650729 สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1HuRmk9yIxTLHKF4rM_14TNOGnFFAQ6uFvxWv69-Wc84/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://terabox.com/s/1nGi-QmOzf4ddp07x0K-qyQ
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/GdZ2mCvIUyg
และ https://fb.watch/ezzS16sZhq/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ในช่วงนี้สิ่งที่เป็น Talk Of The Town ของประเทศไทยคือ เรื่องของเศรษฐี 2 คน คนหนึ่งจบ ป. 2 ของราคาแพงที่สุดที่ติดตัวคือนาฬิการาคา 2,000 บาท แต่ที่ยกให้เป็นเศรษฐีก็เพราะว่า เขาบริจาคเงินให้โรงพยาบาลรามาธิบดีถึง 900 ล้านบาท
หลังจากเปิดเผยว่า บริษัทฮาตาริประเทศไทยอิเล็กทรอนิกส์ จำกัด โดยอากงจุน บริจาคเงิน 900 ล้านให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลรามาธิบดี อากง เริ่มต้นชีวิตด้วยการขับรถแท็กซี่ ก่อนจะผันตัวเองเป็นช่างร้านทอง ต่อมาทำมอเตอร์ของเด็กเล่น อะไหล่พัดลม สะสมประสบการณ์จากความเป็นช่าง ก่อนจะตัดสินใจทำพัดลมทั้งตัวเมื่อ พ.ศ.2528 จนอายุ 52 ปีจึงได้ผลิตพัดลมยี่ห้อ Hatari ออกจำหน่าย หลังจากนั้นกิจการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ยอดขายทั้งในประเทศและส่งออก มียอดขายหลายพันล้าน ในประเทศไทยมีส่วนแบ่งตลาดพัดลมมากกว่า 80% ในวัดเราก็ใช้พัดลมยี่ห้อนี้กันทั้งนั้น เรื่องราวชายสูงอายุผู้สำเร็จในชีวิตคนนี้เป็นผู้ทำงานมุ่งมั่น เป็นคนสมถะ ประหยัด เรียบง่าย และเสมอต้นเสมอปลาย จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายแต่ของติดตัวราคาแพงที่สุดก็คือ นาฬิการาคา 2,000 บาท ไม่มีคฤหาสน์ ไม่มีเรือยอร์ชราคาแพง
เปรียบเทียบกับเศรษฐีคนในเมืองไทย เงินก็มีมากมาย แต่ดูเหมือนเขาไม่ต้องการแค่นาฬิกาไม่ถึง 2,000 บาท เขาต้องการทั้งอำนาจ ต้องการที่จะยิ่งใหญ่ แม้ตายแล้วก็ต้องการให้เป็นอมตะยาวนาน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้จักอมตะของศาสนาพุทธ ที่เขาจะเลือกเกิดก็ได้เลือกตายก็ได้ จะอยู่ต่อไปเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติต่อไปเรื่อยๆก็ได้ เอาไปเอามาเขาจะได้ตายก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาดูเหมือนว่า เขาพูดว่าเขาเป็นคนโง่ถูกหลอกได้ง่าย เงินก็เลยไม่มีเวลาบริจาค เอาไปจ่ายให้แก่การถูกหลอกแล้วหลอกอีก เดาว่าน่าจะตายได้แล้ว ก็เลยบอกว่าตายแล้วให้เก็บศพเขาเอาไว้ให้เป็นอมตะยาวนาน
เรื่องราวของเศรษฐี 2 คนในเมืองไทย มีชะตาชีวิตที่ผิดไปจากกันมาก
อีกคนหนึ่งพ่อครูบอกว่า เขาไปยุ่งกับปรมาณูโดยไม่รู้ตัว จะมีไฟประลัยกัลป์จากระเบิดปรมาณูที่จะมาล้างโลก มีคนบอกว่ายิ่งกว่าไฟบรรลัยกัลป์คือ ไฟบรรลัยวันที่เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดจากไฟราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาร้อนรนอยู่ทุกวัน เป็นไฟที่มีพิษสงร้ายยิ่งกว่าไฟปรมาณู คนไม่รู้ก็สร้างขึ้นมาใส่จิตใจตนเอง เหมือนที่พ่อครูว่า เขาเหยียบคันเร่งเผาลนจิตใจตัวเองด้วยไฟบรรลัยวัน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 27-28 ก.ค. 2565
_*นภารัตน์ อิ่มรัง* : ได้เห็นพ่อท่านในมือถือ.แค่นี้ลูกก็มีบุญแล้ว.
พ่อครูว่า…สาธุดีแล้ว
_*แก้วตะวัน พวงบุบผา* : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาศรัทธายิ่งค่ะ. หลังจากที่ลูกลาออกจากราชการก็ไปใช้ชีวิตจิตอาสา เป็นคุรุสอนนักเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศกที่นาแรงรักแรงฝัน 4 ปี (2555-2558) ต่อมาก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ก็กลับมารักษาอยู่ 2-3 ปี จนอาการดีขึ้น ตอนนี้ที่ยังเข้าวัดไม่ได้ก็เพราะต้องดูแลแม่ที่เป็นมะเร็งร่วมกับพี่น้อง ลูกตั้งใจว่าถ้าเสร็จสิ้นภารกิจนี้ก็จะรีบเข้ามาอยู่บ้านราชทันทีค่ะ
พ่อครูว่า…ก็มีเจตนามีความตั้งใจไว้ คนเราตั้งใจไปสู่จุดที่ดีขึ้นสูงขึ้นก็เป็นการดี
_*สวนบุญ โคตรบุญอารยะ* : จะเป็นไปอย่างไรก่อนตายต้องตั้งจิตให้ดี ทำดีไว้ ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ถูกต้อง เราก็จะทำอะไรได้ก่อนตาย ตายไปแล้วจะไปทำอะไรก็ไม่ได้ ต้องทำก่อนตายทั้งนั้นแหละ จะตั้งจิตและทำตามที่ตั้งจิตไว้ก็ทำไปได้เท่าไหร่เท่านั้น ก็จบลงที่ตาย ตายแล้วยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เกิดมาอีก ก็ทำต่อที่ตั้งไว้ จะเป็นเหตุปัจจัยให้เราเป็นไปได้เรื่อยๆ
สภาวะกับประสบการณ์ต่างกันอย่างไร
_*ไพศาล จำเนียรดำรงการ* : กราบนมัสการครับ ขอถามว่า ประสบการณ์กับสภาวะต่างกันไหมและต่างกันอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…ประสบการณ์คือกิริยา สภาวะคือนาม
ประสบการณ์คือ กำลังมีเหตุการณ์ กำลังเจอเหตุการณ์นั้นๆกัน อาจจะเป็นการผ่านไป ถ้าผ่านไปก็คือประสบการณ์ที่ผ่านไป เสร็จจากประสบการณ์ก็เป็นสภาวะ
สภาวะคือ ภาวะที่มันปรากฏให้เห็น สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็น ปรากฏอยู่ยังไม่ได้อธิบายคำว่าสิ่งที่ปรากฏ จึงเป็นการกระทำ เป็นอะไรต่ออะไรหรือยัง ต่างกันละเอียดขึ้นไปก็คือ ตัวหนึ่งนิ่ง ตัวหนึ่งเคลื่อนไหว สุดท้ายเป็น 2 สภาพคือ static กับ Dynamic ก็นี่แหละเป็นสภาพสูงสุดรูปนามก็จะมีตัวหนึ่งนิ่ง ตัวหนึ่งเคลื่อนไหว เอาไปใช้กับอะไรต่ออะไรได้ทั้งหมด
สรุปแล้วสภาวะอย่างไรอย่างไรก็เป็นสภาวะ static เป็นตัวนิ่ง ปรากฏการณ์ก็ต้องเคลื่อนกว่า
โสตาปันนะคือยึกยักแต่ยังอยู่ในกระแสโลกุตระ
_*สว่างแสง ขวัญดาว* : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
แม่ยังศรัทธาพ่อครูค่ะ ที่แม่ตกล่วงไปกินเนื้อสัตว์ เพราะแม่แพ้กิเลส แม่ยังศรัทธาพ่อครู แม่ยังฟังเทศน์พ่อครูอยู่เสมอ ก่อนนอนแม่ก็นำบท สัมมาทิฏฐิ๑๐ มรรคมีองค์๘ ทานที่มิจฉาทิฏฐิ๕ อนุปคัมมะ กรรม๕ วิปลาส๔ เหตุเกิดเวทนา มาสวดแทนบทสวดมนต์ก่อนนอนทุกวันค่ะ ลูกสงสารแม่อยากช่วยแม่ ลูกกราบนิมนต์พ่อครูฝากคำถึงแม่ ให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้กิเลส แล้วแต่พ่อครูจะเมตตาค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาจะฝากคำอะไรหนอให้แก่แม่คุณ ซึ่งจะเป็นคำเด็ดๆหรือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ อาตมาก็คิดไม่ออก จะฝากคำอะไร ที่จริงนั้นมันใจของคุณเองนั่นแหละ ปรารถนาดีอยากให้แม่เจริญขึ้น จากที่เคยเจริญได้แล้วตกล่วงไป ก็อยากให้เจริญขึ้นไปอีก เช่น ไม่กินเนื้อสัตว์ได้ก็ตกล่วงไปกินเนื้อสัตว์อีก ตามปรากฏการณ์ที่เอามายืนยันนี้
ถึงอย่างไรดูตามที่คุณบอกรายละเอียดมาอาตมาก็ว่าแม่คุณไม่ได้ตกต่ำอะไรมากมายหรอก มันเป็นสภาวะของความยังไม่เที่ยง ยังมีความยึกยัก ขึ้นๆ ลงๆอยู่ แต่ขึ้นๆลงๆอันนี้ แล้วจะมาบอกได้ว่า มันไม่ใช่การขึ้นๆๆลงๆๆที่ตกร่วงลงไปจนขึ้นมาไม่ได้แล้ว มันเป็นการขึ้นๆลงๆด้วยความไม่เที่ยงยังไม่แน่นอนมั่นคง เรียกโดยภาษาธรรมะว่า อวินิปาตธรรม ยังไม่ถึงขั้น นิยตะ ยังไม่ถึงขั้นเที่ยงก็ยังยึกยักอยู่ แต่มันไม่ตกต่ำเลยกระแสโลกุตรธรรมออกไป มันยังอยู่ในกระแส
มันผ่าน โสตาปันนะ ผ่านกระแสเข้ามาสู่โลกุตระแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นที่ 2 อวินิปาตธรรม ขั้นที่ 3 นิยตะ ต้องไปสู่ขั้นที่ 3 จึงจะเที่ยงแท้ อันนี้ยืนยันได้ว่า ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แต่ถ้าถึงขั้น นิยตะแล้วเที่ยง ถ้าแบ่งเป็น 4 ส่วนก็เกิน 2 ส่วนเข้าไปหาส่วนที่ 3 ก็เรียกว่า นิยตะ เที่ยงแท้แน่นอนที่จะบรรลุไปสู่ที่สูงที่สุดแต่เพียงถ่ายเดียว สัมโพธิปรายนะ เป็นที่สุดที่สูงแต่เพียงถ่ายเดียว
นี่เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าที่ในขั้นหยาบแต่ก็ละเอียดในตัวมันเองก็ลึกซึ้งไปอย่างนั้น
สรุปแล้วคุณก็อย่าไปกังวลนักพยายามช่วยแม่ไปตามลำดับ จิตใจก็อย่าไปทุกข์ร้อนเกินไป ยังไม่ถึงขั้นที่จะช่วยไม่ได้หรือตกต่ำไปเลยยังไม่ถึงอย่างนั้น
อรหันต์มีฌานมีปัญญาเป็นสามัญธรรมดา
_* สุรธัญ สุขธนเฉลิม* : ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ หรือไม่เป็น ดูกันตรงไหนหรือ ถ้าไม่อย่างนั้น ใครก็อ้างตัวเองได้ว่าเป็นพระอรหันต์ ต่อไปจะไปกอดเจ้าสาว ต่อไปจะไปนอนกับผู้หญิง ต่อไปจะไปชกต่อยกับใครก็ทำได้ เพราะว่าถือว่าเป็นพระอรหันต์แล้วใช่ไหม บทบัญญัติ รัฐธรรมนูญธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ไม่ปฏิบัติประพฤติพรหมจรรย์ไว้ตลอด ก็กลับมาเป็นพระธรรมดาได้นะ
พ่อครูว่า… คนนี้แสดงว่ามีภูมิรู้นะ
สู่แดนธรรม… เขาเข้าใจว่าพระอรหันต์ยังต้องประพฤติธรรมลดละกิเลสอยู่ แต่พ่อท่าน ขยายว่า พระอรหันต์เป็นผู้ที่มีความไม่มีกิเลสเป็นสามัญแล้ว
พ่อครูว่า… พูดถึงว่ามีศีลเป็นสามัญ มีศีลเป็นปกติ อาตมาก็ต่อให้ว่า มีฌานหรืออธิจิตเป็นปกติ เป็นสามัญด้วย และมีปัญญาเป็นปกติ เป็นสามัญอีก และมีวิมุติเป็นปกติเป็นสามัญอีก นี่แหละลักษณะอย่างนี้แหละ คือพระอรหันต์ เป็นธรรมดาหมด
ศีลก็เป็นธรรมดา สมาธิหรือฌานก็เป็นธรรมดา ปัญญาก็เป็นธรรมดา วิมุติก็เป็นธรรมดาเป็นปกติหมด เป็นธรรมดาสามัญหมด
คำว่าปกติธรรมดาสามัญคืออะไร คือมันเป็นเหมือนกับคนอื่นเขาที่เป็นกัน แต่มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่า ผู้ที่สะอาดแล้วก็เป็นปกติ คนยังไม่สะอาดเป็นปกติของผู้ไม่สะอาด
กำลังจะยกตัวอย่างคุณทักษิณ ว่า แกพูดเพื่อตัวเองของแกเป็นปกติธรรมดา พูดเพื่อตัวเองเป็นตัวเองให้แก่ตัวเองตลอดเวลา เป็นเช่นนั้น ส่วนมากหนักหนาสาหัสทั้งนั้นแต่แกไม่รู้ตัว แกก็พูดไปพริ้วไปเรื่อยๆ แต่ไม่ออกจากการเพื่อตัวเองเลย โดยแกไม่รู้ตัว โง่เหยียบคันเร่ง
คุณทักษิณนี่ เขาโง่ เหยียบเบรกด้วย แต่โง่ๆๆๆไปกับเบรค เลยกลายเป็นโง่ที่แน่นหนักเข้าไปใหญ่เลย โง่เหยียบเบรค เบรคก็ยิ่งแน่นยิ่งหนัก เข้าไปใหญ่เลย มันหนักกว่าเหยียบคันเร่ง โง่เหยียบคันเร่งบังเบานะแต่นี่ยิ่งหนักยิ่งแน่น ยิ่งแข็งตื้อ เอาคำว่าโง่เหยียบเบรคไปใช้ก็แล้วกัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
หมุนวนถอยหลังกลับเลย หรือหยุดจึ๊กแล้วถล่มทะลุไปในดินเลย อย่างนั้นเลย มันยิ่งมีผลกระทบสูงขึ้นไปอีก
สู่แดนธรรม… ถ้าดูความเป็นอรหันต์ดูตรงไหน ก็ดูความปกติธรรมดาใช่ไหม
พ่อครูว่า… ขอดูการมีเหตุปัจจัยของศีลสมาธิปัญญา ประกอบว่ายังคงที่อยู่เป็นปกติคงที่อยู่ ศีล สะอาดบริสุทธิ์ เอาศีลข้อไหนมาจับก็สะอาด สมาธิหรือฌาน ก็เป็นปกติสามัญสามัญตลอด จะได้เข้าใจว่า ฌานสมาธิคืออะไรกันแน่ และวิมุติหลุดพ้นนี่คือไม่มีแล้ว ง่ายๆก็คือไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เป็นปกติด้วย ไม่มีเป็นปกติด้วย
สรุปใหญ่ๆว่า ไม่มีคือไม่มีกิเลสสิ่งที่เหตุปัจจัยไม่ดีทั้งหลาย สิ่งที่มีคือสิ่งที่ดี อยู่ในสมมุติกับสังคมทั้งหลายแหล่ ที่พูดไปแล้วดี ต้องมีศีล สมาธิหรือฌานและปัญญา ดี ต้องดี
ดีทั้งสมมุติและดีทั้งที่เหนือกว่าสมมุติ เหนือกว่าสมมุติเรียกว่าโลกุตระ สมมุติคือโลกีย์ ธรรมดาก็ดีอยู่แล้วแต่ยังมีดีเหนือกว่านั้นต่อก็เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นจะเอาผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว เอาตรงที่ มีทั้งดีเหนือผู้อื่นอย่างสูงสุด มีศีลได้สูงสุด มีฌาน มีสมาธิที่ดี เหนือกว่าคนอื่นอยู่ และมีปัญญา
ปัญญา ตัวปัญญาเองก็เป็นความรู้ความฉลาดที่เหนือกว่า เฉโกอยู่แล้ว
เฉโก ก็คือความรู้ความฉลาด แต่เขาทิ้งมันมานานแล้วจนลืมไป แล้วเข้าใจโดยปริยายว่ามันไม่ดี ฉลาดแบบนั้น มันไม่ดี ถือว่าไม่ดีด้วย แปลในพจนานุกรมบาลีไทย เฉโก แปลว่าฉลาดแกมโกง คือฉลาดไม่ซื่อ ฉลาดไม่สุจริต ฉลาดไม่ดี เพราะฉะนั้นก็ไม่เอา ใครก็ไม่เอา
จะเรียกว่าคุณยอด เฉโกเลย ใครจะไปชอบเล่า ใครก็ไม่เอา แต่ถ้าบอกว่าฉลาดก็จะเอากันเพราะเป็นคำกลางๆเป็นภาษาไทย ถ้าบอกว่าเป็นปัญญาก็เอากันเลย บอกว่ามีปัญญายอดเยี่ยมก็จะเอากัน ไปติด อยู่ที่คำว่าปัญญาคือความฉลาดความรู้ เฉโกคือ ฉลาดในความรู้ของคนส่วนใหญ่ในโลก คนฉลาดแบบมีปัญญาเป็นคนส่วนน้อย ปัญญาเป็นโลกุตระ เฉโก เป็นโลกียะ คนโลกียะมีมากกว่าคนที่เป็นโลกุตระ
คนที่เป็นอรหันต์ก็แน่นอนต้องมีปัญญา และปัญญามีเป็นปกติ
ปัญญากับฌาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่น ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น คือใครวิมุติใกล้นิพพานเป็นที่สุด
นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ปัญญา นัตถิ อฌายโต
ยัมหิ ฌานัญจะ ปัญญา จ ส เว นิพพานสันติเก
ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน
ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน
(พตปฎ. เล่ม ๒๕ ข้อ ๓๕)
ผู้ไม่มีปัญญาไม่มีฌาน มีแต่เฉโก
ฌานมีสองแบบ ฌานแบบหนึ่งเป็น ฌาน เดียรถีย์ ฌานนอกพุทธ ซึ่งมีจำนวนมากด้วย
ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้นเป็น อจินไตย ยาก เดาเอาไม่ได้ คาดคะเนเอาไม่ได้ แม้จะเรียนบัญญัติมาอย่างสูงส่งเท่าไหร่ก็แล้วแต่ จะเกิดอาการ ฌาน ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังไม่เกิดยังไม่เป็น เข้าใจยาก เป็นอจินไตยจริงๆ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นผู้รู้ ฌานได้ ก็ต่อเมื่อ มีความรู้ความฉลาดที่เข้าข่ายปัญญาไปตามลำดับ
ผู้ที่จะมีปัญญาได้เข้าข่ายปัญญา ก็ต้องเริ่มด้วยปัญญาข้อที่ 1 ในปัญญา 8
ปัญญาสูตร ล 23 ข 92
[92] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 8 ประการ ปัจจัย 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการเป็นไฉน
1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
พุทธเจ้าปรินิพพานไปตั้ง 2,500 กว่าปีแล้ว ในยุคนี้ก็ต้องพบกับสัตบุรุษเท่านั้น
ฌานเผากิเลสได้อุเบกขา 5 ตกผลึกเป็นสมาธิ
ผู้ที่จะรู้จักฌานจะทำฌานได้
นัยยะของฌานกับสมาธิต่างกัน
ฌาน เป็นทั้งบทบาทของการประพฤติปฏิบัติในภาคมรรคและเป็นทั้งภาคผล
ฌาน เมื่อปฏิบัติเผากิเลส เผาไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ จนสลายลงไปได้ จิตสะอาดขึ้นจากกิเลส จนกระทั่งสิ้นอาสวะ
คำว่าสมาธิเป็นคำที่ใช้ทั่วไป แปลว่าจิต ตั้งมั่น ฌานยังไม่ใช่จิตที่จะมาตั้งมั่นอยู่เฉยๆ ฌานเป็นอาการเคลื่อนไหว สมาธิหรือจิตตั้งมั่นเป็นอาการตั้งอยู่เป็น Static ฌาน เป็น Dynamic เพราะฉะนั้นการได้สมาธิ สายหลับตา เดียรถีย์ ที่ไม่ใช่พุทธก็จะไปทำฌานกับสมาธิเป็นอย่างนั้นคือ ฌาน คือพยายามเพ่งให้จิตหยุดให้จิตนิ่ง ให้จิตตั้งอยู่เฉยๆ แล้วให้อยู่เฉยๆอย่างแข็งแรงมั่นคงตั้งมั่น นี่คือฌานของ เดียรถีย์ ทั่วไป
แต่ฌานพุทธไม่ใช่ ฌานพุทธยิ่งพัฒนายิ่งปฏิบัติด้วยไตรสิกขา ด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิบัติลืมตาปฏิบัติอยู่ในชีวิตสามัญ ทำอาชีพอยู่ก็ปฏิบัติ ฌาน เกิดสมาธิ ทำการงานต่างๆก็ปฏิบัติให้เกิดฌานเกิดสมาธิ พูดอยู่ก็ทำให้เกิดฌานเกิดสมาธิ คิดก็ไม่ต้องหยุดคิด แต่คิดให้เกิดฌานเกิดสมาธิ ซี่งต่างกัน
อันหนึ่งมีอย่างเดียวคือทำให้หยุดๆนิ่งๆแล้วตั้งมั่น แต่อีกอันหนึ่งทำให้กิเลสออกๆๆๆ จิตก็ยิ่ง ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธาคือจิตจะสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส
บริสุทธิ์สะอาดจากกิเลสนี่แหละคือ สะอาดจากกิเลสขั้นอาสวะด้วย สะอาดจาก
กิเลสาสวะ
จิตบริสุทธิ์จากอาสวะ ปริโยทาตา ยิ่งบริสุทธิ์ตั้งมั่นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ตั้งมั่นยิ่งขึ้นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่หยุดอีก ยิ่งคล่องแคล่วขึ้นเป็นมุทุธาตุ มุทุภูเต คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว เป็น กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา พร้อมกันเลยทั้งภายนอกภายในคล่องแคล่ว ซึ่งมันตรงกันข้ามกันกับทาง เดียรถีย์ ทางโลกียะเขาไปหมด
นอกจากจะ มุทุภูตธาตุ ทั้งแน่นก็อยู่ในนี้ ทั้งคล่องแคล่วแววไว ปราดเปรียวยิ่งขึ้นๆก็อยู่ในนี้ เป็น 2 สภาพที่เป็นสภาวะจิตทั้ง เจโตและปัญญา เจริญขึ้นไปควบแน่นอยู่ในจิตหนึ่งเดียว
เพราะฉะนั้น จิตนี้จึง กัมมัญญา มาทำงานอะไรก็คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียวเรียบร้อย ได้สมเหมาะสมควร สมดุล ดีทุกประการเพราะมีทั้งการประมาณได้เหมาะเจาะดีที่สุด ปโหติ ทำการงานก็เก่งมีสมรรถนะสูงสุดไปด้วย ทำเท่าไหร่เท่าไหร่ จิตก็ยิ่งสะอาดบริสุทธิ์เรียกว่า จิตประภัสสร คุณจะทำอะไร อย่างไรก็สะอาดยิ่งกว่าเดิมขึ้นด้วย ยิ่งใสๆๆ ประภัสสร
แต่ไม่ใช่ใสอย่างพวกธรรมกาย ก็จะไม่พูดถึงเขา คนจะแย่เต็มที่อย่างธรรมกายก็ยากแล้ว ก็จะมีคนจํานวนหนึ่งงมงายอยู่ตรงนั้นต่อไป ซึ่งก็มีแน่นอนเขาต้องมีบริวาร พระเทวทัตก็ยังต้องมีบริวาร ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก คนในโลกนี้ก็ต้องมีจำนวนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้นมันจะเป็นสภาพ 2 อยู่เสมอ มีทั้งบวกและลบ มีผิดมีถูกเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น ฌานกับสมาธิ มันเป็นสภาพที่มีนัยยะสำคัญที่ต่างกันอยู่ที่ว่า ฌานนั้นเผากิเลส เผาออกให้จิตสะอาด ตกผลึกเป็นสมาธิ
สมาหิโต คือสมาธิของพระพุทธเจ้า
จิตที่เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า ท่านจึงตั้งคำศัพท์แยกเลยว่า ไม่ใช่เจโตสมาธิ ไม่ใช่สมาธิแบบเจโตจิตทั่วไป ที่เขาเรียนกันที่มีศัพท์เรียกเฉพาะว่า เจโตสมาธิ ไม่ใช่ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นเรียกว่า สมาหิตะหรือสมาหิโต อาตมาก็ยังไม่เคยเห็นใครเอามาขยายความอย่างที่อาตมาขยายความนี้ สมาหิโต อยู่ในเจโตปริยญาณ 16
เป็นเจโตปริยญาณ คู่รองสุดท้าย 16 นั้นเป็น 8 คู่
-
สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ) เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ยังเข้าใจไม่ละเอียดพอว่า สมาหิโตหรือสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคุณจะต้องมีความชัดเจน มีหลักฐานยืนยันว่าคุณได้ปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์ กระบวนการของเจโตปริยญาณ 16 ปฏิบัติกับราคะโทสะโมหะ รู้จักกิเลสแต่ละตัวนี้ กระทำกับแต่ละตัวจน วีตะราคะ วีตโทสะ วีตะโมหะ คุณจะทำให้บรรลุทีเดียวหมดเลยไม่ได้หรอก ต้องทำไปตามลำดับ ซึ่งจะมีขั้นต่อไปคือ
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
ก็เป็น 2 สาย สายแน่นกับสายฟุ้ง วิกขิตฺตํจิตตํ คือ พวกอุทธัจจะ ฟุ้งซ่านกระจายไป
ถ้า สังขิตฺตํจิตตํ ก็เป็นก้อน แท่ง แน่นๆ นิ่งๆ เกาะตัวแน่ขึ้นมา แต่นี่เป็นสภาพของจิตที่เจริญขึ้นๆ จากขั้นต้น มาได้ระดับหนึ่ง
ระดับนี้มันก็ดีขึ้นกว่า ราคะ โทสะ โมหะ เคยมีเต็มที่ เราก็ได้แล้ว แต่มันยังไม่เก่งมันยังมีลักษณะ 2 กระจายอยู่ แน่นเกิน กระจายมากเกิน แน่นเกิน ยังไม่ลงตัวยังไม่ได้สัดส่วนที่สวยงาม ก็ทำให้ดี ทำให้เจริญกว่านั้น สังขิตฺตํจิตตํ ก็ทำให้มันดีขึ้น ให้มันคลายขึ้น วิกขิตฺตํจิตตํ รวมลงมา ที่มันไม่ดีนั้นทำให้มันดีได้ทั้ง 2 มุม ถ้าทำได้ดีก็เป็น
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) ยังทำไม่ได้ก็เป็น 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) เป็นคู่ที่ 5 คุณก็ต้องทำให้เป็น มหัคคตะให้ได้ มหะคือมาก อัคคะก็ยิ่งใหญ่ คุณทำได้ก็ไป มหัคตะ แล้วก็ทำให้มันดียิ่งขึ้นกว่านั้นอีกมากยิ่งขึ้นกว่านั้นอีก ประเสริฐเลิศเลอกว่านั้นอีกขึ้นมา ทำให้ได้ คุณทำได้ขึ้นมาอีก ก็เรียกว่า
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) เราจะรู้เองเราจะมีปฏิภาณรู้เองว่ามันดีนะแต่มันยังไม่จบ มันจะรู้ด้วยไหวพริบ ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาจะรู้จักสัจธรรมพวกนี้ ถ้ากิเลสออกได้ มันเป็นปัญญาจริงๆ มันเฉลียวฉลาดจริงๆ ที่รู้จักปรมัตถ์ รู้จักจิต เจตสิก รูปนิพพาน มันเป็นสัจธรรมที่เป็นโลกุตระแท้จริงๆเลย
เพราะฉะนั้นคุณจะต้องมาทำให้ เป็น 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) จิตที่ดีกว่านี้ไม่มีอีก จนกระทั่งคุณทำไป ตัดสินได้ ว่า ดีจริงๆ ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
กระนั้นก็ดี ท่านก็ยังให้ตรวจอีกในลักษณะ 2 คือสมาธิกับปัญญา สมาธิคือ สมาหิโต ปัญญาคือ วิมุติญาณทัสนะ
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . . 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
สมาหิโตคือ สมาธิที่เกิดจากจิตได้ปฏิบัติลดละกิเลสแบบเจโตปริยญาณ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเอาเจโตปริยญาณไปยืนยันกับพวกสายหลับตา ซึ่งเขาไม่มีเลย ไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้แยกไม่ได้วิจัยวิจารณ์อะไรพวกนี้เลย มีแต่ ดับๆๆ เพ่งๆๆ กดๆๆ หยุดๆๆเลิก หยุด ซึ่งมันง่ายๆอย่างนั้นมันตื้นๆ ซื่อๆ ระนาบเดียว
แต่นี่ของพระพุทธเจ้าสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนเยอะมากมาย คัมภีราวภาโส หรือ ปฏินิสสัคคะหรือ ปฏินิสรณะ , นิสสัคคะ ไม่มีสวรรค์ หรือนิสรณะคือ ไม่ต้องมีที่พึ่งอีกเลย แต่เขาไปแปลว่า สรณะเป็นที่พึ่ง
สรุปแล้ว ทำวิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้านี้ให้เกิดฌาน ก่อนเกิดสมาธิ สมาธิต้องเป็น สมาหิโตด้วยนะ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน..
ฌาน สมาธิ ที่ลืมตาปฏิบัติของพุทธ ต่างกับหลับตาปฏิบัติแบบเดียรถีย์
พ่อครูว่า… พระอรหันต์คือผู้ที่มีจิตสะอาด ปริสุทธา สะอาดจากกิเลสแล้วเป็นกิเลสขั้นอาสวะด้วย แล้วรู้จักความเป็นอาสวะด้วย รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอาการจิตขั้นอาสวะ คือขั้นปลายขั้นสุดท้าย ของกิเลส เรียกว่ากิเลสาสวะ เป็นขั้นปลายสุดของกิเลสดับได้หมด เอาเจโตปริยญาณ 16 เป็นเครื่องเป็นกระบวนการที่จะตรวจสอบเป็นแผนที่ อ่านตามแผนที่ขั้นตอนชัดเจนถูกตรงหมด
หมดกามาสวะเป็นขั้นต้น มีตาหูจมูกลิ้นกายเรียกว่ากามคุณ 5 สายหลับตาไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ๆไม่มีกามคุณ 5 ตัดทิ้งเลย ไปเอาแต่ข้างในภพ เป็น ภวภพ เป็นภวังค์ แล้วหลงตัวเองว่าไปดับๆๆๆ กดๆข่มๆ มันก็ไม่เกิดมาให้ พระพุทธเจ้าท่านจะยอมอนุโลมว่าจะถือว่าคุณดับอาสวะได้ก็เอา ที่จริงมันดับยังไม่เที่ยง ยังไม่เด็ดขาดหรอกเพราะคุณไม่ได้รู้จักรายละเอียดของกิเลสแต่ละตัว เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อย่างเป็นความจริง
คำว่า ความจริง อาตมาก็อธิบายไว้ ความจริงมันมีอยู่ในปัจจุบันขณะ เรียกว่า ปัจจุบันชาติ เรียกภาษาบาลีว่า ทิฏฐกาละ เวลาขณะนั้น ปัจจุบัน ทิฏฐะ
ปัจจุบันนั้น ต้องเป็นสภาพที่จะเรียกว่าความจริงได้ก็ต้องลืมตามีแสงสว่าง แสงสว่างของพระอาทิตย์ อาโลก ไม่ใช่เป็นหลับตาแล้วก็ ไป ใสๆๆๆ อย่างที่พวกธรรมกายเขาทำกันก็ไม่ต้องพูดถึงเลย มันผิดไปหมดแล้ว หลับตาเฉยๆก็ผิดแล้ว
หลับตามันก็ต้องมืด แล้วดันหลอกกันว่ามีความสว่างใสๆๆ อยู่ในการหลับตาอีก ธัมมชโยเอ๊ย มันจะวิปริตไปถึงขั้นไหน
สายหลับตามันมืด ทางสายอาจารย์มั่นยังไม่มีความวิปริตเท่าไหร่ ก็มีความมืดแน่นอนมืดเข้าไปดับให้นิ่งๆ ก็ว่าไป เป็นประเภทรูเดียว ก็ไม่ผิดหรอกจะไปรูนี้ แต่คุณหนักเข้าไปใหญ่
แต่ถ้าเป็น 2 สภาพคุณสับสนเลย คุณจะให้เป็น 1 คุณจะเอาเคลื่อนไหวเร็วแล้วก็หยุดแล้วก็ให้ไวอย่างไร มันสับสน มันแยกไม่ออก มันไปตีกิน แล้วก็ตีกินหลอกลวงกันชนิดที่ซ้ำซากด้วย
พูดถึงพวกที่หลับตาทำ ก็ยังแก้ได้ อันโน้นแก้ไม่ได้หรอกอย่างธรรมกายแก้ไม่ได้ โง่แล้วโง่เลย หลงแล้วหลงเลยไปแล้วไปเลย ยาก อาตมาไม่มีความรู้ความสามารถที่จะช่วยได้เลยสำหรับพวกธรรมกาย เพราะฉะนั้นอาตมาถึงไม่เอามาก อาตมาถึงมาทางด้านมหาบัวด้านอาจารย์มั่น ทางด้านธัมมชโยอาตมาปล่อย อาตมารู้ตัวเองว่าไม่มีสิทธิ์จะไปช่วยธรรมกายหรือช่วยธัมมชโยได้ เพราะว่าเขาแย่หนักเกินมืออาตมา เกินความสามารถจริง อาตมาจึงเน้นมาเตือนมาช่วยทางนี้ได้ ยังพอน่าจะได้กว่า ส่วนผู้ที่ได้ก็ได้ไปเรื่อยๆไม่มีปัญหาอะไร ผู้ที่ยังไม่ได้ก็ช่วยกัน
คำว่า ฌาน ถ้ายังไม่สัมมาทิฏฐิ
หลับตาไม่มีฌานของพระพุทธเจ้าเพราะไม่เกิดพลังงานไฟ ฌาน แปลว่าไฟ พลังงานไฟ มันมีแต่พลังงานเย็นนะ การหลับตา ทำให้หล่อหลอม เข้าเป็นน้ำแข็งแน่นเข้าไปจับขั้วแน่นนิ่งเลย ดับมืดให้แข็ง เย็น เป็นน้ำแข็งแห้ง Dry ice ยิ่งแข็งยิ่งแน่นเย็นไม่ไหวเลย มันไม่มีทางที่จะมาพูดกันรู้เรื่อง
เพราะฉะนั้นต้องเลิกที่จะหลับตา เลิกจริงๆเลิกได้เลย หลับตานั้นมันมีอุปการะมากอยู่ ต้องเข้าใจสัมมาทิฏฐิให้ได้
-
เป็นการพักผ่อน 2. เป็นการทบทวนธรรมะต่างๆ 3. ทำเตวิชโช 4.ไปเล่นเดรัจฉานวิชาไปทำอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อย่างนั้นพระพุทธเจ้าตีทิ้งไม่เอา