650801 อยากหมดอวิชชาต้องเริ่มคบพ่อครูผู้สัตบุรุษ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 48 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1klKoHosQDTOWIWYf_Vmr6tzZosobj4-_0GfhnNVwAMU/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://terabox.com/s/1hSZn0K8rNAm5yaXp1s_SGg ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/xq-G0g_e67g _สู่แดนธรรม… วันนี้วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 ที่ บวรราชธานีอโศก พ่อท่านเป็นเหมือนศิลปินในการสอนอบรมลูกๆให้รู้จักศิลปะ รู้ถึงน้ำหนักความเบาความหนักความเข้ากันได้เข้ากันไม่ได้ พ่อท่านได้นำเอาวิชาศิลปะมาใช้ในโลกุตระได้ พ่อครูว่า… SMS วันที่ 29-30 ก.ค. 2565 _*ตุ๊ก อัศวิน* : วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ที่ผ่านมา เป็น #วันภาษาไทยแห่งชาติ #พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในกาละอันเป็นมงคลนี้..ขอน้อมกราบรำลึกถึงพระคุณของ ‘พ่อครู’ ที่เมตตา & กรุณา ‘ไขรหัสลับ’..ทำให้เข้าใจ อักษร พยัญชนะ ไทย ๔๔ ตัว (ก-ฮ) และ เลขไทย (๑-๑๐)..เจ้าค่ะ กราบ..สาาาาธุในธรรม เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณท่าน ส.เดินดิน ที่นำอัตชีวประวัติของ ท่านไอน์สไตน์ผู้ยิ่งใหญ่..มาให้ได้รำลึก ถึงวิถีคิด&ชีวิต …ช่างน่าประทับใจยิ่ง..เจ้าค่ะ น่าเสียดายที่ ‘ปัจฉิมวาจา’ ไม่ได้รับการถ่ายทอด..ให้ชาวโลกได้รับทราบ น่าเสียดายแท้ๆ..เจ้าค่ะ พ่อครูว่า…ผู้ที่รู้จักราคา หรือค่า ของคน ของคำสอนของคำพูดของความรู้ ของความจริง คนไหนเข้าใช้อะไรอย่างไรก็ชื่นชมอย่างนั้น _*Supamas Liaenasan (ศุภมาส เลี่ยนนาสาร)* : ขอน้อมพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้ติดตามรับฟังธรรมมะของพ่อครูมาตลอด และได้ย้อนไปดูคลิปเก่าๆของพ่อครูทางยูทูป และได้นำมาปฎิบัติลด ละ เลิก กิเลสได้เยอะพอสมควร แต่ที่บางอย่างก็เลิกยากมาก แต่ก็จะพยายามค่ะ ขอยกตัวอย่างนะคะ กับคนใกล้ต้ว(สามี)ลูกมีความรู้สึกว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรมันขัดหูขัดตาไปหมด พอเขามาอยู่ใกล้รู้สึกเหม็น อยากอาเจียร รู้สึกทุกข์ แต่พอเขาไม่อยู่ รู้สึกดีไม่ทุกข์ ขอความเมตตาพ่อครูช่วยชี้แนะด้วยค่ะ ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า… ยามรัก น้ำต้มผักก็ว่าหวาน พออยู่ไปๆนานๆ น้ำต้มผักก็ว่าขม แหม อาตมาก็ไม่สามารถจะแนะคุณได้หรอก คุณเป็นเองรู้เองทำเองก็แล้วกัน คุณควรจะทำเองนะ เดี๋ยวอาตมาไปพูดจะหาว่ายุแหย่ อาตมาขอไม่ตอบใดๆ.. ไม่ดี.. คุณก็รู้เองทำเองก็แล้วกัน ความหมายของภูเฮา ฮวมใจส่าง _*หินทอง* : นมัสการครับท่าน อยากขอกราบถามพ่อท่านว่า ภูเฮา ฮวมใจส่าง มีนัยยะ หรือ สื่อความหมายอื่นใดทางธรรมะหรือไม่ กราบขอบพระคุณครับ พ่อครูว่า… อ่านอย่างสำเนียงอีสาน ภูเฮา ก็คือ ภูเรา ไม่ใช่ภูเขานะ และกำลังร่วมใจกันสร้างอยู่ กำลังทำอยู่นี่ ก็คือ ทำให้มันเกิดเนินสูงของดินของหินขึ้นมา ฝีมือพวกเราฝีมือคนที่สร้างขึ้นมา ไม่ใช่ธรรมชาติสร้าง ไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไรเลย ก็เป็นแต่เพียงว่าอยากจะสร้างภูเขา แม่น้ำ ป่า พืชพันธุ์ธัญญาหาร อันเป็นธรรมชาติเท่านั้นเอง อาตมาไม่ได้ทำอะไรยิ่งใหญ่มโหฬารอะไรหรอก ทำตามประสาเท่าที่มันมีเรี่ยวแรง มีทุนรอนพอทำได้ ก็ทำไป เพราะอาตมามีความเข้าใจ มีความเห็นอยู่อย่างหนึ่งว่า ธรรมชาติทั้งหมด ที่มันมี ซึ่งมันเป็นธรรมชาติที่คนควรจะอยู่ได้ อย่างคนโบราณคนเถื่อนเป็นคนป่าคนเถื่อนแท้ๆ เขาก็อยู่กับป่า เขาอยู่เป็นธรรมชาติแท้ๆ ป่ารกชัฏ ที่มันแน่นเป็นป่ารกจริงๆ สิงสาราสัตว์ที่เหมาะสมก็อยู่กันไป ผู้คนที่ชอบยังงั้นเขาก็ไปอยู่กัน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา จนกระทั่งมาเห็นว่าอยู่อย่างนี้มันควรจะมีบ้านเรือนได้ แต่ก่อนมันไม่ได้มีบ้านเรือนอะไร ตั้งแต่สมัยผีตองเหลือง ใช้ใบตองมารองนั่งบังหัวกันฝนกันฟ้าไป พอใบตองมันเหลืองหมดแล้วมันเหี่ยวใช้ไม่ได้ก็ย้ายใหม่ ไปที่ใหม่แล้วเอาใบตองมาใช้อีกก็ถึงเรียกผีตองเหลือง จนกระทั่งรู้จักทำที่พักที่อยู่ อยู่ในป่านั่นแหละ มีที่พักที่อยู่ไปตามลำดับ ก็อยู่กันไป พัฒนาขึ้นมา จนกลายมาเป็นคนเมืองคอนกรีต ทุกวันนี้ ต้นไม้ก็พยายามปลูกขึ้น เพราะว่าไปตัดมันทิ้งหมดแล้ว ต้นไม้บางทีก็ใส่กระถางเอาไว้ ก็กลายเป็นอย่างนี้ ตามประสาของคนที่เขาเป็นกันมา จนกระทั่งอยู่ไปทุกวันนี้ก็ถือว่ามีความเจริญ แต่มองอีกนัยยะหนึ่ง มันยิ่งเป็นความตกต่ำ เป็นไปตามธรรมดาของความเกิดขึ้น ตั้งอยู่เสื่อมไป หรือดับไป ทุกอย่าง วนเวียนมาเกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมไป เสื่อมนี้มันดูถึงขั้นดับแต่มันไม่ได้ดับถาวร ความดับที่ถาวรที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความดับที่ถาวรที่สุด ให้แก่จิตวิญญาณตัวเองได้ จะไปดับโลกเขาไม่ได้ โลกนี้พระเจ้าเป็นผู้สร้าง ก็ให้พระเจ้าเป็นเจ้าของ แต่สำหรับคนแต่ละคนนั้น ไม่ต้องไป คิดว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน จะจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ แต่มันมีโลก มันมีธรรมชาติทุกอย่างเกิดขึ้นอยู่ ตั้งแต่เป็นอวกาศ มีอะไรทั้งหมดมาเลย มี Big Bang มีเนบิวล่า มี Galaxy จนกระทั่งมาเป็นโลก มาเป็นจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ และก็มีชีวะ เกิดพีชนิยาม จิตนิยาม ขึ้นมาในโลกลูกหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตามลำดับ ว่า ในธรรมชาติ มันพัฒนาของมันเอง ตั้งแต่ อุตุนิยาม มาเป็นพีชนิยาม แล้วมาเป็นจิตนิยาม จนกระทั่งมาเป็นคน เป็นคนที่ฉลาด คนประเสริฐ เป็นอาริยบุคคล จนเป็นพระพุทธเจ้า ก็ตรัสรู้ ในจิตนิยามมีตัวตน จนกระทั่งท่านตรัสรู้ว่า ตัวตนนี้มันก็ ถ้าไม่รู้มันก็อยู่เป็นตัวตนนิรันดรเหมือนเทวนิยม ถ้าไม่มีปัญญา ไม่เกิดความรู้ขั้นโลกุตระสุดยอดเลย ก็จะเป็นจิตนิยามอยู่นิรันดร อยู่กับโลกียะ หมุนเวียนตาย ตายแล้วก็เกิดเกิด แต่ลัทธิที่เป็นเทวนิยมเยอะมากที่เขาไม่รู้จักการเวียนตายเวียนเกิด เขาไม่รู้ เขารู้แต่ว่าเกิดเป็นคนตายเสร็จแล้วในชาติเดียวก็ต้องไปอยู่กับพระเจ้าต่อ ตายปุ๊ป ไปอยู่กับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะให้เกิดมาต่ออีกไหมก็ไม่ได้อธิบาย มีเทวนิยมหลายนิกาย อธิบายว่าให้มาเกิดอีก พระเจ้าให้มาเกิดอีก เกิดใหม่ จนกระทั่งพัฒนาถึงการรู้วิบากกรรม แต่เขาก็รู้อย่างเทวนิยม มีกรรมวิบากอย่างเทวนิยมซึ่งกรรมวิบากเป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องที่รู้กันได้ไม่ง่าย ผู้ที่จะรู้จักกรรมวิบากจริงก็คือพระพุทธเจ้าและสามารถทำกรรมที่บาปให้เหลือแต่กรรมวิบากที่ ดี ไม่ทำกรรม ให้เป็นวิบากที่ชั่วเลย แน่มั่นคง แน่นอน ทำแต่ดี ไม่ทำชั่ว ไม่ทำบาปเลย สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ไม่ทำชั่วเลยทำแต่ดี เพราะฉะนั้นกรรมใดที่ทำดีเท่านั้นทุกกรรมเป็นของตน สำเร็จเป็นคนที่ทำแต่ดีไม่ทำบาปเลยนั่นคือโลกียะ แล้วก็ทำจิตให้บริสุทธิ์ขาวผ่องปราศจากเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีกได้ สจิตตปริโยทปนัง ตัวที่ 3 นี้เป็นโลกุตระ ตัวที่ 1 ตัวที่ 2 เป็นโลกียะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทั้งโลกียะและโลกุตระเพราะฉะนั้นที่เป็นโลกียะ ท่านก็ทำดีไม่มีชั่วเลย ถ้าชีวิตมนุษย์ยังจะอยู่ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน บรรลุอรหันต์ได้ เป็นต้น ผู้นี้ทำแต่ดี ไม่มีทำชั่วอีกเลยตลอดกาลนาน คุณจะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ได้ แต่ชาวไทยพุทธที่เป็นเถรวาทไม่เข้าใจอันนี้แล้วจะคิดว่าตายแล้วก็สูญเลย เป็นอุจเฉททิฏฐิขนาดนั้น เข้าใจว่าอรหันต์เกิดอีกครั้งไม่ได้ อาตมาเองก็ถูกเขาจัดอยู่ในพวกนอกรีต อธิบายนอกธรรมะพระพุทธเจ้า เขาเท่านั้นแหละที่อธิบายธรรมะถูกต้อง อาตมาก็ไม่แย้งไม่เถียงหรอก เขาจะยึดว่าถูก เขาก็ตามที่เขายึด อาตมาจะไปทำอะไรได้ อาตมาก็ทำสิ่งที่เห็นว่าเขายึดถือของเขาก็เป็นภูมิรู้ของเขา เราก็เป็นสิ่งที่เราเข้าใจเราก็ยึดถืออย่างนี้ มันก็นานาสังวาสกันเท่านั้นเอง แต่เขาจะจัดว่าเราเป็นนิกาย ซึ่งอาตมาไม่ไปทำอนันตริยกรรมแยกนิกายอย่างนั้นหรอก ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เขาทำอาตมาไม่ได้ทำนิกาย อาตมาทำแค่นานาสังวาส ก็ยึดถือไม่เป็นสังวาสเดียวกัน ทำสังฆกรรมร่วมกันไม่ได้ เพราะศีลไม่เสมอสมานกัน ปฏิบัติกันไปคนละอย่างก็เป็นนานาสังวาสกันไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้นการรู้ การเข้าถึปฏิบัติบรรลุในธรรม จึงไม่เสมอสมานกัน ก็ปรากฏจริงอย่างเช่นชาวอโศกปฏิบัติเข้าใจอย่างนี้ ปฏิบัติตามที่เราเข้าใจได้ผลมาอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ แตกต่างกันกับทางเถรสมาคม เขาก็อาศัยที่เขาได้ เถรสมาคมเขาก็อาศัย เป็นสุข แต่เขาไม่รู้จักสุขทุกข์ที่เป็นโลกุตระที่เป็นอริยสัจ เขาไม่รู้จัก เถรสมาคมไม่รู้จักสุข ทุกข์ ไม่รู้จักอริยสัจ 4 หลงความทุกข์เป็นความสุข ยังวิปลาสกันอยู่ หลงโลกียะ เป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น ไม่มีโลกุตระ เพราะฉะนั้นจึงอาศัยแค่อยู่กับโลกียะ อยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คนอย่างนั้นเขาไม่หมดสุขหมดทุกข์ ไม่รู้จักสุขจะทุกข์ ไม่มีอนัตตา ไม่มีสุญญาตา ไม่มีนิพพาน เถรสมาคม หรือ แม้ว่าจะเป็นพระปฏิบัติก็ตามสายหลับตานั่งไป เสร็จแล้วก็หลงว่าตัวเองหมดภพหมดชาติเป็นอรหันต์ ซึ่งก็เป็นอรหันต์ เก๊ เพราะมันไม่สัมมาทิฏฐิ หรือจนกระทั่งเรียนปริยัติไปกลายเป็นมหายาน ก็หลงตัวเองก็เป็นอรหันต์ได้เหมือนกัน จิตว่าง จิตไม่มีแล้วกิเลสพวกนี้ ซึ่งไม่ได้บรรลุเพราะจิตเป็นจริง จิตเข้าถึงธรรมบรรลุธรรมจริง ผู้ที่จะรู้ถึงธรรมจริงบรรลุถึงธรรมจริง ผู้ที่บรรลุแล้วเป็นอรหันต์ได้จริงแต่ไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ ก็เอามาอธิบายเอามาสาธยายสู่ผู้คนฟัง ไม่ค่อยได้ ได้ก็อย่างสังเขป อย่างสั้นๆ บางทีสายพวกพระอัสชิ พอพระสารีบุตรตั้งแต่ตอนยังไม่ได้บวช เมื่อไปพบพระอัสชิเข้า ถามว่า พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร พระอัสชิก็บอกว่า ตัวเองอธิบายไม่เก่ง สาธยายให้ฟังก็คงไม่ได้ยาวก็คงได้แต่บอกให้สั้นๆ ท่านสอนว่าทุกอย่างมาแต่เหตุ ดับเหตุเสียได้ ทุกอย่างก็ดับ พระสารีบุตรตอนนั้นยังไม่ได้บวช ยังไม่พบพระพุทธเจ้า เกิดรู้ทันทีว่านี่คือประโยคทอง ก็รีบไปบอกพระโมคคัลลานะ เป็นโกลิตะมานพกับอุปติสสะมานพ ก็บอกว่าไปพบพระพุทธเจ้ากัน ไปชวนอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตร บอกว่าพบพระพุทธเจ้าแล้ว เขามีการทำนายแล้วว่าพระพุทธเจ้าจะมาอุบัติ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเกิดมา เขาก็ทำนายแล้วว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พอได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ท่านยืนยันว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ก็ชวนกันไปพบ สัญชัยเวลัฏฐบุตรก็บอกว่า ไม่สนเราไม่ไปเราจะอยู่กับคนหมู่มากโดยเอาเหตุผลว่า คนโง่มีมากหรือคนฉลาดมีมากกว่ากันในโลกนี้ สนชัยก็บอกว่า คนโง่มีมากคนฉลาดมีน้อย ก็ว่าเออ คนมากเพราะจะช่วยคนมาก เธอไปอยู่กับคนน้อยเถอะ เราสงสารคนมาก อุปติสสะก็ชวนโกลิตะไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เห็นแล้วว่าเดินมาแต่ไกล ก็ตรัสว่า สาวกคู่ของเรามาแล้ว แล้วก็ไปบวชกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนั้นทำหน้าที่มาตลอด นี่ก็เป็นประวัติที่รู้กันทั่ว สรุปที่อาตมาพยายามอธิบายถึงตำนานหรือประวัติของศาสนาพุทธนิดหน่อย เพื่อยืนยันให้รู้ว่า มนุษยชาตินี้ เกิดมาเป็นธรรมชาติ จนกลายเป็นศาสนาฮินดู เขาไล่ตั้งแต่เป็นสัตว์ จนกระทั้งเป็นมนุษย์แคระ เป็นเหมือนมนุษย์คนป่า แล้วก็เป็นมนุษย์ที่มีความรู้ฉลาดขึ้นไปไล่ลำดับไปตั้ง 10 ขั้น ขั้นที่ 9 คือพุทธะ ศาสนาฮินดูเขาก็ยอมรับว่าขั้นที่ 9 คือพุทธะ อย่างนี้เป็นต้น คือความรู้ที่รู้กันรู้กันทั่วไป แม้แต่เทวนิยม ส่วนสายเทวนิยมด้านตะวันตกนั้น ไม่ได้รู้มากเท่าฮินดู ไม่ได้รู้เรื่องจิตวิญญาณละเอียดลออเท่ากับฮินดู รู้แค่ตายรอบเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้า แล้วมืดไปอยู่กับพระเจ้า ฮินดูก็รู้ เป็นแต่เพียงว่าเขาไม่มีสัมมาทิฏฐิจึงไม่มีที่จบอยู่อย่างนั้นตลอดกาล เสร็จแล้วก็อยู่กันอย่างมีชีวิตทำความดีซึ่งมันก็ต้องเสื่อมเป็นธรรมดาแล้วก็วนไป เทวนิยมก็วนเวียนนาน นานจนตัวเองลืม ลืมสัญญาเก่าของขันธ์เก่า ลืมแล้วก็จำได้อยู่แค่รอบที่ตัวเองจำได้ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็น 62 ทิฏฐิ ท่านแยกไว้ ก็คิดจำอดีตเป็นหลัก ถือขันธ์ในอดีตเป็นหลักก็ได้ 18 มีขันธ์เก่าและฟุ้งซ่านไปอีก 44 ด้วยก็เลยมีมากมายเป็น 62 ทิฏฐิ ผู้รู้ยิ่งรู้ยอดตั้งแต่เกิดจนจบจนกระทั่งดับจิตนิยาม แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย คือพระพุทธเจ้า จะอยู่ก็อยู่อย่างมีหลักประกันว่าไม่ทำชั่วทำแต่ดี แล้วถ้าจะตาย ก็ตายอย่างที่ตายแล้วเกิดอีก ตายแล้วเกิดอีก ไม่ยอมดับง่ายๆ หรือตายแล้วสูญไปเลยแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ จึงครบถ้วนบริบูรณ์หมดเลย พอรู้ทั้งอุตุนิยาม รู้ทั้งพีชนิยาม รู้ถึงธรรมนิยามทั้งหมด จบสุดเลยบริบูรณ์ อาตมาตั้งปณิธานจะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นทำเนียบให้ได้ ทำเนียบในความสูงสุดของมนุษย์สุดยอดให้ได้ เป็นพระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งในทำเนียบนั้น จะเป็นองค์ที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้องค์ที่กี่ล้าน ไม่มีใครจดทำเนียบทำสถิติเอาไว้ว่าพระพุทธเจ้ามีกี่ล้านองค์แล้ว อาตมาเกิดมามีจิตนิยาม อาตมาก็จะต้องทำจิตนิยามของอาตมาให้สุด สุดแล้วถึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่อยู่สมัย 2 เป็นพระพุทธเจ้าแล้วไม่เอาสมัย 2 อยู่สมัยเดียวพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ไม่มีใครอยู่สมัย 2 หรอก เพราะว่าอยู่มาไม่รู้กี่สมัยแล้ว เป็นโพธิสัตว์มา จนกระทั่งเป็นมหาโพธิสัตว์ ไม่มีใครเทียบเท่าอยู่แล้ว เกิดมาอีกก็เป็นมหาโพธิสัตว์ที่สูง นิยตโพธิสัตว์ ไล่ไม่ทันหรอก กว่าจะเป็นมหาโพธิสัตว์ กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ฟังโพธิสัตว์ระดับไหนจึงได้ฟังโลกุตระ อาตมาก็สาธยายตามภูมิที่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 พอรู้ตำรา พอจะรู้บทเรียนนี้ ซึ่งอาตมาก็ยังไม่ถึงมหาโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้า หรือปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ถึงเท่านั้นเอง ก็สาธยายสู่ฟังตามความรู้ที่ตัวเองยังไม่ถึง แต่มีตำราแล้ว มีแผนที่แล้ว เอามาพูดสู่ฟัง นำหน้าที่ตัวเองก็ยังเป็นไม่ได้ แต่มั่นใจว่าไม่ผิด เป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ขึ้นไป เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเป็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้ถูกต้องหมด เป็นแต่เพียงธรรมะที่เป็นจริงของเรายังเดินทางมาไม่ถึงเท่านั้นเอง ซึ่งอาตมาพูดไปนี้ เท่าที่อาตมาพูดได้ จะรู้ได้ว่า อาตมาเอาสิ่งที่เขายังไม่ได้รู้มาพูดขึ้นมาให้รู้ ส่วนคนที่มีอัตตามานะ ปฏิเสธอาตมาเพราะเขามิจฉาทิฏฐิ เขาเข้าใจไม่ได้หรือเขามีอวิชชา ยังไม่รู้โลกุตรธรรมที่แท้ ซึ่งอาตมาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ก็ช่วยผู้ที่พอมีดวงตา พอจะฟังรู้เรื่องรู้ได้ ก็มา เพราะอาตมาไปยัดเยียดไปบังคับไม่ได้หรอก ก็บรรยายสิ่งที่เป็นสัจธรรมไปเท่านั้น ผู้ที่แสวงหาแล้วก็มีสัมมาทิฏฐิพอ ไม่มีอวิชชาไม่มีอัตตาหนักหนาสาหัสนัก ก็ตั้งใจฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ปัญญา 8 เพราะอาตมาเป็นสัตบุรุษ ในยุคนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า มีสัตบุรุษก็คืออาตมา ก็ประกาศไปตรงๆ ใครฟังแล้วผู้ที่มีปฏิภาณจริงก็จะรู้ได้ว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษจริงหรือเปล่า ก็บังคับกันไม่ได้ พูดไม่เชื่อ พูดไม่เข้าใจว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษก็เป็นจริงไม่มีปัญหา คนที่เชื่อ บอกว่าพบแล้วสัตบุรุษ ก็มา ถึงไม่มาเขาก็เอาอยู่ในฐานะที่เขาจะอยู่ได้ แต่เขาก็จะเห็นว่า อันนี้ใช่แล้วเขาก็ยอมรับอยู่ เขาก็เอาไป ก็ตามแต่บุคคล บุคคลที่เห็นจริงแล้วว่าอันนี้ เป็เป็นสัตบุรุษจริง แม้ในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้า แต่มีสัตบุรุษที่แท้จริงแล้วก็สุดยอดแล้ว ที่จะต้องคบหาบัณฑิตที่เป็นสัตบุรุษ แล้วมาคบให้บริบูรณ์ อยู่อย่างนั้น ไม่มีมาใกล้ชิด ไม่ฟังกันเลย แต่พวกเราก็ฟังกันเยอะทุกวัน ยังไม่ค่อยพอเลยเห็นไหม เพราะฉะนั้นจะฟังให้บริบูรณ์นี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ฟังแค่ทีสองทีจะบอกว่าบริบูรณ์แล้ว อย่างงั้นก็เก่งเกิน ซึ่งมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก เพราะฉะนั้นในปัญญา 8 ปัญญาข้อที่ 1 ฟัง ได้ยินจากพระพุทธเจ้า ได้ยินจากพระโอษฐ์เลย หรือในยุคนี้ไม่มี ก็ฟังธรรมจากสัตบุรุษ ฟังจากสัตบุรุษ ต้องฟังอย่างแท้จริงเลยแล้วจะมีความละอาย อย่างแรงกล้า คนที่ซื่อบื้อ คนที่มีอัตตามานะมาก คิดไม่ออกหรอก จะไม่รู้จักโลกุตรธรรม ไม่รู้จักธรรมะอันยิ่งใหญ่ ผู้ที่โง่พูดไม่รู้ได้ง่ายๆ ไม่รู้เรื่องธรรมะที่เป็นโลกุตระได้ง่ายๆ ตัวเองก็ยึดถือธรรมะที่ตัวเองเป็นโลกียะ ที่วนเวียน พูดไปก็ยังวนเวียนอยู่ในธรรมะต่ำๆ ตัวเองก็ต้องยึดถือธรรมะที่มันยังไม่ใช่โลกุตระมันก็ต้องต่ำๆ แล้วก็ยังไม่มีภูมิพอที่จะทำให้รู้ว่าอย่างนี้น่าฟัง ก็จะปฏิเสธ ๆๆๆ ดีไม่ดีดูถูกด้วย ดูถูกเพราะ ดูถูกธรรมะโลกุตระจากสัตบุรุษนั่นแหละ จนกระทั่งถึงวาระใดวาระหนึ่ง เกิดรู้ขึ้นมาได้ว่า มีอัญญธาตุ เกิดในจิตเพียงพอ โอ้โห..อันนี้เนี่ย ที่เราไม่เคยศรัทธา ว่าเป็นโลกุตระ พอมี อัญญธาตุ เพียงพอ เราก็รู้สึกว่าอันนี้ใช่หรือ เราก็เคยดูถูก เราได้ลบหลู่ไปแล้วนะ คนนี้ก็เลยเกิดความละอายอย่างแรงกล้า คนที่ยังเป็นอยู่ตอนนี้เขายังไม่เกิดภูมินี้หรอก เขายังไม่รู้ เขาได้แต่ดูถูก เพราะเขาจะรู้สึกสำนึกตัวเองว่า โอ้โห ทำไมเราโง่เปิดเผย โง่ประจานตัวเองออกไปมากมายอย่างนี้ แสดงตัวด้วยนะ ลบหลู่สัตบุรุษ ดีไม่ดีต่อต้าน ข่ม เอานานด้วย นาน จนกว่าจะรู้ตัวนี่ รู้เมื่อไหร่จึงจะเกิดหิริโอตตัปปะอย่างแรงกล้าจริงๆ แล้วก็จะเคารพอย่างแรงกล้าด้วย เพราะเพิ่งจะเจอของจริง มันก็ต้องเคารพอย่างแรงกล้า เห็นไหม ชัดเจนขึ้นไหม นับถือบูชาอย่างแรงกล้าเลย เพราะมันเห็นชัดเจนเลยว่า ที่ตัวเองหลงอยู่แต่ก่อน ปัดโธ่เอ๋ย ขี้หมาแท้ๆแต่เห็นเป็นทองคำ พอเจอทองคำแท้ ก็จะรู้สึกละอายว่าตัวเองทำไมโง่อย่างนี้ โง่จริงๆ ชัดเจนไหม พระพุทธเจ้าตรัสไว้แต่ละคำ มันเป็นความจริง ที่อาตมาพยายามขยายสภาวะจริงของจิตวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้จริงๆเลย สู่แดนธรรม… มีไลน์ถามสดๆมา ขณะที่พ่อครูพูดถึง สัตบุรุษต้องเป็นโพธิสัตว์ระดับไหน พ่อครูว่า… โพธิสัตว์ระดับไหน ระดับ 6 ระดับ 5 ก็ สาธยายไปได้ตามธรรมดาแล้ว คุณจะมีภูมิระดับไหน มีภูมิฟังระดับ 5 โพธิสัตว์ระดับ 4 ระดับ 4 คือผู้ที่เป็นอรหันต์ เมื่อเป็นโพธิสัตว์ก็เริ่มขึ้นระดับ 5 หรือกำลังจะเป็นอรหันต์หรือเป็นอรหันต์อยู่ ท่านก็ระดับ 4 คุณฟังระดับ 4 ก็รู้เป็นโลกุตระแล้ว ก็แสดงว่าคุณมีภูมิที่สูง ถ้าคุณฟังระดับ 4 ยังไม่ชัดเจน ยังไม่เชื่อว่าท่านเป็นโพธิสัตว์ในตัว หรือท่านมีภูมิโลกุตระแล้ว คุณก็ต้องไปรอท่านเป็นระดับ 5 จึงจะฟังขึ้น ระดับ 5 สาธยายได้มากกว่าระดับ 4 คนที่ยังไม่ใช่ระดับ 5 ก็ยังไม่มีภูมิพอจะฟังระดับ 6 ก็ต้องฟังผู้ที่สูงขึ้น ต่ำกว่าก็ต้องฟังผู้ที่สูงขึ้น ผู้ที่จะฟังระดับ 7 รู้เรื่องก็ยิ่งต่ำลงไปอีก ผู้ที่จะฟังระดับ 8 รู้เรื่องก็ยิ่งต่ำลงไปอีก เป็นธรรมดา มันเป็นเช่นนั้น สู่แดนธรรม… ใจผมตัดรอบที่ระดับ 4 ก็ยกให้เป็นสัตบุรุษได้แล้วครับ พ่อครูว่า… สัตตะ แปลว่า 7 จะเอาหลักแท้ๆเลยว่า ผู้ที่จะสาธยายได้อย่างชัดเจนมากพอ วิจิตรพิสดาร ก็ ระดับ 7 ขึ้นไป คือบุรุษที่เป็น สัตตะ คือระดับ 7 ขึ้นไป จะได้เป็นเรื่องจริง สรุปอีกเกิดมาเป็นคนแล้ว ถ้าไม่ได้ศึกษาโลกุตระธรรมจนบรรลุอรหันต์ คุณก็จะเวียนวน ไม่ได้รู้แม้แต่เป็นโสดาบัน ก็จะเวียนวนเป็นเทวนิยม ดีชั่ว ชั่วดี ไล่แย่งความสุข เกลียดความทุกข์ ถือว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของสุข เป็นสุขนิยม เที่ยงแท้ อยากได้สุขก็ต้องคบกับพระเจ้า ซึ่งไม่ได้ เขาไม่ได้สุขหรอก เขาก็ได้ทุกข์นั่นแหละ เพราะสุขกับทุกข์เป็นอันเดียวกัน เขาจะวนอยู่ที่สุขทุกข์เพราะเขาไม่รู้จักสุขทุกข์ด้วย มีความวิปลาสอยู่อย่างนั้น ก็เห็นความทุกข์เป็นความสุข เห็นความไม่เที่ยงว่าเป็นความจริง เห็นความไม่ใช่อัตตาว่าเป็นอัตตายังวิปลาสอยู่อย่างนั้น นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ เรื่องกามคนคู่ พ่อครูจะวินิจฉัยปัญหาอย่างไร สู่แดนธรรม… มาแวะพักฟังเรื่องง่ายๆครับ เด็กๆจะได้ฟังได้ง่ายด้วย _มีคนหนุ่มสาวของพวกเรา มีความเชื่อว่า เรื่องของกาม ศึกษาได้ด้วยการทดลองอยู่กินด้วยกันจึงจะหายสงสัยได้ จะมีวิธีอื่นที่ไม่ต้องลงทุนมากขนาดนี้ไหมครับ _สู่แดนธรรม… ผมอยากตอบครับว่า..วิชานี้ อ.แป้งก็ช่วยได้ คือ ความรู้ของอาจารย์แป้งก็มีความรู้อยู่อันหนึ่งว่า ธาตุใดเข้ากันได้ ธาตุใดเข้ากันไม่ได้ เหตุปัจจัยปรุงแต่งของชีวิตมีอะไรที่สามารถแกะรอยของชีวิตได้ ทั้งอดีตและอนาคต เพราะมันต้องปรุงแต่งด้วยธาตุปัจจัย ถ้ายังไม่หายสงสัยเรื่องนี้ ถ้าอดใจไม่ไหวจริงๆ เราอย่าไปเสี่ยงที่จะไปทดลองอยู่กินด้วยกันถ้ายังไม่รู้อนาคต ถ้ามันทนไม่ไหวจริงๆ มาปรึกษาอ.แป้ง ผมจะได้ดูว่าสองคนนี้อนาคตไปด้วยกันได้ไหม วิชาของผมไม่เอาไปทำทุจริต ที่ใครก็เคยดูถูกว่าโหราศาสตร์เป็นเรื่องหลอกลวง ผมศึกษาเรื่องนี้ด้วย ผมศึกษาเรื่องนี้ด้วยความบริสุทธิ์ ก็มันเป็นเรื่องของธาตุปรุงแต่ง เอามาคำนวณเวลาได้ ถ้าพวกคุณเข้ากันไม่ได้ก็ไม่ต้องไปเสี่ยงหรอก ถ้าเข้ากันได้ค่อยมาปรึกษาสมณะ พ่อครูว่า… อาตมามันตอบไม่ได้หรอก ในฐานะที่อาตมาเป็นสมณะแล้ว จะบอกให้เขาพรากจากกันก็ไม่ได้ ได้บอกให้เขาไปหาคู่ก็ไม่ได้ มันผิดไปหมด เพราะฉะนั้นจึงไม่ขอตอบใดๆ มันไม่ได้ มันไม่ดูดี พระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์คำว่า ไม่พยากรณ์ ไม่ตัดสิน ไม่พูด มันเป็นเรื่องของวิบาก เป็นเรื่องของสัจธรรม โทษแต่วิบาก ถ้าเราไม่ตั้งใจที่จะตัดรอบ เลิกให้ได้ ละให้ได้ อดให้ได้ ทนให้ได้ มันก็จะมีวิบากเกี่ยวพันไปอีกนานนับชาติ พวกเราก็มาปฏิบัติธรรมหลายผู้หลายคน ที่พรากคู่ได้ พรากสำเร็จด้วยดี พรากสำเร็จด้วยเคืองกันบ้าง ไม่ดูดำดูดีกันบ้าง มันก็ต่างกันไปแล้วแต่วิบากของใครวิบากของมัน แต่พอมาถึงเวลาวาระที่มีภูมิธรรมถึงขั้นว่า โดยเฉพาะ เออ..เรา..เรื่องเพศคู่นี้ เราเบื่อจริงๆแล้ว พอพรากกันได้จริงๆแล้ว คุณก็ไม่วนเวียนกลับไปอีกเลย เรียกว่าเข็ดหลาบ ไม่เอา รู้แล้ว ก็จะมีจริงตามภูมิธรรมของแต่ละคน บางคนออกมาใหม่ๆก็เข็ดหลาบ แต่อยู่ไปอยู่ไปก็เวียนวน กามขึ้นมาใหม่ ก็ไปมีอีก เป็นไปอีก แม้จะอยู่ในหมู่เรา ศึกษาดีพอสมควรแล้วก็ยังมีวนเวียนไป เป็นธรรมดา ธรรมชาติของแต่ละวิบาก แต่ละผู้ แต่ละคน แต่ละฐาน ทุกอย่างมันลงตัวทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้น ของมันตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นจึงอยู่ที่ใจของแต่ละคนเอง ตั้งใจ อดทน ต่อสู้ พยายามทำปัญญาให้แจ้งว่า พรากให้ได้ก่อน กว่าคุณจะเป็นผู้ที่ ไม่ต้องมีสิ่งนี้ สรุปง่ายๆ มันไม่ได้หรอก มันต้องมีวิบาก ก็พระพุทธเจ้าทั้งองค์ มีเมียไหม ก็ยังมีเมียอยู่จนได้ สมัยเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ อาตมาก็ต้องมีคู่มาก่อน คู่รักตั้งสามคน อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่อาตมาโชคดีที่ไม่ได้แต่งงานสักคน ก็มา ก็มาอย่างไม่ได้เกิดข้อขัดแย้ง ไม่ได้เกิดทะเลาะวิวาท มาด้วยดีกันหมดทุกคน อาตมามานี่ รู้ว่าอาตมามาทางดี และผู้ที่จะเป็นคู่ของอาตมาก็ต้องเป็นคนที่เข้าใจดีว่า อาตมาก็มาทางนี้ มาทางสูง เขาก็ไม่มีมารบกวน ไม่มีมาตอแยให้อาตมาต้องลำบากอะไรเลย รู้จักหน้าที่ว่าต้องปล่อย อาตมาจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ไม่มีแฟนอาตมาหรือคู่รักเก่าของอาตมาจะมาจุ้นจ้านวุ่นวายอะไร มาแสดงตัวอะไร สิ่งเหล่านี้เป็นผลตามวิบากกรรมบารมีตามฐานะของแต่ละคู่แต่ละคนจริง พวกนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า บารมีของผู้นั้นผู้นั้น เจริญสูงส่ง อย่างอาตมาก็มีสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องชี้บ่งว่า อาตมานี้เป็นสัตบุรุษหรือเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จริงๆ อะไรอย่างนี้ ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาจะเข้าใจได้ว่า ใช่นะ มีเหตุปัจจัยที่ยืนยันหลักฐานต่างๆนานา อวิชชาสูตร ทำไมต้องคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ แม้แต่แสดงธรรม อาตมาก็แสดงธรรมตามภูมิของอาตมา ซึ่ง ภูมิที่แสดงธรรมอย่างอาตมาหาง่ายไหม ขออภัยนะ คนที่หมั่นไส้อาตมา จะเห็นว่าอาตมาหลงตัว ถามพวกคุณอย่างจริงใจ ซื่อๆ ว่า ธรรมะที่อาตมาแสดง มันเป็นธรรมะอะไรแค่ไหนอย่างไร พวกคุณรู้ใช่ไหม ว่าเป็นธรรมะที่เป็นอริยสัจจะ เป็นโลกุตระ เป็นขั้นที่ว่า คนจะไม่ใช่จะมาสาธยายกันอย่างนี้ง่ายๆ จะรู้ ยิ่งผู้ใดที่รู้ตามที่อาตมาสาธยายแล้ว แล้วมาปฏิบัติได้มรรคได้ผลตาม ก็ยิ่งจะยืนยันยิ่งจะรู้ชัดใช่ไหม ว่า โอ้โห ผู้ที่ไม่รู้นี้เขาไม่รู้จริงๆ โทษเขาไม่ได้หรอก เขาไม่มีภูมิรู้ เขาไม่ยอมรับ ไปว่าเขาก็ไม่ได้เพราะเขามีภูมิเท่านั้น ไปลบหลู่เขาก็ไม่ได้เพราะน่าสงสารด้วยซ้ำไปว่าเขาก็ยังไม่รู้ ยังเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าเราเมตตาสงสารเราก็ช่วยเขา อย่างอาตมา พยายามข่มหรือพยายามชี้ผิด สายที่ผิด โดยเฉพาะ สายที่เรียนปริยัติอาตมาไม่ค่อยพูดเพราะเขาโลกจินตา เขาเรียนมากรู้มากอย่างไรก็สรุปสิ่งที่จะรู้ได้ยากมาก เอาพวกหลับตา พวกที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนี่แหละจะเป็นผู้ที่ง่ายกว่า เพราะฉะนั้นอาตมาจึงได้ตอแยพวกสายศรัทธาหรือสายหลับตามากกว่า ยังพอได้ อาตมาถือ มหาบัวเป็นหลัก ที่มีอะไรบกพร่อง มีอะไรที่ผิด มาชี้ เพราะทุกวันนี้ลูกศิษย์มหาบัวก็มีเยอะเป็นผู้ใฝ่ธรรมก็ต้องช่วยกันช่วยเขา ก็จะมีให้เห็นว่ามันผิดอย่างไร ให้เห็นให้เข้าใจให้รู้ ตำหนิแล้วไม่ได้ตำหนิเปล่าๆ อ้างอิงหลักฐานต่างๆ มีเหตุมีผล มีหลักฐานเอาพระไตรปิฎกมาเปิดยืนยัน เพราะฉะนั้นถ้าใครตั้งใจฟังด้วยดีจะเกิดปัญญาจริงๆ เพราะอาตมาเป็นสัตบุรุษ ตั้งแต่ปัญญาข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 2 เพราะฉะนั้นผู้ใดที่รู้ว่าผู้นี้เป็นสัตตบุรุษ เพราะฉะนั้นผู้ใดที่รู้ว่าผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ยกพระพุทธเจ้าเอาไว้ เกิดมาชาตินี้ ก็มีผู้ประกาศว่าเป็นสัตบุรุษอย่าง อาสโภ ไม่ได้เก้อเขิน พูดอย่างเป็นปกติ อาตมาก็พูดตรงๆง่ายๆ มันเป็นความจริงก็เปิดความจริงเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรน่าสะดุด ก็บอกตรงๆแต่คนฟังไม่เป็น เขาก็ไม่เชื่อ ไม่นับถือ ที่เขาฟังไม่เป็น เขาไม่เชื่อ เขาไม่นับถือ เพราะเขายังไม่มีภูมิพอที่จะฟังเป็น พอที่จะฟังรู้เรื่องได้ น่านับถือได้ ขนาดที่ถือว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธนะ นี่ไม่ได้ว่าผู้ที่เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธ แต่ชี้สัจธรรม ให้เห็นว่าท่านได้รับการยอมรับนับถือจากผู้คนมากเลยในประเทศไทยในชาวพุทธ ว่าท่านเป็นปราชญ์ทางศาสนา แต่ท่านฟังอาตมาพูดไม่รู้เรื่องก็เป็นจริงของท่าน อาจจะรู้เรื่อง แต่ไม่เชื่อไม่ยอมรับ เพราะมันไม่ตรงกับที่ท่านยึดถืออยู่ แล้วท่านก็ยึดถือว่า ที่ท่านยึดถือนั่นแหละถูก อาตมาผิด แล้วมันก็ต้องขัดแย้งเพราะอยู่คนละพวก มันไม่ลงรอย มันไม่เข้ากันได้ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรแต่มันเป็นสัจจะของมัน เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ไม่มีอคติ ไม่มีอัตตามานะมาก ฟังธรรมะด้วยดี ปัญญาข้อ 1 เกิดปัญญาข้อ 2 เกิด ถ้าได้ปัญญาข้อ 1 เกิดแล้ว จงพยายามมาฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ ตามอวิชชาสูตร จากพระไตรปิฎกเล่ม 24 ข้อ 61 “ [๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี” พ่อครูว่า…ขยายความว่า ในยุคนี้ไม่มีใครมาบอกเงื่อนต้น เพราะอวิชชาก็สังขารผิด วิญญาณ นามรูปก็ผิด ก็เพราะมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้น จะพ้นมิจฉาทิฏฐิจะต้องมาฟังสัตบุรุษ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม… สมบัติที่มีความจำเป็นสำหรับชีวิต เช่น เงิน ทอง ถ้าเป็นนักบวช ไม่มีความจำเป็นสำหรับชีวิตแล้ว ทิ้งหมดคลังได้ แต่ฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมอยู่ จะเหลือคงคลังไว้บ้าง สัก 10 – 20 ไม่เต็ม 100 เผื่อความจำเป็น คนผู้นี้มีสิทธิ์เป็นถึงอรหันต์ได้หรือไม่ครับ พ่อครูว่า…ยาก เพราะ หางช้างติดพวยกา คือยังไม่กล้าที่จะทิ้งหมด คนที่เขามาทิ้งหมด สังคมที่เขามาทิ้งหมดมีสาธารณโภคี มีแล้ว คุณมาอยู่ที่นี่สิ ถ้าคุณไม่มีสักบาทเลย อยู่ได้ เพราะฉะนั้นหางช้างคุณยังติดพวยกาอยู่ คุณจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร ไม่ได้ ยังยักไว้อยู่ ไม่ได้ เพราะมันยังมีตัวตน ผู้ไม่ยักไว้เลย คุณเชื่อมั่นไหมว่า สาธารณโภคีที่เรามีอยู่นี้ จริง พึ่งแก่เจ็บตายกันได้ ทางวัตถุวิญญาณและชีวิต เชื่อไหม เชื่อได้ ชีวิตมาอยู่ทางนี้จะเป็นจะตายไม่มีสักบาท คุณเจ็บป่วยเขาจะรักษาไหม ตายเขาจะเผาให้ไหม กินอยู่ก็มีกิน เห็นเหลือทุกวัน ไม่ได้เคยขาดแคลนเลย ถ้าหากอาตมาไม่มาชี้อวิชชา …. “เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำนี้อย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อวิชชามีข้อนี้เป็นปัจจัยจึงปรากฏ” พ่อครูว่า… ถ้าคุณมีแต่วิชาก็จะไม่รู้อวิชชา คุณต้องมีสิ่งที่เป็นการเปรียบเทียบเป็นคู่ ที่เป็น วิชชา ให้เปรียบเทียบ เหมือนนกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ คุณก็จะจมอยู่กับอวิชชาไป อย่างเช่นมหาเถรสมาคมหรือปราชญ์ของเถรสมาคม เขาจมอยู่กับอวิชชาน่าสงสาร พ่อครูว่า… เขายังจมอยู่กับอวิชชาไม่มีการเปรียบเทียบที่เป็น 2 ก็เป็นเทวนิยมอย่างนั้นเป็นแต่เพียงหนึ่งที่ยังเป็นอวิชชา “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวอวิชชาว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของอวิชชา ควรจะกล่าวว่านิวรณ์ ๕” พ่อครูว่า… อย่างมหาบัว กาม กินหมากตลอดเวลาก็ไม่รู้ตัว เสพติดตลอดเวลา ก็ไม่รู้ตัวแล้วหลอกชาวบ้านว่าตัวเองเป็นอรหันต์ บาป ทั้งนั้นแหละทางสายหลับตา ตั้งแต่อาจารย์มั่น สายนั่งหลับตาที่บอกว่าเป็นอรหันต์ ท่านมีเป็นทำเนียบเลย ตั้ง 50-60 รูป “แม้นิวรณ์ ๕ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของนิวรณ์ ๕ ควรกล่าวว่า ทุจริต ๓” พ่อครูว่า… อวิชชา ไม่รู้ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ไม่ใช่เรื่องตื้นที่อ่านเพลินๆไม่ใช่เรื่องตื้นที่อ่านเพลินๆฟังแล้วก็จบ คุณต้องมาอ่านทบทวนในตัวเอง ว่า เบื้องต้น ขั้นต้นท่านกล่าวว่า กาม นิวรณ์ 5 มีกาม เป็นข้อต้น มีปฏิฆะเป็นคู่ นัยยะปฏิฆะรู้ง่าย แต่เอากามมาขึ้นก่อนเพราะกามรู้ยาก การโกรธมันแยกง่ายกว่ากาม ปฏิฆะมันแยกรู้เป็นสองได้ง่าย แต่กามนี้เป็นหนึ่งที่แยกยากกว่า จม อยู่อย่างนั้นเหมือนนกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ผู้ที่จะรู้จัก กาม การมีดึงดูด เป็นธรรมดาธรรมชาติ กว่าคนจะรู้ถึงการดูดการดึง การเสพการติด ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกายภายนอก กว่าจะรู้ ไม่ง่าย เพราะฉะนั้นพวกที่หลับตาปฏิบัติไป ไม่รู้ความต่างของตัวเองที่ยึดติดกาม ยึดติดรูปทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น สัมผัสเสียดสีแตะต้อง อยู่ด้วยกันต้องมีสัมผัสตลอดเวลา ทาง โผฏฐัพพะ ทวารภายนอกทั้ง 5 ไม่ง่ายเลย เพราะฉะนั้น คนสายนั่งหลับตา กามคุณ 5 ไม่รู้ อาจารย์มั่นก็ดี มหาบัวก็ดี คนนั่งหลับตาก็ดี ไม่รู้หรอก แค่กินหมาก เป็นสิ่งเสพติดก็ไม่รู้แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งเสพติดอื่นๆไม่ต้องไปพูดถึงเลย เขาเสพติดได้ทุกอย่าง เพราะว่า เสพติดภายนอกทวาร 5 มันครบแล้วนี่ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กว่าจะเข้าใจเป็นใจในใจ เสพติดใจในใจ ทวาร 5 ข้างนอกที่หยาบ ไม่เรียน คุณดันพาไปโง่ซ้ำซ้อน ไปเรียนใช้ในใจมันไม่มีทางรู้หรอกว่าคุณเสพติดใจในใจ คุณก็ไปนั่งหลับตาเสพติด ให้มันใจเป็นก้อนเป็น อสัญญีสัตว์ ไปหลงอสัญญีสัตว์ ว่าเป็นนิโรธอีก ไม่ถึงอสัญญีสัตว์ เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือ ฌานที่4 หลงว่า ว่างๆ อาการไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นอุเบกขา ไม่ใช่ อทุกขมสุข หลงว่าเป็นอุเบกเขา คุณกดข่มจิตจนไม่สุขไม่ทุกข์ สะกดจิตให้จิตมันว่างๆโดยไม่รู้จักเหตุที่มันทำให้ทุกข์หรือมันเป็นสุข แล้วคุณต้องล้างกิเลสออกจนมันเป็นจิตที่สะอาด มีจิตที่ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นอุเบกขาแท้ๆเลย คุณก็ยังไม่มี ฌาน 4 ของคุณจึงเป็นอุเบกขาเก๊ อาตมาเคยบอกเป็นอุเบกขาเก มันไม่ใช่อุเบกขาจริง ฌาน 1 2 3 4 เป็นฌานเก๊ทั้งนั้น เป็นฌานเดียรถีย์ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า นั่งหลับตาจะได้ฌานเก๊ เก่งฌานเก๊ ยิ่งทำเก่งก็ยิ่งหลงไปในความโง่เง่าซับซ้อน เพราะไปหลงมัน ไปหลงฌาน นั่งหลับตามันไม่ได้เป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อย่างเปิดเผย อย่างอธิบายได้ อย่างเห็นเลยว่า คุณมี กัมมัญญา คุณมีการงานอย่างดีทำการงานอย่างบริสุทธิ์และจิตใจคุณก็ยิ่งประภัสสรยิ่งผ่องใส ทุกคนก็เห็นได้ว่าคุณยิ่งผ่องใส เบิกบาน ร่าเริง ไม่มีความเศร้าหมอง เหมือนอย่างอาตมาจะเห็นได้ว่าไม่มีการเศร้าหมอง บางทีจะเล่นเพลินจนเพลินเว่อร์ๆไปด้วยซ้ำไป สู่แดนธรรม… แล้วความเจ็บปวดมันก็เป็นตามธรรมชาติใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… นี่อาตมาก็ยังเจ็บ บนกับเอามีดมาผ่า แล้วเอาพริกป่นโรยเลยนะมันเจ็บ ไม่รู้จะเอาออกอย่างไรเลยวันนี้นวดตั้ง 2 หมอแล้ว ก็ห่างหน่อย ไม่ต้องไปกังวลมันนัก ขันธ์นี้เป็นทุกข์ พยาธิทุกข์ธรรมดาเลยหรือวิปากทุกข์ อาหารของอวิชชาคือนิวรณ์ 5 ที่เอามาอ่านเริ่มต้นนี้ จะถึงที่ว่าจะต้องฟังให้บริบูรณ์ มันยังไม่ถึงตรงนั้น ขอลัดเลยก็แล้วกัน ไปตรงที่ อยากบอกว่า “แม้ทุจริต ๓ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของทุจริต ๓ ควรกล่าวว่า การไม่สำรวมอินทรีย์ แม้การไม่สำรวมอินทรีย์เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารแห่งการไม่สำรวมอินทรีย์ ควรกล่าวว่าความไม่มีสติสัมปชัญญะ แม้ความไม่มีสติสัมปชัญญะเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีสติสัมปชัญญะ ควรกล่าวว่าการกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย แม้การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ควรกล่าวว่าความไม่มีศรัทธา แม้ความไม่มีศรัทธาเราก็กล่าวว่ามีอาหารมิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา ควรกล่าวว่า การไม่ฟังสัทธรรม แม้การไม่ฟังสัทธรรมเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหารก็อะไรเป็นอาหารของการไม่ฟังสัทธรรม ควรกล่าวว่า การไม่คบสัปบุรุษ” พ่อครูว่า…อาตมาพูดเป็นสัจธรรมความจริงอยู่ตลอดเป็นธรรมะอันดี ธรรมะอันควร แต่เขาไม่ฟัง เขาไม่คบอาตมาไม่ฟังอาตมาที่สาธยายสัจธรรมด้วย “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การไม่ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์ ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายให้บริบูรณ์ การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่สำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังทุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ ทุจริต ๓ที่บริบูรณ์ ย่อมยังนิวรณ์ ๕ ให้บริบูรณ์ นิวรณ์ ๕ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังอวิชชาให้บริบูรณ์ อวิชชานี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฯ” พ่อครูว่า… ก็เมื่อไม่คบสัตบุรุษแล้วจะได้ฟังอย่างไร ไม่ได้ฟังอย่างบริบูรณ์ เพราะคุณไม่คบสัตบุรุษ แล้วคุณดูถูกคุณไม่ยอมรับคุณไม่เชื่อ มันก็ตัดหางปล่อยวัดเลย เป็นหมาหางด้วน อย่างที่ท่านพุทธทาสเอามาอธิบายเป็นหมาหางด้วนแล้วก็ชวนกันเป็นหมาหางด้วนเต็มบ้านเต็มเมืองเลย เขาไม่ได้บริบูรณ์ด้วยการทำไว้ในใจไม่บริบูรณ์ไม่แยบคาย ทุกวันนี้พระเค้าอยู่กับวินัย 227 ไม่ได้เอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งพระวินัยไม่ใช่ศีล เห็นไหมว่าไม่มีศีลแล้ว ไปยึดเอาพระวินัยเป็นศีล ไปถามชาวบ้านสิว่าพระเขามีศีลเท่าไหร่เขาก็จะบอกว่า 227 ข้อ ซึ่งมันเป็นวินัยไม่ใช่ศีล ซึ่งจึงไม่ได้ปฏิบัติศีลให้เกิดสภาวะมนุษย์ทำไปตามลำดับ อาตมาเอาเรื่องศีลข้อที่ 1 มาอธิบายไม่กินเนื้อสัตว์ ซึ่งแม้แต่การเลี้ยงสัตว์พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้เลี้ยงสัตว์ แต่ทางพระเขาก็เลี้ยงสัตว์กันโดยเฉพาะ มหาบัวมีการเลี้ยงเสือด้วย มีฟาร์มเลี้ยงเสือโคร่ง ซึ่งเขารู้เรื่องกันที่ไหน มหาบัวนี้ทำอะไรนอกรีตนอกราวศาสนาพุทธอีกหลายอย่างไม่รู้เรื่องเลย (เขาอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ของท่านเลี้ยง) เริ่มต้นข้อ 1 มาปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิเลย อวิชชา มีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร ข้อที่ 1 ของนิวรณ์ 5 ก็คือ กาม คุณจะรู้จักกาม แล้วคุณจะออกจากกาม เรียกว่า เนกขัมมะ คุณต้องเรียนรู้ที่เวทนา ถ้าไม่เรียนรู้ที่เวทนาคุณออกจากกามไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านแยกเวทนาไว้ 108 แล้วตัว ปฏิบัติจริงๆมีอยู่ที่ มโนปวิจาร 18 โดยปริยาย 1 เวทนา๒ได้แก่ กายิกเวทนา กับเจตสิกเวทนา เวทนาคืออะไร มีในทุกคน สู่แดนธรรม… สรุปจบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อฝนเม็ดหยาบตกลงเบื้องบนภูเขาเมื่อฝนตกหนักๆ อยู่ น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม ย่อมยังซอกเขา ลำธารและห้วยให้เต็ม ซอกเขา ลำธารและห้วยที่เต็ม ย่อมยังหนองให้เต็ม หนองที่เต็มย่อมยังบึงให้เต็ม บึงที่เต็มย่อมยังแม่น้ำน้อยให้เต็ม แม่น้ำน้อยที่เต็มย่อมยังแม่น้ำใหญ่ให้เต็ม แม่น้ำใหญ่ที่เต็มย่อมยังมหาสมุทรสาครให้เต็ม มหาสมุทรสาครนั้น มีอาหารอย่างนี้ และเต็มเปี่ยมอย่างนี้ แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ … นิวรณ์ ๕ ที่บริบูรณ์ย่อมยังอวิชชาให้บริบูรณ์ อวิชชานี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าววิชชาและวิมุตติว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของวิชชาและวิมุตติ ควรกล่าวว่า โพชฌงค์ ๗ แม้โพชฌงค์ ๗ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของโพชฌงค์ ๗ ควรกล่าวว่า สติปัฏฐาน ๔ แม้สติปัฏฐาน ๔ เราก็กล่าวว่ามีอาหารมิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของสติปัฏฐาน ๔ ควรกล่าวว่า สุจริต ๓แม้สุจริต ๓ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของสุจริต ๓ ควรกล่าวว่า การสำรวมอินทรีย์ แม้การสำรวมอินทรีย์เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการสำรวมอินทรีย์ ควรกล่าวว่า สติสัมปชัญญะ แม้สติสัมปชัญญะเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของสติสัมปชัญญะ ควรกล่าวว่า การทำไว้ในใจโดยแยบคาย แม้การทำไว้ในใจโดยแยบคายเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ควรกล่าวว่าศรัทธา แม้ศรัทธาเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของศรัทธา ควรกล่าวว่า การฟังสัทธรรม แม้การฟังสัทธรรมเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการฟังสัทธรรม ควรกล่าวว่า การคบสัปบุรุษ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังศรัทธาให้บริบูรณ์ ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์ การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ วิชชาและวิมุตตินี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อฝนเม็ดหยาบตกลงเบื้องบนภูเขาเมื่อฝนตกหนักๆ อยู่ น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม ย่อมยังซอกเขา ลำธารและห้วยให้เต็ม ซอกเขา ลำธารและห้วยที่เต็มย่อมยังหนองให้เต็ม หนองที่เต็มย่อมยังบึงให้เต็ม บึงที่เต็มย่อมยังแม่น้ำน้อยให้เต็ม แม่น้ำน้อยที่เต็ม ย่อมยังแม่น้ำใหญ่ให้เต็ม แม่น้ำใหญ่ที่เต็ม ย่อมยังมหาสมุทรสาครให้เต็ม มหาสมุทรสาครนั้นมีอาหารอย่างนี้ และเต็มเปี่ยมอย่างนี้ แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลายการคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ … โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ วิชชาและวิมุตตินี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ จบสูตรที่ ๑ Category: ศาสนาBy Samanasandin1 สิงหาคม 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:ฉบับที่ ๕๓๖(๕๕๘) นสพ.ข่าวอโศก ฉบับปักษ์หลัง กรกฎาคม ๒๕๖๕NextNext post:650803 จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024