างมีกินมีใช้ ได้ลาภมา ลาภธัมมิกา ได้ลาภมาโดยธรรมก็มารวมกันส่วนกลาง กินใช้ร่วมกัน ถูกต้องตามพระพุทธเจ้าสอน
วรรณะ 9 ก็มีพุทธพจน์ 7 ก็มี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เราก็มีหมด วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) เรามีหมด
ระลึกชาติอย่างไรให้เป็นสัมมาทิฏฐิ
ประเด็นที่ว่า ระลึกชาติอย่างไรให้เป็นสัมมาทิฏฐิ เกิดประโยชน์ต่อปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ระลึกชาติอย่างไร เราก็ระลึกชาติอดีตอนาคตบ้าง อย่างอาตมานี้ ระลึกชาติเอาอดีตมา จริงๆแล้ว พูดตรงๆเลยมาในปาง นี้ชาตินี้ของอาตมา อาตมาได้ปัจจุบันที่มันมีเหตุปัจจัยแบบใหม่ ที่โลกยุคนี้มี ยุคนี้เกิดองค์ประกอบขึ้นมา ก็ถือว่าอันนั้นใหม่
แต่ในความใหม่นี้ ในปัจจุบันใหม่ เหตุปัจจัยโลกยุคนี้มันเป็นอย่างนี้ โลกยุคพระพุทธเจ้าไม่มีคอมพิวเตอร์ อย่างนี้เป็นต้น ไม่มีความไวความเร็วของการติดต่อกัน เชื่อมโยงกัน เป็นต้น แม้แต่หนังสืออย่างนี้ก็ไม่มีเหตุปัจจัยในยุคพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น แต่ในยุคนี้มี แล้วก็ทำประโยชน์ขึ้นมาได้
อาตมาก็ได้จะว่าสิ่งใหม่ก็พวกนี้มาประกอบใหม่ แต่เนื้อหาแท้ๆนั้นคือความเก่า ความรู้เก่า อาตมามาในยุคนี้ปางนี้เอาความรู้เก่าที่มีมาแล้ว อาตมามีมาครบ อรหัตตผล มีมาครบของความเป็นอรหันต์ เอามาใช้ ความรู้เก่า มาประกอบกับเหตุปัจจัยพวกนี้ แล้วก็พูดด้วยภาษาสมัยนี้ ภาษาที่พวกคุณฟังรู้เรื่องนี้ เอาของเก่ามาดีบ้างมาขยายความอ้างอิงตามเหตุปัจจัยพวกคุณก็ฟังเข้าใจรู้เรื่องเอาไปปฏิบัติได้มา จนเป็นมนุษย์อย่างนี้ มี สาราณียธรรม 6 มีหมู่บ้านชาวอโศกที่เป็นชุมชน สาราณียธรรม 6 วรรณะ 9 อาศัยพุทธพจน์ 7 ของพระพุทธเจ้าและอยู่กันอย่างสบายไหม…สบาย
ใครคิดจะออกไปแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่ข้างนอกแล้วยกมือ …. ไม่มีใครยก ทำไมอั้นตู้แล้วหรือ สิ้นท่าสิ้นทางแล้วหรือ …ก็ไม่
เราหยุดแล้วสิ แต่เธอยังไม่หยุด เราหยุดแล้วมีที่ไปที่สบายแล้ว แต่เขายังไม่พอกันในโลก นี่ก็ปีนี้ ฟอร์บ เขาก็บอกมาว่า มีเศรษฐีใหม่มีใครมีรายได้เป็นมหาเศรษฐีของประเทศไทย ปีนี้มีเศรษฐีใหม่ขึ้นมาชื่อ สารัชถ์ รัตนาวดี
คุณธนินท์ ก็ลดลง แต่เขาทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำเมาทำให้สังคมย่ำแย่ มันเป็นสิ่งเสพติด และเป็นของที่ขายได้สบาย ทำออกมาขายก็ขายได้ทำออกมาไม่มีหยุดยั้ง รัฐบาลได้ภาษีก็ดีใจแต่เสร็จแล้วคนไทยย่ำแย่
คดีที่เกิดเรื่องเกิดราวมานี้มีเหล้าเป็นเหตุปัจจัยประกอบอยู่ตลอด อาตมาว่าเกินกว่า 50% เลยนะ มีเหล้าเป็นตัวเหตุร่วมกับเขาทั้งนั้น ถ้าเข้าใจและบริหารให้หยุดโรงเหล้าให้ได้ลดปริมาณลดจำนวน อย่าขายให้มันมากอย่าทำให้มันมาก ถ้าจะให้ไม่สร้างเลยมันก็คงจะลำบาก เพราะ บางทีเขาเอามาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆอยู่บ้าง ถ้ายิ่งจำกัดมากเกินไป มันก็จะแย่งชิงกันกลายเป็นของมีราคาไปอีก มันก็ซับซ้อนหลายชั้น
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าเรียนรู้ธรรมะ โลกุตรธรรมนี้เราจะรู้ชีวิต รู้กรอบของชีวิต ว่าชีวิตของเรานี้จะมีกรอบอยู่ โดยไม่ต้องจำเป็นจะต้องไปกระดี๊กระด๊านอกกรอบ โสดาบันก็มีกรอบ สกิทาคามีก็มีกรอบ อนาคามีก็มีกรอบ พระอรหันต์ก็มีกรอบ
คุณรู้ตัวเองได้ว่าเรามีกรอบแค่นี้สบาย สบายแล้วมีปัจจัย 4 เป็นต้น กับมีบริขารบ้าง เครื่องใช้ที่พอใช้ในวันๆหนึ่ง เครื่องใช้ที่มีใช้ก็ใช้ได้เต็มที่อยู่แล้ว ไม่ขาดไม่เหลืออะไรเลยก็เป็นประโยชน์ จะบำเรอใจบ้าง เป็นเครื่องเล่นบ้างอะไรต่ออะไร เดี๋ยวนี้ก็มีเครื่องเล่นประกอบ พอแล้ว หรือบางคนไม่ถนัดเครื่องเล่นอย่างนี้ แต่ก็มีงาน มีดินน้ำไฟลม มีกิจให้เล่นให้เราทำ เรื่องจะไปดีดไปเต้นไปแย่งชิงทำอย่างนั้นจะได้เงินมากขึ้น จะได้ลาภยศสรรเสริญมากขึ้น เราก็ไม่ต้อง เอาลาภยศสรรเสริญอะไรมาประกอบ
ไม่เป็นลาภยศสรรเสริญ แต่เป็นของจริงที่เป็นสาระเป็นประโยชน์ แค่นี้วันๆหนึ่งเราก็มีงานเต็มมือ ทำได้สบาย มีงานให้ทำทุกเวลาที่นี่ แล้วแต่คุณจะทำ ใช่ไหม ไม่มีอะไรก็เดินเก็บผักมาให้ครัว
เขาก็เหลือแหล่แล้ว หรือไม่ก็ไปล้างชามในครัว มีเยอะไป ช่วยงานนั้นงานนี้ เพราะพวกเรามันมีสาธารณะ มีงานที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ตามปฏิภาณปัญญา รู้ว่าตัวเองหยุดขี้เกียจ ไม่ขี้เกียจแล้วก็ช่วยกันทำงานที่มันประกอบด้วยประโยชน์ทั้งนั้น งานไร้ประโยชน์พวกเราไม่มี คือมีธรรมะกันจริงๆ
กิริยา พฤติกรรม พฤติการณ์ ที่มันไร้ค่าไร้ประโยชน์เป็นโทษด้วย หาได้ยาก ในกลุ่มสังคมอย่างสังคมเรา หาได้ยาก นี่เราดูออกนะ อ่านพฤติกรรม พฤติการณ์ ของมนุษยชาติ กิริยาของมนุษยชาติ อยู่กันอย่างไร มันกระดุกกระดิกกันอย่างไร อย่างที่แจ๊วเขาเขียนมา มีแขนมีขาข้างขวาแล้วข้างซ้ายมันก็ไม่ช่วยเราเท่าไหร่ ก็จริงนะ เราถนัดขวา ก็พูดมาซื่อๆฟังแล้วก็จริง แล้วก็ทำไป ก็ต่อว่าตัวเอง ทำไมด้านซ้ายไม่ยอมมาช่วยกันกับข้างขวา ดูๆก็น่าเอ็นดูเหมือนเด็กๆ แต่ อายุ 73 แล้ว พูดซื่อๆ เหมือนเด็กๆน่าเอ็นดูแล้วก็ชัดเจนในธรรมะในสัจธรรมนะ
นี่ เรียนรู้สัจธรรม ไม่ใช่ไปเรียนรู้เรื่องบัญญัติ ภาษาวิจิตรพิสดาร แต่เข้าใจแม้แต่คำว่า กาย กายะ ก็ยังไม่รู้ 2 สภาพนี้รูปนาม จิตเข้าไปรู้ภาษาพยัญชนะเยอะ แต่ให้จิตนี้ไปเป็นอย่างประกอบกับกาย ประกอบกับรูปนอก 2 สภาวะ 2 จัดการสังขาร ต้องแต่งเป็นอภิสังขารให้มันรู้จักตัวสังขาร คือตัวที่มันทำให้เรายุ่งตัวที่ทำให้เราคิดมากเรื่องมากความรู้มาก โอ้โห เรื่องใหญ่ๆทั้งนั้นจะต้องทำงานกับสังคมกว้างขวางเท่านั้นใหญ่นะ กว้างนะ มหาศาล ไม่เสร็จสักทีหนัก โอ้โห งานเยอะ กิจเยอะ ใครแบกไว้ แต่ช่างเอ็งไปแบก ต้องพูดอย่างนี้
ก็เอาเข้ามาที่ตัวเองแล้วจัดการให้ตัวเองถ้าเพลาลงเบาลงเสียบ้างสิ ไปรู้มากอย่างนั้นแล้วรับผิดชอบไปหมด ก็เอาเถอะเก่ง เอ็งเก่ง นี่คือคนที่ไม่รู้สภาวะจบจุดจบของจิต รูปกับนาม องค์ประกอบ 2 สภาวะ
อาตมาแค่จบ 2 สภาวะ แล้วทำงานอย่างนี้ก็งานเยอะแล้วแล้วไม่ต้องไปหาอีก มีให้ทำงาน มีให้อธิบาย แล้วก็ไม่ต้องไปนั่งทวนไม่ต้องไปนั่งรวบรวมอีกนะ อาตมาไม่ต้อง บางทีเข้าใจสงสัยก็เปิดในพระไตรปิฎกว่าพระพุทธเจ้าว่าอย่างไรบ้าง เท่านั้นก็พอแล้ว หลักฐานมีแล้ว ไม่ต้องมากมาย อาตมาพึ่งแต่พระไตรปิฎก อรรถกถาจารย์ก็ไม่ได้พึ่ง ไม่ได้ไปดูถูกอรรถกถาจารย์นะ อาตมาพึ่งแต่พระไตรปิฎกก็เหลือพอแล้ว เข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเอารายละเอียดจากอรรถกถาจารย์ ก็อธิบายอย่างนี้อยู่ ไม่ได้ขัดข้องอะไรเลย
อาตมาไม่ได้รู้มากนะ แต่อาตมารู้เนื้อแท้ แก่นแท้ เนื้อหาสาระ ก็พูดได้ประโยชน์ก็เลยได้แต่คนมีประโยชน์ ชาวอโศกนี้เป็นคนรู้จักสารัตถ รู้จักประโยชน์ รู้จักปรมัตถ์ แล้วฟังอาตมารู้เรื่องก็เลยมีจำนวนเท่านี้ แล้วคนที่รู้จักแต่สมมติ รู้จักตรรกะ รู้จักแต่ความรู้มากความรู้เฟื่องฟูไปมีเยอะ
พูดไปแล้วนึกถึง พระมหาไพรวัลย์ เดี๋ยวนี้แต่งตัวเป็นผู้หญิงแล้วรู้มาก เปรียญ 9 นะ ไม่รู้จะจบปริญญาเอกหรือยัง รู้มาก สาระอะไรของเขาชีวิต นุ่งผ้าถุงหรา เขาก็สบายใจเขาเป็นสุขนะพวกนี้เขาชอบกระดุ๊กกระดิ๊ก แล้วมันสาระอะไรของเขา เป็นสาระอะไรในชีวิต นั่นแหละ เรียนมาไม่ใช่น้อย เก่งนะอายุไม่ถึง 30 ปีหรือ 30 แล้ว ประมาณนั้น จบมาหมดแล้ว เก่งเฉลียวฉลาด นี่เป็นตัวอย่างให้เรา ก็น่าสงสาร นี่แหละมนุษย์มนาไร้สาระกันอย่างนี้
นี่ก็เป็นตัวอย่างชนิดหนึ่ง อย่างดร.ทักษิณจบทางอาชญาวิทยา ก็เอาความรู้มาทำจนชิปหายวายป่วงจนกระทั่งกลายเป็นนักโทษหนีคุก แต่ก็ยังแสดงตัวเองกร่าง ตัวเองแท้ๆเป็นนักโทษหนีคุกแท้ๆทักษิณ นี่ไม่ได้หาเรื่องไม่ได้ใส่ความเลยนะ ยังมีอีกหลายคดีด้วย เข้ามาจะได้ว่าความตัดสินคดีอื่นๆอีก จะได้เป็นนักโทษอีกกี่ปี ที่ตัดสินไปแล้วนี้เป็นนักโทษแท้ๆแล้ว ก็หนีคุก มาอีกก็ได้โทษอีกแน่นอน จึงไม่กล้าเข้ามา จบอาชญาวิทยา ด๊อกเตอร์ ไร้สาระแท้ๆเลย ทำโทษทำภัย
ก็ไปหลงแท้ๆเงินทองโกงไปมหาศาลใช้ก็สบาย คุณรู้ไหมคุณสบายกิเลสคุณยิ่งหนาคุณเสพสุข คุณหลงอำนาจ อำนาจเงิน คุณจะจมกับความหลงที่มันติดยึดไปอีกกี่ชาติ คุณทักษิณเอ๋ย คุณไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้ มันเป็นความโง่มันเป็นอวิชชา มันเป็นความหลงที่คุณไม่รู้ตัวเลย ยิ่งเป็นนึกว่ามันมีมันเป็นที่พึ่งอันเกษมของเรา ไม่ว่าอำนาจเงินอำนาจแห่งอำนาจ ไม่ว่าอะไรที่เป็นโลกธรรม เต็มหูเต็มหัวไปหมด อาตมาเห็นแล้วสงสารไม่รู้จะทำอย่างไร ถึงจะตื่นถึงจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็เป็นตัวอย่างของคนจริงที่หยิบขึ้นมา
ไม่ได้พูดถึงอย่างกระหน่ำย่ำยีอะไรหรอกแต่พูดอย่างเป็นตัวอย่างเอามาเป็นตัวอย่างเพื่อจะใช้ศึกษา หยิบขึ้นมาพูดถึง ขยายความอธิบายพฤติกรรมของคน เกิดมาจากตัวจิตที่เป็นประธาน จิตตัวนั้นมีตัวกิเลส เขารู้หรือไม่รู้อย่างไรตัวนั้นมันก็บัญชาการเขา ให้เขามีพฤติกรรมของตัวเองออกมาในโลก อย่างที่เห็นอย่างที่เป็นๆกัน
เพราะฉะนั้นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวงสุดยอดแล้วจบแล้ว ความรู้ในประเด็นความรู้ที่อาตมาสรุปแล้วสรุปอีกไม่รู้กี่ทีแล้ว ว่า ความรู้ทั้งหลายแหล่นั้น มีความรู้สารพัดแง่สารพัดประเด็นสารพัดแยกไปเป็นวิชาต่างๆ เยอะแยะ
พระพุทธเจ้าก็เห็นสำคัญวิชาเดียว เป็นวิชาที่เป็นโลกุตระ รู้จักโลก รู้ทันโลกอยู่เหนือโลก จบแล้วคุณจะเกิดอีกไม่เกิดอีกก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น สลายอัตตา สภาพเป็นอนัตตา เป็นดินน้ำไฟลมได้เลย จบแล้ว คุณจะอยู่จนกระทั่งเป็นคนสุดยอด เป็นพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง ก็เชิญไม่มีปัญหาอะไร
อย่างอาตมาตั้งใจจะอยู่ อาตมาก็ทำ ฝนก็ขู่ให้อาตมาหยุด จ้างอาตมาก็ไม่หยุด ตกไปเถอะ อาตมาทนฟังเสียงฝนได้ (ฝนกำลังตกลงมาอย่างหนัก)
ระลึกชาติอย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นในความหมายของการระลึกชาติ ระลึกชาติอย่างไรให้เป็นสัมมาทิฏฐิ เกิดประโยชน์ในปัจจุบัน ระลึกถึงความจริงที่อาตมาพูดแล้ว ปัจจุบันคือความจริง ความจริงคือปัจจุบัน ระลึกอย่างไรคุณจะอยู่ในปัจจุบัน นี่แหละเป็นประโยชน์ คุณคิดดีๆ ไตร่ตรองดีๆ ว่าคุณหนีปัจจุบันไปไหม เผลอ ไปกับอดีต เผลอไปกับอนาคตมาก
ก็ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้มีอนาคต คุณต้องมี คุณต้องคำนึงถึงอนาคต อนาคตนั่นแหละที่จะเป็นสิ่งที่เป็นไปต่อไป ส่วนอดีตนั้นคุณอย่าไปกังวล อย่าไปอะไรกับมันเลย มันจบไปแล้ว มันแก้ไขอะไรก็ไม่ได้ มันก็ได้แต่เป็นความจำ ที่คุณเอามาเตือนตนเอง เป็นตัวอย่างให้แก่ตนเองว่า อย่างนี้มันเคยออกวิบากให้แก่เรานะ อย่าทำนะ
อย่างนี้เป็นกุศลวิบาก อย่างนี้ดี อย่างนี้ทำต่อ อย่างนี้เป็นอกุศลวิบากก็อย่านะ ก็เป็นประโยชน์ขนาดนั้น เท่านั้น ก็อาศัยมัน ทำกับ ปัจจุบัน อดีตเป็นประโยชน์อย่างที่ว่า แล้วก็ทำ อนาคตใหม่ ภาวะดีเป็นประโยชน์อย่างที่ว่าแล้วก็ทำอนาคตใหม่ เอาเหตุปัจจัยที่จะไปเป็นอนาคต คุณก็ต้องมีปฏิภาณปัญญา ถ้าเรามี 2 ถ้าเราทำอีก 2, 2 คืออะไรที่จะเป็นไปในอนาคตคุณก็ทำ 2 + 2 เป็น 4 ทำแล้วมันไม่ได้ 2 ทำได้แค่ 1 มันก็เป็น 3 ก็ยังดี
เอาเข้าจริงๆ จะทำอีก 2 มันดันไปได้ลบ 2 ไอ้หยา เท่าทุน จะทำให้ได้บวก 2 มันได้ลบ 2
ถ้าคุณไม่มีอนาคตที่จะทำ 2 คุณทำไปมีลบ 2 อันนี้ขาดทุนไปเรื่อยๆเลย เอาตัวเลขมาพูดให้ฟังพอเข้าใจนะ อันนี้เป็นตัวบอกกาละ ที่คุณจะทำกับเหตุปัจจัย อะไรในปัจจุบัน
ชีวิตคนเราไม่ได้โง่เง่าจนกระทั่งไม่รู้ว่าเราจะทำกรรมอะไร อะไรเป็นเหตุปัจจัยของ ชีวิตที่เราจะทำ จะร่วมสร้างร่วมประพฤติไปด้วยกัน ก็แบ่งหน้าที่กัน
คนไปทำกสิกรรมก็ทำ คนไปทำวิศวกรรมก็ทำ คนทำสื่อก็ทำไป คนทำเก็บกวาด ก็ทำไป คนทำอะไรต่ออะไรกันไป คนจัดโต๊ะก็จัดไป วันนี้ก็เอามะละกอลูกยาวๆมาวาง ก็ไปสรรหาลูกยาวๆให้เข้าพวกเข้าหมู่กันนะ ก็เป็นความคิด ไปได้ดอกดาหลามาก็ ไม่ใช่น้อย นี่ของเราเองทั้งนั้น ไม่ได้ไปซื้อไปหา มีแต่ของเราเอามาใช้มาประกอบ ก็ดู ก็ไม่โล้นไม่เกลี้ยงดี ก็เป็นไปตามประสาโลกเขา เขาจะเรียกว่าอันนี้เป็นศิลปะ เป็นการ ตกแต่ง Decoration ก็ว่าไป ก็ทำตามประสาโลกเขามีเป็นไป อาศัยบ้าง บางคนก็ว่าไม่ต้องมีอะไรเลย เอาเกลี้ยงๆดีก็ว่าไป บางคนจะชอบอย่างนี้ก็ว่าไป ต่างคนต่างก็มีความคิดความเข้าใจความเห็นว่ามันมีอย่างนี้ก็ควรจะเป็นอย่างนี้นะดี
ของเราจะเห็นได้ว่าเราเอาสิ่งที่เรามีเราเป็น สิ่งที่ประกอบส่วนมากเป็นพืชพันธุ์ ธัญญาหาร นี่ ดูซิ ทั้งนั้นมีบ้าง มีกระถางมาประกอบ มีตะกร้าบ้าง มีจานมีชาม แม้แต่มี คชสิงห์ สิงหราช เราก็มีไป เราก็อาศัยประกอบเท่านั้น แต่ประโยชน์ปัจจุบันที่เป็นสาระคือ อยู่กับสิ่งเหล่านี้แล้ว เราเน้นอะไรเป็นสาระแก่นสารที่เป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสำคัญ
เมื่อฟังเข้าใจปฏิบัติได้ เอาไปปฏิบัติแล้วข้อปฏิบัติ 1 ฟังเข้าใจแล้วไปปฏิบัติได้ เห็นเป็นประโยชน์เราก็ทำอาศัยประโยชน์นานๆไปในชีวิต
แต่ก่อนนี้เราเห็นว่าเป็นประโยชน์ แต่ก่อนเราเห็นว่าต้องไปทำอย่างโน้น เป็นประโยชน์เอาเวลาไปให้กับอย่างโน้นมากด้วย ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว มันเป็นสาระน้อยหรือไร้สาระ เราก็เลิกมา เคี่ยวเอาสาระที่เราคิดว่า ชีวิตเราต่อไป ก็เท่านี้เนาะ นอกนั้นก็ไม่ต้องแล้ว แม้ที่สุด ไม่ต้องไปหาเงินแล้ว แล้วชีวิตอยู่ได้ไหม …ได้
ไอ้เรื่องลึกซึ้งอันนี้ คุณไม่ต้องไปหาเงิน คุณก็ทำอยู่ในนี้ แต่มันจะมีเงินจรมา มีไปมีมา แต่ละคนบารมีไม่เท่ากัน จริง บางคนกะปริดกะปรอย บางคนมาเป็นก้อนก้อน ไม่ได้ขาด ไม่ได้เหลืออะไรเลย บางคนขาดแคลน แต่ในพวกเรานี้ น้อย เพราะว่า ก็ไม่ต้องการมาก แล้วมันก็เลยไม่ขาดแคลน ยิ่งคนไหนจบที่ 0 มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ส่วนมากจะพอมีบ้าง
คนที่อยู่ในชาวอโศกอยู่ในสังคมนี้ วันๆเดือนๆปีๆ เราก็ไม่มีเงินจรเข้ามาใส่มือสักบาทเลย มีไหม …. ไม่มี คือ ไม่ต้องไปโกงกินไม่ต้องทุจริตของใครมันก็มีเงินจรเข้ามาในมืออย่างนั้นอย่างนี้ก็แล้วแต่ เราทำอย่างนี้ อยู่ดีๆเขาก็เอามาให้อย่างนี้บ้าง มีเงินรัฐบาลให้ก็มี เป็นเรื่องของสังคมส่วนกว้าง ถึงอายุแล้วรัฐบาลก็ให้บ้าง พิการก็ให้บ้าง ไม่มีปัญหาอะไร
ยิ่งเราเป็นคนดีๆ คนเขาเอามาให้ เอาไปทำอันนี้ อันนี้ช่วยอันนี้ ซึ่งมันเป็นความ เข้าใจ มันเป็นปัญญา มันเป็นความลึกซึ้งของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน เห็นอะไรเป็นสาระ เห็นบุคคลที่ควรจะให้สิ่งเหล่านั้น เราให้ไป แล้วคนนั้นจะเอาอันนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ได้ นี่ มันเป็นรายละเอียดที่ลึกซึ้ง แล้วมันก็ไม่เฟ้อ ลึกซึ้งและก็ไม่เฟ้อ คั้นเข้ามาเหลือแก่นไม่มาก เหตุปัจจัยของชีวิตไม่มากหรอก ก็อยู่สบาย ถ้าจะไปกระดี๊กระด๊าก็ได้ว่าบ้าๆบอๆ ไอ้ง่ายๆ แหม ปีนี้เรา อันดับการรวยลดลงไป ไม่ได้ ปีหน้าข้าต้องเบ่งให้ความรวยของข้า ต้องชนะให้ได้ คุณคิดดูซิว่ามันจะเมื่อยไหม อย่างนั้นมันก็เป็นไป
แต่ แหม ปีนี้ข้าไม่ได้ตำแหน่งความสวย ปีหน้าข้าจะต้องได้รับความสวยชนะคืนมา ให้ได้ สวยมาให้ได้ ไอ้นี่มันยากกว่าไอ้รวยนะ ปีหน้าเอ็งจะสวยกว่าปีนี้ ยากกว่าจะรวยกว่า ปีนี้นะ ปีหน้าจะให้รวยกว่าปีนี้ง่ายกว่า ปีหน้าจะให้สวยกว่าปีนี้ยากกว่านะ นี่นัยยะซับซ้อน ลึกซึ้ง
แต่มันมีอย่างนี้ ปีนี้กิเลสเรามาก ปีหน้ากิเลสเราจะต้องน้อยกว่านี้หรือหมด เออ อันนี้สิน่าจะมาเอาเวลาใช้ นี่แหละคือวิชชาที่พระพุทธเจ้าท่านเรียนรู้หมดทุกวิชชา แต่เสร็จแล้วไม่เอาแล้วทิ้งหมดเลยทุกอย่างมาเอาวิชานี้ สอนวิชานี้ พาคนมา
กิเลสมันมาก เอาให้มันหมด ท่านสอนวิชานี้ เป็นที่สุดแห่งมนุษย์ แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว ค้นคว้า มาตลอดพระชนม์ชีพไม่รู้กี่ล้านๆปี จนได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งสุดท้ายก็มาทำงานแบบนี้ 45 ปี เลิกจบ พอแล้ว ที่จริงก็ทำความเป็นโพธิสัตว์มาก็เหมือนกันนั่นแหละ มาเอางานนี้แหละ เลิกไปวุ่นวายทางโลก มาเอาความลดกิเลสนี่แหละ พระโพธิสัตว์ทุกองค์ก็ทำเรื่องนี้ สอนเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าก็แน่นอน ให้มาลดกิเลสนี่แหละ เป็นวิชาโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้า
ในชีวิตคนนี้ สุดยอดวิชา วิชาที่จบสิ้นจบกิจได้ สุดยอดความรู้ สุดยอดความจริงแล้ว แล้วเราจะรู้ ว่าทุกอย่างนี้มีอยู่ที่ กรรมกับกาละ กรรม การกระทำกับเวลา
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… มีตัวอย่างโยมเหมือนคำ ที่ปฐมอโศก พอป่วยเป็นมะเร็งก็มี ปัญหาคือ ลูกหลานอยากเอากลับไปดูแล แต่ทางบ้านราชฯ อยากให้มาอยู่ที่นี่ เพราะคุ้น เคยกับสมณะ สิกขมาตุ เพราะเป็นญาติธรรม ที่มีจิตใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลชาวอโศก ปฐมอโศกก็รัก ลูกหลานเป็นญาติ สมรักษ์ คำสิงห์ ก็บอกว่า เดี๋ยวเอานักมวยมาลุยเลย
แม้แต่เสียชีวิตแล้ว ปฐมอโศกก็อยากจัดงานศพ สุดท้ายตกลงว่าเผาที่บ้านราชฯ ก็เป็นบารมีของแต่ละคน บางคนเจ็บป่วยแล้วหาคนดูแลยาก ก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่เรา สั่งสมในปัจจุบันนี้
สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ
พ่อครูว่า… คำว่าความจริงนี้มันยิ่งใหญ่ ให้มันจริงที่สุด เมื่อกี้นี้ทิ้งคำว่า กรรมกับกาละ ไว้
อาตมาเคยพูดแล้วว่ากำกับ กาละนี่แหละคือ of continuum ไอสไตน์ก็ค้นพบ Space and time of Continuum เขาค้นพบกว่า space คือทุกสภาพ และทุกอย่างที่บรรจุอยู่ในอวกาศคือ Space กับการเคลื่อนไปเรียกว่ากาละ Time การเคลื่อนไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง
สรุปลงมาได้มีเท่านั้นเองจริงๆ ของไอสไตน์ยังไม่เข้าถึงวิญญาณยังไม่เข้าถึงจิต ยังไม่เข้าถึงนามธรรม เป็นวัตถุธรรม space and time of continuum
continuum คือการเชื่อมต่อปรุงแต่งเป็นปัจจุบันธรรม เรียกว่าสันตติ หรือว่าต่อไป เกิดดับอยู่ ไม่แยกจากกันนี่แหละเรียกว่า continuum ทำกรรมกิริยาของเหตุปัจจัย 2 อย่าง นี่แหละอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ไม่ใช่มีแค่ space and time of continuum แต่เป็น กรรม กับ กาละ of continuum
มี 2 อย่าง กรรม กับ กาละ
กรรมนั้น มีจิตวิญญาณเป็นตัวตั้ง กรรมแล้วก็กาย ถ้าโง่ก็กรรมกับกายก็เป็นกาม
กรรมนี้ประกอบด้วยกายกับจิต จิต เป็นตัวประธาน ทำกับกายภายนอก โง่ก็เป็นกาม หมดโง่ ไม่มีโง่ หมดกาม มีปัญญา มีพลังปัญญาเพียงพอ ที่เห็นว่า กามก็เป็นอาการของอารมณ์ อาการของความรู้สึก ที่เราไปยึดติดปรุงแต่งกันไว้แล้วก็จำไว้เป็นอุปาทานว่าเป็นสุข ที่จริงมันเป็นกิริยาเท่านั้น กิริยาของสิ่ง 2 สิ่งปรุงแต่งกัน แล้วก็เกิดสภาพอีกสภาพหนึ่ง ที่เรียกด้วยศัพท์ว่า สังขารปรุงแต่ง ถ้าไม่มีกิเลส กาม กิเลส พยาบาท ปรุงแต่งร่วมด้วยเลย คุณทำ กรรม รายละเอียดของกาม ปฏิฆะะ จนเหลือเศษธุลีของ อุธัจจะ ถีนมิทธะ หมดแล้วไม่เป็นก้อนหรือกระจายเลย เต็มสภาพชัดเจนเต็มที่แล้ว คุณก็เข้าสู่ความเป็น 0
สภาวะ 2 คุณต้องรู้อยู่ตลอดเวลาเลย มันมี 2 แต่มันเป็น 0 หรือเป็น 1
2 ก็เป็นทุกข์กับสุข หรือ ยังเป็นโลกีย์ ก็มีดีกับชั่ว คุณก็ทำให้เป็น 1 มีแต่ดีอย่าไปทำชั่ว เพราะอันนึงมันต้องมี ส่วนความสุขความทุกข์นั้นไม่ต้องมี เป็น 0 ไปเลย ความสุขความทุกข์ก็เป็น 0 แต่ดีกับชั่วก็มี 1 ก็ชีวิตอาศัยแค่นี้ก็ดีแล้ว ทำได้อย่างนี้แล้วจริงๆเลย จบ ชีวิตมี 0 กับ 1 นี้ จบแล้ว ทำ 2 ให้เป็น 1 ทำ 2 ให้เป็น 0 ได้ เป็นโลกีย์แล้วก็ต้องเป็น 1 แต่โลกุตระก็เป็น 0 หมดสุขหมดทุกข์ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ส่วนโลกีย์ ยังมีอยู่ ก็มีดี ชั่วไม่มี
สังคมนี้ถือว่าคนไปรวยนี้ชั่ว ถือว่าคนมาจนนี้ดี อย่างนี้เป็นต้น
สังคมนี้ถือว่าคนได้เปรียบชั่ว คนเสียสละดี อย่างนี้เป็นต้น
ไม่ฟั่นเฝือ ไม่งง ไม่สงสัย ไม่สับสน ไม่ใช่พูดอย่างหนึ่งทำอีกอย่างหนึ่งด้วย แต่พูดอย่างนี้ ก็ทำอย่างนี้ ยถาวาที ตถาการี ทำตรงตามที่พูด พูดตรงตามที่ทำ อย่างนี้เป็นต้น เหล่านี้เป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้น สัจจะเหล่านี้แหละ เราเรียนรู้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้หมด อาตมาก็เก็บมา อธิบายยืนยันอ้างอิง ทำตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า อาตมาเอามายืนยันตรงไม่เชื่อก็ตรวจดูในพระไตรปิฎก ว่าตรงๆๆ คุณก็สบายแล้วคุณก็เป็นลูกพระพุทธเจ้า แล้วมันดีไหมล่ะ เป็นสุขไหมล่ะ ดีคือโลกีย์ก็ใช่ สุขคือ โลกุตระก็ใช่ จะบอกว่าโลกุตระคือไม่สุขไม่ทุกข์นี่แหละ มันยิ่งใหญ่กว่าสุข ปรมังสุขัง มันยิ่งกว่าภาษาเรียกว่า สุข คือ มันไม่สุขไม่ทุกข์ ปรมังสุขัง มันยิ่งใหญ่กว่า ภาษาที่เรียกว่าสุข คุณรู้จักอารมณ์นั้นจริงไหมล่ะ แล้วคุณก็ทำได้จริง คนเขาว่าไม่จริง คนเขาว่าคุณไม่รู้ ก็ Let It Be เราเองเรามีอยู่แล้ว เขาจะว่าก็อยู่ที่เขาว่า ก็ช่างสิของคุณ ของเรา
อย่างอาตมาบอกอาตมาเป็นอรหันต์ เขาบอกว่าเป็นอรหันต์อย่างไรวะ ถ้าเป็นอย่างที่ว่าอธิบายให้ฟังหมด เขาไม่เข้าใจ (เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง) เสียงฟ้าฝน มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ เราก็อยู่กับมัน มันก็จะเป็นไปตามวิบากของมันไปเอง เราเลี่ยงไม่ได้ถ้าถึงวิบาก ฟ้าผ่า วัวตาย 4 คนตาย 2 คน คนนั้นก็รับวิบากไป เขาก็ไม่ได้อยากได้นะ แต่พระพุทธเจ้าไม่รู้เรื่องเลยเดินอยู่ในโรงกระเดื่อง ฟ้าผ่าอยู่ใกล้ๆ คนตาย 2 วัวตาย 4 พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ได้ยินเสียง นี่ก็เป็นตำนาน เป็นประวัติศาสตร์ ในพระไตรปิฎก
“อาตมานิยามความจริงไว้ 10 ประการ ในหนังสือสรรค่าสร้างคน (หน้า 90)
-
เป็นความดี
-
มีความถูกต้อง
-
มีคุณค่าเป็นประโยชน์
-
ต้องพ้นทุกข์อริยสัจ
-
ต้องเป็นไปได้จริง
-
รู้ได้จากสัมผัสปัจจุบัน แม้ที่สุด..รู้กระทั่งนามธรรมในระดับสูงที่สุดถึงขั้น อนัตตา, สุญญตา หรือนิพพานอย่างแจ้งใจ
-
เข้าถึงความจริงนั้น หรือตนเองเป็นได้ ตามความรู้นั้นๆ แล้ว อย่างเต็มใจ
-
ผู้ฉลาดแท้หรือปราชญ์แท้ก็จะจำนนยอมรับ ต่อผลของความจริง ที่เป็นแล้ว – ที่มีแล้วนั้น
-
ได้แล้วไม่แปรเป็นอื่นอีกแล้ว (อวิปริณามธัมมัง)
-
ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ (เอหิปัสสิโก)”