650805 พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/15ES3Nvhg8jlumDcGD9xxtUoQfHBhhTPfEfjx0FoG-uE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1G4TzTj_exXLq7qs9ZkwjvyfrlwNJxpOg/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/eIP1xm6VhI/
และ https://youtu.be/QwrN-r_YF5g
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ข่าวที่ตอนนี้ทำให้คนตื่นตระหนก คือข่าวที่นางเพโลซีไปเยือนไต้หวัน บอกว่านโยบายจีนเป็นหนึ่งเดียว จะทำให้ไต้หวันเป็นยูเครน 2 หรือเปล่า ภาพให้เห็นกองกำลังทหารทั้งเครื่องบินรบและเรือบรรทุกเครื่องบินจัดการอารักขานางเพโลซี สุภาษิตไทยที่บอกว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำใช้ไม่ได้ กลายเป็นตำน้ำพริกละลายมหาสมุทร ขณะที่ประเทศอเมริกาและไต้หวันมีการติดเชื้อโควิดเป็นจำนวนมาก
ของประเทศไทยคนก็พูดกันมากถึงเรื่องภาพที่เกิดไฟลุกไหม้สถานบันเทิงและมีคนเสียชีวิตหลายคน ที่จังหวัดอุบลก็เป็นข่าวใหญ่ ที่พวกวัยรุ่นยกพวกเอาปืนมายิงถล่มกัน ทิศทางของการพัฒนาของประเทศอารยะทั้งหลาย แต่พ่อกูก็มั่นใจว่าทิศทางโลกุตระของพระพุทธเจ้าจะสร้างแดนศิวิไลซ์ แดนอาริยะให้คนอยู่อย่างสุขสงบได้จริง
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 3-4 ส.ค. 2565
_*เอื้อมพร* : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพยิ่งค่ะ ธรรมะวันนี้ (๓ สิงหาคม ๖๕) ละเอียดและลึกค่ะ ต้องทวนอีกหลายครั้ง แต่อย่างไรก็ตามหนูขอจองตั๋วขึ้นเรือของพ่อด้วยนะคะ ลำไหนก็ได้ค่ะ หนูตัวเล็กนิดเดียว ไม่เปลืองที่ค่ะ
พ่อครูว่า… เรือไม่ใช่เรือของอาตมาหรอก เป็นเรือของสังสารวัฏ เรือพิเศษ ทางโลกีย์เขาเรียกเรือโนอาห์ ของเราเรียกเรือนาวาบุญนิยม เกาะให้ติดก็แล้วกัน ขึ้นเรือให้ได้
_*บุญนิยม รองกิจ* : กราบนมัสการพ่อครูอย่างสูงยิ่งครับ ผมขอเกาะกาบเรือไปด้วย ถ้าผมมีแรงพออาจจะปีนขึ้นบนเรือได้ ถ้าขึ้นบนเรือไม่ได้ ก็ขอเกาะกาบเรือไปเรื่อยๆ ถ้าหมดแรงมือที่เกาะกาบเรือก็หลุดจากกาบเรือจมน้ำไป
พ่อครูว่า… เอาดีๆ อย่าให้หลุดไปเชียว
การสอนการเทศน์ธรรมะต้องรู้จักอนุโลมปฏิโลม
_*คอยใคร* : กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาผมฟังรายการท่านจันทร์ตอนเที่ยง ท่านจันทร์รับกิจนิมนต์ไปเทศน์ที่สถานที่แห่งหนึ่งขอไม่ออกนามครับ ช่วงก่อนท่านจันทร์จะขึ้นเทศน์ก็จะมีคนสวดมนต์ก่อน ผมได้ยินคนที่มาฟังเทศน์สวดแบบเสียงลากยาวๆ ผมก็ยังไม่ติดใจอะไร และพอสวดเสร็จก็มีพิธีจุดเทียนส่องธรรมก็มีสวดมนต์อีกและมีท่านจันทร์นำสวด ต่อจากนั้นท่านจันทร์ก็ขึ้นเทศน์ตามปรกติ แต่ที่ไม่ปรกติก็คือ ผมไม่เห็นท่านจันทร์เทศน์สอนคนเหล่านั้นว่า อย่าสวดมนต์เสียงลากยาวๆแบบที่พ่อครูสอนเหมือนที่พ่อครูนำสวดต้นรายการทุกครั้งเลยครับ อีกเรื่องคือผมสงสัยว่า ถ้าไม่มีพิธีจุดเทียนส่องธรรม คนเหล่านั้นจะฟังเทศน์แล้วดวงตาจะไม่เห็นธรรมหรือครับ ทำไมท่านจันทร์จึงไม่เอาแก่นสอนคนเหล่านั้นว่าจุดเทียนก็ไม่ช่วยอะไร ถ้าไม่ลืมตาไม่เปิดหูฟังจึงจะเกิดความสว่างทางธรรม ผมมิได้ไม่ชอบท่านจันทร์นะครับ ผมติดตามรายการท่านจันทร์ตลอดเลยครับ เพียงแค่ผมสงสัย จึงกราบขอพ่อครูไขข้อสงสัยของผมด้วยครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูครับ
พ่อครูว่า… ตอบง่ายๆ ไม่ยากที่คุณสงสัย ท่านจันทร์นั้นเข้าไปในดงเสือ แล้วจะไปทำตัวเป็นหมู เป็นอะไรที่มันต่างไปจากเสือ ก็โดนกัดกินหมดสิ ท่านก็เลยต้องพลอยเขียนลายเสือ เขียนตัวให้เป็นเสือไปตามเสือ ก็อยู่กับเสือไปรอดได้ เป็นธรรมดาธรรมชาติท่านจะไปเป็นไอ้เข้ขวางคลองเกินไปโดยไม่รู้จักกาละเทศะฐานะ
กาละ อย่างนั้นเราต้องอนุโลมก็ต้องอนุโลม เช่น พระพุทธเจ้าท่านอนุโลมพระเจ้าปเสนทิโกศล บอกว่านั่นเปรต กำลังโปรดเปรต กำลังกรวดน้ำ แล้วทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนไม่ห้าม ก็เพราะมันไม่อยู่ในฐานะที่พระพุทธเจ้าจะไปห้าม เพราะ 1. พระเจ้าปเสนทิโกศลใหญ่เหลือเกิน เป็นเจ้าของแคว้นโกศลที่ใหญ่ แคว้นของพระพุทธเจ้าเป็นแคว้นกบิลพัสดุ์เล็กนิดเดียว 2. พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ยังไม่ได้มีภูมิธรรมที่จะพูดกันรู้เรื่อง ไม่อยู่ในกาละเทศะฐานะที่จะไปสอนไปแย้งไปบอกอะไรได้จริง
แม้ถ้าอยู่ในดง เทศะ อยู่ในแดนดินถิ่นที่ อย่างท่านจันทร์ไปอยู่กับเขา ไปอยู่ไหน เทศะ ถิ่นที่แหล่งของเขา ตรงนั้นก็เป็นแดนของเขาทั้งหมด เราจะไม่อนุโลมกับเขาจะไปขวางลำเขาก็ต้องมีบารมี อย่างอาตมาถ้ามีบารมีพอก็พอทำได้ แต่ท่านจันทร์ท่านรู้ตัวดีรู้ กาละเทศะฐานะ มันผิดก็รู้ผิด ทำไม่ได้ก็ต้องอนุโลมตามไป ถึงเรียกว่าอนุโลมปฏิโลม ถ้าไม่มีอนุโลมปฏิโลมอยู่กับใครเขาไม่ได้หรอก แล้วมันก็จะไม่ได้ประสานกันเลยไม่มีที่ต่อที่ติดไม่มีที่เชื่อมกันเลย
อย่างอาตมานี้แข็ง ไม่เชื่อม ไม่ได้ไปพบคนนั้นคนนี้ติดต่อคนนั้นคนนี้เหมือนท่านจันทร์คนละเรื่องเลยกับอาตมา เป็นคนปฏิสันถารแย่เต็มที ไม่ค่อยปฏิสันถารไม่ค่อยเชื่อมต่อ เพราะแค่ที่มีนี้อาตมาก็ตั้งใจจะทำให้ดีก็หนักก็ยากแล้ว อาตมาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอย่างนั้น ก็ทำตามฐานะของแต่ละคน กาลเทศะฐานะด้วย
ทำไมพ่อครูสอนแต่โลกุตรธรรมไม่สอนโลกียธรรม
_*สติพล จนพัฒนา* : พ่อครูมีเมตตากรุณาเป็นอัปปมัญญาปรารถนาอยากให้พวกนั่งหลับตากลับจิตกลับใจมาลืมตา..แต่จริงๆแล้วก็เป็นได้บางส่วนเท่านั้น..แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นไปไม่ได้ impossible เพราะขนาดมีพระพุทธเจ้าอยู่แท้ๆก็ยังทำไม่ได้เลยครับ
พ่อครูว่า… ก็จริงของคุณ ก็ได้บางส่วนอาตมาก็เอาบางส่วน ได้บ้างเท่าไหร่ก็เอาเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไป มันก็ต้องอย่างนี้แหละ วันนี้มันได้บ้างก็ยังดีนะ มันยากจริงๆเพราะอาตมาไม่ได้เป็น เป็นนักธรรมะหรือเป็นนักเผยแพร่ธรรมะ นักสอนธรรมะ คือ สอนดะไปโลกีย์ก็สอนไม่ทำ อาตมาเน้นสอนโลกุตระ กอบกู้โลกุตระ อาตมานี้เป็นพ่อครัวปรุงอาหาร ที่เขาเรียกว่าเชฟว่าเป็นกุ๊ก เป็นพ่อครัวปรุงอาหาร ที่ปรุงอย่างเข้มข้น ปรุงอาหารที่เป็นสาระแก่นสารของมนุษยชาติที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ไม่ได้ไปมีเวลาทำอาหารออเดิร์ฟ อาหารกินเล่นกินหัว ไม่ เป็นอาหารที่จำเป็นสำหรับมนุษย์โลก สำหรับมนุษย์สำคัญที่สุด งานเดียวนี่แหละอาตมาก็หนักหนาสาหัสแล้ว
เพราะฉะนั้นท่านจันทร์ก็ทำตามฐานะของท่าน อาตมาก็ทำตามฐานะของอาตมาจึงไม่เหมือนกันเลย
อย่างพวกหลับตานี้อาตมาก็ต้องย้ำเพราะมันเป็นโมฆะจริงๆ หลับตาปฏิบัตินี่ มันไม่มีทางเกิดบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าเลย ไม่เลย ซึ่งเขาไม่ได้เข้าใจง่ายๆเพราะเขาไม่มีปัญญาพอ พวกที่เขาไม่ตื่นไม่ยอมรับไม่ฟัง เขาตัดทิ้งเพราะว่าเขาไม่มีปัญญาพอ เขาอยู่ในภูมิที่เขารับไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ให้แต่ผู้มีบารมีภูมิมีพอจะรับได้ ผู้ที่จะมีภูมิพอและเป็นเพื่อนเป็นฝูงเขาถึงจะจูงเขาขึ้นมาได้ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีตัวเชื่อมตัวต่อเป็นสายอย่างนี้เลย
มันต้องเอาคนที่มีบารมีหรือมีภูมิพอจะเกิดผลได้ก่อนมีน้ำมีเนื้อ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านี้เป็นโลกุตระที่จะต้องคัดเลือกบุคคลที่จะได้ผล ถ้าไม่คัดเลือกบุคคลที่จะได้ผล ไปสอนโลกียธรรมธรรมดา เกิดร้อยปีไม่พอหรอก ไม่มีเวลาพอที่จะไปสอนให้เขาเจริญขึ้นมาได้ แล้วก็จะมารับได้นั่น 1.
2 .โลกุตรธรรม ก็ไม่ใช่โลกียธรรมชั้นสูงด้วย แต่เป็นธรรมะอีกต่างหาก จึงเป็นเรื่องอจินไตยมาก เป็นเรื่องที่คิดไม่ได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นในเวลาที่มีเวลาชีวิตที่จะมาทำงานด้านธรรมะ 100 ปีน้อยไป เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ต้องไปเสียเวลากับอันโน้น เพราะอันนั้นเขาก็สอนกันอยู่แล้ว มีผู้รู้สอนกันอยู่แล้ว เขาก็ทำกันได้ในความดีความชั่วความถูกความผิดของโลกียะ เขาก็สอนกันแล้วก็วนเวียนอยู่ตรงนั้น ซึ่งมันไม่เที่ยง คุณจะดีอย่างไรคุณก็ต้องวนเวียนตกต่ำไม่จบ มันไม่เหมือนโลกุตระที่เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า อันนี้จบอันนี้ไม่มีวนเวียน ไม่มีตกต่ำได้แล้วไม่ตกต่ำ อวินิปาตธรรม ถึงขั้นนิยตะ แล้วไม่มีตกต่ำมีแต่จะไปสู่ที่สูงที่สุด สัมโพธิปรายนะ อย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นจึงมีที่สอนมีที่จบอย่างแท้จริง มีความเจริญอย่างเที่ยงแท้ไม่ตกต่ำ แต่อันนั้นมันยังวนเวียนซ้ำแล้วก็วนเวียน สอนให้ขึ้นไปดีเท่าไหร่เดี๋ยวก็วนเวียนตกต่ำอีก เพราะมันไม่มีปัญญาไม่มีจุดที่รู้แจ้งรู้จริง ถึงอะไรหมดสูญก็หมดสูญ ไม่มีมาอีกมันก็ไม่มี เอากิเลสให้หมด 0 ไปแต่ละเรื่อง มันหมด 0 แล้วมันไม่มี มันไม่เกิดอีกในตัวคน มัน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มันก็จบ
เพราะฉะนั้นมันจึงสมบูรณ์แบบได้ จบแล้วมีที่สุดที่จบ เพราะฉะนั้นค้นคว้าธรรมะ ธรรมะที่จะได้ โลกุตรธรรม จึงมีที่จบแม้จะเป็นคนเป็นๆ คุณจะยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เป็นคนที่มีหลักประกัน ว่าจะมีชีวิตไม่ตกต่ำไม่ทำบาปทั้งปวง มีแต่ดีถ่ายเดียวกรรมชั่วไม่ทำเลย ถ้าจะอยู่ ไม่มีกรรมชั่วที่เจริญไป ใครจะสูงขนาดไหนก็ตามกาละเทศะของเขา เข้าใจกาละเทศะสถานะ อนุโลมปฏิโลมไปได้กับเขาทุกๆสมัย
ในยุคนี้นิยมอันนี้ว่าเจริญ ยุคต่อไปก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปนิยมอันโน้นให้เจริญ เช่น ผู้หญิงยุคนี้นิยมสั้น คนเจริญคนทันสมัยต้องนุ่งสั้นๆ ยุคนี้ว่า เชยแหลกเลย ต้องยาวๆ มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นโลกียะมันไม่เที่ยง
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นธรรมะที่มีที่จบ มีความเที่ยงแท้แน่นอนมีความสมบูรณ์แบบ และก็ไม่ต้องศึกษาอีก จบกิจสมบูรณ์แบบแล้วไม่ต้องศึกษา ไอ้โน้นศึกษาแล้วศึกษาอีกไม่จบหรอกวนเวียนได้หน้าลืมหลังได้เก่าลืมใหม่ ได้ใหม่ลืมเก่า วนไปอยู่อย่างนั้นไม่มีจบ เพราะว่าเขายังไม่รู้สูงสุดเขาก็เป็นอย่างนั้น
_*เดชา อำพร* : จากคลิปหนังสือเสียงอโศก ชอบมาก..เพลงไตเติ้ล”จนอะไร?หรือรวยอะไร?”..แต่เราไปหาในกูเกิ้ลไม่เจอคลิปเพลงนี้เลย.. ไม่งั้นก็จะเอามาลงไว้..
เราชอบมากๆทั้งเนื้อร้อง,ทำนอง,ดนตรี,จังหวะ,และเสียงร้อง”ที่ฟังแล้วซาบซึ้งมากๆ..เหมือนว่าจะสามารถด่ำดิ่งเข้าไปอยู่ใน”โลกจินตนาการ”แบบ”ยูโทเปีย”ของ”โทมัส มอร์”ได้เลยอย่างนั้นแหละ..(ใครนะที่แต่งเนื้อร้อง,ทำนอง,ประกอบดนตรีและจัดสรรผู้ร้องได้ดีเยี่ยมจริงๆ..)..
พ่อครูว่า… ไม่บอก ใครแต่งไม่บอก เดี๋ยวจะรู้ไม่เอา
พ่อครูว่า… ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องที่คิดว่าน่าจะพูดวันนี้วันที่ 5 สิงหาคม 2565 ผ่านวันเกิดของอาตมา 2 เดือนแล้ว
ป๋อง…พรุ่งนี้ครบ 47 ปีที่ประกาศนานาสังวาสครับ
พ่อครูว่า… ประกาศวันที่ 6 วันที่ 7 สิงหาคมก็เป็นวันมีอิสระพ.ศ 2518
พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ
เมื่อกี้พูดถึงว่าอาตมาเป็นเชฟปรุงอาหารเป็นพ่อครัว เป็นกุ๊ก อาตมาทำอาหารให้คนรับประทานทุกวัน แม้ไม่ได้เทศน์สดก็มีเทศน์แห้ง รีรันกันอยู่ ชาตินี้อาตมาเป็นเชฟเป็นกุ๊ก อาหารนี่แหละที่อาตมาปรุงให้อยู่ คนผู้ที่ชอบรสเห็นว่าอาหารที่อาตมาปรุงนี้ รส มีรส เป็นรสธรรมะ รสดีจังเลย เป็นธรรมรสถึงขั้นวิมุตติรส คนผู้ที่เห็นรสอาหารที่อาตมาปรุง คนก็นิยมชมชื่น ชอบอาหารของอาตมา มากินอาหารอาตมา เป็นร้านน้อยๆ ทุกวัน มีอาหารสด อาหารกรอบ อาหารแห้งอะไรก็ปรุงไป เป็นอาชีพของอาตมา คนได้อาหารของอาตมา จิตใจก็เจริญไปตามอาหาร
อาหารของอาตมาไร้สารพิษ มีสารอาหารเยี่ยมเลย ก็เห็นว่าชีวิตของคนเจริญ ด้วยสารอาหารของโลกุตระ เจริญขึ้นๆๆๆ อาตมาก็จะมีชีวิต เป็นเชฟ เป็นกุ๊กไป ตราบที่ ยังมีคนอุดหนุน
อาตมาไม่ขายด้วยแจก แต่ถ้าเผื่อว่าปรุงให้แล้วไม่มีคนรับ อาตมาก็ต้องหยุด แต่ถ้ามีคนรับอยู่ ก็ดูจะมีคนรับเพิ่มขึ้นอยู่นะ ถึงเวลาวาระที่อาตมาเทศน์ก็มารับ รู้ว่าอาหารนี่คืออาหารที่ยิ่งใหญ่อาหารที่สำคัญ
อาตมาเอาพระไตรปิฎกเล่ม 24 อวิชชาสูตร ขึ้นมา อธิบายประกอบ ที่อาตมาเกริ่นนำไปว่าอาหาร คนที่ไม่เข้าใจคำว่าอาหารและไม่รู้คำตรัสของพระพุทธเจ้าอย่างดี จะฟังเข้าใจเพิ่มขึ้นเมื่ออาตมาเกริ่นนำแล้ว ว่าอาหารเป็นอย่างนี้หรือ
เข้าใจแต่อาหารคือ กวฬิงการาหาร คืออาหารคำข้าวเท่านั้น อ้อ อย่างนี้คืออาหารสำคัญกว่าคำข้าว ซึ่งคำข้าว ก็สำคัญสำหรับร่างกายแต่นี่คืออาหารสำหรับจิตใจ นี่คืออาหารแท้ๆของจิตใจ จะเรียกว่าโลกุตระ แม้ไม่เรียกก็เป็นอาหารทางจิตใจที่สำคัญยิ่ง
“จากพระไตรปิฎกเล่ม 24 ข้อ 61
[๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี
เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำนี้อย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อวิชชามีข้อนี้เป็นปัจจัยจึงปรากฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมกล่าวอวิชชาว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของอวิชชา ควรจะกล่าวว่านิวรณ์ ๕”
พ่อครูว่า…อาหารเป็นเครื่องอาศัย อย่างคำข้าวนี้เป็นเครื่องอาศัย กินข้าวกินน้ำกินกับ กินเข้าไปเลี้ยงขันธ์ เป็นสิ่งที่ให้คนอาศัยมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าไม่กินอาหารอันนี้ กวฬิงการาหาร คนก็ตาย ไม่กิน ไม่มีจะกิน อดตาย หรือ มีไม่กินก็ตาย ถึงวาระหนึ่งก็ตาย อยู่ไม่ได้ถึงร้อยปีหรอก ไม่มีใครอดอาหารได้ถึงร้อยปีหรอก
“แม้นิวรณ์ ๕ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของนิวรณ์ ๕ ควรกล่าวว่า ทุจริต ๓
แม้ทุจริต ๓ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของทุจริต ๓ ควรกล่าวว่า การไม่สำรวมอินทรีย์
แม้การไม่สำรวมอินทรีย์เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารแห่งการไม่สำรวมอินทรีย์ ควรกล่าวว่าความไม่มีสติสัมปชัญญะ
แม้ความไม่มีสติสัมปชัญญะเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีสติสัมปชัญญะ ควรกล่าวว่าการกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย
แม้การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ควรกล่าวว่าความไม่มีศรัทธา
แม้ความไม่มีศรัทธาเราก็กล่าวว่ามีอาหารมิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา ควรกล่าวว่า การไม่ฟังสัทธรรม
แม้การไม่ฟังสัทธรรมเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหารก็อะไรเป็นอาหารของการไม่ฟังสัทธรรม ควรกล่าวว่า การไม่คบสัปบุรุษ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การไม่ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์ ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายให้บริบูรณ์ การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่สำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังทุจริต ๓ ให้บริบูรณ์”
พ่อครูว่า… ฟังคำว่าบริบูรณ์ให้ดีๆ พวกคุณได้ปฏิบัติได้ฟังธรรมะเสมอมันเป็นปัญญาข้อที่ 2 ได้พบสัตบุรุษแล้ว พยายามมาฟังมารับต่อให้บริบูรณ์เสมอๆ
ผู้มีสติสัมปชัญญะไม่บริบูรณ์ ไม่ตื่นเต็มทั้งภายในภายนอกคือไปนั่งหลับตา มันเลิกโยนิโสมนสิการ เป็นแต่เพียงภายในและภายนอกอีก 5 ทวารทิ้งหมดแล้วมันจะบริบูรณ์ได้อย่างไร ทำไมคิดไม่ออก ทำไมบอกเท่าไหร่ก็ไม่เห็น
ทำไมบอกเท่าไหร่ก็เห็นไม่ได้หรือ ว่าจริงๆมันผิดหรือถูก น่าสงสารคนไทยที่ไปหลงพระอรหันต์หลับตา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย มันหลงเชื่อสนิทกันอย่างนั้นจริงๆ คนนั่งหลับตากัน มีลูกศิษย์ลูกหาแม้แต่เป็นพวกเปรียญธรรมเรียนพุทธศาสนบัณฑิตก็ยังเชื่อว่ามานั่งหลับตานี่แหละถึงจะพาไปนิพพาน เป็นอย่างนั้นด้วย น้อยคนจะบอกว่าไม่ใช่ นั่งหลับตาไม่ใช่เลย น้อยคน มีไม่เท่าไหร่หรอก
เพราะฉะนั้น “มีทุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังนิวรณ์ ๕ ให้บริบูรณ์ นิวรณ์ ๕ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังอวิชชาให้บริบูรณ์ อวิชชานี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฯ”
พ่อครูว่า… ย้อนตั้งแต่อาหารตัวที่ร้ายแรงตัวที่ร้ายกาจมากที่สุด ของเงื่อนต้น พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาจึงประกาศอวิชชาเป็นเงื่อนต้น ของสิ่งที่คนเรานี้ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่เห็นความสำคัญ พระพุทธเจ้ามาประกาศความสำคัญว่า ไอ้อวิชชานี่แหละ เป็นตัวทำให้คนไม่เจริญสูงสุด ไม่เป็นคนดีอย่างไม่ทำชั่วเลย ไม่เป็นคนดีจนกระทั่งพ้นความทุกข์ความสุข ไม่เป็นคนดีจนกระทั่งจบบริบูรณ์ในความเกิดมาเป็นคน จบแล้วคุณจะเกิดมาอีกกี่ชาติคุณก็เป็นคนจบแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วจะเกิดเป็นคนอีกกี่ชาติต่อจากนี้ไป เป็นพระอรหันต์แล้ว คุณก็เป็นคนบริบูรณ์ ไม่ติดในความทุกข์ความสุขอีกตลอดเลย
เพราะฉะนั้นอาหารของเงื่อนต้น อาหารของอวิชชาก็คือนิวรณ์ 5 ตัวนี้แหละเป็นปัจจัยตัวสำคัญตัวต้น เหง้า ที่มันจะแตกไปต่างๆนานาจนบานปลาย จนกระทั่งถึงขั้น ตกต่ำสุด ไม่รู้จักสับปะรดนี่คือคนตกต่ำที่สุด ไม่รู้จักสัตบุรุษ คบสัตบุรุษแล้วพบสัปบุรุษแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าคือสัตบุรุษ แล้วยังมายืนยันว่าของตนเองถูก ของเขานั่นแหละถูก เพราะฉะนั้นเขาจะต้อง เฮ้ย อย่าเอาของผิดๆมาใส่ศาสนาฉันนะ เขาจะรักษาศาสนาของเขา เขานึกว่าศาสนาที่เขามีนี้ เขาเป็นสัตบุรุษ เขาเป็นสัปบุรุษแล้ว
ความหน้ามืดตามัวสนิทนึกว่า ตัวเองเป็นสัตบุรุษเป็นสัปบุรุษเป็นผู้รักษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ใครมาเห็นต่าง แล้วจะเอามาใส่ ให้คนชาวพุทธรับรู้ได้ด้วย เฮ้ย อย่ามาทำลายศาสนาพุทธข้านะ สัปบุรุษหรือสัตบุรุษเก๊นั้น เขาจะคิดอย่างนี้เขาจะทำอย่างนี้
สัตบุรุษจริงสัปบุรุษจริง ไม่ไปรบราฆ่าฟันด้วย อาตมาไม่เคยไปต่อต้านเขานะ มีแต่วิจารณ์วิจัยมีแต่พูดความจริง ข่มสิ่งผิดยกสิ่งถูก คือตัวเอง ตัวเองมีสิ่งถูก เขามีสิ่งผิดก็พูดตรงๆ นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ ควรข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ทำตามสัจจะนี้ไปตลอด
อาตมาข่มความผิดไม่ได้ไปข่มคน ข่มความผิดที่เขาไปยึดถือไว้ ไม่ได้ไปข่มคน ข่มไม่ได้หรอกอาตมาไม่ไปข่มคนนั้นคนนี้ ไปข่มเขาทำไม เขาก็เป็นคน เราก็เป็นคนเสมอกัน แต่สิ่งที่เขาไปยึดถือไว้นี่สิมันน่าตำหนิมันน่าข่ม มันน่าดูถูกมันน่าบอกให้เขารู้ตัว ก็จำเป็นต้องพูดต้องบอกด้วยความจริงใจ ด้วยความปรารถนาดี ด้วยความรัก ด้วยความเมตตาจริงๆ
เพราะฉะนั้นอาตมาเป็นกุ๊ก ปรุงอาหารคือ นิวรณ์ 5 ของผู้ที่มีอวิชชา ก็เอาเหตุปัจจัยที่เป็นสารพิษคือนิวรณ์ 5 นี้ เอามาแจกแจง เอามาชำระ เอามาเปลี่ยน มาสำรอก เอามาเปลี่ยนจาก กามคุณ เขาถือเป็นกามคุณ ก็มาเปลี่ยนเป็นกามโทษ ตามสัจจะของมันว่ากามเป็นโทษ กามมันไม่ได้เป็นคุณเลยนะจ๊ะ
เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่ทั่วไปนี้ จะไม่ได้ชินหูคำว่ากามโทษ หรือ กามาทีนวะหรอก จะชินหูแต่กามคุณ ใช่ไหม เพราะคุณไปหลงสนิทแล้วว่า กามมันเป็นคุณ กามมันไม่ได้เป็น อาทีนวะ มันเป็นกามคุณไม่ได้ เป็นกามาทีนวะ ไม่ได้เป็นโทษหรอก เขาไม่ได้เห็นเป็นโทษ
อาตมาก็เอามาเปลี่ยนเอามาล้าง เอามาสำรอกกามให้เห็นว่า คุณไปเอาเปลือกที่มันเป็นโทษ เอาคุณมาปิดบังของเป็นโทษไว้หมด ที่จริงแล้วมันเป็นตัวเนื้อโทษไม่ได้เป็นคุณ แต่คุณไปหลงตามที่ถูกเขาหลอกมานาน จนชินหูแต่ว่า กามคุณๆๆ อาตมาบอก มันไม่ใช่ มันเป็นกามโทษ ไม่ใช่กามคุณ
เพราะฉะนั้น บทแรกที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมนุษย์ เรียกว่า อนุปุพพิกถา คือ ทาน ศีล สัคคะ กามาทีนวะ เนกขัมมะ 5 ข้อนี้
เพราะไปหลง กาม เป็นอาหาร อาหย่อยๆๆ เหมือนอย่างมหาบัว เสพติดกามคุณ 5 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของหมากพลู ไม่มีอะไร มีอะไรขาดไม่ว่า แต่ถ้าไม่มีหมากพลูนี้เอาตายเลย ติดกันจน ไปด้วยกันกับชีวิตจนตายด้วยกัน เป็นอรหันต์ปากเปรอะไปด้วยหมาก ไม่รู้ความเสพติดแค่นี้ ติดจริงติดจัง
พระพุทธเจ้าให้มาล้างความติดความยึด ก็ไม่ได้รู้เรื่อง ลูกศิษย์ลูกหามหาบัวน่าจะฟังด้วยดี สุสูสังลภเตปัญญัง อาตมาพูดให้ฟังด้วยดี แต่ไปนั่งหลับหูหลับตาอีก แล้วไปตีทิ้งอาตมาอีก. จะทำอย่างไรให้มีเสน่ห์ให้เขาฟังเขาแล นี่ไม่แลกันเลย อาภัพอัปภาคย์เหลือเกินโพธิรักษ์
ทานก็ดี เพื่อให้เกิดทาน เนกขัมมะ ศีลก็ดี เพื่อให้เนกขัมมะ เลิกกาม
เอาคำแรก นิวรณ์ 5 มันมี 5 แต่ทำกามก่อนเถอะ ปฏิฆะก็ง่าย เพราะ มันรู้อยู่แล้วคนเรามันไม่ชอบเท่าไหร่หรอกรู้ว่ามันหยาบ แต่กามนี้มันเนียน กินลึก ล้างกามก่อน
เพราะฉะนั้น ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า คุณทำทานคุณก็ต้องทำทานให้เป็นเนกขัมมะ ปฏิบัติศีลคุณก็ต้องปฏิบัติให้เป็นเนกขัมมะ สวรรค์คุณก็ต้องรู้ว่ามันเป็นของเก๊ต้องเนกขัมขัมมะ ต้องออกมาให้ได้ ออกจากทานที่มันเป็นโทษ ศีล ที่มันเป็นโทษ สัคคะ สวรรค์นั่นแหละเป็นตัวโทษแท้ๆมันเป็นนรกมันไม่ใช่สวรรค์
เพราะฉะนั้นต้องเห็นโทษ เห็นโทษ ในตัวแรกของนิวรณ์ 5 นั่นแหละคือ กาม ตัวปฏิฆะก็เช่นกัน พูดกามก็เข้าใจปฏิฆะไปด้วยเลย โดยปริยายมันละเอียดเข้าไปถึง ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ ค่อยว่ากันต่ออีก เอาตัวหยาบก่อน แล้ว ถึงจะรู้ถึงตัวลูกหลานตัวเล็กละเอียดลออถึงจะรู้ได้ง่ายขึ้น รู้ในทุกเหลี่ยมทุกมุมของตัวโตตัวหยาบก่อน
ฉะนั้นจุดสำคัญในโลกที่คนเรา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า มันมีอยู่ 2 อย่างเท่านั้น
-
ขิฑฑาปโทสิกะ กับ 2. มโนปโทสิกะ