650725 แดนศิวิไลโลกุตระต้องชนะกิเลสตน รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 47
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1rgsXb2u39N9-Ca_otAI1yAKO-Pj2v3e6xiRSdS9T7-s/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://terabox.com/s/1EOf5o8cgOaFfgdMli7Gr_g
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Ok6yTdbQHXY และ
https://fb.watch/euiqO7119w/
_สู่แดนธรรม… วันนี้วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก คำถามในรายพ่อครู อาจแบ่งเป็นผู้ที่ถามเพราะจะได้ไขความที่ตนเองสงสัยใคร่รู้เพื่อจะพัฒนาตนเอง ส่วนอีกประเภทถามแบบปัญหาโลกแตก หรือถามปัญหาที่ไม่ควรถาม ถามปัญหาที่เลยปัญหาไปแล้ว
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 22-23 ก.ค. 2565
ผู้มีปัญญาจะเข้าใจทั้งโลกียะและโลกุตระ
_*พอใจ รักดี* · น้อมกราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ ลูกเพิ่งเข้ามาฟังไลฟ์สดวันแรกเจ้าค่ะ แต่ฟังทางยูทูบมาเป็นเดือนแล้วค่ะ ได้ฟังแล้วรู้ ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง เหมือนตัวเองได้ออกจากถ้ำมาเห็นโลกภายนอกเลยเจ้าค่ะ สาธุๆๆ เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ดี ออกมาจากถ้ำมืดมาเจอแสงสว่างพบว่า โลกนี้มีความสว่างสดใสอย่างนี้เชียวหรือ ผู้ที่เกิดภูมิปัญญาเข้าใจสัจจะจะเป็นเช่นนั้น การเข้าใจที่ภาษาบาลีว่า ทิฏฐิ หรือ ศรัทธา เมื่อมันเข้าใจอะไรสักอย่าง ธรรมดาโลกมันก็เข้าใจใช่ไหม อ๋อ! อย่างนี้หรือ 1 + 1 เป็น 2 หรือ 2 + 2 เป็น 4 ก็เป็นความเข้าใจเรื่องโลกโลกีย์สามัญทั่วไปซึ่งมันไม่ใช่เป็นความเข้าใจที่เป็นปัญญาที่เป็นความรู้โลกุตระ
มันจะมีปีติ ปรีดา ปราโมทย์ ว่า โอ้ อย่างนี้หรือ คนที่เกิดอาการอย่างนี้มีความลึกซึ้งทางปัญญาในตัวเอง มันไม่เสแสร้งไม่ได้แกล้งทำอะไรหรอก มันเป็นความจริงของมันเป็นอย่างนั้น พอมันเกิดตัวนี้แล้ว ก็โอ้โห! มันลึกมันมากกว่ากันใช่ไหมมันหนักแน่นกว่ากัน ปัญญาหรือความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระ มันจะต่างกัน
แม้ว่าเราได้รู้สิ่งที่เป็นโลกุตระ และ เราเกิดปัญญา เพราะฉะนั้นความเป็นปัญญาคำนี้นี่ จึงมีนัยยะสำคัญที่ลึกมาก จนอาตมาเขียนปัญญา 8 เอาไปเอามา เล่ม 1 ก็ยังไม่ออก ตอนนี้เขียนไปน่าจะได้ 4 เล่มแล้ว
เด็กๆที่มาฟัง ตั้งใจดีๆ ได้มาตกใน มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ที่เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนาพุทธ แม้เป็นศาสนาอื่นก็ตามเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นรวมเลย เหนือกว่าศาสนาอื่นๆ นี่ไม่ได้หมายความว่า เรายกตนข่มศาสนาอื่นนะ จะเป็นความจริงที่เรารู้
ผู้ที่มีโลกุตรธรรมจะรู้ความเป็นโลกียธรรมด้วย รู้มาก่อนเพราะเราเป็นมาก่อนทั้งนั้น ผ่านโลกียธรรมมาก่อนแล้วเราค่อยมามีความรู้โลกุตรธรรม มาเกิดปัญญา ค่อยๆรู้ๆๆ มีหน่วยกิตของความรู้มากขึ้น ก็เป็นรอบๆ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แล้วยังมีอรหันต์โพธิสัตว์ที่สูงขึ้นไป ระดับ 1 2 3 4 ต่อจาก อรหันต์
ถ้านับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็สี่ขั้น แต่ถ้า นับโพธิสัตว์ ก็เป็น
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียนรู้ 2 อย่างทั้งพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ที่มีความรู้ควบ 2 อย่างเลย ผู้ที่มีความรู้อย่างเดียวมุ่งแต่พระอรหันต์ก็มีเป็นพระอรหันต์อย่างเดียว ไม่เอาโพธิสัตว์ ดีไม่ดีเป็นอุจเฉททิฏฐิได้ง่าย หลับหูหลับตาเป็นเดียรถีย์ไป ซึ่งมันไม่ได้จริงแล้วมันจะหลงทิศหลงทางไปอีกนาน
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่มีความรู้สายปัญญา ซึ่งคนก็มีอยู่ 2 ตระกูลใหญ่ 2 สายใหญ่ๆ สายศรัทธากับสายปัญญา
และสายที่ไม่ค่อยเจริญง่าย โมหะ หลงไปหลงมา โมหะจริต ยิ่งเป็นนักคิดอีก เป็นวิตักจริต หนักกว่า โมหหะจริต
จะเข้าสู่แดนศิวิไลที่เป็นโลกุตระต้องชนะกิเลสตน
_*จนให้เป็น แล้วสบาย* · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ จากการที่ผมได้รู้จักอโศก และได้ติดตามฟังธรรมจากพ่อครูมาตั้งแต่ปี 2522 จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 43 มาแล้ว ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เห็นว่าพ่อสอนผิด และไม่เคยคิดเห็นต่างใดๆ เลยครับ
พ่อครูว่า…แสดงว่าคุณหนักแน่นในความเป็นปัญญา คม ชัด ง่าย เร็ว ก็อาตมายืนยัน อาตมาไม่ได้พูดผิด อาตมาพูดแต่ความจริง อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น มันผิดอย่างหนึ่งกับอีกคำคือ คำว่า “พลาด”
มันจะสับสนระหว่างพยัญชนะกับสภาวะมันก็พลาดได้เพราะสัญญาผิด แล้วมันก็สับสนไปบ้างก็พูดพยัญชนะผิด แต่สภาวะของอาตมานั้นไม่ผิดหรอก สภาวะที่มีอยู่แล้วมากพอที่จะบรรยายในยุคนี้เป็นไก่ตัวพี่ ยุคในช่วง2500 ปีนี้ อาตมาเป็นธรรมิกราชจริงๆ ที่จะมายืนยันสัจธรรม สืบทอดขยายความรู้ทางโลกุตระทางสัจธรรมพระพุทธเจ้าให้รู้ได้จริงๆเลย
สู่แดนธรรม… ปัญหาคนเมื่อกี้นี้ คนที่ไม่ศรัทธาก็จะเห็นว่าลูกศิษย์ประเภทนี้ ได้แต่อวยอาจารย์ เขาก็เลยยุให้รู้จักขัดคออาจารย์บ้าง พ่อท่านจะเห็นว่าอย่างไร
พ่อครูว่า… เขาเป็นเช่นนั้นก็เป็นเช่นนั้น มันก็ช้าของเขาเอง เราก็ทำไงได้ก็ได้แต่สงสารกัน เพราะว่า ความโง่ หรือความหลงติดยึดอัตตา มันเป็นจริงๆ จะมากน้อยก็เป็นจริงของแต่ละคน มันก็เป็นของเขาอย่างนั้น
แม้คนไหนก็แล้วแต่ ที่ มิจฉาทิฏฐิหนัก แต่ถ้าเผื่อว่า พยายามแสวงหาแล้วก็เป็นคนที่ พยายาม ติดตัวเองหนัก แต่พยายามเปิดใจรับของคนอื่นบ้าง ปรโตโฆษะ อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนก็จะเกิดโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจของตนได้ง่าย
เพราะฉะนั้นผู้ใดที่รับฟังผู้อื่นจริงๆ เปิดจิตฟังผู้อื่นจริงๆ สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีอย่าเพ่งโทษ อย่าฟังอย่างอาบน้ำกลัวเปียก ปิดประตูตัวเองใส่กลอนลงดาล เอาโซ่คล้องอีก 500 ชั้นมันจะได้อะไร ก็อยู่ในกะลาครอบเดิมๆ วงวนวงกะลาครอบ คุณจะไม่ได้ออกจากสิ่งที่คุณมีคุณเป็นเท่าที่คุณมี ใครก็แล้วแต่มันมีอวิชชา ก็ไม่ได้ออกจากอวิชชาที่เรามีฟุ้งซ่านไปมันก็รู้เท่าที่กรอบของเรารู้ คุณมีเท่าไหร่คุณก็ควักของตัวเองออกมาเท่านั้นแต่เท่านั้น ไม่ได้พบสัมมาทิฏฐิอันใหม่ คุณก็จมวนอยู่ในนั้น ฟังอย่างไรก็ตามแต่ก็ปิดตัวเองปิดประตูใส่กลอนใส่โซ่ 500 ชั้นอย่างที่ว่าจะได้อะไรขึ้นมา
ถ้าคุณแน่ใจว่าคุณยึดถืออย่างที่คุณติดยึดของคุณมันถูกมันดี มันถูกต้องสัมมาทิฏฐิที่แท้ๆ คุณก็ต้องบรรลุผลที่เป็นสัมมาผล คุณก็เอามาพูดได้ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้ามีหนึ่งเดียว ผู้บรรลุผลสูงสุดมีหนึ่งเดียวเท่านั้น มันก็จะไม่ต่างกัน ถ้ามันต่างกันก็มีใครคนหนึ่งถูก คนหนึ่งผิดใช่ไหม
อาตมาเข้าใจว่าคนที่เข้าใจได้อย่างผิดๆนั้นมีมาก อาตมาก็ไม่ได้สงสัยไม่ได้เดือดร้อนไม่ได้ดิ้นรนอะไร อาตมาก็ทำไป ด้วยสัจจะอาตมาอธิบายธรรมะมันมีความซับซ้อนหลายชั้น ที่เรียกว่าบรรยายธรรมะไม่หว่านล้อม ไม่และเล็มไม่เลียบเคียง บรรยายไปตรงๆเฉยๆไม่ปอกลอก ไม่และเล็ม ว่า เอามาก่อนหน้าแล้วค่อยสอนเอาอีกที ไม่
อาตมาตัดรอบเอาคนที่มีสัมมาทิฏฐิมาได้ ได้เองเลย ไม่ไปประเล้าประโลมให้คุณได้ คุณต้องได้ของคุณเอง ตั้งใจฟังด้วยดี ได้เอง มันง่าย มาเร็ว ได้คนที่เข้าใจง่าย มีปัญญาไว จะสอนได้ง่าย ขนาดนั้นยังได้อยู่ประมาณนี้ ยุคนี้ ยุค พ.ศ. 2500 คิดดูสิ ซึ่งมันก็เป็นไปตามสัจธรรม ยุคนี้มันต้องมีน้อย เพราะมันใกล้กลียุคแล้ว อาตมาก็เข้าใจนัยยะต่างๆไม่ได้สงสัย
เพียงแต่ว่าอาตมารับหน้าที่ที่จะมาสืบทอดให้ถึง 5000 ปี ในศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณะโคดมนี้ แล้วเราก็ประมาณว่าที่ได้มาแล้วนี้มันมีปริมาณหรือคุณภาพพอที่จะ ถ้าหากอาตมาตายแล้วไม่เกิดอีก แต่ละคนที่ได้แล้วจะนำพากันไปถึงอีก 2,500 ปี ตอนนี้ 2565 ก็ยังเหลืออีก 2,435 จะไปถึง 5000 ปี จะไปถึงไหม ก็ถ่วงน้ำหนักดู
อาตมาก็พยายามทำให้มันเผื่อพอ ให้มันเกินๆไว้ ก็เลยยังไม่อยากตาย เพราะถ้าตายไปแล้วเกิดมาอีกจะไปเสียเวลาอีกมากมายช้านานซับซ้อนอีก เพราะฉะนั้นก็เลยพยายามรักษาขันธ์ไว้ แล้วพวกคุณก็เกิดมาอยู่ตอนนี้ ก็ดี ผู้ที่มาพบแล้วก็ยังไม่อยากให้อาตมาตาย ประเดี๋ยวมันก็จะคลาดกันอีก ตายไปแล้วมีวิบากเป็นหมาไล่เนื้อ ไล่ทัน ดันไม่มาเกิดใกล้แล้วอีกห่างกันไปอีกก็ซวยใช่ไหม ตอนนี้ได้พบแล้วมันก็ดีรีบเร่งเถอะ
เพราะถ้าผู้ใดบรรลุอรหันต์แล้ว คุณจะต่อเกิดอีกกี่ชาติก็เกิดไปสิ มีหลักประกันแล้ว ไม่ทุกข์ ไม่ผิด ในรอบของตัวเอง ไม่ผิดรอบอรหันต์ รอบอนุโพธิสัตว์ก็ผิดบ้างก็ทำให้เต็ม แล้วก็ทำรอบให้เต็มไปเป็นอนิยตโพธิสัตว์ ทำรอบให้เป็นเป็นนิยตโพธิสัตว์อีก มันก็มีคุณภาพของมันอย่างนั้น
สรุปว่าเด็กๆที่ได้มาพบที่นี่แล้วเป็นวาสนาบารมีของเราจริงๆ ไม่ได้ไปเอา พูดประเล้าประโลม พูดเหลาะแหละ พูดเลี้ยงไข้ ประเหลาะคนไว้ ไม่ใช่ พูดสัจธรรมให้ฟัง 100%
คนที่ยังไม่มีวาสนาเข้ามาในนี้มีอีกกี่ล้านในโลก ที่มีพลเมือง 7,000 ล้าน เทวนิยมยังอีกดึกดำบรรพ์นานอีกไกลกว่าจะมาใกล้พุทธ เทวนิยม ยังไม่เคยได้ยินศาสนาพุทธ ยังไม่ได้ยินว่าโลกนี้มีศาสนาพุทธ มีมากกว่าครึ่งหนึ่งของ 7,000 ล้าน คนในโลกนี้ขณะนี้ 7,000 ล้าน ที่เขายังไม่เคยได้ยินว่ามีศาสนาพุทธ
พระศาสนาพุทธมันมีศาสนาเดียว ในมหาจักรวาลแต่ละยุคๆ มันมีศาสนาเดียว เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธไม่มี 2 ศาสนา ในโลกลูกหนึ่งในยุคๆหนึ่งมันมีหนึ่งเดียว แต่เทวนิยมมีร้อยเป็นพันเป็นหมื่น เป็นลัทธิเล็กลัทธิน้อยอีกเป็นหมื่นเป็นแสน แต่พุทธมีหนึ่งเดียว คือยอดปลายปิรามิด นอกนั้นลงมาจากยอดปลายก็คือพีระมิดทั้งหมดนั่นเอง ที่ถูกต้องสูงสุดมีหนึ่งเดียวที่ยอดปลายจริงๆใช่ไหม
สรุปอีก เด็กๆ รู้ตัวเองให้ดีว่า มีโชคดีวาสนาบารมีมากแล้วที่มาอยู่ในนี้ อย่างไรอย่างไรก็อดทนเอา ต่อสู้ให้ได้ มี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี สิ่งที่เป็นโลกุตรธรรมนี้ ไม่งั้นเราต้องไปวนเวียนวกเวียน เป็นทุกข์เป็นทรมานทรกรรมอยู่ในโลกที่มันปั่นหัว ยิ่งกว่าจิ้งหรีดถูกปั่นหัวอีก
สู่แดนธรรม… พ่อท่านว่า เด็กๆควรได้ประโยชน์ได้มีหลักประกัน เมื่อได้มาอยู่ที่นี่แล้ว
พอดีมีเด็กถามมาว่า
_หลวงปู่ช่วยอธิบายเกี่ยวกับแดนศิวิไลซ์ ให้เข้าใจง่ายและละเอียดกว่าครั้งที่แล้วจะได้ไหมคะ
สู่แดนธรรม… แดนศิวิไลซ์ คือแดนที่ ทุกคนอยากจะได้อยากจะปรารถนาพบความเจริญ เช่น มันมีความก้าวหน้า มันก้าวหน้าอย่างไร แล้วสิ่งที่พ่อท่านมองว่า แดนศิวิไลซ์อย่างโลกนั้นเป็นอย่างไรและเราจะก้าวหน้าอย่างไร
พ่อครูว่า… คำว่า ศิวิไลซ์ มันมาจากคำว่า civilization เป็นภาษาเทวนิยม ภาษาทั่วไป
ผู้ที่ยังอยู่ในกรอบของเทวนิยม สูงสุด เก่งที่สุด ก็ได้เป็นศาสดา องค์ใดองค์หนึ่งในศาสนาของท่าน และมีหลายองค์อย่างที่พูดไปแล้ว สูงสุดของตนของตนก็ได้เป็นศาสนาของตน เป็นศาสดาของศาสนาของตน ร้อย พัน หมื่น แสน ทั้งลัทธิเล็กๆน้อยๆ
แต่ ศิวิไลซ์ของพุทธนั้น คำว่า ศิวิไลซ์มันไม่ใช่ภาษาบาลี แต่จะเรียกความสูงสุด เอาคำว่าสูงสุดนี้มาหมายถึง ศิวิไลซ์ของเทวนิยม อยู่ในกรอบ ศิวิไลซ์ของที่จะมาเป็นพุทธคือออกนอกกรอบมาได้ นอกกรอบของชาวเทวนิยมชาวโลกียะ ออกจากโลกียะมาเป็นโลกุตระ
เพราะฉะนั้นศรีวิไลซ์เป็นอย่างไร ถ้าเราไปหมายถึงศิวิไลซ์ที่เป็นภาษาอังกฤษแปลว่าความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในกรอบของเทวนิยมเขาก็ได้สุดแค่นั้น สูงสุด วน อยู่แค่นั้น
ถ้าเอาศิวิไลภาษาอังกฤษมาเรียกโลกุตรธรรมที่เป็นโลกอีกโลกหนึ่งเป็นโลกที่ไม่วนแล้ว ออกจากความวน มาหาความเป็นอิสระจากความวนเวียนออกมาได้ ออกมาได้จริงๆ จะเอาคำว่าศิวิไลซ์มาเรียก ก็ได้ ถ้าเข้าใจความหมายไม่ไปติดในพยัญชนะศิวิไลซ์
ที่เด็กถาม คือ ติดพยัญชนะว่า ศิวิไลซ์แปลว่าความเจริญ ก็เจริญในกรอบโลกีย์ก็ได้แค่กรอบนั้น แต่ออกจากโลกีย์ เอาคำว่าศิวิไลซ์ของโลกีย์มาเรียกโลกุตระ แต่ พระพุทธเจ้าเรียกโลกุตระ ก็มาเป็น ศิวิไลซ์แบบโลกุตระไม่ใช่ศิวิไลซ์แบบโลกีย มันเป็นสอง
ศรีวิไลซ์ เราก็ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนคำว่าศิวิไลซ์ที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Civilization
สู่แดนธรรม… ผมรู้จัก ความศิวิไลซ์ของชาวญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง จะมีอยู่บ้านหนึ่งคือ ขายของแล้วคนขายของไม่ต้องอยู่ที่ร้านเลย คนจะมาซื้อก็ทอนเงินเอง
พ่อครูว่า… เป็นความรู้ทางโลกที่ดีเป็นโลกีย์ที่รับรู้ร่วมกัน
ทีนี้จะแยกโลกีย์กับโลกุตระให้ชัด
โลกีย์คือ มีความรู้และมีความเจริญของโลกสูงขึ้นที่มีได้จริงๆ แต่อยู่ในกรอบวนของโลกีย์ สวนโลกุตระนั้นออกจากกรอบนี้ เอาอะไรเป็นเครื่องตัดสินว่าออกจากกรอบนี้ เอาการเป็นโลกุตระ เอาการมีปัญญาญาณ รู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้ความเป็นกิเลสในจิตของตน
โลกียะ ไม่รู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน แยกจิตของตนเองออกเป็นสองไม่ได้ แยกจิตแยกกายไม่ออกเลย แยกรูปนาม กาย จิต ไม่ได้ แยกเทวะออกเป็นสองอย่างไม่ได้
อย่างนึงเป็นโลกุตระ อย่างนึงเป็นโลกียะ อาจจะแยกโลกีย์เป็นสองได้เหมือนกัน 2 ต่างจาก 3 และ 3 ต่างจาก 4 ต่างจาก 5 แต่ความรู้นั้นเป็นโลกีย์ ยังไม่เป็นความรู้ที่มีญาณปัญญารู้จักกิเลส อ่านอาการของกิเลสที่เป็นนามธรรมอย่างยิ่ง แล้วเป็นจอมมายาอย่างยิ่งด้วย
มันหลอกคนว่าความทุกข์เป็นความสุขเป็นต้น หลอกว่าความไม่มีตัวตนเป็นความมีตัวตนเป็นต้น หลอกความไม่เที่ยงว่าเป็นความเที่ยง หลอกว่าความไม่น่าได้น่ามีน่าเป็น เป็นความน่าได้น่ามีน่าเป็น หรือมันไม่ได้งามก็หลอกว่างาม ซึ่งความงามมันเป็นสมมุติ ไม่มีแต่ความงามทุกอย่างเสื่อม งอมไปเรื่อยๆ ดีไม่ดีโง่ไม่ได้งาม งามโง่งามหง่อม
ฝนตกกระหน่ำตอนนี้ พระพิรุณถึงวาระได้สัดส่วน เดี๋ยวนี้อุตุนิยมก็เก่งทำนายแม่นนะ เก่งทั่วโลกแล้ว
สู่แดนธรรม… ถ้า Civilization แบบโลกีย์มีความก้าวหน้าแล้วโลกุตรธรรมมี Civilization แบบไหน
พ่อครูว่า… ก็อ่านกิเลสออก ตัวนี้เป็นเครื่องตัดสินโลกุตระ ตัดสินตรงที่ว่า เราอ่าน จิต เจตสิก รูป นิพพาน
รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ เรามีปัญญามีสัมมาทิฏฐิ อ่านสิ่งที่กระทบสัมผัสอันนี้เป็นรูป จิตก็ดี แยกจิตเป็นเจตสิกย่อย ก็อ่านอันนี้ มันถูกรู้เป็นรูป นามของเราอ่านเอง แล้วอ่านของตัวเราเองเป็น สักกะ ของคนอื่นอย่าไปอ่าน ของคนอื่นเราไม่ได้สัมผัสด้วยไม่ใช่เนื้อแท้ ก็อ่านนามรูป กาย เป็นภาวะสอง
ตั้งแต่รูปภายนอกกับภายใน จนกว่าจะหลุดพ้นกิเลสภายนอกก็ไม่ได้ดับภายนอก ภายนอกเรายังอยู่แล้วก็มีภายในเข้าไปเรื่อยๆ จิต เจตสิก เป็นรูป อรูป เข้าไปเรื่อยๆ ไม่ได้หมายความว่าได้ภายนอกแล้วแบบหลับตาไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ ก็ลืมตาแต่อยู่เหนือเป็นอุตตระไม่มีกิเลสกับภายนอกแล้วเที่ยงแท้มันทำอะไรไม่ได้จะกระทบกระแทกกระเทือนอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว อเนญชาแล้ว
เพราะฉะนั้นไม่ต้องหลบหลีกภายนอก ไม่ต้องไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรม ถ้าไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมไม่มีวันจะเป็นพระอรหันต์ได้เลยพูดไปแล้วพูดซะอีก
_*โกศล สุขเล็ก* · กราบคารวะพ่อท่าน..บุคคลยุคนี้กล่าวใด้ว่ามีกิเลสหนักหนาน่าเป็นห่วงจริงๆ..
พ่อครูว่า…ถูกต้องอาตมาทำงานอยู่อย่างนี้ก็เพราะว่าเป็นห่วงเขา น่าสงสารจมอยู่อย่างนี้แหละ น่าเป็นห่วง ถ้าไม่ห่วงป่านนี้ก็ตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปแล้ว ไม่ต้องเป็นภาระต้องรักษาขันธ์ต้องประคองขันธ์ ภาราหเว ปัญจขันธา หนักหนอ ขันธ์ 5 เอ๋ย ไป แล้วก็ให้มันมีกำลังวังชาสามารถทำงานได้มีประโยชน์ ประโยชน์อย่างอื่นอาตมาไม่ทำแล้ว มีแต่ประโยชน์จะขยายธรรมะโลกุตรธรรมเท่านั้นแหละ ทุกวันนี้ที่เป็นหลัก อย่างอื่นๆก็นิดหน่อย ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งไม่เอาถ่าน แล้วไม่จำด้วยซ้ำไป วันนี้กินข้าวหรือยัง วันนี้อุจจาระหรือยัง ไม่ได้ทำเองหรอก คนอื่นทำแทนหมดเขาก็จำให้ แต่อุจจาระแต่อุจจาระเองนะ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม…เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ธรรมะที่พ่อท่านมาพูดนี้ใหม่เสมอ
พ่อครูว่า… ใหม่เสมอ ไม่มีเก่า ธรรมะพระพุทธเจ้า นำสมัยเสมอ ธรรมะอย่างเดียวกันนี้เราก็เข้าใจเพิ่มขึ้นได้ในอานิสงส์ 5 ประการของการฟังธรรม ได้ฟังมาดูเหมือนใหม่นะ แท้จริงมันก็เก่าบางทีหลายอันมันก็เก่า แต่เราเองที่ผ่านมาเรายังไม่ชัดเจน ตอนนี้ชัดเจนขึ้นก็ดูใหม่ คือมันเข้าใจยิ่งขึ้น ทิฏฐิ ก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงความเห็น ความเข้าใจก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ จิตใจก็ยิ่งผ่องใสสะอาดขึ้นเรื่อยๆ เด็กๆเรา ใส่ใจศึกษาเถอะเจริญแน่นอน
สู่แดนธรรม… ผมได้คุยกับเขา รู้สึกว่าเขาอ่านใจตัวเองเป็น
พ่อครูว่า… อ่านใจของเราเองนี่แหละสำคัญมาก อ่านอาการของใจเรา เรากำลังโกรธก็เห็นอาการโกรธจริงๆว่ามันเป็นเช่นนี้เองหนอ อาการรัก อาการเป็นกาม อ๋อ…มันเป็นอย่างนี้เองอะไรอย่างนี้
อาการติดยึด อ๋อ…มันติดยึดเป็นอย่างนี้เอง มันไม่หลุดเสียที รู้อาการเหล่านี้ ใช้ภาษาสื่อสภาวะละเอียดลออเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
องคุลีมาลวิ่งสามโยชน์คือพ้นสังโยชน์ 3
_*Phonphit Sinpalokee สมณะพ้นพิษ สิ้นป่าโลกีย์* · องคุลีมาลวิ่งไล่ตามสิ้นทางสามโยชน์คือพ้นสังโยชน์สาม
พ่อครูว่า…ท่านพ้นพิษชักจะเข้าใจแล้วว่า อ๋อ! ภาษาที่ท่องสวดกันในพาหุง 8 วิ่งไล่ตามสิ้นทางสามโยชน์ก็คือสังโยชน์ 3 นี่เอง ใช้ได้ มันหลุดพ้น เข้าข่าย เป็นโสดาบันเต็มที่เลย เด็กๆก็ฟัง สังโยชน์ 3 มีอะไรบ้าง
1 สักกายทิฏฐิ
2 วิจิกิจฉา
3 สีลัพพตปรามาส
สักกายทิฏฐิ พ้น ก็คือหลุดพ้น มีทิฏฐิหลุดพ้น เข้าใจแล้วแจ้งสว่างในความเป็น สักกายะ ก็มีคำว่า สักกะ กับ คำว่า กาย เราก็เรียนรู้เพ่งอ่านที่ตน คือ สักกะอ่านอะไร อ่านกาย
กายคือสภาวะสอง รูปนาม หรือ กายกับจิต แยกกายกับจิต คำว่า กายเป็นคำที่มีสองอยู่ในหนึ่ง หนึ่งอยู่ในสอง กาย เป็นคำที่แยกกันไม่ได้แล้ว ใครไปแยกกายเป็นหนึ่ง เท่ากับไปหลงผิดว่า เทวะ ที่จริงเทวะแปลว่า สอง
เมื่อเข้าใจ กายไม่ได้ มิจฉาทิฏฐิ เข้าใจกายว่ามันเป็น 2 ไม่ใช่เป็น 1 ถ้าไปเข้าใจว่ากายคือ 1 ก็คือเทว เทวะคือ พระเจ้าเป็นใหญ่มี 1 เท่านั้นแยกเป็น 2 ไม่ได้นะ ใครแยกเป็น 2 ก็ให้ออกไปจากศาสนาเลย นับถือพระเจ้ากันอย่างนั้น บังคับเลย เป็น 2 ก็ไล่ออกจากหมู่ไปเลย
แต่พระพุทธเจ้าไม่ ท่านอนุโลม เทวะยังไม่เป็น 1 เป็น 2 อยู่ก็ยังไม่สมบูรณ์ น่าสงสารด้วยซ้ำไปสุดท้ายเรียนรู้ให้ดีๆสูงสุดก็จะเป็นหนึ่งเหมือนกันได้
เพราะฉะนั้นในคำว่า กาย มันเยอะมากมาย อะไรก็คือกาย คือความเป็น 2 ตั้งแต่วัตถุเป็นอุตุนิยามเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เริ่มมีพลังงานกับสสารก็สองแล้ว เริ่มมีบวก มีลบ ก็สองแล้ว เริ่มแยกต่างๆนานาจากดิน จากน้ำก็สองแล้ว จากลมกับไฟก็สองแล้ว แล้วดินกับน้ำ น้ำจะไปลมกับดินก่อน เป็นต้น ก็แยกเป็นสอง ต่างกันไปแล้ว
น้ำระเหยเป็นแก๊สเป็นอากาศเป็นลมก็ต่างจากน้ำไปแล้ว ลม มีอุณหภูมิต่างกันไปอีกเป็นไฟมีอุณหภูมิต่างกันไปอีกอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น คนจะต้องศึกษาความต่างของสอง ถ้ามีแต่1 ไม่มีอะไรเปรียบเทียบให้ศึกษาอะไรต่อแล้วบอกว่าอย่าไปเปลี่ยนแปลงหนึ่ง เป็นหนึ่งไปตลอดไม่ต้องเป็น 2 คนนี้โง่ตลอดกาลนานจึงเรียกว่า โง่นิรันดร
ขออภัยต้องกล่าวว่า เทวนิยมที่ยึดถือพระเจ้าจัดเป็นหนึ่งเดียวนี้ โง่นิรันดร
7,000 ล้านเป็นเทวนิยมอยู่เกือบหมดโลก ทุกวันนี้เป็นยุคใกล้กลียุคเกือบหมดโลก ในยุคพระพุทธเจ้ายังไม่ถึง 7,000ล้าน ก็ได้มาเยอะ แต่มาถึงกึ่งพุทธกาล มันก็เข้าใกล้กลียุคไปเรื่อยๆ จึงได้น้อยมาก พลเมืองก็เพิ่ม ในยุคพระพุทธเจ้าทั้งโลกจะมี 1 พันล้านหรือยังไม่รู้ แต่ในยุคนี้มีจำนวนคน 7,000 บาทเข้าไปแล้ว
อาตมาพยายามทำงานให้คนที่สามารถมีปัญญาเองของตัวเองมารู้มาเข้าใจได้ ได้ไปๆๆ แล้วก็เกิดการเป็นหนึ่ง จนกระทั่งรวมตัวกันเป็นชาวอโศก เกิดรูปธรรม เกิดวัฒนธรรมสาธารณโภคี มันเป็นสาธารณโภคีนี่แหละ มันสุดยอดแล้วไม่มีอะไรสุดยอดเกินกว่านี้ เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา เลี้ยงดูกันดีกว่าญาติที่คลานตามกันมาเป็นญาติทางสายเลือด แต่นี่มามีธรรมะเดียวกัน แม้จะคนละต่างสายเลือดกันมาก็มาหนึ่งเดียวกันที่จิตวิญญาณหรือความรู้
ซึ่งเป็นประธานความรู้ เป็นประธานร่างกาย เป็นประธาน DNA ด้วย จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง ธาตุรู้ ธาตุปัญญา เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง
เพราะฉะนั้น เมื่อจิตวิญญาณของใครเกิดภูมิปัญญาได้ การจะเกิดภูมิปัญญาเองเป็นโลกุตระนั้นไม่ได้ ในคนในความเป็นคนเกิดไม่ได้เพราะคุณจะออกจากกรอบของโลกียะเองไม่ได้เลย จะต้องได้รับฟังจากผู้ที่มีโลกุตระมาก่อน
พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นองค์แรกที่สุด ที่รู้จักอันนี้ก่อน เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก ถ้าถามว่าองค์แรกคือใคร คือพระโสดาบัน เริ่มมีโลกุตระจิตออกมานอกกว่าชาวโลกทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น คนจะมีอยู่ในโลกปัจจุบันเท่าใดเท่าใด ผู้ที่ออกมาจากโลกุตระองค์แรกออกมาเองด้วย สั่งสมสัมภาระวิบากมา ต่อมา
พระพุทธเจ้าองค์แรกจริงๆแท้ๆไม่มีใครรู้ที่ต้น เพราะนานมาก มาแล้ว จนไม่มีใครตามไปหาที่ต้นตรงนั้นได้เลย ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปหาที่ต้น แต่เอาเนื้อของโลกุตระมาให้ได้แล้วเราก็ทำของเราให้ได้ เราจะอยู่นานได้แล้วนะก็บรรลุอรหันต์ แล้วจะอยู่นานอีกจนเป็นพระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ ไปอีก คุณก็จะอยู่อย่างนั้นถ้าคุณไม่เลิกไม่จบไม่ตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็ทำไปสิ ก็มีตัวอย่างเรียกว่าพระอวโลกิเตศวร หรือถ้าเป็นปางผู้หญิงก็เป็นเจ้าแม่กวนอิม นี่ก็ยังไม่ไปไหน คนเราก็ยังตามสมมุตินี้อยู่ ซึ่งเป็นพระเจ้าอยู่ เป็นพระเจ้าอย่างเทวนิยมอยู่ อยู่ไหน ไม่รู้อยู่ไหนแต่มี แล้วก็บอกว่ามีพุทธเกษตร ก็ไม่มีปัญหาอะไร
แล้วก็พระพุทธเจ้าจะมีคิวของแต่ละองค์ที่จะมาเกิด ก็เพียงแต่ว่าสมมุติ แดนๆหนึ่ง ที่มีผู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแต่ละองค์แต่ละบารมี ซึ่งมันไม่มีอะไร 2 สิ่งที่เท่ากันหรอก เต็มอยู่ในพุทธเกษตร ถึงคิวองค์ไหนที่จะมาเกิดก็มา ไม่สมมติพุทธเกษตร สุดท้ายจริงๆก็มี 2 นัยยะ
นัยยะหนึ่ง สูญหายเป็นดินน้ำลมไฟ อีกอย่างหนึ่งก็คืออยู่เป็นนิรันดรไปเลย ก็นิรันดร์ไปสิ คุณจะนิรันดร์ ไปตลอดกาลก็ทำไป ก็สมมุติว่ามีหรือไม่มีเท่านั้นเองสุดท้าย
เรารู้แล้วว่า ทุกอย่างสิ่งที่มี มันย่อมจะไม่มี แต่สิ่งที่ไม่มีแล้วย่อมไม่มี ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43
ผู้บรรลุเป็น อนุปคัมมะ รู้ว่าสิ่งมีสิ่งไม่มีเป็นอย่างไรแล้วไม่เข้าไปใกล้ทั้ง 2 อย่างก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จบ แต่ถ้าคุณยังมีอยู่อีก จะเกิดอีกก็เกิดสิ จะมีความไม่มีที่ได้แล้วเป็นลำดับ เป็นสิ่งยั่งยืนจบรอบเป็นศูนย์ได้สนิทแล้ว ก็เอาตรงนี้เป็นที่ตั้งต้นความจบ จบกิจ ถือว่าอรหันต์จบกิจ ตัดรอบได้ จะอยู่รอบไหนแล้วก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จบเรื่องของเราหมดเลยที่จะเป็นจิตนิยามอีกเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย แล้วก็กลับคืนมาเป็นจิตนิยามไม่ได้อีกนะ อยากเป็นอีกก็ไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีจิตอยากแล้วเป็นดินน้ำไฟลม อยากก็ไปหมุนเวียนอยู่ในดิน น้ำ ไฟ ลม มันมาเป็นพืชมันก็มีตัวตน แต่ถ้าไม่เป็นพืช เป็น อุตุนิยาม มันไม่มีตัวเองเลย มีแต่อย่างอื่นผลักดันให้มันเป็นไป ทำให้มันผสมเป็นบวกเป็นลบกันอยู่ ไม่งั้นมันก็จะกระจายตัว เสื่อมแล้วก็กระจายตัวหายไป วัตถุที่มันยังไม่ได้มีโอกาสเข้ารอบของพีชะหรือพืช มันก็สูญสลายตัวมันเองไป แล้วมีเหตุปัจจัยพลังงานอื่น ดันให้มันเป็นดิน น้ำ ลม ไฟหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ เป็นดินน้ำไฟลมอยู่นับชาติ นับชาติของลม นับชาติของไฟ นับไม่ไหว มันหมุนเวียน กว่าจะพัฒนาตัวเองเป็นพีชนิยามได้ มีตัวตนมีสภาวะอาการของธาตรู้ ยึดตัวเองแต่ไม่ทำร้ายใคร เป็นในตัวเอง ISH สามเส้า เป็นประธานและมีบวกลบ เป็นชีวะเป็นตัวตนขึ้นมา
I ก็เป็นประธานในตัวเอง
S คือ หญิง หรือลบ
H คือ ชาย หรือบวก
จับตัวกันมากเข้าก็เป็น self พอ self ของพืช มันก็ไม่ยึด ISH จะว่ามันยึดก็ยึดแต่ไม่ยึดเห็นแก่ตัว ถ้ามันไปยึด ISH ก็เป็น Selfish เห็นแก่ตัวขึ้นมาเลยเป็นปฏิปักษ์ต่อคนอื่นแล้ว
คำว่า Selfish มาจากภาษาอังกฤษ จากเซลล์ Cell มาเป็น Self แล้วก็ผนวกกับ ISH มาเป็น Selfish นี่ก็ภาษาอังกฤษเขา เขาก็บัญญัติอักษรภาษาอังกฤษขึ้นมา 26 ตัว ก็สู้ ภาษาไทยภาษาบาลีไม่ได้ ภาษาบาลีมีทั้งหมด
ภาษาบาลีมีพยัญชนะ ๓๓ ตัว เป็นพยัญชนะวรรค ๒๕
ตัว พยัญชนะเศษวรรค ๘ ตัว
รากเหง้าของภาษาบาลี
วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง
วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ
วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น
วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ตกลง สมณะพ้นพิษก็เข้าใจ สามโยชน์คือ สังโยชน์ 3 นั่นเอง
สามโยชน์ เอาเป็นระยะทางเป็นการเวลา
ส่วน สังโยชน์ 3 เอามาเป็นตัว กรรม 3 หรือตัวสภาวะของตัวเรา 3 กาละกับกรรม
อาตมาก็สรุปแล้วว่าในโลกนี้ก็มี กรรมกับ กาละ of continuum
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เขาก็รู้ Space and Time กาละคือ Time ของเขาก็เอาวัตถุทุกอย่างคือ Space แต่เขาก็ชัดเจน ไอน์สไตน์จะมีความรู้ในระดับที่รู้สภาวะสูงสุดแห่ง relation นี่แหละสุดยอด เป็นโพธิสัตว์ที่รู้ในวัตถุ จนกว่าจะเป็นโพธิสัตว์ที่มีความรู้ในบทบาทที่มากกว่าวัตถุเยอะเลย บทบาทที่บ้าบอ นามธรรมมีเยอะ เอาไปทิ้งใน 4 มหาสมุทร ทำภูเขาได้เลย ทำ มหาสมุทร 4 มหาสมุทรเป็นภูเขาได้เลย เยอะอย่างนั้น นี่ไม่ได้พูดเกินความจริงนะเพราะว่า กาละ มันนับไม่ได้ มันเกิดมาเมื่อไหร่ตายได้เพราะมันทำให้เราทุกข์ได้จริงๆค่ะ
เขาก็คำนวณไปว่าโลกมีอายุเท่าไหร่ จักรวาลน้อย จักรวาลกลาง จักรวาลใหญ่ อายุเท่าไหร่ โอ้โห! ไปหาไกล มีกาแล็กซี มีเนบิวล่า หมุนเวียนเป็นภาษาพยัญชนะของเขานั่นแหละ
เอกภพ คือ ภพที่นับไม่ได้ แต่ถ้านับรวมแล้วเป็นหนึ่ง มันเป็นมหาจักรวาลในเอกภพนั้นนับไม่ถ้วนหรอก มันแยกเป็นสอง Bigbang แล้วก็มีปฏิกิริยา ต่างคนต่างมีวัฏจักรของตนเอง เดี๋ยวมันจะละเอียดเกินไป ความละเอียดเกินไปก็คือความหยาบเกินไปนั่นแหละ
_แก้วตะวัน พวงบุบผา · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาศรัทธายิ่งค่ะ..อัตตาที่หนาหนักไม่รู้จักในจิตใจ จะล้างได้อย่างไร เพราะว่าใจนั้นไม่ยอม..
ลูกเข้าใจความรู้สึกนี้ดี เพราะตอนที่ปฏิบัติตามแนวอโศกใหม่ๆ มอบตัวเป็นศิษย์ของพ่อครู ถือศีล ๕ ละอบายมุข และกินมังสวิรัติ มีเพื่อนร่วมงานก็ว่าต่างๆ นานา ก็ทนได้ แต่พอเขาว่าพ่อครูอัตตาขึ้นทันที ไม่ยอมพร้อมตอบโต้ …พอพ่อครูมาพูดวิเคราะห์ถึงหลวงตามหาบัว ลูกศิษย์หลวงตาก็ไม่ยอม แต่ต่างกันที่เพื่อนร่วมงานที่ว่าพ่อครูเขาไม่ได้เป็นพระอาริยะ จึงว่าด้วยกิเลสและความไม่รู้ ส่วนพ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์ที่ชี้ถูกผิดด้วยความเมตตา ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจยากมากจริงๆ ค่ะ ลูกได้ประโยชน์ตรงที่ถ้าอยากบรรลุธรรมต้องล้างอัตตาให้ได้ เพราะมันทำให้เราทุกข์ได้จริงๆ ค่ะ ลูกจะเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องการล้างอัตตาต่อไปค่ะ
พ่อครูว่า…ไม่ต้องอธิบายแล้ว เพราะเข้าใจมาตามลำดับแล้ว
รัฐศาสตร์แบบพระพุทธเจ้า
_*เดชา อำพร* : (ฝาก2คำถามครับ)..
-
“นกม.บางท่าน”เคยอบรมที่”รร.ผู้นำ”ของ”ลุงจ.” และสมัยหนึ่งผู้นำอโศกเคยสนับสนุนตอนลงสมัคร”ผู้ว่ากท.”ไม่ใช่หรือ?..
พ่อครูว่า… ใช่ ตอนแรกคุณจำลองก็เชื่อ สมัครเป็นผู้ว่าได้สมัย 2 แล้ว ก็บอกว่าให้อยู่ไปทำต่อไปนี้แหละ ต่อมาไม่ครบสมัย 2 ก็ไปเล่นการเมืองระดับชาติเลย ไปตั้งพรรคการเมือง แล้วเอาโลโก้เอาชื่อพรรคพลังธรรมมาเสร็จ ตอนนั้นยังเป็นแค่กลุ่มรวมพลังเท่านั้น ตั้งชื่อพรรคมาเสร็จเลยคือพรรคพลังธรรมมีโลโก้มาให้อาตมาดูเลย แล้วอาตมาจะไปทำอะไรได้เพราะจดทะเบียนเป็นพรรคมาแล้วด้วย ก็ต้องช่วยกันไปตามตามกันไป
โดยอาตมาอยากให้ทำผู้ว่ากทมไปอีกอย่างน้อย 2-3 สมัย จะสามารถมีภูมิทำรู้จักมุมเหลี่ยมของการบริหารประเทศ ตอนนี้กฎหมายของกทม.เขานี่ เป็นกฎหมายที่ต่างหากของเขาเลย เหมือนให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ว่ากทม. ไม่ขึ้นแก่ผู้ว่าจังหวัดต่างๆ และก็ไม่ไปละเมิดผู้ว่าจังหวัดต่างๆเขาด้วย พิเศษ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันลึกซึ้งละเอียด มันก็เลยไม่ได้ คุณจำลองก็เลยได้เป็นแค่รองนายกฯไม่ได้เป็นนายกฯกับเขา ถ้าไม่อย่างนั้นจะได้เป็นนายกฯ ถ้าหากว่าเชื่ออาตมา ทำให้เต็มตอนเป็นผู้ว่าฯให้สมบูรณ์แบบ ฟังดีๆนะ ชัชชาติ
สังคมทุกวันนี้มันเป็นสังคมดรามาติค สร้างดราม่าเข้าไปมากๆแล้วก็ครอบครองได้เหมือนกับการเมืองของโลก มีแต่ดราม่ากับสะสมค่ายกล พวกประชาธิปไตยโลกๆ แม้แต่คอมมิวนิสต์ก็เหมือนกัน มีแต่ดรามาติค กับสะสมค่ายกลของตัวเอง ก็ทำ 2 อย่างนี้ไป แล้วหลง มาเน้นเรื่องเลือกตั้ง ต่างกับคอมมิวนิสต์ ที่เขาก็เลือกตั้งในพรรคของเขาเองแล้วอำนาจอยู่ในหมู่ ไม่ไปให้ประชาชนมาเลือกด้วยสำหรับคอมมิวนิสต์ หมู่เลือกประธานของในหมู่ เพราะว่าถ้าเอาประชาชนทั้งหมดมันเยอะมากเรื่อง เอาเฉพาะหมู่ มันซ้อนๆๆอยู่ไปเรื่อย ซึ่งเป็นรัฐศาสตร์ หรือการเมืองการบริหารมนุษยชาติก็เป็นอย่างนี้ อาตมาก็ผ่านสิ่งเหล่านี้มา ชาตินี้ไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์ที่เขาสอนกันในมหาวิทยาลัย แต่อาตมารู้รัฐศาสตร์แบบพระพุทธเจ้ามา
-
ใครมองว่า”นกม.ที่ชื่อร.”พูดผิด.. น่าจะต้องตรวจสอบข้อมูลใหม่หรือไม่?..
ข้อเสนอแนะ..
-
สิ่งที่ขาดตกบกพร่องไปอีก1อย่างคือ”นักอวย”ครับ.. ซึ่งคนอโศกควรต้องแก้ไข
พ่อครูว่า… เขาว่าชาวอโศกคือนักป้อยอ คือพวกคุณยกอาตมาอย่างยิ่งตลอดเวลา คุณแกล้งป้อยออาตมาหรือเปล่า อันนี้คือสัจจะ ถ้าคุณแกล้งก็เป็นนักอวยโดยมีตัวตน แต่ถ้าคุณไม่ได้แกล้ง คุณเห็นจริงเป็นจริงมันก็เป็นสัจธรรมจริง มี 2 อย่างว่าเป็นสัจธรรมจริงหรือมานั่งเล่นท่า เข้าใจให้ดีๆคุณเดชา มองอโศกที่คุณเข้าใจคุณควรมองให้ชัดเจนให้ดีๆ
-
อโศกต้องกล้า(มีอาสโภ)พอที่จะวิพากษ์วิจารณ์.. เช่น