650321 ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 32
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1Y7CuAYQRwC_1IfT-RQVGwzouV_70clYbOlJmVckupfc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1wFjnbfrmDspkr_PO2jKnd53xIu1kIPh5/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/uJrGBFR3_Vc
และ https://fb.watch/bUbSIki_BT/
_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก มีคนถามว่า สัตบุรุษ หมายความว่าอย่างไร คำว่า สัตว์ คือความข้องเกี่ยวอยู่ แต่สัตบุรุษ คือผู้มีความเป็น 0 แล้วแต่ไม่ยอมสูญ ยังจะมีความข้องเกี่ยวเป็น 1 เหมือนตะขอเบ็ดไว้ ส่วนท่านจะอนุโลมเป็น 2 3 กับใครก็อยู่ที่ท่าน
พ่อครูว่า…วันนี้ตะลุ่มตุ้มม้ง เด็กๆปิดเทอม ไม่มีเด็กเลยมีแต่ผู้ใหญ่ เด็กๆเขาคงจะไม่ ขวนขวายมาดู แม้ว่ากลับบ้านแล้วก็ไม่ขวนขวายมาดูเท่าไหร่หรอก ก็พูดกับผู้ใหญ่ก็แล้วกัน
อาตมาวันนี้เตรียมเรื่องที่จะมาพูด คือ เรื่อง
เข็มทิศโลกุตระชี้ทางรอดเพื่อมนุษยชาติ ของพระโพธิสัตว์
ครบ ๒ ปีที่ราชธานีอโศกปิดชุมชน Lock down ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๓ (๒๐๒๐) หลังจากการระบาดเชื้อโควิด-๑๙ เริ่มระบาดเข้าเมืองไทย จนถึงปัจจุบัน
ไม่คิดว่าชีวิตของพวกเราชาวบ้านราชจะปิดชุมชนห่างสังคมได้นานขนาดนี้ มีคำถาม มีปัญหาให้พวกเราช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ไขมากมาย ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนรูทีนชีวิต แต่พวกเราก็ผ่านมาได้ ด้วย ความรัก ความเคารพอย่างแรงกล้า ความศรัทธาอย่างแรงกล้าในคำสอนของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่ได้ชี้ทางรอดเพื่อมวลมนุษยชาติมาโดยตลอด จนมาถึงวันนี้คำสอนของพ่อครูก็ชี้ทางออกให้มนุษยชาติเสมอ อยู่ที่ท่านจะเชื่อหรือศรัทธา กล้าที่จะปรับและเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและมวลมนุษยชาติหรือไม่
…ลองมาทบทวนคำสอนของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ในรอบ ๒ ปีที่ผ่านมากันอีกครั้งค่ะ…
๒๐ มีนาคม ๒๕๖๓
พ่อครูประกาศ ปิดชุมชน Lock down หยุดกิจกรรมที่สัมพันธ์นอกชุมชน
เมืองไทยเมืองแห่งสาราณียธรรม
พ่อครูว่า…ปี อายุอาตมา 67 ปี ได้มีการฉลองกันที่บ้านราชฯ ตอนนั้นรกเลอะ มีพื้นที่ไม่กี่ไร่ ชิดน้ำมูล มีผู้มาบุกเบิกเรียกว่าพวก 7 ดาว สร้างโรงเรือนอยู่มารวมกันฉลอง ฝนตกเละ มันเท ที่มันไม่เรียบราบ ใครไม่ลื่นไม่มี ทุกคนมาต้องลื่นเลอะเทอะ สนุกจริงๆโดยไม่คาดฝัน มันเปื้อนก็เปื้อน ขี้โคลนก็แฉะเดินไปเดินมาก็ลื่น
จากนั้นก็ขึ้นมาจากฝั่งมูลมาหน่อย ประมาณ 700 เมตร แล้วเรามาบุกเบิกสร้างที่ทางซึ่งถมดินไปเยอะมาก ร้อยล้านนั้นถึงแน่ ขุดไปขุดมาค่าแรงค่าดินด้วย จนอยู่ได้ ทำพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ มีสวนหลายสวนมากเลย ยังไม่ถึง 30 ปี 20 กว่าปี
พ่อครูยกหัวกะหล่ำปลีใหญ่ให้ดู นี่คือผลผลิตที่บ้านราช
ตอนนี้สุขภาพร่างกายอาตมามันเมื่อย มันตรงกันข้ามกับตอนไปชุมนุมประท้วง เมื่อยก็ไม่เมื่อย เหนื่อยก็ไม่เหนื่อย เราไล่ไปเรื่อยๆเราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย เดี๋ยวนี้ให้ไปคงไม่ได้แล้ว แต่ถ้ามีเรื่องมันไม่แน่นะ มันอาจจะมี coefficient กระตุ้น (ญาติโยมว่าเดี๋ยวอุ๊งอิ๊งมา)
พูดถึงอุ๊งอิ๊งแล้วก็ขอวิจัยวิจารณ์ร่วมเล็กน้อย … อาตมาเห็นแล้วก็จะบอกว่าสงสารก็สงสาร จะบอกว่าสมเพชก็สมเพช สมเพชนี่เขาคงหมดมือแล้วทักษิณ หมดตัวเล่น นี่คงเป็นเบี้ยตัวสุดท้ายที่เขาจะเล่น รุ่นลูกรุ่นหลานคงไม่ทัน คงมีตัวอุ๊งอิ๊ง เป็นตัวสุดท้าย
อาตมาดูโดยองค์รวมตั้งแต่ชีวิตของเขาก็รู้ก็เห็นกันอยู่ในสังคม เพราะว่าเขาเป็นลูกคนดัง ลูกสาวคนสุดท้องคนดัง ตั้งแต่เขาไปกับพ่อ แสดงออก สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลมาเรื่อยๆ เท่าที่อาตมามีปฏิภาณ ทักษิณหมดตัวเล่นจริงๆ แล้วก็ยังมุ่งมั่น ที่จะเข็นอุ๊งอิ๊งนี่ขึ้นมา เห็นว่าเมืองไทยนี้ เป็นหมูในอวยของเขา เขาจะทำอย่างไรก็ได้ เขาจะบันดลบันดาลอย่างไรก็ได้ อาตมาก็ว่ามันก็จะจริงอย่างที่เขารู้สึกหรือ มันจะจริงอย่างที่เขาเชื่อถือเชื่อมั่นในตัวเขา
เมืองไทยนี่แสนดี นักโทษถูกตัดสินจำคุก แสดงตัวก็ปล่อยให้แสดงตัววิจัยวิจารณ์บ้านเมืองก็ปล่อยให้วิจัยวิจารณ์ไปอย่างอิสระเสรีภาพ ใจดีมากๆเมืองไทย ถ้าเป็นคิมจองอึนเขาส่งคนไปตามเก็บแล้ว ป่านนี้ไม่เหลือแล้ว
แต่นี่คนไทยไม่ใช่คนโหด แสดงถึงน้ำใจคนไทยที่เมตตาเกื้อกูลไม่อาฆาตมาดร้ายใคร ถือว่าเป็นกรรมวิบากของแต่ละคน ใครทำกรรมใดกรรมนั้นเป็นของตน ชั่วหรือดีก็ตาม เป็นของของตน ทำแล้วก็สั่งสมอกุศล กุศล เป็นของตน เชื่อกรรมเชื่อวิบาก ซึ่งเป็นเรื่องจริง กรรมเป็นอันทำ ทำแล้วไม่รับก็ไม่ได้ จะต้องเป็นของของตน ออกฤทธิ์ออกเดช กัมมโยนิ พาคนเป็นไป กรรมเป็นพระเจ้า God
ปัญญา 8 อาตมาเขียน เสร็จเล่ม 1 แล้วกำลังเขียนเล่ม 2 อยู่
เมืองไทยมีตัวอย่างที่ชัดเจนทั้งตัวอย่างผู้เจริญและทั้งผู้เสื่อม หรือทั้งคนดีและคนชั่ว เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมีในประเทศไทย ตัวอย่างที่ดี ดีจนกระทั่งเป็นถึงโลกุตรบุคคล เป็นคนระดับโลกโลกุตระ ซึ่งพิเศษกว่าโลกสามัญโลกียชน Mundane ส่วนโลกุตระคือ Supramundane เป็นโลกที่เหนือกว่าโลกียสามัญเขาทั้งหลายในโลก มีโลกุตระ มีมนุษยชาติที่เป็นโลกุตระกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง สมัยพระพุทธเจ้าก็อยู่ในอินเดียเนปาล สมัยนี้ก็เลื่อนมาอยู่ที่ประเทศไทย พุทธศาสนาอยู่ในหลายประเทศ แต่ประเทศที่เป็นโลกุตระนั้นคือไทย
ที่พูดไม่ได้โมเม แต่มีปรากฏการณ์จริง ของความเป็นมนุษย์ที่มีพฤติกรรม ของความเป็นโลกุตระ เช่น มีลักษณะสาราณียธรรม 6 มี สาธารณโภคี
พุทธพจน์ 7 มี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
สาราณียะ มีความระลึกถึงกัน ระลึกถึงกันด้วยใจปรารถนาดี ไม่ได้มีความปรารถนาร้ายต่อกัน ระลึกถึงอย่างมีความรัก ปิยกรณะ, ระลึกถึง อย่างมีความเคารพ คุรุกรณะ, ระลึกถึง อย่างที่มีการช่วยเหลือกัน สังคหะ ไม่มีเชื้อธุลีแล้วการวิวาท อวิวาทะ.. ไม่มี จะไปทำให้เกิดความแตกแยกไม่มี มีแต่ความแตกต่าง แตกต่างนั้นพูดวิเคราะห์วิจัยเก่งแต่ไม่ปรารถนาจะทำความแตกแยก พร้อมเพรียงกันเท่าที่จะทำได้เสมอสมานกันด้วยศีล ศีล 5 เสมอศีล 5 ศีล 8 เสมอศีล 8 ศีลปาติโมกข์เสมอศีลปาติโมกข์ รวมแล้วมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันเอกีภาวะ เป็นลักษณะ 7 เป็นเรื่อง สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก
เป็นยุคที่ใกล้กลียุค แต่ก็ยังมีคนมีคุณสมบัติพิเศษโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ ปฏิบัติได้ ประพฤติได้เป็นชุมชนหมู่ มีวัฒนธรรม มีรูปแบบยืนยันได้
ถ้าเขารู้จะยกย่องเชิดชู รางวัลมีเท่าไรจะเอามาให้เยอะแยะ แต่เขาไม่รู้ว่าประเสริฐอย่างไร ซึ่งเราก็เห็นใจเขา เข้าใจเขาอยู่ เพราะเราเข้าใจเราจึงไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจหรือเสียใจไม่ได้รู้สึกว่าต่ำต้อยต่ำเตี้ยอะไร เราก็เป็นสุขสบายของเราไปตามประสาของเราๆ
กล้วยหอมมีกิน กะหล่ำปลีมีกิน แตงโมมีกิน มะเขือเทศมีกิน ทั้งนั้นแหละบนโต๊ะของเรา มีแตพืชธัญญาหาร มันแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ของพวกเราเอง ผลิตด้วยน้ำมือน้ำใจอุตสาหะวิริยะของเราแท้ๆ แล้วเราก็รู้มั่นใจว่า นี่แหละเป็นหนึ่งในโลก ผลิตให้มากๆๆ ให้คนทั้งโลกแจกจ่ายไปให้ทั่ว ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ก็ไปได้ เลี้ยงชีวิตได้จริงๆเพราะเป็นอาหารของคน
พวกเราอย่าได้แต่ชื่นชมอย่างเดียวให้ขยันหมั่นเพียรด้วย ชีวิตคนแต่ละคนนั้น มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นของของตน เพราะฉะนั้น ตราบที่คุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะเป็นสำเภาทองให้แก่คุณได้อาศัยไปตลอดจนกว่าจะแยกธาตุตายปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลม ซึ่งอธิบายไปหมดแล้ว ไม่มารวมติดกันอีกแล้ว แค่พีชก็ไม่เหลือ จิตยิ่งมีความเป็นสัตว์ยิ่งไม่เหลือ
นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทำได้จริงๆเป็นสุดยอดแห่งวิทยาศาสตร์ความจริงทางจิตวิญญาณ
คนทั่วโลกทางวิทยาศาสตร์ก็ตามยังไม่ถึงง่ายๆ ก็ค่อยๆเป็นไป เพราะว่าพิสูจน์ความจริงไป อย่างอาตมาพาทำได้อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ มานำพาทำในยุคนี้ คนมาทำได้จนเกิดเป็นวัฒนธรรม ตามคำสอนพระพุทธเจ้า เช่น มีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นสิ่งที่สุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะยิ่งกว่านี้อีกแล้ว
มีผู้ได้รวบรวมที่เกิดเหตุการณ์ Covid ขึ้นมา
๒๐ มีนาคม ๒๕๖๓
พ่อครูประกาศ ปิดชุมชน Lock down หยุดกิจกรรมที่สัมพันธ์นอกชุมชน
๑๘ เมษายน ๒๕๖๓
ประเทศไทยต้องหันมาส่งเสริมกสิกรรมให้ยิ่งใหญ่ ข้าวต้องราคาถูก อาหารราคาแพงไม่ได้ คนตายก็คือคนจน
ต้องมีปัญญารู้ว่า เราจะไปรวยทำไม มันเป็นเศษกระดาษ
เรารวยผลผลิตทางพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้อุดมสมบูรณ์
“แบบคนจน” เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เรารู้ว่า เราจนธนบัตร แต่เรารวยปัจจัย ๔ สิ่งที่สำคัญของชีวิตเรารวย เพราะฉะนั้นจึงมีสัมมาอาชีพ มีอาชีพที่บริสุทธิ์
พ่อครูว่า…ในยุคนี้คนที่จะมาย้ำเรื่องคนจน คืออาตมากับ ในหลวงรัชกาลที่ 9 คนที่มาเป็นคนจนได้แล้วเคยแพ้ได้ยังไม่ง่าย อาตมาพาทำหรือยังไม่ง่าย แต่ง่ายหรือยากมันต้องทำไม่มีทางเลือกมากกว่านี้ คนจนนี่เป็นคำสิริมหามายา เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่คนรวยธนบัตร รวยเพชรนินจินดา รวยทองคำ รวยน้ำมัน ไม่ใช่ แต่ว่ารวยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่เป็นอาหาร ซึ่งทุกคนก็ต้องกิน ธนบัตรกินไม่ได้ ทองคำกินไม่ได้ เพชรนิลจินดากินไม่ได้ ถ้าขืนกินแล้วตายโหงเลย
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓
หลังจากโควิดผ่านไป น้ำมัน เตรียมตัว มันจะจบ และอีกอันหนึ่ง ที่เขาจะรู้สึกมากคือ ธนบัตร แบงก์โน้ต ตั๋วแลกเงิน ใบแทนค่าต่างๆจะค่าตก
ผู้มีปัญญา มุ่งเข้าไปหาสาระเลยว่า ข้าว พืชผัก ผลไม้ต่างหากของแท้ ธนบัตร กินไม่ได้หรอก ทำให้ชีวิตรอด..ไม่ได้หรอก
พ่อครูว่า… และอีกอันที่เขาจะรู้สึกมากเลยคือ ธนบัตร Bank note ตั๋วแลกเงินนี่ ค่ามันจะตก คนที่มีปัญญาแล้วจะรู้จักว่า ธนบัตรเงินทองข้าวของ แม้แต่เพชรนิลจินดาทองคำ มันจะมีประโยชน์คุณค่าเท่าพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้ คนจะค่อยๆฉลาดรู้ความจริง ว่าที่ไปบ้าหอบฟางไม่ใช่หมาหอบแดด มันไม่ใช่ มันไม่ได้พาชีวิตรอดจริงๆหรอก มันบ้าหอบฟาง แล้วไม่ใช่วัวควายกินฟาง ฟางก็กินไม่ได้
๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓ COVID 19
โควิดเป็นอันหนึ่งในสังคมโลก มาเป็นเครื่องทดสอบ มาออกข้อสอบ ให้มนุษย์ทำข้อสอบ
ปรากฏว่า มนุษย์ชาติไหนเจริญ ชาตินั้นถูกเล่นงานน้อย ตายจากโควิดน้อย ก็เป็นคำตอบได้ว่า สหรัฐอเมริกาไม่ได้เจริญกว่าไทยเลย เพราะติดโรคมากกว่า ตายก็มากกว่า ไทยติดน้อย ตายน้อย
๑๑ กันยายน ๒๕๖๓
อาหารเป็นหนึ่งในโลก เราจะเป็นผู้ที่มีคุณค่าประโยชน์ต่อโลก เพราะเราสร้างอาหารดี มีคุณภาพ ไม่มีพิษ ไม่มีภัย จะเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่มนุษยชาติในโลก
๕ มกราคม ๒๕๖๔
ประกาศราชธานีอโศก ปิดชุมชน มาตรการป้องกันขั้นสูงสุด (เริ่มมีข่าวการระบาดอีกระลอกเชื้อเดลต้าร้ายแรงขึ้น ติดไวขึ้น)
๒๙ เมษายน ๒๕๖๔ มีสติ อย่าประมาท การ์ดอย่าตก
๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๔
กสิกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อาหารเป็นหนึ่งในโลก ยิ่งใหญ่กว่าเพชรนิลจินดา ยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจ
๒๒ กันยายน ๒๕๖๔
คนสร้างอาวุธฆ่ากัน โง่ที่สุด คนสร้างอาหาร ฉลาดที่สุดในโลก
โลกเขาจะเป็นอย่างไร หากมีวิกฤตยิ่งกว่า covid จะเป็นอย่างไร เห็นทางรอดของมนุษยชาติไหม
๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ งานมหาปวารณา
โศลกธรรมชาวอโศก ปี ๒๕๖๔ คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานต์สร้างอาวุธ
๑ มกราคม ๒๕๖๕ ส.ค.ส. ๒๕๖๕ คนฉลาดสร้างอาหาร
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
เราจนที่สุด ในสิ่งที่คนทั้งโลก เขาหลงใหล
เรารวยที่สุด ในสิ่งที่เป็นพืชพันธุ์ ธัญญาหาร
๑๖ มีนาคม ๒๕๖๕
พึ่งตนเองให้รอด อย่าลืม..ว่าเรามีจุดเด่น
พืชพันธุ์ธัญญาหารของเราเหนือชั้นกว่าน้ำมัน คนกินน้ำมันไม่ได้หรอก..ตาย
๑๖ มีนาคม ๒๕๖๕
พวกเราชาวอโศก บ้านราชฯก็ดี ให้พัฒนาไฟแดด โซล่าเซลล์ พัฒนาให้ดีจริงๆ เอาใจใส่ เพราะมันจะไปอีกยาวนาน
พลังงานจากคุณพ่อพระอาทิตย์นี้ ให้แก่เราอย่างบริสุทธ์ใจ ได้ฟรี ไม่มีใครบังอาจจะมากั้นได้ เพราะตั้งใจ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม… คนยุคใหม่ ถ้าถามว่าคนที่จะสอนให้เป็นอรหันต์กับคนที่สอนคนไปรวย เขาจะฟังใคร คิดว่าเขาคงไม่ฟังคนที่จะให้ไปเป็นอรหันต์ หากว่าคนจะสอนคอร์สออนไลน์สอนให้รวยคนจะแห่กันไปฟัง ส่วนพ่อท่านนั้นไม่รอไม่หวังแต่เราทำ
พ่อครูว่า… อาตมาจะเอา ที่เขียนอยู่ในปัญญา 8 ข้อ
ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก
_(170) “ศาสนาพุทธ”ไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก
“พญานาค”นี้คือ ลัทธิ“หลับตา”หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นของศาสนาเดียรถีย์เขา เขาก็“หลับตา”ปฏิบัติของเขาไปยืนยันความเป็นเดียรถีย์ของเขา ก็เป็นธรรมดาสามัญของเขาที่เดียรถีย์“มี”อยู่ประจำโลก
“พุทธที่เป็นโลกุตระ”ต่างหากที่“ไม่มีอยู่ประจำโลก”
ศาสนาพุทธจึง“มี”ขึ้นในโลกเป็นคราวๆ แล้วก็จะ “ไม่มีศาสนาพุทธ”ไปช่วงหนึ่งเรียกว่า“พุทธันดร(ช่วงที่โลกไม่มีศาสนาพุทธในกาลช่วงนั้น)” แล้วจึงจะ“มี”พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา“สถาปนา”ศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่อีก” เรียกว่า “ภัทรกัปป์(คือในช่วงที่มีศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาประกาศศาสนาต่อกันหลายพระองค์ บางภัทรกัปป์ก็มีมากเกิน 5 พระองค์เป็น 10 เป็น 100 กัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาน้อยที่สุด เช่น ใน“ภัทรกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม”นี้แล ก็มีเพียง 5 พระองค์ จากนี้ก็เป็นกลียุค เป็นยุคโหดเหี้ยมเลวร้าย ฆ่ากันตายมากมาย ทั้งเลือดร้อน เลือดเย็น มนุษย์ในโลกก็เหลือน้อยลงๆ ก็จำต้องหยุดพักยกการฆ่ากัน)” สิ้น“ภัทรกัปป์”ก็เป็น“พุทธันดร”คือช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ จะเว้นระยะเวลาโลกว่างจากศาสนาพุทธไปช่วงหนึ่ง จะสั้นจะยาว ก็ตามแต่“กาละ-เทศะ-ฐานะ”ที่จะมีเหตุมีปัจจัยเป็นสัดส่วนปรุงแต่งกันให้ “เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป” ได้นั้นๆเท่าที่มันจะมีจะเป็น กำหนดตายตัวไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย
“การหลับตาปฏิบัติ”นั้นมัน“มี”อยู่ประจำโลก มันเป็น “หลักปฏิบัติของเดียรถีย์”แท้ ไม่มีขาดหายไปหมดจากโลกหรอก การ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“โลกียธรรม” เป็นของ“เทฺวนิยม”
เขาก็“มี”ของเขาไป มันก็เป็นปกติธรรมดาของโลกียะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย“ความมี”กับ“ความไม่มี”นี้แหละในโลกที่ใช้“สื่อ”แสดงต่อกันให้รู้ ไม่มีอื่นหรอก สรุปแล้วมี 2 ขั้ว “ความมี-ความไม่มี”จึงเป็น“เทฺว”หรือ“ภาวะ 2”คู่ยิ่งใหญ่ อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันทำกันให้ได้ให้ครบ ที่ทำให้คนผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงก็จะ“รู้จบ”ทุกสรรพสิ่งได้ (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 43)
อาตมาทำ pattern ของการเดินทางของการสืบสานโลกุตระไว้ 500 ปีจะ peak สูงสุดแล้วก็จะไม่สูงไปกว่านั้นแล้ว อยู่สุดยอด แล้วจากนั้นจะค่อยๆเสื่อมเป็นโมเมนตั้ม ลงไปอีกนาน กว่าจะจบก็ไปอีก 2500 ปี ก็ค่อยๆเสื่อมผิดเพี้ยนเหลือน้อยลง โลุกตระเละเทะไปเรื่อยๆ
สรุปแล้ว ในโลกนี้มี“ภาวะ 2”ได้แก่“ความมีกับความ ไม่มี” เช่น ยุคนี้มี“พญานาค”ที่เป็น“ผู้หลับตาปฏิบัติ”นั้น“มี”กันอยู่จำนวนมาก ส่วนผู้ที่เป็น“อาริยบุคคล”คน“ผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ”ลืมตาปฏิบัตินั้น จะว่า “ไม่มี”ก็เกือบจะ“ไม่มี” ปานนั้นจริงๆในยุค“กึ่งุทธกาล”ที่เสื่อมมากหนักนี้
ซึ่งมัน“ไม่มีโลกุตระ”นั่นเองสำหรับคนผู้“ไม่มี” เพราะยังไม่เป็น“ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานแล้ว” จึงยังไม่ชื่อว่า “พุทธ” เนื่องจากยัง หลงผิดใช้วิธี“หลับตา”ปฏิบัติ
แม้กระนั้น ผู้ที่มี“โลกุตรธรรม”แล้วก็ยังคือ ผู้เป็น “อนุปฺปคัมมะ”หรือ“ผู้เป็นกลาง(ผู้มัชฌิมะ)” เป็นผู้ไม่ได้ชัง“คนผิด” แล้วก็ชอบ“คนถูก”
เพียงเป็นผู้“ชี้บอก”เท่านั้น ว่า อันใด“ผิด” อันใด“ถูก” และควรข่ม“คนผิด”ก็ข่ม ยก“คนถูก” (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ก็ทำไปตาม“สัจธรรม”เป็นปกติธรรมดาของคนที่“ไม่ดูดาย” ไม่ยอมเป็นคนอยู่แบบหนักแผ่นดิน แต่การ“ข่ม”นั้นย่อมเป็น“คำที่ไม่น่ารัก”ไม่น่ารื่นรมย์แน่
ยุคนี้ยิ่งเป็นยุคคนเสื่อมไปจากศาสนาพุทธตรงตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าอยู่แท้ๆ ก็แน่นอนว่า คนผู้บรรลุโลกุตรธรรมนั้นย่อมมีน้อย
แต่คนในโลกมันมี“ผู้ไม่รู้(อวิชชา)จำนวนเทียบกับ“ฐานปีรามิด”นั้นย่อมมากกว่า “ผู้รู้(วิชชา)”ที่เป็นส่วน“ยอดของปีรามิด” มันก็เป็นธรรมดาสามัญแท้ๆตามสัจจะ ใครๆก็เห็นได้ เข้าใจได้ ไม่ใช่“ความลึกลับ”ไปจากปกติโลกกันตรงไหน
เพียงแต่“จิตผู้เป็นกลาง”ของ“ความเป็นกลาง” ไม่ชอบ-ไม่ชังฝ่ายใดนี้เป็น“อจินไตย”ที่จะใช้“ตรรกะ”หรือ“เดา”ไม่ได้
ผู้มี“อภิภุยฺย”เป็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด
มันเป็นเรื่อง“อจินไตย” เป็นเรื่องนิรันดร “ทั้งความมี- ทั้งความไม่มี” โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน“ความมี“ ส่วนพุทธ ที่เป็น“โลกุตระ ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี” ก็“นิรันดร”ทั้งคู่
ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้“ไม่มี”ได้แล้วจริง ก็เป็น “ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มี นิรันดร”ได้จริง
ศาสนาพุทธเป็น“อเทฺวนิยม” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของไตรลักษณ์ มี“อนัตตา” มี“สุญญตา” มี“นิพพาน” และที่สำคัญมี“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”
“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”คือ คนผู้เป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองสามารถจัดการกับ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น “อุตุนิยาม” นั่นคือ “จิตวิญญาณ”ของคนผู้นั้นทำให้สูญสลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป หมดสิ้น“อัตตา”ของตนไปนิรันดรเลย
จึงไม่ใช่“ศาสนา”ที่จะมีอยู่ใน“กาลของโลก”ประจำโลกนิรันดร มีบางช่วงที่เป็น “พุทธันดร” หมายความว่า “ระหว่างกาลเวลาช่วงใดที่ไม่มีศาสนาพุทธอยู่เลย ช่วงนี้แหละคือ “พุทธันดร” เป็น“ช่วงที่โลกกาละนั้น“ไม่มีศาสนาพุทธ”
คนมีกรรมเป็นของๆตน จัดการกรรมของตนอยู่กับกาละ ผู้รู้จัก kamma and time of continuum นี่เป็นสูตรของอาตมา แต่สูตร ไอสไตน์ คือ Space and time of continuum เขารู้จักวัฏฏะ พลังงาน continuum ที่สังเคราะห์สังขารต่อเนื่องทุกปัจจุบัน continuum คือสันตติ ปัจจุบัน ใน continuum ของ Space and Time นี่คือ ทฤษฎีของไอสไตน์
อาตมาสรุปว่า Kamma and Time of continuum
ในโลกทุกกาละนั้นมีแต่ศาสนา“เทฺวนิยม”ที่ไม่ใช่พุทธ คือ มีแต่ศาสนาที่เป็น“โลกียธรรม”ทั้งหลายมากมายหลากหลาย ศาสนามีอยู่ในโลก เรียกว่าในโลกตลอดกาลจึงมี“เทฺวนิยม” ประจำโลก ไม่ขาดหายไปจากโลกในกาละไหนๆเลย มี“ศาสดา เทฺวนิยม”ในทุกยุคทุกสมัย แข่งกันมากมายหลายองค์ ต่างแยกเป็น“ศาสนาเทฺวนิยม”ในยุคเดียวกัน คนละศาสนามากหลายองค์ ซึ่งต่างแยกกันคนละศาสดา ทุกศาสดาล้วนมี “โลกียธรรม” ยังไม่มี “โลกุตรธรรม“ทั้งนั้น ดังที่เห็นๆกันยืนยันอยู่แม้ปัจจุบันนี้ไง!
มีศาสนาใหม่ที่จะขึ้นมาคือศาสนาบาไฮ ของพระบาฮาอุลล่าห์ แต่อาตมาบอกเลยว่าไม่ขึ้น และมีศาสนา static อย่างศาสนาอิสลาม เชื่อแต่พระเจ้าอย่างเดียว จนอีกนานกว่าจะหลุดพ้นจากความแน่นแข็งตรงนั้น จะเห็นได้ว่าที่กำลังเกิดสงครามตอนนี้ก็เป็นสายอิสลามทั้งนั้น สายที่เขารู้จักตัวตนขึ้นมาเรื่อยๆก็จะค่อยๆเลิกมา พวกไม่รู้จักตัวตนจะเป็นอย่างนี้อีกนานแสนนานและบังคับเขาไม่ได้ด้วย พูดอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง ดีไม่ดีก็เป็นพิษเป็นภัยแก่เราด้วยถ้าพูดมากๆเดี๋ยวโดน เพราะฉะนั้นก็ต้องระมัดระวัง
แต่ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาเดียวที่มี “โลกุตรธรรม” และในแต่ละยุคกัปป์ จะมีเพียง“ศาสดาพระพุทธเจ้า”องค์เดียว
จะไม่มี“ศาสดาพระพุทธเจ้า”ซ้อนกัน “2 องค์”เป็นอันขาดในยุคกัปป์เดียวกัน หรือในระยะเวลาใกล้ๆกัน
ทว่าก็มีบางช่วง“โลกุตรธรรม”ขาดหายไปจาก“ศาสนา พุทธ”ในบางยุคกัปป์ และที่สุดก็ถึงขั้นโลกในกาละนั้นไม่มี “โลกุตรธรรม”เลย มีแต่ชื่อศาสนาว่า “พุทธ”
โลกยุคนี้ก็คือ ยุค“พุทธันดร”นั่นเอง
“พุทธศาสนา”จึงไม่ใช่ศาสนาที่มีประจำโลก
แม้แต่ในวงการ“พุทธศาสนา”เองแท้ๆ ก็ยังมีบางกาละ บางยุคที่ชาวพุทธเสื่อมหนักมี“โลกุตรธรรม”ไม่ได้ เช่น ในยุค พ.ศ. 2500 นั่นเอง ไม่มี“โลกุตรธรรม”ในชาวพุทธ ชาวพุทธเองแท้ๆในโลกช่วงนี้ไม่มี“โลกุตรธรรม”กันอยู่ในช่วงหนึ่ง
อาตมาเกิดมาในยุคพ.ศ. 2500 นี้ กึ่งพุทธกาล จึงต้องนำ“โลกุตรธรรม”ฟื้นคืนกลับขึ้นมาให้แก่ชาวพุทธ ตามสัจจะที่ต้องเป็นไป
ขออภัยที่พูด“ความจริงซื่อๆ ตรงๆ เหมือนอวดตัวอวดตน แต่แท้จริงในจิตใจของอาตมาไม่มี“สาเถยฺยจิต”(จิตอยากอวดโอ่)เลยจริงๆ อาตมาพูดความจริง ถ้าอาตมาพูดโกหกแล้วมันก็เป็นบาปอาตมาก็รับบาปไป อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้แล้วจะไปทำบาปให้แก่ตัวเองทำไม รู้ว่าเป็นบาปแล้วจะไปทำบาปให้โง่ทำไม
(171) ศาสนาพุทธมี“จรณะ 15 วิชชา 8”ที่ประจักษ์สิทธิ์
พ่อครูว่า…ขอขึ้นหัวข้อไว้แค่นี้
สู่แดนธรรม… สรุปจบ
“ศาสนาพุทธ”เป็นศาสนาที่มี“จรณะ 15 วิชชา 8 เป็น “พุทธคุณ”แท้ๆที่ประจักษ์สิทธิ์ สำเร็จผลได้เป็นที่ประจักษ์จริง
สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตาม“จรณะ 15 วิชชา 8”สัมมาทิฏฐิก็เป็นคนมี“ศีล”เป็นที่ประจักษ์ มี“การสำรวมอินทรีย์ ๖”เป็นที่ประจักษ์ มีการศึกษาปฏิบัติลดละกิเลสในขณะกินอาหารในขณะใช้วัตถุข้าวของ มีการพากเพียรเป็น“ผู้ตื่นอยู่”เสมอมี“วิญญาณฐีติ ๗”ในขณะ“ลืมตา”ปฏิบัติกับ“กาย”กับ“สัญญา”
ถ้าขืน“หลับตา”ปฏิบัติ ก็ไม่มี“กาย”ให้ปฏิบัติ
ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นผู้“มิจฉาทิฏฐิ”
เพราะไม่มี“สำรวมอินทรีบ์ 6” มีแต่นั่ง“หลับตา” นั่นคือ ไม่ได้มีการปฏิบัติระมัดระวังขณะที่“ตากระทบรูป”อยู่นั้น “กาย-วาจา-ใจ”ของเราจะมี“ทุจริตกรรม”ใดเกิดขึ้นบ้าง
เช่น “กาย”ภายนอกจะผิด“ศีลข้อ 1-2-3”อะไร? ไฉน? ก็จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
หรือขณะเรามี“กรรมกิริยา”ทุกอิริยาบถ เราก็ต้องสำรวมอินทรย์เรียนรู้เพื่อปฏิบัติกำจัดกิเลสเสมอ
เพราะ“กรรม”เป็น“ความจริง” ถ้าเราทำลงไปแล้ว เป็น “บาปอกุศล” กรรมนั้นก็สั่งสมเป็น“วิบากติดตัวเราไปเป็นของเรา”จริงๆ ไม่เอาก็ไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้
“วาจา”ภายนอกจะผิดศีลข้อ 4 อะไร? ไฉน? ก็จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
ใน“มรรคองค์ 8”ผู้สัมมาทิฏฐิจึงชัดเจนในการปฏิบัติควบคุม“สังกัปปะ 7” ตามหลัก“ศีล”แต่ละข้อ มี“อปัณณกปฏิปทา 3-สัทธรรม 7”ที่พาให้เกิด“ฌาน 4”ด้วย“วิชชา 8” เป็นผู้“ลืมตา”ปฏิบัติ ไม่“วิจิกิจฉา”เลยว่า “ฌาน”ของพุทธคือ “ฌานลืมตา” ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นผู้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ในพุทธ
พระพุทธเจ้าเปรียบเปรยผู้มิจฉาทิฏฐิออกนอกรีตนั้น เป็นโจรปล้นศาสนา เช่น คนที่“หลับตา”ปฏิบัติเป็นต้น.
พระพุทธเจ้าทรงสมมุติว่า มีพระราชาคือ ผู้เป็นใหญ่ที่รักษาสมบัติอย่าให้โจรมาปล้นเอาสมบัติไปได้ หากมี“โจร”เกิดขึ้นก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอก 100 เล่ม แม้ในตอนเช้า ถ้ายังไม่ตายก็ให้ไปประหารอีกในตอนกลางวัน และหากยังไม่ตายอีกก็ให้เอาไปฆ่าอีกตอนเย็น แล้วท่านก็จบไว้แค่นั้น
เพราะลัทธิ“เดียรถีย์เป็นลัทธิประจำโลก จะในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต และทุกวันนี้ก็ยัง“มี”เดียรถีย์ หรือในโลกคนผู้“อวิชชา”นั่นแหละที่ยังงมงายอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติ มันไม่หนีหายไปจากโลกหรอก มันก็ยังเป็น“โจร”แทรกเข้ามาปล้นศาสนาอยู่จนได้นั่นแหละ
ผู้“หลับตา”ปฏิบัติ ที่เข้าใจ“กาย”ยังไม่“สัมมาทิฏฐิ”นั้น มันปฏิบัติเป็น“เดียรถีย์”จริงๆ เพราะมันไม่มี“ภายนอก” ไม่มี “วิญญาณฐีติ”ให้ปฏิบัติ มันมีแต่“วิญญาณสัมภเวสี”
“หลับตา”ปฏิบัตินั้นมันเป็น“การปฏิบัติของเดียรถีย์” ซึ่งมันไม่ใช่ลัทธิของศาสนาพุทธ ไม่ใช่วิธีปฏิบัติของพุทธที่ “สัมมาทิฏฐิ”เลย
ดังที่คนไทยชาวพุทธในยุคปัจจุบันนี้ยังหลงเชื่อกันว่า การปฏิบัติที่จะเกิด“ฌาน”ก็ดี เกิด“สมาธิ”ก็ดี แม้ที่สุดเกิด“นิพพาน”นั้นต้อง“หลับตา”ทำสมาธิเข้าไปๆ จึงจะได้
ซึ่งมันผิด นั่นไม่ใช่แบบของพุทธเลยสักนิด
ดังเรื่องเกี่ยวกับคำว่า“พญานาค”อันคือ “งู”ที่ภาษาบาลีคือ “นาค”ตามที่เล่าให้ฟังนั้นแล
ชาวพุทธได้พากันหลงผิด“หลับตา”ปฏิบัติเป็นเดียรถีย์กันไป หลงมืดสนิทสนมเชื่อถือ“เดียรถีย์”กัน กระตุกกันยังไง กระแทกกระทุ้งแรงจัดขนาดไหน ก็ไม่ฉุกคิดกัน “ไม่ตื่น”ได้ง่ายๆ
ก็เปรียบได้เช่นเดียวกันกับ“พญานาค”ที่นอนหลับไม่รู้คู้ ไม่เห็นดับมืดมนอนธกาลอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึก เฝ้า “ถาดทองของพระพุทธเจ้า”ทุกพระองค์ที่เคยอุบัติขึ้นมาในโลกแล้วล้านๆพระองค์
-
••••[จบ“ปัญญา 8”ของพุทธศาสนา เล่ม ๑]•••••